สมุดไทยเล่มที่ ๓๘

๏ บัดนั้น สุกรสารฤทธิแรงแข็งขัน
เห็นวานรออกมาแล้วตรวจกัน ตกใจตัวสั่นไม่สมประดี
ลับล่อรออยู่จนสุดท้าย ตาหมายเขม้นจะเหาะหนี
เวียนวนวุ่นวายเป็นหลายที ไม่รู้ที่จะลอดออกไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานทหารใหญ่
เห็นวานรสุดท้ายตกใจ ลับล่อมิใคร่จะออกมา
จึ่งพินิจพิศดูสำคัญ ก็เห็นมั่นเหมือนคำพิเภกว่า
เผ่นโผนโจนจับอสุรา ด้วยกำลังฤทธาว่องไว ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ รวบรัดกระหวัดไม่วางกร วานรจิกเศียรไว้ได้
รูปนั้นไม่เป็นกระบี่ไพร กลับไปเป็นเพศกุมภัณฑ์
อันโยธาวานรทั้งหลาย ไพร่นายกริ้วโกรธตัวสั่น
ผูกมัดทุบถองตีรัน รุมกันฉุดลากมาทันที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เตียว

๏ ครั้นถึงจึ่งประณตบทบงสุ์ ทูลองค์พระนารายณ์เรืองศรี
ซึ่งโองการให้จับอสุรี บัดนี้ได้ตัวมันมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกนาถา
ฟังวายุบุตรก็ปรีดา ผ่านฟ้าสั่งลูกพระอาทิตย์
จงถามอสุราสาธารณ์ ที่มันอาจหาญทะนงจิต
ผู้ใดใช้สอยเป็นต้นคิด ไม่เกรงฤทธิ์มาปลอมโยธี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พญาสุครีพกระบี่ศรี
รับราชบรรหารพระจักรี ยอกรชุลีแล้วออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งตั้งกระทู้ซักถาม นามมึงชื่อไรไอ้ยักษา
อยู่ไหนจึ่งแปลงกายา มาปลอมโยธาพลไกร
ไม่กลัวว่าตัวจะวายปราณ ใครคิดอ่านใช้สอยเป็นไฉน
จงให้การแต่ตามสัจจริงไป ประสงค์สิ่งไรดั่งนี้ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น อสูรสุกรสารยักษี
ความกลัวเพียงสิ้นชีวี ให้การตามที่เป็นเรื่องมา
ตัวข้าชื่อว่าสุกรสาร ถิ่นฐานบ้านเรือนเคหา
อยู่เกาะพิชัยลงกา เป็นข้าทศกัณฐ์อสุรี
เหตุด้วยศิลานั้นปลิวไป ตกลงในเมืองยักษี
พญามารสงสัยพันทวี ตรัสใช้ข้านี้ให้มาดู
จึ่งนิมิตกายาเป็นเหยี่ยว บินเที่ยวมาเห็นก็ราอยู่
จะกำหนดกฎหมายไปให้รู้ ว่าหมู่โยธาของผู้ใด
เหล่าลิงทิ้งศิลาดั่งห่าฝน ถูกปีกไม่ทนอยู่ได้
ความเจ็บสุดที่จะบินไป จนใจก็ตกลงมา
ข้าจึ่งนิมิตเป็นวานร ปลอมพลนิกรซ่อนหน้า
ทั้งนี้ตามแต่จะเมตตา โทษาถึงสิ้นชีวี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น พญาสุครีพกระบี่ศรี
ซักไซ้ไถ่ถามอสุรี ได้ความถ้วนถี่ทุกสิ่งอัน
จึ่งใช้วานรเสมียน เขียนเอาถ้อยคำให้มั่น
เสร็จแล้วก็รีบจรจรัล มาสุวรรณพลับพลาอลงการ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ จึ่งน้อมเศียรเกล้าบังคมทูล นเรนทร์สูรปิ่นภพมหาสถาน
เสร็จสิ้นตามคำขุนมาร ท่ามกลางทหารชาญฤทธิ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์องค์นารายณ์จักรกฤษณ์
แจ้งว่าทศเศียรปัจจามิตร คิดแต่งมาปลอมโยธี
จึ่งมีพระราชบัญชา ให้ปรึกษาโทษยักษี
อันไอ้สุกรสารตนนี้ โทษมันจะมีประการใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาวานรน้อยใหญ่
รับสั่งพระองค์ทรงภพไตร บังคมไหว้แล้วรีบออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ พร้อมหมู่มนตรีทวยหาญ ชมพูพานเรียงคำปรึกษา
ว่าพระอัยการบุราณมา ถ้าว่าข้าศึกบังอาจใจ
สองตนเข้ามาปลอมทัพ โยธานั้นจับตัวได้
ผู้หนึ่งทำโทษแล้วปล่อยไป ผู้หนึ่งให้มล้างชีวิต
เสียบประจานไว้หน้าทัพขันธ์ ให้สาใจมันที่โทษผิด
สุกรสารเป็นพวกปัจจามิตร คิดการผู้เดียวปลอมมา
ฆ่าเสียก็ไม่เป็นเกียรติยศ ควรงดชีวิตยักษา
แต่ให้เฆี่ยนทะเวนอสุรา สักหน้าปล่อยไปให้นายมัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น สุครีพลูกพระสุริย์ฉัน
เสร็จปรึกษาโทษกุมภัณฑ์ ก็พากันไปเฝ้าพระจักรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งน้อมเศียรเกล้าบังคมบาท ทูลพระภูวนาถเรืองศรี
ตามคำวานรเสนี ที่ปรึกษาโทษอสุรา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกนาถา
ฟังคำปรึกษาเสนา ผ่านฟ้าสอดคล้องต้องพระทัย
จึ่งมีบัญชาประกาศิต สั่งลูกพระอาทิตย์ผู้ใหญ่
จงทำตามปรึกษาที่ว่าไว้ ให้สมนํ้าหน้าอสุรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พญาสุครีพกระบี่ศรี
รับสั่งสมเด็จพระจักรี ถวายอัญชุลีแล้วออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งสั่งราชมัลใจหาญ เอาไอ้สุกรสารยักษา
ผูกเข้าลงราชอาญา ตามบัญชาสั่งพระทรงธรรม์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ราชมัลวานรตัวขยัน
ได้ฟังลูกพระสุริยัน ก็ฉุดลากกุมภัณฑ์เข้ามา
ปักหลักแล้วใส่คาเข้า ผูกเอวผูกเท้ายักษา
บีบขมับบีบมือเป็นโกลา ลงอาญาเฆี่ยนไปไม่ปรานี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ แล้วสักเป็นตีนกาลง ที่ตรงหน้าผากยักษี
เพชฌฆาตราชมัลตัวดี ก็พาอสุรีทะเวนไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ นายฉม่องตีฆ้องให้ร้องขาน ประจานไปรอบทัพใหญ่
เตือนตีมิได้อาลัย ฉุดไล่อื้ออึงคะนึงมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ลูกพระอาทิตย์ฤทธิ์กล้า
ครั้นเสร็จให้ถอดอสุรา ปล่อยไปลงกาธานี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ฝ่ายสุกรสารยักษี
ครั้นวานรปล่อยก็ยินดี อสุรีเหาะข้ามสมุทรไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงขึ้นเฝ้าเจ้าลงกา กราบกับบาทาแล้วร้องไห้
ทูลว่าพระองค์ทรงฤทธิไกร ใช้ข้าไปดูเหตุการณ์
จึ่งนิมิตกายาเป็นเหยี่ยว บินเฉี่ยวไปบูรพ์ทิศาล
บินข้ามมหาชลธาร พบพวกบริวารวานร
พ้นที่จะนับคณนา ล้วนมีศักดาชาญสมร
ต่างต่างสำแดงฤทธิรอน เอาสิงขรเขาทุ่มทิ้งกัน
ศิลาแตกลอยกระเด็นตรง ถูกปีกตกลงเพียงอาสัญ
จึ่งอุบายนิมิตเข้าปลอมมัน ลิงนั้นจับข้าพาไป
ยังที่กองทัพพลับพลา เนินคันธกาลาเขาใหญ่
เห็นพิเภกอนุชาภูวไนย เป็นใจไปอยู่ด้วยไพรี
อันจอมโยธานั้นพระราม สั่งให้ซักถามถ้วนถี่
แล้วลงอาญาเฆี่ยนตี ปิ้มสิ้นชีวีจึ่งปล่อยมา ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ทศพักตร์สุริย์วงศ์ยักษา
แจ้งว่าพระรามยกโยธา มาตั้งยังท่านที
พิเภกไปอยู่เป็นข้าเฝ้า ให้ร้อนเร่าฤทัยดังไฟจี่
หนักอกหนักใจพันทวี อสุรีนิ่งนึกตรึกไป
เห็นทีไอ้นี่จะบอกการ จึ่งคิดอ่านจับสุกรสารได้
ไว้ช้าน่าที่จะมีภัย มันจะสาวไส้ให้กากิน
จำกูจะคิดอุบาย ไปทำลายศึกเสียให้สิ้น
ทั้งไอ้พิเภกใจทมิฬ จะให้กินแหนงแคลงกัน
แม้นพระรามขับจากพลับพลา จะตามฆ่าให้ม้วยอาสัญ
คิดแล้วยอกรอภิวันท์ กุมภัณฑ์ร่ายเวทอันเชี่ยวชาญ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ ตระ

ชมตลาด

๏ กลายองค์ทรงเพศเป็นโยคี พร้อมเครื่องอาหุดีบริขาร
เจิมจุณสอดใส่สังวาล ดั่งองค์พรหมานลงมา
มือซ้ายถือไม้เท้าจ้อง มือขวาถือพัดป้องบังหน้า
เหาะระเห็จออกจากลงกา ด้วยกำลังฤทธาว่องไว ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ รวดเร็วดั่งหนึ่งพระพาย หมายคันธกาลาเขาใหญ่
ครั้นถึงฟากฝั่งสมุทรไท ก็ลงในพ่างพื้นปัถพี
แล้วจึ่งดำริตริการ ด้วยปรีชาชาญยักษี
แม้นจะเข้าไปบัดนี้ น่าที่พิเภกอสุรา
มันจะล่วงรู้อุบายกล ว่ากูแปลงตนเป็นชีป่า
จะบอกพระลักษมณ์พระรามา เห็นว่าจะเสียการไป
จำจะผูกจิตเสียให้มั่น อย่าให้มันเจรจาออกได้
คิดแล้วอ่านเวทอันเกรียงไกร ตามในลัทธิอสุรี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ ตระ

๏ ครั้นเสร็จก็จับไม้เท้าจ้อง พักตร์ป้องตามเพศฤๅษี
แกล้งทำสำรวมอินทรีย์ เข้าไปยังที่พลับพลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ พราหมณ์เข้า

๏ ไปถึงหน้าฉานก็ยืนอยู่ ชำเลืองแลดูทั้งซ้ายขวา
เห็นหมู่วานรเสนา เฝ้ากลาดดาษดาประนมกร
แต่ละตนท่วงทีองอาจ สามารถห้าวหาญชาญสมร
พิเภกสุครีพฤทธิรอน นั่งหน้าวานรเสนี
ให้กริ้วโกรธพิโรธดั่งเพลิงพิษ ยิ่งคิดคับใจยักษี
ทำร้องอวยพรสวัสดี แล้วมีวาจาถามไป
ซึ่งพระองค์ยกพลโยธา เสด็จมาจะไปหนไหน
ล้วนเหล่าเสนาวานรไพร รูปนี้สงสัยในวิญญาณ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรีผู้ปรีชาหาญ
สำคัญว่าองค์พระอาจารย์ งามดั่งพรหมานในโสฬส
มีความปรีดาสถาพร ด้วยสังวรในอิริยาบถ
จึ่งกล่าวบรรหารมธุรส ซึ่งข้ายกทศโยธา
จะไปสังหารทศกัณฐ์ ให้สิ้นวงศ์พงศ์พันธุ์ยักษา
ด้วยมันไปลักนางสีดา เมียข้ามาไว้ในบูรี
พระองค์นี้อยู่ตำบลไหน นามกรชื่อใดพระฤๅษี
ซึ่งว่ามาหาข้านี้ มีกิจประสงค์สิ่งใด ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทศพักตร์ผู้มีอัชฌาสัย
ได้ฟังจึ่งตอบคำไป รูปนี้อยู่ในหิมวันต์
ชื่อกาลสิทธโคดม ไปจงกรมกลับมาแต่สวรรค์
แจ้งว่าพระองค์ทรงธรรม์ ยกพวกพลขันธ์วานร
จะข้ามไปสงครามในลงกา เมตตามาห้ามพระทรงศร
อันองค์ท้าวยี่สิบกร ฤทธิรอนเลิศลํ้าแดนไตร
มีทั้งทหารชำนาญยุทธ์ นับด้วยสมุทรก็ว่าได้
อันพระองค์จะยกพลไป ไหนจะครั่นมืออสุรี
ใช่ว่าสิ้นนางในโลกา ผ่านฟ้าจะไร้มเหสี
ถึงได้มาก็เป็นราคี น่าที่ไม่พ้นอัประมาณ
ดั่งดวงแก้วตกกลางกองไฟ อย่าสำคัญจะไม่ร้าวฉาน
จะตามไปไยให้ป่วยการ จงเลิกทวยหาญไปพารา ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระทรงภพลบโลกนาถา
ได้ฟังจึ่งมีบัญชา ว่าไยฉะนี้พระนักธรรม์
อันนางสีดายุพาพักตร์ คือพระลักษมีสาวสวรรค์
ถึงจะตกน้ำไฟบรรลัยกัลป์ อย่าสำคัญว่าจะเป็นราคี
มาตรแม้นใช่องค์กัลยา จะตํ่าศักดิ์ลงมาจนทาสี
มิตามไปมล้างอสุรี ก็จะมีความอัปยศนัก
จะว่าข้ากลัวกุมภัณฑ์ จะเย้ยหยันไยไพทั้งไตรจักร
ทำไมแก่ไอ้ทศพักตร์ กับพวกพลยักษ์ในลงกา
อุปมาเหมือนหมู่มฤคี หรือจะต่อราชสีห์ตัวกล้า
จะผลาญเสียด้วยศรศักดา ให้สิ้นโคตรยักษาอาธรรม์ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ดาบสทศเศียรรังสรรค์
ฟังพระรามกล่าวถ้อยคำฉกรรจ์ กุมภัณฑ์จึ่งตอบวาที
ซึ่งรูปว่านี้ด้วยเมตตา เมื่อมิฟังข้าผู้ฤๅษี
จะขืนไปรณรงค์อสุรี ทั้งนี้ก็ตามแต่ความคิด
ว่าพลางเหลือบแลดูน้อง ให้ขัดข้องเดือดดาลทะยานจิต
จะใคร่สังหารผลาญชีวิต หากว่าใกล้ชิดพระรามา
จนใจแล้วกล่าวอุบาย ถามด้วยแยบคายยักษา
อันวานรผู้ใหญ่เป็นเสนา กับกุมภัณฑ์นั่งหน้าพลไกร
ทั้งสองตนนี้ดูประหลาด เชื้อชาตินามกรเป็นไฉน
ถิ่นฐานบ้านเมืองแห่งใด จึ่งได้มาอยู่ด้วยภูมี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระตรีภูวนาถเรืองศรี
ได้ฟังจึ่งตอบวาที อสุรีนี้ชาวลงกา
ชื่อว่าพิเภกกุมภัณฑ์ เป็นน้องทศกัณฐ์ยักษา
พี่ชายขับจากพารา จึ่งมาพึ่งข้าพระอาจารย์
วานรนี้น้องพาลี ชื่อศรีสุครีพใจหาญ
พี่นั้นเสียสัตย์ปฏิญาณ ชิงโฉมเยาวมาลย์ดารา
ศรข้าจึ่งผลาญราญรอน วานรสิ้นชีพสังขาร์
สุครีพคุมพลโยธา มาอยู่กับข้าด้วยภักดี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทศกัณฐ์ผู้เป็นฤๅษี
ได้ฟังทำว่าปรานี เอะไฉนฉะนี้พระทรงฤทธิ์
มาคบอสุราวานร อันเกิดร่วมอุทรกับคนผิด
พิเภกก็พวกปัจจามิตร น้องสนิทขององค์เจ้าลงกา
อันพาลีพี่ชายสุครีพ ก็สิ้นชีพด้วยพระองค์เข่นฆ่า
น้องเขาหรือจะรักผ่านฟ้า ยิ่งกว่าพี่ตนนั้นผิดไป
ซึ่งจะคบพงศาปัจจามิตร เหมือนอสรพิษไม่เลี้ยงได้
พระองค์ผู้ทรงฤทธิไกร ขับเสียให้ไกลบทมาลย์ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกทุกสถาน
ได้ฟังจึ่งมีโองการ พระอาจารย์เจรจาไม่ชอบธรรม์
ถึงว่าพิเภกนี้เป็นน้อง ร่วมท้องทศพักตร์โมหันธ์
เพื่อนกับพี่ชายก็ผิดกัน กุมภัณฑ์จึ่งบากหน้ามา
พึ่งข้าผู้ใช่ญาติวงศ์ ด้วยความซื่อตรงของยักษา
อันพญาสุครีพผู้ศักดา ซึ่งเป็นอนุชาพาลี
ก็อยู่ในสัจจาสถาวร สุริย์วงศ์วานรเรืองศรี
ทั้งสองล้วนกษัตริย์ธิบดี ไม่มีสิ่งซึ่งทรยศ
ครองยุติธรรม์กตัญญู รอบรู้ผิดชอบด้วยกันหมด
มิได้ทรชนเป็นคนคด เหมือนคำดาบสเจรจา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ฤๅษีทศพักตร์ยักษา
ได้ฟังพระรามบัญชา อสุราจึ่งตอบคำไป
อันซึ่งรูปว่านี้โดยจริง ใช่จะชิงชังเขานั้นหาไม่
เมื่อพระองค์ไม่ฟังจะเลี้ยงไว้ นานไปก็จะเห็นร้ายดี
ถึงมาตรจะทำการณรงค์ ด้วยองค์ทศเศียรยักษี
อันโยธาวานรเหล่านี้ ไหนจะทานฤทธีอสุรา
สำหรับแต่จะเป็นอาหาร หมู่มารกินเล่นเป็นภักษา
พระองค์ก็ทรงปรีชา ผ่านฟ้าคิดดูให้จงดี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ท้าวพญาวานรกระบี่ศรี
ได้ฟังวาจาพระมุนี โกรธดั่งอัคคีบรรลัยกัลป์
ขบเขี้ยวเคี้ยวกรามคำรามรน ต่างตนคั่งแค้นตัวสั่น
ผูกคิ้วนิ่วหน้ามือคัน จะใคร่ฟาดฟันให้บรรลัย
หากเกรงใต้เบื้องบทมาลย์ ทหารทั้งปวงไม่ทำได้
ต่างทูลอาสาภูวไนย วุ่นไปทุกหมู่โยธา
บ้างว่าจะไปจับทศกัณฐ์ มาบั่นเศียรเกล้าเกศา
บ้างว่าจะยกพระเมรุมา ทุ่มทับลงกาธานี
บ้างว่าจะพลิกแผ่นดิน ให้ตายสิ้นทั้งเมืองยักษี
บ้างว่าจะวิดวารี พาพลกระบี่ข้ามไป
บ้างว่าจะช้อนเอาลงกา ขึ้นใส่หัตถามาให้ได้
ทุ่มลงในท้องสมุทรไท มิให้ยากใจโยธี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายพญาพิเภกยักษี
รู้ว่าทศกัณฐ์อสุรี แปลงเป็นโยคีออกมา
จะกราบทูลองค์พระทรงจักร ให้ตระหนักว่าท้าวยักษา
ก็ต้องพระเวทมนตรา เจรจามิได้ดั่งใจคิด
แต่ตระหนกอกสั่นขวัญหาย ทุรนทุรายไม่นั่งติด
ความกลัวดั่งจะสิ้นชีวิต คลานเข้าไปชิดพระอนุชา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ฤๅษีทศพักตร์ยักษา
เห็นหมู่วานรเสนา ต่างตนโกรธาดั่งไฟกาล
จึ่งชม้ายชายเนตรชำเลืองดู ทุกหมู่ห้าวศึกฮึกหาญ
แต่ไอ้พิเภกสาธารณ์ ลนลานประหนึ่งจะรู้ที
ว่ากูแปลงมาเป็นชีไพร อสุราตกใจจึ่งคลานหนี
แม้นบอกพระรามขึ้นบัดนี้ น่าที่จะไม่รอดชีวา
เหลียวหน้าเหลียวหลังระวังตัว กลัวหมู่วานรจะเข่นฆ่า
อุตส่าห์แข็งใจเจรจา ผ่านฟ้าค่อยอยู่สถาวร
เวลานี้ก็จวนอัสดง รูปจะลาพระองค์ไปก่อน
ว่าพลางจดจ้องธารกร เร่งรีบบทจรออกไป ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นลับตาวานรเสนี สำแดงฤทธีแผ่นดินไหว
เหาะข้ามมหาสมุทรไท ตรงเข้าพิชัยลงกา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น พิเภกสุริย์วงศ์ยักษา
ครั้นทศเศียรอสุรา ไปจากพลับพลาก็ยินดี
ซึ่งต้องเวทมนตร์ก็เสื่อมสิ้น อสุรินทร์ประณตบทศรี
ทูลพระหริรักษ์จักรี เมื่อกี้มิใช่พระนักพรต
คือทศกัณฐ์มันอุบาย แปลงกายเข้ามาเป็นดาบส
เพราะไอ้สุกรสารใจคด ที่มันปลอมทศโยธา
กลับไปแถลงแจ้งเหตุ ว่าพระทรงเดชนาถา
ให้ทหารลองฤทธิ์ศักดา พบข้าอยู่ใต้บทมาลย์
ทศพักตร์จึ่งแปลงเป็นฤๅษี มาดูโยธีทวยหาญ
หมายพิฆาตข้าให้วายปราณ ขุนมารมาดมาไม่สมคิด
ครั้นจะกราบทูลให้ทราบ เพื่อนร่ายมนต์กำหราบผูกจิต
โทษข้าถึงสิ้นชีวิต พระทรงฤทธิ์จงโปรดปรานี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์องค์นารายณ์เรืองศรี
ได้ฟังพิเภกอสุรี ภูมีนิ่งนึกตรึกไป
ชิชะน้อยหรือไอ้ทศกัณฐ์ มันลวงเจรจาด้วยกูได้
คิดคิดให้แค้นแน่นใจ ภูวไนยจึ่งมีบัญชา
อันไอ้ทศพักตร์มันอุบาย แปลงกายมาเป็นชีป่า
กูไม่ทันพิจารณา สำคัญว่าเป็นโยคี
หาไม่ที่ไหนจะลำบาก ยากแก่ไพร่พลกระบี่ศรี
ตรัสแล้วก็เสด็จจรลี เข้าที่พลับพลาอลงกรณ์ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายท้าวสิบพักตร์ชาญสมร
ครั้นถึงลงกาพระนคร บทจรขึ้นปราสาทโอฬาร์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ เอนองค์ลงเหนือที่ไสยาสน์ กรก่ายนลาฏยักษา
ให้ร้อนจิตคิดแค้นแน่นอุรา เสียดายอุตส่าห์แปลงไป
หมายว่าจะตัดสงคราม มิให้ลุกลามมาได้
ก็ไม่สมจิตดั่งคิดไว้ จะอุบายแก้ไขไฉนดี
อันศึกมนุษย์นี้ใหญ่หลวง เห็นจะล่วงมาถึงบุรีศรี
ด้วยโยธาวานรเสนี ล้วนมีฤทธีดั่งไฟกาล
พื้นพงศ์อมรินทร์ทินกร ขจรเลื่องชื่อลือหาญ
ทั้งพิเภกจังไรใจพาล ไอ้สาธารณ์ไปอยู่ด้วยมนุษย์
เหตุผลสารพันมันล่วงรู้ ก็จะบอกศัตรูจนสิ้นสุด
อันการณรงค์ยงยุทธ์ จะคิดสัประยุทธ์เห็นยากใจ
แต่ผุดลุกผุดนั่งไม่เป็นนอน แสนทุกข์ทอดถอนใจใหญ่
ให้ร้อนจิตดั่งต้องพิษไฟ จนอุทัยส่องแสงสว่างฟ้า ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ จึ่งคิดได้ว่าศึกครั้งนี้ เป็นต้นด้วยที่เสน่หา
กูจะให้เบญกายกัลยา แปลงเป็นสีดาเยาวมาลย์
ไปทำตายลอยอยู่ที่ท่าสรง อันพระรามเคยลงสระสนาน
แม้นเห็นว่านางวายปราณ การศึกก็จะเลิกกลับไป
คิดแล้วสระสรงทรงเครื่อง อร่ามเรืองดั่งดวงแขไข
เสด็จออกพระโรงข้างใน อำไพด้วยแก้วแกมสุวรรณ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๏ ลดองค์ลงเหนือบัลลังก์รัตน์ ภายใต้เศวตฉัตรฉายฉัน
พร้อมหมู่สนมกำนัล จึ่งบรรหารสั่งนางอสุรี
เอ็งจงเร่งลงไปหา เบญกายกัลยาโฉมศรี
ผู้เป็นหลานรักร่วมชีวี ขึ้นมายังที่พระโรงคัล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายนางอสุรีสาวสวรรค์
รับสั่งพญากุมภัณฑ์ บังคมคัลแล้วพากันรีบไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๏ ครั้นถึงที่อยู่นางเทวี ยอกรชุลีประนมไหว้
ทูลว่าพระจอมภพไตร ให้ข้ามาเชิญนงคราญ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางเบญกายเยาวยอดสงสาร
แจ้งว่าทศกัณฐ์พญามาร โองการให้หาก็ตกใจ
หน้าซีดผาดเผือดลงทันที ไม่รู้ว่าร้ายดีเป็นไฉน
ให้ประหวั่นครั่นคร้ามเกรงภัย ก็รีบไปด้วยนางอสุรา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงน้อมเศียรอภิวาทน์ แทบบาทพญายักษา
ความกลัวเพียงม้วยมรณา กัลยาหมอบอยู่ไม่เงยพักตร์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์ทรงจักร
ครั้นเห็นเบญกายนงลักษณ์ พญายักษ์จึ่งมีโองการ
อนิจจาหลานรักของลุงเอ๋ย ทรามเชยผู้ยอดสงสาร
ทั้งนี้เวราแต่บูราณ จึ่งบันดาลให้ลุงโกรธา
แก่พ่อเจ้าร่วมสายโลหิต ไม่ผิดก็ทำโทษา
ริบราชย์ขับเสียจากพารา ต้องไปเป็นข้าไพรี
บัดนี้หายโกรธคิดถึง ร้อนเร่ารุมรึงดั่งเพลิงจี่
สงสารเป็นพ้นพันทวี มิรู้ที่จะทำประการใด
ด้วยไปอยู่กับปัจจามิตร สุดคิดจะรับมาได้
จึ่งหาอัคเรศอรไท หวังจะให้แปลงเป็นสีดา
หลานรักจงไปทำตาย ที่หาดทรายฉนวนประจำท่า
แม้นพระรามได้ทอดทัศนา ก็จะว่าสีดาวายปราณ
จะแสนโศการํ่ารัก เห็นจักสิ้นชีพสังขาร
ยังแต่วานรบริวาร จะแตกฉานแยกย้ายกันไป
แม้นว่าสำเร็จดั่งจินดา กลับมาจะแบ่งสมบัติให้
ทั้งบิตุรงค์ขององค์อรไท จะได้คืนพาราสถาพร ฯ

ฯ ๑๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางเบญกายดวงสมร
ได้ฟังดั่งใครมาฟันฟอน ตัดกรตัดเกล้าเมาลี
จึ่งน้อมประณตบทบงสุ์ ทูลองค์พญายักษี
ตัวข้านี้เป็นสตรี ที่จะลวงไพรีนั้นจนใจ
ดั่งสิ้นบุรุษทั้งลงกา จะด้านหน้าฝ่าไปกระไรได้
โยธาวานรแน่นไป มาในกองทัพแต่ล้วนชาย
ชั่วดีผู้ใดไม่ล่วงเห็น ก็จะเป็นราคีไม่รู้หาย
อันชีวิตของข้าไม่พ้นตาย อย่าหมายว่าจะรอดคืนมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวราพนาสูรยักษา
จึ่งตรัสปลอบราชนัดดา แก้วตาอย่าประหวั่นพรั่นใจ
อันหมู่กระบี่เดียรัจฉาน จะล่วงรู้ถึงการนั้นหาไม่
เจ้าก็มีปรีชาว่องไว มันจะทำไมได้อย่าสงกา
ถึงมาตรเป็นหญิงก็ยิ่งชาย ด้วยเล่ห์กลอุบายแกล้วกล้า
แม้นไปก็จะสมดั่งจินดา หลานอย่าเกรงพวกไพรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางเบญกายยักษี
ได้ฟังพระราชวาที เทวีคะนึงรำพึงคิด
ครั้นจะขืนขัดพระบัญชา ก็เกรงอาญาประกาศิต
จะลงโทษถึงสิ้นชีวิต สุดคิดแล้วกราบทูลไป
ซึ่งพระองค์ทรงเห็นจะเป็นการ จะขัดพระบรรหารกระไรได้
อันนางสีดาทรามวัย ยังไม่เคยเห็นพักตรา
จะนิมิตก็จะผิดรูปทรง ไม่เหมือนองค์อัคเรศเสน่หา
จะขอถวายบังคมลา ไปดูลักขณานางเทวี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์ยักษี
ได้ฟังดั่งทิพวารี มาโสรจสรงอินทรีย์กุมภัณฑ์
ลูบหน้าลูบหลังหลานรัก พญายักษ์ปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
แล้วสั่งฝูงนางกำนัล จงพากันไปบอกเสนี
ให้ตระเตรียมเทียมราชรถทรง คอยรับเสด็จองค์นางโฉมศรี
พร้อมด้วยอสูรโยธี ยังเกยมณีรจนา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายนางกำนัลซ้ายขวา
รับสั่งถวายบังคมลา แล้วพากันรีบออกไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๏ ครั้นถึงจึ่งมีวาที สั่งมหาเสนีผู้ใหญ่
ให้เตรียมรถรัตนามัย ตามในบัญชาพญามาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาผู้ใหญ่ใจหาญ
ได้แจ้งแห่งราชโองการ ก็รีบลนลานออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จัดหมู่อสูรกุมภัณฑ์ ตามหมวดตรวจกันพร้อมหน้า
เตรียมทั้งรถทรงอลงการ์ คอยท่าเสด็จนางเทวี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางเบญกายยักษี
บังคมลาพญาอสุรี ลงมาจากที่ปราสาทชัย
จึ่งชำระองค์ทรงเครื่อง อร่ามเรืองพักตร์ผ่องดั่งแขไข
พร้อมด้วยสนมกำนัลใน เสด็จไปทรงรถรัตนา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ เสนีให้เคลื่อนพระประเทียบ เรียงเรียบโดยกระบวนซ้ายขวา
ออกจากพระนครลงกา ตรงมายังสวนอุทยาน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงประทับกับเกยแก้ว แล้วลงจากรถมุกดาหาร
พาฝูงอนงค์บริวาร ไปนิเวศน์สถานพระมารดา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งเข้าสวมสอดกอดบาท พระชนนีธิราชเสน่หา
ซบพักตร์สะอื้นโศกา ดั่งว่าจะสิ้นสมประดี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น นางตรีชาดายักษี
ครั้นเห็นพระราชบุตรี เทวีสวมสอดด้วยความรัก
ลูบไล้ไปทั่วสารพางค์ แล้วอุ้มองค์นางขึ้นใส่ตัก
วันนี้แม่พึ่งเห็นพักตร์ คิดว่าจักไม่พบกัน
ว่าพลางเชยชมพระธิดา กัลยาจูบจอมถนอมขวัญ
แสนโศกโศการำพัน พ่างเพียงชีวันจะบรรลัย ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น เบญกายเยาวยอดพิสมัย
กอดบาทชนนีเข้าไว้ สะอื้นไห้แล้วแจ้งกิจจา
บัดนี้พระองค์ทรงนัคเรศ มงกุฎเกศอสูรยักษา
ให้ลูกนิมิตกายา เหมือนองค์สีดาเยาวมาลย์
ไปลวงพระรามพระลักษมณ์ ผู้วงศ์จักรพรรดิมหาศาล
ทำตายลอยอยู่ในชลธาร แทบท่าสรงสนานภูมี
ครั้นจะขืนขัดก็จนใจ กลัวภัยพญายักษี
จะทำโทษาฆ่าตี เทวีเล่าพลางพลางโศกา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางตรีชาดายักษา
ได้ฟังพระราชธิดา กัลยาพ่างเพียงจะขาดใจ
โอ้อนิจจานะลูกเอ๋ย กรรมสิ่งใดเลยมาซัดให้
พ่อเจ้าก็จากอกไป เป็นตายฉันใดไม่พบกัน
ตัวแม่นี้ตั้งแต่ทนทุกข์ ไม่มีสิ่งสุขเกษมสันต์
ยังแต่เจ้าดวงชีวัน นอกนั้นมิได้เห็นใคร
ขับพ่อเสียแล้วมิหนำ มาซํ้าฆ่าลูกก็เป็นได้
รํ่าพลางแสนโศกาลัย อรไทเพียงสิ้นสมประดี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น นางเบญกายยักษี
กราบบาทสมเด็จพระชนนี เทวีสนองพระวาจา
อันเกิดมาในภพทั้งหลาย ความตายนั้นอยู่เบื้องหน้า
กรรมแล้วจะสู้เวทนา ไปกว่าจะสิ้นชีวัน
พระมารดาค่อยอยู่สถาวร อย่าทุกข์ร้อนวิโยคโศกศัลย์
ว่าแล้วถวายบังคมคัล ผันพักตร์ย่างเยื้องดำเนินไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงที่อยู่พระลักษมี ยอกรชุลีประนมไหว้
แกล้งทำโศกาอาลัย ใส่ไคล้ด้วยกลมารยา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น พระชนนีโลกเสน่หา
ทอดพระเนตรเห็นนางอสุรา เข้ามาบังคมแล้วโศกี
ให้คิดฉงนสนเท่ห์นัก ด้วยไม่รู้จักยักษี
จึ่งมีพระราชเสาวนีย์ เจ้านี้มีนามกรใด
รูปทรงแน่งน้อยโสภา ไฉนจึ่งมาร้องไห้
ทุกข์ร้อนอาวรณ์ด้วยสิ่งใด มาหาเราไยอสุรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางเบญกายยักษี
ได้ฟังพระราชเสาวนีย์ ชุลีกรสนองพระวาจา
อันตัวของข้าบาทบงสุ์ ทรงนามเบญกายยักษา
เป็นบุตรนางตรีชาดา พิเภกอสุรานั้นบิดร
ทศกัณฐ์ขับจากเวียงชัย ไปอยู่เป็นข้าพระทรงศร
ค่อยได้ความสุขสถาวร ด้วยพระสี่กรปรานี
ตัวข้าเป็นบุตรจงรัก ภักดีต่อพระมเหสี
อันทศกัณฐ์อสุรี น่าที่จะม้วยมรณา
ขอเอาเบื้องบาทพระแม่เจ้า เป็นฉัตรร่มเกล้าไปภายหน้า
จึ่งอุตส่าห์เล็ดลอดออกมา หวังจะฝากชีวาบังอร
ทูลพลางทางชำเลืองเนตร สังเกตลักขณาดวงสมร
จำสำคัญได้แน่นอน ก็ลาบทจรออกไป ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ขึ้นนั่งยังราชรถทรง พร้อมฝูงอนงค์น้อยใหญ่
เคลื่อนหมู่พหลพลไกร คืนไปลงกาธานี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงประทับกับเกยแก้ว อันเพริศแพร้วด้วยดวงมณีศรี
ยอกรเหนือเกล้าเมาลี อสุรีนิมิตกายา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

ชมตลาด

๏ ทรงโฉมประโลมวิไลลักษณ์ ผิวพักตร์เพียงเทพเลขา
อรชรอ้อนแอ้นจำเริญตา เหมือนองค์สีดาวิลาวัณย์
แล้วจึ่งแหวกม่านอลงกรณ์ ดั่งนางอัปสรในสวรรค์
ลงจากรถแก้วแพรวพรรณ จรจรัลขึ้นเฝ้าพญามาร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์ใจหาญ
เสด็จเหนือแท่นแก้วอลงการ ท่ามกลางบริวารกัลยา
เห็นนางเบญกายหลานรัก ทรงลักษณ์ยิ่งเทพเลขา
สำคัญจิตคิดว่าสีดา เสน่หาพ่างพ้นพันทวี
รสรักรัญจวนป่วนสวาท มิอาจนั่งอยู่กับที่
โจนจากแท่นแก้วมณี จรลีมารับอรไท ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

ชาตรี

๏ จึ่งมีมธุรสวาจา แก้วตาผู้ยอดพิสมัย
ขอเชิญยุพเยาว์ดวงใจ มานั่งในอาสน์อลงกรณ์
เป็นที่สิริไสยาสน์ ร่วมราชภิรมย์สโมสร
จะถนอมกล่อมเลี้ยงบังอร มิให้อนาทรสักนาที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางเบญกายยักษี
เห็นองค์พญาอสุรี เสด็จลงจากที่บัลลังก์ทรง
ด้วยได้เห็นรูปนิมิต คิดว่าสีดานวลหง
ดำเนินเดินเข้ามาเคียงองค์ ใหลหลงประโลมด้วยวาจา
นางจึ่งน้อมเศียรอภิวาทน์ พระบาทจงโปรดเกศา
ข้าคือเบญกายอสุรา มิใช่สีดาเทวี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวทศพักตร์ยักษี
ยิ้มแล้วจึ่งกล่าววาที ว่าไยฉะนี้เยาวมาลย์
พี่คิดถึงเจ้าทุกเวลา ดั่งหนึ่งอุราจะแตกฉาน
แสนทุกข์แสนเทวษมาช้านาน สงสารบ้างเถิดนะน้องรัก
ว่าพลางจูงกรขึ้นแท่นทรง แล้วโอบอุ้มองค์ขึ้นใส่ตัก
ตระโบมโลมลูบจูบพักตร์ พญายักษ์จึ่งกล่าวสุนทร
พี่จะตั้งเจ้าไว้ให้เป็นเอก ร่วมเศวกฉัตรประภัสสร
ใหญ่กว่าอนงค์บังอร มิให้อนาทรฤทัย
อันการบำรุงบำเรอรัก จะต้องถือมือหนักก็หาไม่
สาวสวรรค์ขวัญตาอย่าอาลัย ในองค์พระรามสามี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางเบญกายยักษี
ทรุดลงจากตักอสุรี เทวีสลัดปัดกร
ทศกัณฐ์ยิ่งกระหวัดรัดกาย ความเจ็บความอายดั่งต้องศร
ยิ่งบอกยิ่งเข้ามาว่าวอน บังอรก็คลายกายา
อันรูปนิมิตก็สูญหาย คืนเป็นเบญกายยักษา
กราบลงแทบเบื้องบาทา พลางก้มพักตราไม่พาที ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวราพนาสูรยักษี
พิศเพ่งเล็งโฉมนางเทวี กลายเป็นอสุรีนัดดา
ให้คิดสะเทินเขินใจ ตะลึงไปมิใคร่จะดูหน้า
อนิจจาลุงคิดว่าสีดา ขอสมาเสียเถิดนะหลานรัก
ทีนี้จะสมอารมณ์หมาย ด้วยอุบายปรีชาเจ้าแหลมหลัก
อันซึ่งพระรามพระลักษมณ์ เห็นจักสิ้นชีพชีวี
นัดดาจงเร่งรีบไป อย่าให้ทันอุทัยไขศรี
เสร็จแล้วจงคืนมาธานี ลุงนี้จะคอยบังอร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางเบญกายดวงสมร
ก้มเกล้าดุษฎีชุลีกร บทจรออกมาแล้วเหาะไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ งามดั่งเมขลานารี ข้ามมหานทีสมุทรใหญ่
ลงยังฟากฝั่งชลาลัย เหนือที่ทัพชัยพระรามา
จึ่งเข้าอาศัยหยุดพัก สำนักร่มไทรใบหนา
ยอกรร่ายเวทวิทยา อสุรานิมิตอินทรีย์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

๏ กลายเป็นสีดานงลักษณ์ ดวงพักตร์แช่มช้อยเฉลิมศรี
ทำตายลอยมาในนที เร็วรี่ดั่งวายุพาจร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ โล้

๏ ครั้นถึงที่ฉนวนลงสรง ขององค์พระรามทรงศร
ก็เข้าไปเกยกายนิ่งนอน อยู่ริมสาครที่หาดทราย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ