สมุดไทยเล่มที่ ๕๙

๏ เมื่อนั้น ท้าวยี่สิบกรยักษี
ครั้นเพลามัชฌิมราตรี ก็เสด็จเข้าที่บรรทมใน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า

๏ เอนองค์ลงเหนือบรรจถรณ์ ยอกรก่ายพักตร์โหยไห้
เย็นเยือกไปทั้งปราสาทชัย สงัดเสียงขับไม้มโหรี
ได้ยินแต่เสียงนางกำนัล โศกศัลย์เซ็งแซ่อึงมี่
คิดถึงลูกรักร่วมชีวี กับอสุรีกุมภกรรณน้องยา
ความโกรธความแค้นแน่นจิต ดั่งปืนพิษติดทรวงยักษา
มืดไปด้วยใจอหังการ์ ตรึกตราในที่จะชิงชัย
แต่ผุดลุกผุดนั่งไม่บรรทม จะเป็นสมประดีก็หาไม่
จนรุ่งรางสร่างแสงอโณทัย เสด็จไปเข้าที่สรงชล ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ ให้ไขท่อแก้วปทุมทอง วารีเป็นละอองฝอยฝน
ทรงสุคนธารสเสาวคนธ์ ปรุงปนเกสรสุมามาลย์
สนับเพลาเชิงงอนช่องกระจก ภูษาแย่งยกเครือก้าน
ฉลององค์เกราะแก้วสุรกานต์ ทับทรวงสังวาลทับทิมพราย
ตาบทิศมรกตเฟื่องห้อย รัดอกดวงลอยฉานฉาย
ทองกรรูปวาสุกรีกราย พาหุรัดแก้วลายอลงกรณ์
ทรงมหาธำมรงค์พลอยเพชร มงกุฎเก็จเนาวรัตน์ประภัสสร
ยี่สิบหัตถ์จับพระแสงฤทธิรอน บทจรไปขึ้นรถทรง ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ บาทสกุณี

โทน

๏ รถเอยราชรถศึก แอกงอนพันลึกงามระหง
กำแก้วสลับประดับกง ดุมวงล้วนแล้วด้วยเนาวรัตน์
เทียมด้วยราชสีห์สี่พัน โลทันถือหอกแกว่งกวัด
ขับเร็วเพียงกำลังลมพัด ขนัดเครื่องสูงใส่ไสวมา
พลม้าขับม้าดาแข่ง กรแกว่งอาวุธเงื้อง่า
พลช้างขับช้างชนะงา เริงร่ากรายขอทั้งหมอควาญ
พลรถขับรถผาดผัน มือกุมเกาทัณฑ์สำแดงหาญ
พลเท้าเผ่นโผนโจนทะยาน เริงร่านลำพองคะนองฮึก
ปี่กลองฆ้องขานประสานเสียง สำเนียงโห่ร้องก้องกึก
มืดคลุ้มชอุ่มควันพันลึก ขับกันคึกคึกรีบไป ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ กราว

๏ ครั้นมาถึงที่สนามยุทธ์ จึ่งให้หยุดจตุรงค์ทัพใหญ่
ตั้งเป็นกระบวนมั่นไว้ ในที่ครุฑนามสถาวร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระนารายณ์สุริย์วงศ์ทรงศร
บรรทมเหนือแท่นอลงกรณ์ ภูธรไม่สนิทนิทรา
ตรึกตรองไปในการณรงค์ ที่จะล้างโคตรวงศ์ยักษา
จนดาวเดือนเลื่อนลับเมฆา พระสุริยาเยี่ยมยอดสัตภัณฑ์
สกุณาร่อนร้องถวายเสียง สำเนียงไก่แก้วขานขัน
แมลงภู่เชยซาบบุษบัน จักจั่นรี่เรื่อยดั่งดนตรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ จึ่งชำระสระสรงทรงเครื่อง อร่ามเรืองจำรัสรัศมี
จับพระแสงศรสิทธิ์ฤทธี ภูมีออกหน้าพลับพลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ พร้อมทหารชมพูขีดขิน เสนาพานรินทร์ถ้วนหน้า
หมอบเฝ้าเกลื่อนกลาดดาษดา ดั่งดาวล้อมจันทราในอัมพร
พอได้ยินสำเนียงโห่ร้อง สะเทือนท้องมรกตสิงขร
ผงคลีบดดวงทินกร ภูธรจึ่งมีบัญชา
ดูกรพิเภกขุนมาร องค์โหราจารย์ยักษา
อันทัพซึ่งยกออกมา จะเป็นอสุราตนใด ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พิเภกผู้มีอัชฌาสัย
ได้ฟังบัญชาพระภูวไนย ก็ดูไปโดยยามอัศกาล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เสร็จแล้วจึ่งบังคมทูล นเรนทร์สูรสุริย์วงศ์มหาศาล
บัดนี้คือองค์พญามาร ผู้ผ่านพิภพลงกา
ขอเชิญเสด็จบทจร ไปต่อกรด้วยท้าวยักษา
ฟังดูกำลังอสุรา ในมหารณยุทธ์ราวี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระกฤษณุรักษ์เรืองศรี
ได้ฟังพิเภกก็ยินดี ภูมีสั่งลูกพระสุริยัน
จงจัดโยธาพลากร เลือกล้วนฤทธิรอนแข็งขัน
ตัวเราจะไปปราบทศกัณฐ์ ที่มันองอาจอหังการ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุครีพฤทธิไกรใจหาญ
รับสั่งสมเด็จพระอวตาร ชุลีลาแล้วคลานออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ปฐม

ยานี

๏ เกณฑ์เป็นอินทรีพยุหบาตร นิลราชเป็นเศียรปักษา
นิลเอกนิลขันเป็นสองตา ปากนั้นปิงคลาวานร
คอคือกระบี่ทวิพัท มหัทวิกันนั้นเป็นหงอน
ปีกขวาวาหุโรมฤทธิรอน ปีกซ้ายเกสรทมาลา
เท้าซ้ายนั้นญาณรสคนธ์ เท้าขวาคือพิมลตัวกล้า
กายนั้นคือจอมโยธา หางคือวานรสุรกานต์
เตียวเพชรเป็นเล็บปักษี ขนคือกระบี่ทวยหาญ
ล้วนถืออาวุธขัดอาน แกว่งกวัดชัชวาลดั่งแสงไฟ
แต่ละตนสำแดงฤทธิรุทร พระสมุทรสีขรินแผ่นดินไหว
ตั้งเป็นริ้วนอกริ้วใน เตรียมไว้คอยเสด็จพระจักรี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา

ยานี

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายท้าวหัสนัยน์โกสีย์
เสด็จเหนือแท่นทิพรูจี ในที่นันทวันภิรมยา
พร้อมฝูงอนงค์อัปสร ทั้งเทวานิกรถ้วนหน้า
จึ่งเล็งทิพเนตรลงมา ก็รู้ว่าองค์พระทรงครุฑ
ให้เตรียมพหลโยธี กระบี่แน่นนันต์นับสมุทร
จะยกออกไปต่อยุทธ์ สัประยุทธ์กับด้วยทศกัณฐ์
จะนิ่งอยู่ดูไม่บังควรนัก ดั่งไม่รักพระนารายณ์รังสรรค์
จำจะเอามหาเวไชยันต์ ไปถวายทรงธรรม์ให้ปราบมาร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ คิดแล้วพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ ประกาศิตด้วยเทวบรรหาร
สั่งวิษณุกรรมชัยชาญ ว่าพระอวตารผู้ฤทธี
จะยกออกไปรณรงค์ ด้วยองค์ทศพักตร์ยักษี
ท่านจงเอาเวไชยันต์นี้ ไปถวายภูมีทรงจร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระวิษณุกรรมชาญสมร
ก้มเกล้ารับเทวสุนทร ก็รีบบทจรออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งเทียมสินธพเทพบุตร สองพันฤทธิรุทรแกล้วกล้า
เสร็จแล้วก็ขับอาชา มาด้วยศักดาเทวัญ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เทพบุตรพาชีสำแดงหาญ ถีบทะยานรวดเร็วดั่งจักรผัน
ร้องว่ามีชัยแก่กุมภัณฑ์ สามหนพร้อมกันเป็นนิมิต
สำเนียงกัมปนาทหวาดไหว กึกก้องขึ้นไปถึงดุสิต
สะเทือนเลื่อนลั่นครรชิต ภายใต้ถึงทิศบาดาล
เลื่อนลอยมาโดยอากาศ โอภาสดั่งรถพระสุริย์ฉาน
ร่อนลงตรงพักตร์พระอวตาร ที่ประชุมทหารโยธา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ คุกพาทย์

๏ จึ่งเข้าประทับกับเกยแก้ว อันเพริศแพร้วจำรัสพระเวหา
ทูลว่าองค์อมรินทรา ให้ข้าเอารถเวไชยันต์
ลงมาถวายเบื้องบาท พระนารายณ์ธิราชรังสรรค์
ให้ทรงออกสงครามด้วยทศกัณฐ์ ที่มันเบียดเบียนธาตรี
รถนี้ครั้งอมรินทร์ทรง รณรงค์อินทรชิตยักษี
มิได้มีชัยแก่ไพรี ด้วยพาชีบอกแพ้แต่เดิมมา
ครั้งนี้สินธพเทเวศ สำแดงเหตุร่านรนหรรษา
ร้องว่ามีชัยอสุรา เห็นมหามงคลประเสริฐนัก
อันหมู่พาลาปัจจามิตร จะแพ้ฤทธิ์พระองค์ทั้งไตรจักร
สาอะไรแก่ไอ้ทศพักตร์ ที่จะทนศรศักดิ์พระจักรี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระกฤษณุรักษ์เรืองศรี
ฟังวิษณุกรรมก็ยินดี จึ่งมีพระราชบัญชา
อันซึ่งองค์อมรินทร ครั้งก่อนก็ให้รัถา
ขี่ข้ามมหาคงคา งามสง่าปรากฏทั้งแดนไตร
ครั้งนี้เอาเวไชยันต์ อันเป็นมงคลลงมาให้
อันคุณเจ้าฟ้าสุราลัย ใหญ่หลวงเป็นพ้นพันทวี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระวิษณุกรรมเรืองศรี
ได้ฟังบรรหารพระจักรี จึ่งมีมธุรสวาจา
ตัวข้าขอลาเบื้องบาท พระตรีภูวนาถนาถา
ไปแจ้งแก่องค์อินทรา ผ่านฟ้าค่อยอยู่สถาวร
จงทรงศักดาวราฤทธิ์ ปัจจามิตรพ่ายแพ้พระแสงศร
ว่าแล้วเหาะขึ้นยังอัมพร เขจรไปเมืองเทวัญ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๏ เมื่อนั้น พระกฤษณุรักษ์รังสรรค์
ครั้นองค์พระวิษณุกรรม์ กลับไปสวรรค์วิมานฟ้า
จึ่งชวนพระลักษมณ์สุริย์วงศ์ อันเป็นเอกองค์กนิษฐา
เสด็จยุรยาตรคลาดคลา มาเข้าที่สรงวาริน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ สองกษัตริย์ชำระสระสนาน สุคนธ์ธารเกสรขจรกลิ่น
สนับเพลาเชิงรูปนาคิน เชิงงอนโกมินลอยดวง
พระเชษฐาผ้าทิพย์พื้นตอง พระอนุชาเครือทองพื้นม่วง
ชายไหวประดับเพชรพวง ชายแครงรุ้งร่วงทับทิมพราย
ต่างทรงฉลององค์เครือขด สังวาลมรกตสามสาย
ตาบทิศทับทรวงจำหลักลาย ทองกรมังกรกลายพาหุรัด
ธำมรงค์มณีโลหิต ชวลิตถ้วนสิบนิ้วพระหัตถ์
ทรงมหามงกุฎดอกไม้ทัด กรรเจียกแก้วจำรัสอลงกรณ์
ขัดพระแสงขรรค์ฤทธิรงค์ ทั้งสององค์ทรงจับธนูศร
งามดั่งสุริยันกับจันทร บทจรตามกันมาขึ้นรถ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

โทน

๏ รถเอยราชรถอินทร์ กงกำโกมินอลงกต
แอกงอนอ่อนสลวยชวยชด บัลลังก์ลดภาพตั้งกระจังราย
บุษบกล้วนแก้วแพรวพรรณ ช่อฟ้าหน้าบันเฉิดฉาย
ยอดเยี่ยมเทียมแทงโพยมพราย ปราลีแก้วกลายอลงกรณ์
เทียมด้วยสินธพเทเวศ สำแดงเดชยิ่งพญาไกรสร
มาตุลีสารถีขับจร พาเผ่นอัมพรดั่งลมพัด
พระลักษมณ์นั่งหน้าประนมนิ้ว ธงชายรายริ้วปลิวสะบัด
อภิรุมชุมสายรายรัตน์ ขนัดฆ้องกลองประโคมโครมครึก
อันหมู่วานรทวยหาญ เริงร่านลำพองคะนองศึก
สำแดงแผลงฤทธิ์พันลึก โห่ฮึกรีบเร่งกันไป ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ กราวนอก

๏ จึ่งแลเห็นทัพกุมภัณฑ์ ตั้งมั่นอยู่เชิงเขาใหญ่
ให้หยุดพหลพลไกร ไว้ดูกำลังอสุรา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์ยักษา
ยืนรออยู่กลางโยธา แลมาเห็นทัพวานร
ตั้งเป็นอินทรีพยุหบาตร ทำองอาจฮึกหาญชาญสมร
มนุษย์เป็นจอมพลากร ก็โกรธดั่งไฟฟอนไหม้ฟ้า
ยี่สิบหัตถ์กวัดแกว่งอาวุธ สำแดงฤทธิรุทรแกล้วกล้า
ให้เร่งขับรถรัตนา ฝ่าพลโยธาขึ้นไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ จึ่งร้องว่าเหวยรามลักษมณ์ รู้จักพระกาลฤๅหาไม่
ซึ่งเอ็งอาจองทะนงใจ มิได้เกรงเดชกุมภัณฑ์
วันนี้เรายกมารอนราญ จะผลาญชีวาให้อาสัญ
อันโยธาวานรทั้งนั้น จะหั่นมิให้แค้นคอกา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์องค์นารายณ์นาถา
ได้ฟังจึ่งตอบวาจา ว่าเหวยทศกัณฐ์ใจพาล
เอ็งอย่าเจรจาให้เกินพักตร์ ทะนงศักดิ์หาวฮึกอวดหาญ
ตั้งตัวว่าเป็นพระกาล ขุนมารจะมาขู่ใคร
ถึงเอ็งสิบเศียรสิบกร ไหนจะทนศรกูได้
ไม่ช้าจะม้วยบรรลัย สิ้นทั้งไพร่พลที่ออกมา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวสิบพักตร์ยักษา
ได้ฟังยิ่งกริ้วโกรธา ยี่สิบตาดั่งดวงสุริยัน
ทำอำนาจผาดแผดสุรเสียง สำเนียงดั่งหนึ่งฟ้าลั่น
ดีแล้วจะได้เห็นกัน กูจะมล้างชีวันเสียบัดนี้
ว่าแล้วจึ่งมีบรรหาร สั่งเสนามารยักษี
เร่งเข้าหักโหมโจมตี ฆ่าหมู่กระบี่ให้มรณา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายหมู่อสุรศักดิ์ยักษา
รับสั่งพญาอสุรา ก็เข้าไล่เข่นฆ่าวานร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ พุ่งซัดอาวุธเป็นห่าฝน ต่างตนต่างยิงธนูศร
โห่ฮึกสะอึกฟันฟอน ด้วยฤทธิรอนกุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ฝ่ายพลวานรแข็งขัน
รับกรรอนรุกบุกบัน เข้าไล่โรมรันอสุรา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ พลลิงฉวยชิงอาวุธยักษ์ โหมหักเขม้นเข่นฆ่า
หมู่มารตายกลาดดาษดา แตกมาไม่เป็นสมประดี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น สิบขุนทหารยักษี
เห็นวานรไล่ฆ่าราวี โกรธดังอัคคีบรรลัยกาล
ต่างตนกวัดแกว่งอาวุธ สำแดงฤทธิรุทรกล้าหาญ
กระทืบบาทผาดโผนโจนทะยาน เข้าไล่รอนราญกระบี่ไพร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ กลอกกลับสัประยุทธ์กลางพล วานรไม่ทนกำลังได้
แตกร้นย่นยับทั้งทัพชัย สิบนายรุกไล่ติดพัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น สุรเสนสุรกานต์ตัวขยัน
เกยูรมายูรชาญฉกรรจ์ นิลเอกนิลขันผู้ศักดา
อีกทั้งกระบี่ทวิพัท มหัทวิกันตัวกล้า
วาหุโรมเกสรทมาลา เห็นยักษาไล่รุกคลุกคลี
วานรแตกยับสับสน อลวนอื้ออึงคะนึงมี่
กริ้วโกรธพิโรธดั่งอัคคี โจมจับอสุรีทั้งสี่นาย ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ลิงแทงยักษ์ตีกระบี่ปัด กอดฟัดล้มควํ่าล้มหงาย
รบชิดไม่คิดตัวตาย ต่างหมายจะล้างชีวา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สิบขุนทหารยักษา
รับรองป้องปัดเป็นโกลา โถมจับวานรทั้งสิบตน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ยักษ์แทงลิงชิงอาวุธ อุตลุดวุ่นวายสับสน
ต่างหาญต่างกล้าอดทน ต่างตนไม่ละลดกร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น สิบทหารองค์พระทรงศร
ต่างโผนโจนประจัญฟันฟอน วานรโจมจับอสุรา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ สิบกระบี่ตีสิบกุมภัณฑ์ ฟันด้วยอาวุธคมกล้า
หัวขาดตัวขาดดาษดา สิบขุนมรณาด้วยฤทธี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด โอด

๏ เมื่อนั้น สิบรถลูกท้าวยักษี
เห็นสิบขุนสุดสิ้นชีวี โกรธดั่งอัคคีบรรลัยกาล
กวัดแกว่งอาวุธกระทืบบาท ทำอำนาจสำแดงกำลังหาญ
ขับรถเข้าไล่รอนราญ ขุนมารตีสิบวานร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น สุครีพหนุมานชาญสมร
องคตผู้เรืองฤทธิรอน อีกทั้งวานรนิลนนท์
เห็นสิบรถไล่ตีกระบี่มา สี่นายโกรธากุลาหล
กวัดแกว่งอาวุธคำรามรณ ต่างตนออกรับกุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น สิบรถฤทธิแรงแข็งขัน
เห็นสี่วานรชาญฉกรรจ์ เข้ามากางกั้นรถไว้
สี่ตนกริ้วโกรธกระทืบบาท พสุธาอากาศหวาดไหว
ตนหนึ่งกวัดแกว่งศรชัย ว่าเหวยดูก่อนไอ้ลิงป่า
กูมีศักดาวราฤทธิ์ พระอาทิตย์ก็ขับรถหนี
ตัวมึงจะเข้ามาราวี ไม่ทันนาทีจะมรณา
ตนหนึ่งกวัดแกว่งคทาธร ว่าเหวยดูก่อนอ้ายลิงป่า
ตัวกูผู้มีศักดา พระอินทราก็เกรงฤทธี
ตนหนึ่งถือหอกออกคำรณ กูผจญเทวาทุกราศี
แต่พระเพลิงเริงแรงราวี ก็ขับแรดร้ายหนีไม่ต้านทาน
ตนหนึ่งมีมือถือจักร ว่ากูทรงสิทธิศักดิ์ห้าวหาญ
พระพายทรงเดชชัยชาญ ก็ขับม้าทะยานหนีไป
มึงนี้จะมาต่อสู้ จะทนมือกูที่ไหนได้
ไอ้ชาติเดียรัจฉานจังไร จะบรรลัยไม่ทันพริบตา ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุครีพฤทธิไกรใจกล้า
ได้ฟังจึ่งร้องตอบมา ว่าเหวยดูก่อนไอ้ขุนยักษ์
ตัวกูเป็นบุตรพระทินกร ฤทธิรอนปราบได้ทั้งไตรจักร
มึงอย่าเจรจาให้เกินพักตร์ ไอ้ชาติทรลักษณ์อัปรีย์
หนุมานชี้หน้าแล้วร้องเย้ย ว่าเหวยดูก่อนไอ้ยักษี
กูลูกพระพายผู้ฤทธี จะมาเอาชีวีขุนมาร
องคตตบมือร้องตวาด มึงอย่าองอาจอวดหาญ
กูเป็นหลานรักมัฆวาน จะมาผลาญชีวิตกุมภัณฑ์
นิลนนท์ว่าเหวยไอ้พาลา มึงไม่รู้ว่าจะอาสัญ
กูคือพระเพลิงชาญฉกรรจ์ จะมาบั่นเศียรเกล้ามึงไป
ว่าแล้วสี่นายแผลงฤทธิ์ ทศทิศกัมปนาทหวาดไหว
โลดโผนโจนขึ้นรถชัย ทะลวงไล่โจมจับอสุรี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ อันรถขุนยักษ์ทั้งสี่ตน ไม่ทนกำลังกระบี่ศรี
หักยับเป็นภัสมธุลี ไกรสรสารถีก็วายปราณ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น สี่รถฤทธิไกรใจหาญ
รบชิดติดพันประจัญบาน โผนทะยานจับสี่วานร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ แปดนายต่างรับต่างตี ดั่งคชสีห์กับไกรสร
ต่างกล้าต่อหาญราญรอน ประจัญกรไม่งดลดกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ทั้งสี่วานรแข็งขัน
โรมรุกคลุกคลีตีประจัญ พัลวันจับสี่อสุรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ฟาดลงกับพื้นดินดอน ด้วยกำลังฤทธิรอนกระบี่ศรี
หัวขาดตัวขาดไม่สมประดี ทั้งสี่กุมภัณฑ์ก็มรณา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด โอด

๏ เมื่อนั้น หกรถสุริย์วงศ์ยักษา
เห็นสี่รถสุดสิ้นชีวา โกรธาขับรถเข้ารอนราญ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งชามพูวราชใจหาญ
กับนิลราชชมพูพาน วิสันตะรานฤทธี
ทั้งญาณรสคนธ์วิมลราช หกนายองอาจดังไกรสีห์
กริ้วโกรธพิโรธดั่งอัคคี โถมจับอสุรีทั้งหกรถ
รัถาหกยับแหลกลาญ หกสารถีมารก็ตายหมด
หกกระบี่ไล่ตีไม่เงือดงด จนใกล้หน้ารถทศกัณฐ์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น หกรถฤทธิแรงแข็งขัน
ต่างตนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน โถมเข้าโรมรันประจัญตี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ กลอกกลับจับกันสับสน ต่างอดต่างทนไม่ถอยหนี
หกยักษ์หกลิงเข้าราวี ถ้อยทีจะล้างชีวา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น วานรหกนายใจกล้า
เผ่นโผนโจนถีบอสุรา ด้วยกำลังศักดาว่องไว ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ล้มลงกับพื้นปัถพี หกกระบี่เหยียบอกไว้ได้
ฉีกแขนฉีกขาโยนไป ตรงหน้ารถชัยทศกัณฐ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด โอด

๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์รังสรรค์
เห็นสิบรถสิ้นชีพชีวัน กุมภัณฑ์กริ้วโกรธพิโรธนัก
กระทืบบาทผาดเสียงดังฟ้าผ่า พระหัตถ์เงื้อง่าทรงจักร
ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันคึกคัก ขุนยักษ์ขว้างไปด้วยฤทธิ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ โชติช่วงดั่งดวงอโณทัย เสียงสนั่นหวั่นไหวถึงดุสิต
ต้องหมู่โยธาปัจจามิตร ล้มตายอกนิษฐ์ดาษดา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกนาถา
เห็นทศพักตร์ขว้างจักรมา ต้องหมู่โยธาวานร
บ้างล้มบ้างตายเกลื่อนกลาด จึ่งชักพลายวาตพระแสงศร
พาดสายหมายมุ่งจะราญรอน ภูธรก็ผาดแผลงไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ศรชัยสังหารจักรกรด แหลกหมดไม่ทานกำลังได้
ทั้งพลกุมภัณฑ์ก็บรรลัย ดาษไปกับพื้นปัถพี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวยี่สิบกรยักษี
เสียจักรเสียพลโยธี โกรธดั่งอัคคีไหม้ฟ้า
จึ่งชักศรสาตร์ขึ้นพาดสาย มุ่งหมายเขม้นจะเข่นฆ่า
น้าวหน่วงด้วยกำลังฤทธา อสุราก็ผาดแผลงไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เต็มทั้งท้องฟ้าอากาศ เกลื่อนกลาดไม่นับเล่มได้
มีเปลวร้อนแรงดั่งแสงไฟ ล้อมรอบรถชัยพระจักรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระนารายณ์ทรงสวัสดิ์รัศมี
เห็นทศกัณฐ์แผลงศรมาราวี ก็ชักอัคนีพระแสงทรง
พาดสายหมายล้างอสุรา งามสง่าดั่งท้าวครรไลหงส์
น้าวหน่วงด้วยกำลังฤทธิรงค์ พระภุชพงศ์ก็ผาดแผลงไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เป็นลมกาลผลาญศรยักษ์ หักยับไม่ทนอยู่ได้
อันหมู่โยธีกระบี่ไพร ที่บรรลัยก็เป็นคืนมา
แล้วไปทำลายรถทรง ขององค์ทศพักตร์ยักษา
ราชสีห์สารถีก็มรณา ด้วยศักดาเดชพระอวตาร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวราพณาสูรใจหาญ
รถหักตกลงกับดินดาน ขุนมารกริ้วโกรธดั่งอัคคี
สิบปากขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แผดเสียงสนั่นอึงมี่
โลดโผนโจนไปด้วยฤทธี ถึงที่หน้ารถพระรามา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ สิบเก้าหัตถ์กวัดแกว่งอาวุธ กรหนึ่งฉวยยุดเอารัถา
ดั่งราหูอันใจพาลา จับพระสุริยาในอัมพร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระรามสุริย์วงศ์ทรงศร
ครั้นเห็นท้าวยี่สิบกร เข้ามาราญรอนราวี
จึ่งเสด็จจากราชรถทรง กับองค์พระลักษมณ์เรืองศรี
เข้าไล่บุกบันประจัญตี ภูมีโจมจับอสุรา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เท้าซ้ายเหยียบเข่าน้าวเศียร หันเวียนยักย้ายหลายท่า
พระกรแกว่งศรศักดา ตีต้องกายากุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์รังสรรค์
สิบมือนั้นคอยป้องกัน สิบหัตถ์รบรันประจัญกร
ต่างถอยต่างไล่กลอกกลับ ต่างตีต่างรับด้วยคันศร
อสุรีกวัดแกว่งคทาธร เข้าราญรอนสัประยุทธ์ด้วยฤทธี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ หันเหียนเปลี่ยนท่ารอนราญ ต่างหาญต่างกล้าไม่ถอยหนี
ต่างหมายจะล้างชีวี ถ้อยทีโรมรันกันไปมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกนาถา
รานรุกคลุกคลีอสุรา โจนขึ้นเหยียบบ่ายืนยัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ กรกุมมงกุฎทั้งสิบเศียร หันเวียนว่องไวดั่งจักรผัน
หัตถ์หนึ่งแกว่งศรโรมรัน ตีต้องทศกัณฐ์เป็นหลายที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ท้าวสิบพักตร์ยักษี
ต้องคันศรเจ็บทั้งอินทรีย์ อสุรีหันเหเซไป
ขบฟันขืนองค์ดำรงกาย จะครั่นคร้ามความตายก็หาไม่
กรหนึ่งฉวยชักศรชัย พาดสายแผลงไปด้วยฤทธา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ สำเนียงดั่งเสียงลมกรด มืดบดไปทั่วทิศา
บัดเดี๋ยวเป็นไฟไหม้มา ร้อนแรงแสงกล้าดั่งเพลิงกัลป์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระกฤษณุรักษ์รังสรรค์
เห็นศรทศเศียรกุมภัณฑ์ เป็นเปลวควันไฟบรรลัยกาล
จึ่งจับพลายวาตขึ้นพาดสาย พระเนตรมุ่งหมายจะสังหาร
น้าวหน่วงด้วยกำลังชัยชาญ ผ่านฟ้าก็แผลงไปด้วยฤทธิ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เสียงสนั่นลั่นเลื่อนสะเทือนดิน ไหวสิ้นถึงชั้นดุสิต
เป็นห่าฝนสวรรค์ครรชิต ตกดับเพลิงพิษกุมภัณฑ์
แล้วต้องม้ารถคชพล วายชนม์สิ้นชีพอาสัญ
ปักอกองค์ท้าวทศกัณฐ์ ตรึงมั่นด้วยกำลังฤทธี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวยี่สิบกรยักษี
ต้องศรเจ็บทั่วทั้งอินทรีย์ ดั่งหนึ่งชีวีจะมรณา
จึ่งยอพระกรขึ้นเหนือเกศ ไหว้คุณพรหเมศนาถา
อุตส่าห์ดำรงกายา หลับตาร่ายวิทยามนต์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

๏ ครั้นจบพระเวทพิธี อสุรีเป่าลูบลงสามหน
ศรนั้นก็หลุดจากตน พอพระสุริยนรอนรอน
จะใกล้สิ้นแสงอัสดง เลี้ยวลงลับเหลี่ยมสิงขร
ให้เลิกโยธาพลากร คืนเข้านครลงกา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระจักรรัตน์แก้วนาถา
ครั้นทศเศียรอสุรา เลิกพลโยธากลับไป
พระเสด็จขึ้นยังพิชัยรถ พร้อมทศโยธาน้อยใหญ่
ให้เลิกพหลพลไกร คืนไปพลับพลาอลงกรณ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ท้าวทศพักตร์ชาญสมร
ครั้นถึงลงกาพระนคร บทจรขึ้นปราสาทรูจี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ เอนองค์ลงเหนือบัลลังก์อาสน์ กรก่ายนลาตยักษี
แสนทุกข์แสนเทวษแสนทวี อสุรีเศร้าสร้อยฤทัยนัก
คิดถึงกุมภกรรณอนุชา ลูกยาอินทรชิตสิทธิศักดิ์
ทั้งมังกรกัณฐ์หลานรัก สุริย์วงศ์พงศ์ยักษ์ที่วายปราณ
ที่นี้จะได้ใครต่อสู้ อันหมู่ข้าศึกที่ฮึกหาญ
แต่ตัวของกูผู้ชัยชาญ ออกไปรอนราญด้วยมัน
ยังต้องศรเต็มทั้งกายา ปิ้มว่าชีวาจะอาสัญ
เสียหมู่ม้ารถคชกรรม์ เสียพวกพลขันธ์โยธี
เสียทั้งสิบรถลูกรัก สิบขุนสิทธิศักดิ์ยักษี
อกเอ๋ยจะทำไฉนดี จึ่งจะล้างไพรีให้บรรลัย ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ แต่ผุดลุกผุดนั่งรำพึงคิด จะสนิทนิทราก็หาไม่
จนรุ่งรางสางแสงอโณทัย คิดได้ว่าองค์สหายรัก
อยู่ยังปางตาลนคเรศ ฤทธิ์เดชปราบทั่วทั้งไตรจักร
ชื่อมูลพลัมขุนยักษ์ ร่วมรักร่วมชีพชีวัน
จะให้เชิญมาปรึกษาก่อน จึ่งจะยกนิกรพลขันธ์
ออกไปรณรงค์ด้วยกัน ฆ่ามันให้ได้ดั่งจินดา
คิดแล้วสระสรงทรงเครื่อง อร่ามเรืองทั้งกายยักษา
เสด็จยุรยาตรคลาดคลา ออกมาพระโรงรูจี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

๏ ลดองค์ลงเหนือบัลลังก์อาสน์ พร้อมเสนามาตย์ยักษี
ประนมกรน้อมเกล้าอัญชุลี จึ่งมีพระราชโองการ
สั่งเปาวนาสูรผู้ปรีชา ให้แต่งสาราราชสาร
ไปยังนครปางตาล ถวายแก่พญามารสหายรัก
ตามเรื่องซึ่งเกิดการณรงค์ ว่าลักษมณ์รามอาจองทะนงศักดิ์
ยกกระบี่นิกรทรลักษณ์ มาเคี่ยวฆ่าวงศ์ยักษ์ถึงลงกา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งเปาวนาสูรยักษา
ก้มเกล้ารับราชบัญชา แล้วแต่งสาราอันสุนทร
ให้อาลักษณ์ลงแผ่นสุพรรณบัฏ ใส่กล่องเนาวรัตน์ประภัสสร
จึ่งให้กาลสูรฤทธิรอน กับขุนอัสดรถือไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สองนายผู้มีอัชฌาสัย
รับสารพระองค์ทรงภพไตร บังคมไหว้แล้วคลานออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ต่างตนขึ้นสินธพชาติ อันมีอำนาจแกล้วกล้า
ขับทะยานออกจากลงกา ตรงไปพาราปางตาล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงลงจากพาชี อสุรีชูกล่องราชสาร
ก็เข้าไปหาเสนามาร แจ้งการโดยราชบัญชา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น เสนีผู้มียศถา
ก้มเกล้ารับราชบัญชา แจ้งว่าลงกาพระบุรี
เกิดการสัประยุทธ์รณรงค์ พระองค์ให้ราชสารศรี
มาถึงพระสหายร่วมชีวี ก็พาสองเสนีเข้าไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงที่ท้องพระโรงคัล กุมภัณฑ์น้อมเศียรบังคมไหว้
ทูลว่าพระสหายผู้ร่วมใจ ซึ่งผ่านเวียงชัยลงกา
ใช้ให้กาลสูรฤทธิรอน กับขุนอัสดรยักษา
สองนายถือราชสารา มาถวายใต้เบื้องบทมาลย์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พญามูลพลัมใจหาญ
แจ้งว่าพระสหายชัยชาญ ให้มีสารมาก็ยินดี
จึ่งมีบัญชาอันสุนทร ดูกรทั้งสองยักษี
พระสหายผู้ร่วมชีวี ใช้เอ็งมานี้ด้วยอันใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กาลสูรผู้มีอัชฌาสัย
ได้ฟังบรรหารพระภูวไนย บังคมไหว้สนองพระบัญชา
บัดนี้ลงการาชฐาน เกิดการเคี่ยวเข็ญเข่นฆ่า
พระญาติพระวงศ์ก็มรณา ร้อนทุกเส้นหญ้าทุกธานี
จึ่งให้ข้ามาเฝ้าบาทบงสุ์ พระผู้พงศ์พันธมิตรเรืองศรี
ทูลแล้วส่งสารสวัสดี ให้แก่เสนีปางตาล ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น อำมาตย์ผู้ใหญ่ใจหาญ
ก็เปิดกล่องรัตน์ชัชวาล คลี่อ่านถวายด้วยปรีชา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า

๏ ราชสารทศเศียรสุริย์วงศ์ ผู้พงศ์พรหเมศนาถา
เป็นจอมมงกุฎลงกา มายังองค์พระสหายรัก
อันสถิตยังมงคลสถาน อุปราชปางตาลอาณาจักร
บัดนี้ลงกากรุงยักษ์ มีหมู่ปรปักษ์ปัจจามิตร
คือมนุษย์ลักษมณ์รามอหังการ์ คุมพลโยธาอกนิษฐ์
ล้วนเหล่าวานรมีฤทธิ์ ข้ามมารบชิดติดพัน
เคี่ยวฆ่าด้วยการรณรงค์ สุริย์วงศ์อสุราอาสัญ
อันพญาไมยราพกุมภกรรณ ทั้งอินทรชิตนั้นก็บรรลัย
ตัวเรายกพลออกรอนราญ จะหักหาญเอาชัยก็ไม่ได้
ครั้งนี้ไม่มีผู้ใด ที่ร่วมใจปรึกษาสงคราม
ขอเชิญพระสหายคู่ชีวิต ผู้เรืองฤทธิ์แกล้วหาญชาญสนาม
มาช่วยคิดฆ่าลักษมณ์ราม ดับความทุกข์ร้อนในลงกา ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พญามูลพลัมยักษา
ได้แจ้งแห่งราชสารา โกรธาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ลุกขึ้นกระทืบบาทผาดเสียง สำเนียงกึกก้องดั่งฟ้าลั่น
เหม่เหม่มนุษย์เท่าแมงวัน กูจะบั่นให้เป็นภัสม์ธุลี
ว่าแล้วเสด็จยุรยาตร ลงจากปราสาทมณีศรี
ขึ้นเฝ้าพระองค์ทรงธรณี ฝูงนางอสุรีก็ตามมา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึ่งถวายบังคม องค์พระบรมเชษฐา
ทูลว่าทศเศียรอสุรา ซึ่งครองลงกาพระนคร
ผู้เป็นสหายรักสนิท ร่วมชีวิตน้องมาแต่ก่อน
ใช้ให้กาลสูรฤทธิรอน ถือลักษณ์อักษรมาแจ้งการ
ว่าลงกาเกิดรณยุทธ์ สองมนุษย์ฮึกฮักหักหาญ
ยกพลวานรมารอนราญ หมู่มารสิ้นชีพชีวัน
ตัวน้องขอลาเบื้องบาท พระเชษฐาธิราชรังสรรค์
ไปช่วยสงครามทศกัณฐ์ ทรงธรรม์จงได้เมตตา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสหัสเดชะยักษา
ได้ฟังสมเด็จพระอนุชา อสุรานิ่งนึกตรึกไตร
อันสองมนุษย์กับวานร ซึ่งข้ามสาครสมุทรใหญ่
เห็นทีจะมีฤทธิไกร จึ่งอาจใจมาต่อมือยักษ์
ทศกัณฐ์ก็พงศ์พรหเมศ เรืองเดชทั่วไปทั้งไตรจักร
ไฉนมาครั่นคร้ามแก่รามลักษมณ์ เห็นศึกจะหนักพันทวี
คิดแล้วจึ่งกล่าวสุนทร ดูกรน้องรักของพี่
ซึ่งจะยกพหลโยธี ไปยังบุรีลงกา
ช่วยการสงครามพระสหาย เพื่อนตายขององค์กนิษฐา
ก็ต้องโดยยุติธรรมา แต่พี่ยาจะไปด้วยน้องรัก
ฆ่าเสียให้สิ้นเสี้ยนศึก ที่ห้าวฮึกอาจองทะนงศักดิ์
ให้ปรากฏเกียรติไว้ในวงศ์ยักษ์ กว่าจักสิ้นฟ้าสุธาธาร
ว่าแล้วจึ่งมีบัญชา สั่งกาลจักรใจหาญ
จงจัดพหลพลมาร กูจะไปรอนราญไพรี ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งกาลจักรยักษี
รับสั่งแล้วถวายอัญชุลี ออกมาจากที่พระโรงคัล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ปฐม

ยานี

๏ เกณฑ์หมู่ม้ารถคชสาร พลมารเหี้ยมแหงแข็งขัน
ให้พระอนุชาชาญฉกรรจ์ องค์อุปราชอันฤทธิรุทร
เป็นกองทัพหน้าราวี อสุรีนับสามสิบสมุทร
ล้วนถือสาตราวราวุธ เกลื่อนกล่นอุตลุดเป็นโกลา
โยธาทัพหลวงล้วนสามารถ องอาจฤทธิแรงแข็งกล้า
ขี่มหิงส์สิงห์เสือกิเลนลา เลียงผาโลโตจามรี
ทั้งโคเพลาะโคกระทิงโคแดง โคเถลิงเริงแรงเม่นหมี
บ้างขี่คชาพาชี แรดร้ายราวีมังกร
ล้วนถือง้าวทวนหอกดาบ ปืนยากำซาบธนูศร
เตรียมทั้งรถศึกอันบวร คอยเสด็จบทจรอสุรา

ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ