สมุดไทยเล่มที่ ๑๑๗

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายฝูงเทเวศพร้อมหน้า
ทุกวิมานในหกชั้นฟ้า ทั้งอัปสรกัลยาวิลาวัณย์
เห็นองค์พระลบพระมงกุฎ หน่อพระจักรภุชรังสรรค์
ฆ่าวิรุณพัทคนธรรพ์ ทั้งพวกพลขันธ์วายปราณ
ต่างตนชื่นชมโสมนัส สำรวลตบหัตถ์ฉัดฉาน
บ้างดีดสีตีเป่าบรรเลงลาน ขับขานอื้ออึงคะนึงไป
บ้างโปรยข้าวตอกทิพมาศ สุมาลามณฑาลงมาให้
แซ่ซ้องอำนวยอวยชัย เสียงสนั่นลั่นไปทั้งเมืองฟ้า ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หน่อพระนารายณ์นาถา
ครั้นเสร็จสังหารอสุรา เทวาโปรยปรายสุมามาลย์
กลาดเกลื่อนไปทั้งที่รบ เฟื่องฟุ้งตลบหอมหวาน
สองพระองค์ดมทัดเล่นสำราญ ทั้งพวกทหารวานร
ครั้นแล้วเสด็จยุรยาตร งามวิลาศดั่งลูกไกรสร
ย่างเยื้องยุรยาตรนาดกร บทจรมาเฝ้าพระเจ้าอา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทั้งสองน้องนารายณ์นาถา
เห็นสองหลานรักเสด็จมา ก็ลีลาจากรถทันที
พระพรตอุ้มองค์พระมงกุฎ พระสัตรุดอุ้มพระลบเรืองศรี
จูบกอดรับขวัญด้วยยินดี แล้วมีมธุรสพจมาน
มิเสียทีเป็นหน่อพระหริรักษ์ เรืองฤทธิ์สิทธิศักดิ์กล้าหาญ
ล้างเหล่าอาธรรม์บรรลัยลาญ จะเป็นประธานโลกสืบไป
ตรัสแล้วต่างองค์ขึ้นทรงรถ ให้เลิกทศโยธาน้อยใหญ่
โห่สะท้านครั่นครื้นภพไตร เข้าในไกยเกษพารา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น หมู่มุขมนตรีซ้ายขวา
ทั้งฝูงหญิงชายไพร่ฟ้า แจ้งว่าสี่กษัตริย์ธิบดี
สังหารคนธรรพ์วายชนม์ ยกพลเข้ามาบุรีศรี
ต่างตนโสมนัสพันทวี เอิกเกริกอึงมี่ทั้งเวียงชัย
บ้างก็อุ้มลูกจูงหลาน แก่เฒ่าซมซานไม่อยู่ได้
ไปรับเสด็จภูวไนย แน่นไปสองข้างรัถยา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ครั้นเห็นหน่อพระหริวงศ์ ทั้งสององค์ทรงราชรัถา
โฉมวิไลเลิศลํ้าลักขณา ดั่งเทวาจากฟ้าลงมาดิน
อันโยธาวานรทั้งหลาย แลสุดสายตาไม่รู้สิ้น
ธงทิวปลิวสะบัดโบกบิน อึงอินทเภรีนี่นัน
อันองค์พระพรตพระสัตรุด ทรงเครื่องพิชัยยุทธ์เฉิดฉัน
เสด็จเหนือรถแก้วแกมสุวรรณ พลมนุษย์กุมภัณฑ์ดาษดา
ต่างตนน้อมเกล้าประนมกร ถวายพรสี่กษัตริย์ถ้วนหน้า
ขอให้ทรงเดชมหิมา เป็นจรรโลงโลกาธาตรี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์เรืองศรี
เร่งพวกพหลโยธี เข้ามาถึงที่วังจันทน์
จึ่งให้ประทับพิชัยรถ กับเกยมรกตฉายฉัน
สี่กษัตริย์ยุรยาตรตามกัน ขึ้นพระโรงคัลอันโอฬาร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ลดองค์เหนือบัลลังก์อาสน์ โอภาสด้วยดวงมุกดาหาร
ท่ามกลางเสนาปรีชาชาญ ผ่านฟ้าจึ่งตรัสถามไป
อันพระอัยกาของเรา ผ่านเกล้าเสด็จอยู่หนไหน
บรรดาข้าทหารช่วงใช้ ใครไปรองเบื้องบาทา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนีผู้มียศถา
ก้มเกล้าสนองพระบัญชา อันพระอัยกาธิบดี
เห็นจะเสด็จไปพึ่งพัก สำนักโควินท์ฤๅษี
อันหมู่กำนัลมนตรี ไม่รู้ที่ว่าใครจะตามไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายฝูงนางสนมน้อยใหญ่
แจ้งว่าสองพระองค์ทรงฤทธิไกร เสด็จมาอยู่ในพระโรงคัล
ให้คิดถึงตัวกลัวผิด ดั่งหนึ่งชีวิตจะอาสัญ
ต่างคนต่างขึ้นไปพร้อมกัน เตรียมคอยทรงธรรม์จะเข้ามา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์นาถา
จึ่งเสด็จลีลาศยาตรา เข้ามหาปราสาทสุรกานต์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ลดองค์ลงเหนือแท่นแก้ว อันเพริศแพร้วพรรณรายฉายฉาน
ทอดพระเนตรเห็นสนมนงคราญ ผ่านฟ้าคิดแหนงพันทวี
เป็นครู่แล้วมีบัญชา ดูก่อนกัลยาสาวศรี
ตัวเราไปเฝ้าพระจักรี อสุรีมันได้เวียงชัย
ทั้งหลายยังมีความสุข หรือทุกข์ฉุกซ้ำเป็นไฉน
พญายักษ์โปรดปรานประการใด พักตร์จึ่งผ่องใสดั่งจันทรา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝูงสนมกรมในซ้ายขวา
ได้ฟังพระราชบัญชา ดั่งต้องสายฟ้าอสุนี
ความเจ็บความอายเป็นพ้นนัก ก้มพักตร์ประณตบทศรี
ชลเนตรนองเนตรทุกนารี โศกีพลางทูลสนองไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ อันตัวของข้าบาทบงสุ์ จะไม่ซื่อไม่ตรงนั้นหาไม่
เมื่อคนธรรพ์มันได้เวียงชัย กลัวภัยเป็นพ้นคณนา
เหลียวหาที่พึ่งก็สุดคิด จนจิตจนใจหนักหนา
แต่แสนทุกข์แสนเทวษโศกา ดั่งว่าจะม้วยชีวี
ถึงมาตรไม่ชั่วก็เหมือนชั่ว ด้วยตัวอยู่ในหัตถ์ยักษี
พระองค์จงโปรดปรานี ทูลพลางโศกีขึ้นพร้อมกัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์รังสรรค์
ได้ฟังฝูงอนงค์กำนัล ให้อัดอั้นวิญญาณ์อาวรณ์
มิได้ว่าขานประการใด เร่าร้อนฤทัยดั่งต้องศร
จึ่งเสด็จยุรยาตรนาดกร บทจรเข้าห้องรัตนา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เอนองค์เหนือแท่นทองพราย พระกรก่ายพักตร์โทมนัสสา
นิ่งนึกตรึกถวิลจินดา อุราเร่าร้อนดั่งเพลิงกัลป์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

โอ้ช้า

๏ โอ้เสียดายฝูงอนงค์นาฏ งามวิลาสเพียงอัปสรสวรรค์
เคยบำเรอเป็นสุขทุกคืนวัน กุมภัณฑ์มาทำให้ชํ้าใจ
ความแค้นความรักนี้สุดคิด น้อยจิตปิ้มเลือดตาไหล
อกเอ๋ยจะทำประการใด อาลัยเป็นพ้นพันทวี
แต่เสียที่รักแล้วมิหนำ พระอัยกาซํ้าจากบูรีศรี
จะซูบผอมตรอมใจทุกนาที จะมีแต่ครวญครํ่ารำพัน
พระองค์ก็ทรงพระชรา จะแสนเวทนาในไพรสัณฑ์
จะต้องฝนทนแดดเป็นนิรันดร์ จะประชวรโรคันประการใด
พระเลี้ยงมาด้วยความการุญ จะได้สนองคุณก็หาไม่
ยิ่งคิดยิ่งสะท้อนถอนใจ ภูวไนยมิได้นิทรา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

ร่าย

๏ ครั้นสว่างสร่างแสงภาณุมาศ โอภาสจำรัสพระเวหา
จึ่งเสด็จลีลาศยาตรา ออกมาจากท้องพระโรงคัล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ลดองค์ลงเหนือบัลลังก์รัตน์ ภายใต้เศวตฉัตรฉายฉัน
เสนาข้าเฝ้าพร้อมกัน บังคมคัลเกลื่อนกลาดดาษไป
จึ่งตรัสสั่งสุครีพกระบี่ศรี ทั้งมหาเสนีผู้ใหญ่
จงเตรียมพหลพลไกร จะออกไปตามองค์พระอัยกา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุครีพผู้มียศถา
กับเสนีไกยเกษพารา รับสั่งแล้วลามาพร้อมกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ฝ่ายโอรสพระทินกร ก็จัดพลวานรแข็งขัน
ทั้งหมู่อสุรกุมภัณฑ์ ตรวจกันอุตลุดวุ่นวาย
เสนาไกยเกษราชฐาน เกณฑ์มนุษย์ทหารทั้งหลาย
สี่ทัพคับคั่งทั้งไพร่นาย ตั้งรายตามกระบวนยาตรา
ล้วนถือเครื่องสรรพอาวุธ นับสมุทรแน่นนันต์ซ้ายขวา
ผูกทั้งม้ารถคชา คอยท่าเสด็จจรลี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตพระสัตรุดเรืองศรี
กับสองนัดดาธิบดี มาเข้าที่สรงวาริน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ สี่กษัตริย์ชำระสระสนาน สุคนธ์ธารหอมฟุ้งจรุงกลิ่น
สนับเพลารายพลอยมณีนิล ช่อเชิงนาคินทร์ต่างกัน
สองพระอาภูษาม่วงตอง แย่งยกกระหนกกรองทองคั่น
สองกุมารผ้าทิพย์เทวัญ ตรวยเชิงสามชั้นสลับลาย
ต่างทรงชายไหวชายแครง ฉลององค์ทองแล่งฉานฉาย
ตาบทิศทับทรวงทับทิมพราย ทองกรนาคกลายพาหุรัด
ธำมรงค์เรือนเก็จเพชรเหลือง สีรุ้งรุ่งเรืองจำรัส
พระอาทรงมงกุฎดอกไม้ทัด พระนัดดาทรงเกี้ยวสุรกานต์
ปักจุฑามณีกุดั่นดวง ห้อยห่วงกรรเจียกมุกดาหาร
ดั่งเทเวศจากทิพย์วิมาน อาหลานตามกันมาขึ้นรถ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ รถเอยสี่รถทรง ดุมวงกงกำอลงกต
เรือนแปรกแอกอ่อนงอนชด ชั้นลดช่อตั้งบัลลังก์ลอย
กระจังทองช่องพื้นรายภาพ บุษบกเก็จกาบใบโพธิ์ห้อย
ห้ายอดเหมรับประดับพลอย ทวยช้อยทองช่ออรชร
เทียมสินธพสีแซมกมุท แปดคู่ฤทธิรุทรดั่งไกรศร
สารถีสำทับขับจร เครื่องสูงสลอนธงทอง
เสียงประโคมโครมครื้นพื้นภพ กงกระทบเลื่อนลั่นสนั่นก้อง
คู่แห่ขานโห่ฮึกคะนอง ทุกกองขับแข่งกันรีบไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ข้ามธารผ่านไศลไพรพนม ไม้ไหล้แหลกล้มไม่ทนได้
ไม่พักพหลพลไกร ตรงไปอาศรมพระนักธรรม์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวไกยเกษรังสรรค์
ทั้งหมู่สุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์ กำนัลเสนีรี้พล
อยู่ในอาศรมพระโควินท์ ได้ยินกึกก้องกุลาหล
ไหวกระฉ่อนทั้งพื้นสุธาดล เสียงรถเสียงพลยิ่งใกล้มา
ต่างตระหนกตกใจตัวสั่น คิดว่าคนธรรพ์ยักษา
ยกพวกพหลโยธา ตามมาเข่นฆ่าราวี
ต่างร้องวุ่นวายทั้งชายหญิง บ้างวิ่งเข้ากอดบาทพระฤๅษี
บ้างฉุดคร่าไม่เป็นสมประดี เสียงมี่ดั่งเกิดเพลิงกาล ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระมุนีผู้ปรีชาหาญ
ดิ้นร้องล้มลุกคลุกคลาน ตกใจลนลานแล้วว่าไป
เออประสกสีกาเจ้ากรรม ควรหรือมาทำฉะนี้ได้
เหตุผลต้นปลายประการใด จึ่งฉุดคร่ากูให้ได้เวทนา
ยิ่งว่ายิ่งเข้ามารึงรัด แต่สะบัดวัดเหวี่ยงทั้งซ้ายขวา
หน้าซีดเหื่อโซมกายา หนังเสือคากรองไม่สมประดี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตพระสัตรุดเรืองศรี
ยกมาโดยทางพนาลี ใกล้ที่บริเวณศาลาลัย
จึ่งให้หยุดโยธาพลากร อสุราวานรน้อยใหญ่
สี่กษัตริย์ลงจากรถชัย เข้าไปยังบรรณศาลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงต่างประณตบทบงสุ์ พระดาบสผู้ทรงสิกขา
แล้วกราบลงตรงเบื้องบาทา องค์พระอัยกาธิบดี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโควินท์มหาฤๅษี
เหนื่อยหอบหายใจพาที เมื่อกี้ทำกูวุ่นวาย
ทั้งประสกสีกาเข้าฉุดลาก กระโถนหกมีดหมากประคำหาย
ล้มลุกคลุกคลานแทบตาย ยิ่งหนียิ่งตะกายเข้ามา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระพรตพระสัตรุดนาถา
ได้ฟังสงสารพระอัยกา ต่างกอดบาทาแล้วโศกี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ โอ้ว่าพระปิ่นมงกุฎเกศ จากนิเวศน์มาอยู่พนาศรี
ทรมานซูบผอมทั้งอินทรีย์ ฉวีวรรณก็คลํ้ามัวไป
อนิจจาเสียทีที่เลี้ยงหลาน จะได้รองบทมาลย์ก็หาไม่
แรกศึกมาติดเวียงชัย น้อยใจมิได้อยู่โรมรัน
เสียแรงที่เป็นวรนุช พระหริวงศ์ทรงครุฑรังสรรค์
อวตารมาผลาญอาธรรม์ ซึ่งมันเป็นเสี้ยนธาตรี
เสียศักดิ์แม้นมาตรตัวตาย ไม่อายเท่าเสียเมืองแก่ยักษี
รํ่าพลางทางทรงโศกี ดั่งหนึ่งชีวีจะมรณา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวไกยเกษนาถา
สวมสอดกอดสองนัดดา ชลนาคลอพักตร์รำพัน
ด้วยพจนารถสุนทร ดูก่อนแก้วตาเฉลิมขวัญ
แม้นว่าเจ้าอยู่วังจันทน์ กุมภัณฑ์หรือจะได้ธานี
บัดเดี๋ยวก็จะม้วยบรรลัย ด้วยศรชัยของพ่อทั้งสองศรี
รณรงค์ไม่มีใครราวี ตานี้ก็แก่ชรานัก
รักษาเมืองไว้ก็หลายวัน จนมันรุกโรมเข้าโหมหัก
สุดฤทธิ์สุดรู้จะสู้ยักษ์ คอยท่าหลานรักก็หายไป
เสียเมืองจึ่งพากันหนี มาพึ่งพระมุนีอาจารย์ใหญ่
หลานเอ๋ยหาไม่จะบรรลัย ไหนจะทันเห็นใจอัยกา
โอ้ว่าแสนทุกข์แสนลำบาก แสนยากครั้งนี้หนักหนา
รํ่าพลางทางซบพักตรา กอดสองนัดดาเข้าโศกี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระมงกุฎพระลบเรืองศรี
ทั้งสนมกำนัลเสนี เห็นภูมีกันแสงรักกัน
ต่างตนต่างฟายชลเนตร แสนเทวษพ่างเพียงอาสัญ
บ้างสะอื้นโศกาจาบัลย์ เสียงสนั่นอื้ออึงเป็นโกลา
ดั่งหนึ่งสาลวันป่ารัง ต้องกำลังลมพานพัดกล้า
ก็อ่อนน้อมค้อมยอดไปมา น่าแสนเวทนาปรานี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโควินท์มหาฤๅษี
เห็นห้ากษัตริย์โศกี ทั้งหมู่เสนีกำนัล
จึ่งว่าประสกกับสีกา ไฉนมาวิโยคโศกศัลย์
ดั่งหนึ่งตายพรากจากกัน กูเห็นมันไม่ต้องการ
ธรรมดาเกิดมาในโลกีย์ ทั้งนี้ไม่เป็นแก่นสาร
อันความสุขทุกข์ร้อนรำคาญ ทั่วหมื่นจักรวาลไม่เว้นใคร
จงระงับดับเสียดีกว่า ฟังวาจากูผู้ใหญ่
ทุกข์นักก็มักตรอมใจ ไข้นักมักเสียชีวี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวไกยเกษเรืองศรี
ได้ฟังสุนทรวาที องค์พระมุนีอันมีพรต
ค่อยคลายโศกาอาวรณ์ จึ่งยอกรกราบบาทบงกช
แล้วมีบัญชามธุรส ตรัสถามพระพรตนัดดา
อันไอ้อสูรคนธรรพ์ ที่มันทุจริตริษยา
ตัวเจ้าทั้งสองยกมา ได้ต่อฤทธาประการใด
พระกุมารน้อยน้อยทั้งสององค์ หน่อพระหริวงศ์หรือไฉน
จึ่งทรงลักษณ์เลิศลํ้าอำไพ ดั่งเทเวศในชั้นดุษฎี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตพระสัตรุดเรืองศรี
ได้ฟังพระราชวาที ชุลีกรสนองพระบัญชา
อันสองเยาวราชกุมาร หน่อพระอวตารนาถา
เกิดด้วยอัคเรศชายา อันเป็นมารดาสุราลัย
ทรงนามชื่อลบแลมงกุฎ ศรสิทธิ์ฤทธิรุทรแผ่นดินไหว
พระอวตารแจ้งสารที่ให้ไป จึ่งตรัสใช้มาล้างไพรี
กับข้าทั้งสองเป็นสี่ทัพ สรรพด้วยพวกพลกระบี่ศรี
ครั้นถึงปลายด่านธานี หลานนี้จึ่งแจ้งกิจจา
ว่าเสียนิเวศน์ราชฐาน แก่คนธรรพ์มารยักษา
มิได้พักพลสักเวลา รีบเร่งยกมาโรมรัน
วิรุณพัทลูกมันออกมารบ เจ้าลบเข่นฆ่าอาสัญ
อันพระมงกุฎผู้พี่นั้น สังหารคนธรรพ์บรรลัย
ทั้งหมู่ยักษีรี้พล จะรอดไปสักตนก็หาไม่
เสร็จแล้วก็ยกพลไกร ตามองค์พระอัยกามา ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวไกยเกษนาถา
แจ้งว่ามีชัยอสุรา ผ่านฟ้าชื่นชมยินดี
จึ่งอุ้มพระกุมารขึ้นใส่ตัก จูบพักตร์รับขวัญทั้งสองศรี
ดูน้องผ่องแผ้วไม่ราคี ดูพี่ดั่งแก้วแกมสุวรรณ
ผิวพรรณนรลักษณ์พักตรา เหมือนพระจักรารังสรรค์
รณรงค์กล้าหาญชาญฉกรรจ์ ฆ่าคนธรรพ์ม้วยบรรลัย
น้อยน้อยเท่านี้หรือมีฤทธิ์ ทั่วทั้งทศทิศไม่เปรียบได้
ศิลป์ศรประเสริฐเลิศไกร ใครเห็นก็เป็นบุญตา
ตาคิดถึงเจ้าก็ใจหาย แสนยากลำบากกายหนักหนา
แต่อยู่ในครรภ์มารดา จนประสูติอยู่ป่าก็หลายปี
สงครามด้วยอาทั้งสององค์ กับพระบิตุรงค์เรืองศรี
ปิ้มว่าจะม้วยชีวี บุญมีจึ่งรู้จักกัน
ทั้งสองจงจำเริญสวัสดิ์ สืบวงศ์จักรพรรดิรังสรรค์
รุ่งเรืองดั่งองค์พระสุริยัน เป็นฉัตรแก้วกั้นภพไตร ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองกุมารผู้มีอัชฌาสัย
น้อมเศียรรับพรภูวไนย บังคมไหว้สนองพระวาจา
ซึ่งพระองค์เมตตาการุญ พระคุณล้นเกล้าเกศา
หลานรักขอรองบาทา ไปกว่าจะสิ้นชีวี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตพระสัตรุดเรืองศรี
จึ่งทูลพระอัยกาธิบดี บัดนี้เสร็จสิ้นพวกพาล
ขอเชิญเสด็จพระผ่านเกล้า คืนเข้าไกยเกษราชฐาน
บำรุงไพร่ฟ้าให้สำราญ โดยการประเพณีธรรม์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวไกยเกษรังสรรค์
ฟังสองหลานรักร่วมชีวัน ทรงธรรพ์ชื่นชมด้วยสมคิด
จึ่งยอกรประณตบทบงสุ์ องค์พระมหานักสิทธ์
ซึ่งข้าหนีภัยปัจจามิตร รอดชีวิตเพราะพึ่งพระบาทา
หาไม่ก็จะม้วยอาสัญ ด้วยมือคนธรรพ์ยักษา
พระคุณลํ้าล้นคณนา หนักยิ่งแผ่นฟ้าธาตรี
โยมนี้ขอลาพระอาจารย์ คืนเข้าราชฐานบุรีศรี
พระองค์จงอยู่สวัสดี อย่ามีทุกข์โศกโรคภัย ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโควินท์มหาอาจารย์ใหญ่
ได้ฟังอำนวยอวยชัย ห้ากษัตริย์จงไปสถาวร
เสวยแสนสมบัติพัสถาน ให้สำราญเป็นสุขสโมสร
อันหมู่อาสัตย์ดัสกร จงพ่ายแพ้ฤทธิรอนทั้งธาตรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวไกยเกษเรืองศรี
กับสี่นัดดาธิบดี ชุลีกรรับพรด้วยปรีดา
จึ่งกราบประณตบทมาลย์ องค์พระอาจารย์ฌานกล้า
เสด็จออกจากบรรณศาลา กำนัลเสนาก็ตามไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ถึงที่สำนักพักพล ใต้ต้นนิโครธไทรใหญ่
ห้ากษัตริย์สระสนานสำราญใจ ทรงเครื่องอำไพวิไลวรรณ
งามองค์งามทรงงามสง่า ดั่งเทเวศลงมาจากสวรรค์
กรายกรย่างเยื้องจรจรัล มาขึ้นรถสุวรรณพรรณราย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ รถเอยราชรถทรง ห้ารถงามระหงเฉิดฉาย
ดุมวงกงแก้วแพร้วพราย บัลลังก์ลายลดชั้นสุวรรณวาม
รายภาพครุฑกระหนาบสิงห์อัด กระจังรัตน์กาบแก้วเรืองอร่าม
บุษบกทวยช้อยพลอยพลาม ยอดงามช่อฟ้าบราลี
เทียมสินธพล้วนกำลังหาญ สิบคู่เผ่นทะยานดั่งไกรสีห์
ขุนรถถือทวนจามรี ขับรี่เรื่อยเร็วดั่งลมพา
งามเครื่องสูงครบสิ่งหมด งามรถพระกุมารนำหน้า
งามรถทรงองค์พระอัยกา งามพระเทียบรัถาอนงค์ใน
งามพระพรตพระสัตรุดเป็นกองหลัง งามทั้งโยธาน้อยใหญ่
เสนาะเสียงปี่ฆ้องกลองชัย เป็นเหล่าหลั่นกันไปทั้งห้าทัพ
เสียงช้างเสียงม้าเสียงรถ ผงคลีบังบดชอุ่มอับ
ไม้ไหล้ลู่ล้มระดมทับ เดินแซงแข่งขับกันรีบจร ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ ข้ามธารผ่านพนมพนาเวศ ทอดพระเนตรชมพรรณสิงขร
สูงตระหง่านเงื้อมงํ้าอัมพร ชะง่อนงอกซ้อนซับสลับกัน
บ้างเป็นพู่ห้อยพร้อยพราย ขาวเหลืองเลื่อมลายหลายหลั่น
มีแท่นแผ่นผาศีลาตัน ทั้งเปลวปล่องช่องชั้นถํ้าธาร
นํ้าพุดุดั้นลั่นล้น ดั่งฝอยฝนเซ็นซ่าฉ่าฉาน
รุกขชาติดกดาษสุมามาลย์ เบ่งบานหล่นร่วงในวาริน
พระพายชายพัดพานต้อง หอมละอองเกสรขจรกลิ่น
มัจฉาคลาคลํ่าเล็มกิน แหวกว่ายสายสินธุ์สัญจร
มีเบญจโกสุมปทุมาลย์ บ้างตูมบานฝักใบแก่อ่อน
แมลงภู่หมู่พรรณภมร บินร่อนเชยชาบเสาวคนธ์
ที่ชายเขาลำเนาศิลาลาด ฝูงสัตว์จตุบาทเกลื่อนกล่น
บ้างคะนองลองเชิงเริงรน ชมพลางรีบพลจรจรัล ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ รอนแรมมาในไพรชัฏ ห้ากษัตริย์มีความเกษมสันต์
ประพาสชมนกไม้หลายพรรณ เจ็ดวันก็ถึงธานี
จึ่งให้ประทับพิชัยรถ กับเกยมรกตจำรัสศรี
แล้วเสด็จย่างเยื้องจรลี ขึ้นปราสาทมณีอลงการ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ลดองค์ลงเหนือบัลลังก์รัตน์ อันจำรัสด้วยดวงมุกดาหาร
ภายใต้เศวตฉัตรโอฬาร ชัชวาลล้วนแก้วแววไว ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนามาตยาน้อยใหญ่
นางท้าวเถ้าแก่กำนัลใน มหาดเล็กเด็กใช้ทั้งนั้น
เห็นพระองค์ผู้ทรงนคเรศ กลับมานิเวศน์ไอศวรรย์
ยินดีดั่งตายแล้วพบกัน ก็มาเฝ้าทรงธรรม์ผู้ศักดา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ต่างน้อมเศียรเกล้าบังคมบาท หมอบกลาดดาษไปทั้งซ้ายขวา
มิอาจที่จะกลั้นน้ำตา โศกาครวญครํ่ารํ่าไร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เสนาว่าโอ้พระทรงเดช จะเคยจากนคเรศก็หาไม่
ควรหรือมาพลัดไปอยู่ไพร แสนลำบากยากใจอนาถนัก
ตัวข้าเบื้องบาททั้งนี้ ก็แสนทุกข์แสนทวีเพียงอกหัก
ด้วยตกอยู่ในเงื้อมมือยักษ์ ปิ้มจักสิ้นชีพชนมาน
นางกำนัลว่าโอ้พระภูวนาถ เมื่อพระองค์นิราศราชฐาน
ข้าบาทฝูงสนมบริวาร วิ่งตามบทมาลย์ก็ไม่ทัน
สุดคิดสุดกำลังข้าทั้งปวง แต่ข้อนทรวงวิโยคโศกศัลย์
แสนระกำช้ำใจไม่เว้นวัน ด้วยอ้ายกุมภัณฑ์อหังการ์
นี่หากพระนัดดาสุริย์วงศ์ ทั้งสี่องค์มาโปรดเกศา
หาไม่จะสิ้นชีวา ไหนจะเห็นบาทาพระภูมี
ทูลพลางฟูมฟายชลเนตร แสนเทวษทุกนางสาวศรี
ซบพักตร์สะอื้นโศกี เสียงมี่อื้ออึงทั้งวังจันทน์ ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวไกยเกษรังสรรค์
เห็นฝูงเสนาแลกำนัล ครวญครํ่ารำพันโศกา
ให้สงสารสังเวชเป็นสุดคิด ทรงฤทธิ์เศร้าโทมนัสสา
นิ่งอยู่เป็นครู่แล้วบัญชา ธรรมดาเกิดมาในแดนไตร
ทุกข์สุขย่อมมีเหมือนกัน ที่จะเว้นใครนั้นก็หาไม่
ถึงกรรมแล้วก็จำเป็นไป อย่าเศร้าใจโศกาอาวรณ์
ตรัสแล้วเสด็จจากอาสน์ อันโอภาสจำรัสประภัสสร
ย่างเยื้องยุรยาตรนาดกร บทจรเข้าปราสาทอลงการ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เอนองค์ลงเหนือแท่นแก้ว อันเพริศแพร้วด้วยมุกดาหาร
งามอิสริยยศศฤงคาร ปานทิพย์สมบัติเทวัญ
เสนาะเสียงพิณพาทย์ฆาตฆ้อง กึกก้องดนตรีมี่สนั่น
ขับกล่อมพร้อมสำเนียงนางกำนัล ทรงธรรม์เพลิดเพลินจำเริญใจ
ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แสนประหวัดด้วยความพิสมัย
ล่วงมัชฌิมยามก็หลับไป ที่ในแท่นทิพย์ไสยา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ครั้นสิ้นแสงสีศศิธร ทินกรเยี่ยมยอดภูผา
ก็สระสรงทรงเครื่องอลงการ์ เสด็จมายังพระโรงรูจี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ พร้อมหมู่เสนาข้าเฝ้า น้อมเกล้าประณตบทศรี
ดั่งดาวล้อมจันทราในราตรี ยังที่พ่างพื้นนภาลัย
จึ่งมีมธุรสพจนารถ สั่งมหาอำมาตย์น้อยใหญ่
ให้เลี้ยงรี้พลสกลไกร ทั้งนายแลไพร่บรรดามา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนีผู้มียศถา
ก้มเกล้ารับราชบัญชา บังคมลาออกมาทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ จึ่งสั่งชาววังให้เขียนหมาย แจกนายวิเสททั้งสี่
ให้แต่งโภชนาสาลี เลี้ยงเหล่าโยธีพลไกร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ท้าวนางวิเสทผู้ใหญ่
แจ้งหมายจ่ายของวุ่นไป แล้วให้หุงต้มเป็นโกลา
บ้างคั่ววัวปิ้งจี่ทอดมัน ครบสิ่งสารพันยำพล่า
แกงขมขนมจีนน้ำยา โภชนาเมรัยชัยบาน
ผลไม้เป็ดไก่แกล้มกับ สรรพทั้งของคาวแลของหวาน
จัดแจงแต่งใส่โต๊ะพาน แล้วให้พนักงานยกไป
บ้างหาบบ้างหามแบกขน สับสนมาตามทางใหญ่
ตั้งเคียงเรียงกันเป็นหลั่นไป ในหน้าพระลานรูจี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายพลวานรแลยักษี
บรรดาซึ่งมาทุกธานี ยินดีกินเลี้ยงด้วยกัน
เป็นเหล่าเหล่าเข้าพร้อมล้อมตะพอก จับจอกเทรินเหล้ากลั่น
ลิงดื่มแล้วส่งให้กุมภัณฑ์ ทำทีเวียนกันไปมา
บ้างหยิบแกล้มกับหมูไก่ เมามายดีใจหัวร่อร่า
ยักษ์หยอกลิงหลอกเฮฮา บ้างตบมือรำท่าชาตรี
บ้างเล่นเต้นโลดอุตลุด ฉวยฉุดนางวิเสทสาวศรี
บ้างรากท้นล้มลุกไม่สมประดี อึงมี่ไปทั้งพระนคร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวไกยเกษชาญสมร
เสร็จเลี้ยงโยธาพลากร ภูธรให้ราชรางวัล
จึ่งประทานเครื่องทรงอลงการ์ แก่สี่นัดดารังสรรค์
อันหมู่วานรกุมภัณฑ์ ปูนบำเหน็จตามหลั่นกันลงไป
แก้วแหวนเงินทองทั้งหลาย มากมายพ้นที่จะนับได้
สารพัดสิ่งของอันต้องใจ ประทานให้ทุกหมู่เสนี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตพระสัตรุดเรืองศรี
จึ่งทูลพระอัยกาธิบดี บัดนี้ก็เสร็จราชการ
หลานรักจักขอลาไป ยังพิชัยอยุธยาราชฐาน
ทูลให้ทราบบาทพระอวตาร ตามซึ่งสังหารอสุรา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้ายไกยเกษนาถา
ได้ฟังพระราชนัดดา จึ่งมีพจนาวาที
เจ้าจงไปทูลพระสี่กร ว่าตานี้อวยพรชัยศรี
ซึ่งพระโอรสมาราวี อสุรีสุดสิ้นชีวัน
แม้นไม่ได้พึ่งบทเรศ อันกรุงไกยเกษเขตขัณฑ์
จะเป็นเชลยแก่คนธรรพ์ นับวันแต่จะสาบสูญไป
พระคุณใหญ่หลวงมหึมา ดินแดนแผ่นฟ้าไม่เปรียบได้
ทุกวันตานี้ไม่เห็นใคร ความชราเจ็บไข้ก็ยายี
อุปมาเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ตั้งใจหวังว่าจะฝากผี
อันกรุงไกยเกษธานี อยู่ใต้ธุลีบาทบงสุ์
ตรัสพลางชมสองดรุณเรศ งามดั่งพรหเมศครรไลหงส์
พ่อจงกราบทูลพระบิตุรงค์ ให้อาเจ้าสององค์นี้กลับมา ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สี่กษัตริย์สุริย์วงศ์นาถา
ก้มเกล้ารับราชบัญชา ชุลีลาไปยังปราสาทชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งสั่งน้องพาลี กับเสนีไกยเกษผู้ใหญ่
จงเตรียมรี้พลสกลไกร จะกลับไปอยุธยาพระนคร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งสองเสนาชาญสมร
รับสั่งพระองค์ทรงฤทธิรอน ชุลีกรแล้วกลับมาพร้อมกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ฝ่ายว่าเจ้ากรุงขีดขิน ก็ตรวจพวกกระบินทร์พลขันธ์
ทั้งหมู่อสุรกุมภัณฑ์ ได้ครบกันซึ่งมาทุกธานี
เสนาไกยเกษกรุงไกร จัดมนุษย์นายไพร่อึงมี่
สารวัตรตรวจตราเป็นโกลี ครบตามบาญชีซึ่งยกมา
พร้อมสิ้นสี่ทัพคับคั่ง ตั้งเป็นริ้วรายซ้ายขวา
ล้วนถือเครื่องสรรพสาตรา ดูสง่าดั่งพลอมรินทร์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สี่กษัตริย์สุริย์วงศ์ทรงศิลป์
ครั้นแสงทองส่องหล้าฟ้าดิน ลินลามาสรงสาคร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ สี่องค์ชำระสระสนาน สุคนธาธารกลิ่นเกสร
ต่างสอดสนับเพลาเชิงงอน เป็นรูปมังกรเกี่ยวกัน
พระอาทรงผ้าเทเวศถวาย ฉลุลายเกี้ยวกรองทองคั่น
สองกุมารผ้าทิพย์ท้องพัน ตรวยเชิงสามชั้นสุวรรณวาม
ชายไหวชายแครงเครือหงส์ ฉลององค์โหมดตาดเรืองอร่าม
ตาบทิศสร้อยอ่อนประจำยาม สังวาลสามสายทับทรวง
ทองกรพาหุรัดรักร้อย ธำมรงค์พลอยเพชรรุ้งร่วง
พระอาทรงมงกุฎดอกไม้พวง ห้อยห่วงกุณฑลกรรเจียกจร
สองกุมารทรงเกี้ยวมณีรัตน์ ต่างขัดพระขรรค์แล้วจับศร
งามองค์งามทรงอรชร บทจรตามกันมาขึ้นรถ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ รถเอยสี่รถทรง ดุมวงดวงแก้วอลงกต
แอกงอนอ่อนงามช้อยชด ชั้นลดฉลุลายบัลลังก์ลอย
รายสัตว์รูปสิงห์สลับครุฑ หน่วงยุดนาครัดกระหวัดห้อย
บุษบกบันสะบัดจำรัสพลอย ทวยช้อยทองช่อบราลี
เทียมสินธพสี่คู่คะนอง เผ่นผยองเพียงพญาราชสีห์
สารถีสำทับกระหยับตี ดูรี่ดั่งรถพระทินกร
เครื่องสูงครบสิ่งกรรชิงรัตน์ แถวฉัตรธงชายปลายสลอน
ปี่เรื่อยเป่ารับแตรงอน ฆ้องซ้อนขานเสียงสำเนียงกลอง
ผงคลีพัดคลุ้มกลุ้มตลบ กงกระทบกำกระท้านสะเทือนก้อง
พลทหารพวกแห่โห่คะนอง เร่งกองรีบกันยาตรา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เดินทางตามหว่างหิมเวศ ทอดพระเนตรชมพรรณปักษา
ไก่ฟ้าจับต้นรกฟ้า สาลิกาจับเกดพลอดกัน
นกแก้วจับแก้วเคียงคู่ เขาจับข่อยคูขานขัน
อัญชันจับต้นชิงชัน เบญจวรรณจับหว้ารายเรียง
นกเปล้าพาฝูงมาจับเปล้า กระเหว่าจับกระวานส่งเสียง
เค้าโมงจับโมงมองเมียง ฝูงหงส์จับเหียงเคียงนาง
วายุภักษ์จับกิ่งกระลำพัก โนรีจับรักไซ้หาง
กางเขนจับต้นโกงกาง นกลางจับเลียบเรียบจร
ฝูงกาจับต้นตุมกา กระทาจับกระถินบินร่อน
นางนวลจับนางนวลนอน ยูงจับยางฟ้อนแล้วบินไป
นกสักจับสักเป็นหมู่หมู่ กระลุมพูพาพวกมาจับไผ่
สี่กษัตริย์ชมเพลินจำเริญใจ พลางเร่งพลไกรดำเนินมา ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ ข้ามห้วยเหวเขาลำเนาธาร แสนสำราญพักพลมาในป่า
นับหลายราตรีทิวา ก็ถึงอยุธยาพระนคร
ให้ประทับมหาพิชัยรถ กับเกยมรกตประภัสสร
สี่องค์ยุรยาตรนาดกร บทจรขึ้นปราสาทรูจี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ต่างน้อมเศียรประณตบทบงสุ์ พระภุชพงศ์ธิราชเรืองศรี
กับสามสมเด็จพระชนนี ทั้งพระลักษมีทรามวัย
แต่พระสัตรุดนุชนาถ กับสองราชนัดดาพิสมัย
บังคมพระลักษมณ์ภูวไนย ด้วยใจภักดีปรีดา
แล้วทูลยุบลบรรยาย ถวายองค์พระนารายณ์นาถา
ตามซึ่งได้ล้างอสุรา พระมงกุฎเข่นฆ่าคนธรรพ์
ฝ่ายองค์พระลบกุมาร สังหารวิรุณพัทอาสัญ
อันยักษีรี้พลทั้งนั้น สุดสิ้นชีวันไม่เหลือไป
เสร็จแล้วก็ยกโยธา ไปตามพระอัยกาในป่าใหญ่
ถึงที่บริเวณศาลาลัย ท่านไทโควินทมุนี
เชิญเสด็จคืนเข้านิเวศน์วัง สั่งมาให้ทูลบทศรี
ว่าชราเบียดเบียนพระภูมี ขอฝากผีไว้ใต้บาทา ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์องค์นารายณ์นาถา
ยินดีดั่งเสวยสวรรยา ในหกชั้นฟ้าสุราลัย
อันสามสมเด็จพระชนนี กับพระลักษมีพิสมัย
ชมสองกุมารผู้ร่วมใจ รับขวัญอวยชัยให้พร
ทั้งสิบกษัตริย์พร้อมกัน งามดั่งเทวัญสโมสร
งามฝูงอนงค์นางอย่างกินนร ประนมกรเฝ้ากลาดดาษดา
งามทั้งปราสาทราชฐาน ดั่งวิมานในดาวดึงสา
งามเกียรติงามยศพระจักรา ดั่งองค์เจ้าฟ้าสุราลัย
แต่ปราศรัยไถ่ถามชมกัน จนสุริยันเลี้ยวลับเหลี่ยมไศล
ต่างองค์ต่างเสด็จคลาไคล เข้าในห้องแก้วรูจี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ ฝ่ายองค์พระตรีภูวนาถ บรรทมร่วมอาสน์มเหสี
งามดั่งสุวรรณกับมณี ใครเห็นเป็นที่จำเริญตา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝูงนางกำนัลซ้ายขวา
แปดหมื่นพื้นพงศ์กษัตรา ทรงโฉมโสภาวิลาวัณย์
แต่งองค์เอกเอี่ยมอรชร งามงอนเป็นที่เฉลิมขวัญ
กรายกรย่างเยื้องจรจรัล พากันมาเฝ้าภูวไนย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ลางนางก็อยู่งานพัด โบกปัดรำเพยลมให้
ลางนางนั่งยามตามไฟ โดยในตำแหน่งพนักงาน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ฝ่ายนางบำเรอก็ครวญขับ ร้องรับจำเรียงเสียงหวาน
ดีดสีตีเป่าบรรเลงลาน สอดใส่ประสานจังหวะกัน
รำมะนาท้าทับกรับฉิ่ง เพราะพริ้งดั่งหนึ่งเพลงสวรรค์
โหยหวนครํ่าครวญโอดพัน เสียงสนั่นเจื้อยจับวิญญาณ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฝ่ายนางระบำก็รำฟ้อน ทอดกรกรีดกรายซ้ายขวา
เวียนวงเป็นหงส์ลีลา งามดั่งนางฟ้าสุราลัย
แล้วตีวงเวียนเปลี่ยนซ้าย ย้ายเพลงผาลาเพียงไหล่
ซัดกรอ่อนระทวยทุกนางใน ย้ายไปเป็นม้าตีคลี
อันนางระบำทั้งหลาย รำร่ายเป็นจังหวะดีดสี
บำเรอสมเด็จพระจักรี ในที่สิริไสยา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระตรีภพจบสกลทิศา
พังเสียงดนตรีเสภา ทัศนาฝูงนางระบำบัน
เป็นที่เพลิดเพลินด้วยรูปเสียง ไพเราะเพราะเพียงเพลงสวรรค์
ทั้งหอมกลิ่นเสาวรสจวงจันทน์ ทรงธรรม์ก็เคลิ้มหลับไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ กล่อม

๏ ครั้นมัชฌิมยามล่วงมา เวลาจวบจวนปัจจุสมัย
นํ้าฟ้าตกต้องเย็นใจ แขไขเลี้ยวลับอัมพร
พระพายชายพัดรวยริน หอมกลิ่นเสาวรสเกสร
แมงภู่หมู่พรรณภมร บินร่อนเชยซาบสุมามาลย์
เสนาะเสียงโกกิลไก่แก้ว พิณพาทย์เจื้อยแจ้วสำเนียงหวาน
ปี่กลองแตรสังข์เป็นกังวาน ผ่านฟ้าก็ตื่นฟื้นองค์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ จึ่งชำระสระสรงทรงเครื่อง แล้วเสด็จย่างเยื้องดำเนินหงส์
งามสง่างามศรีงามทรง ออกที่นั่งบรรยงรูจี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ลดองค์ลงเหนือบัลลังก์รัตน์ ภายใต้เศวตฉัตรมณีศรี
พร้อมหมู่ท้าวพญาทุกธานี ชุลีกรเกลื่อนกลาดดาษไป
งามดั่งสมเด็จหัสเนตร ออกทวยเทเวศน้อยใหญ่
แทบหน้าตรีมุขพิมานชัย ภูวไนยมีราชบัญชา
ดูก่อนพระพรตพระสัตรุด น้องรักแสนสุดเสน่หา
อันองค์สมเด็จพระอัยกา โอรสนัดดาก็ไม่มี
จงไปครองเบื้องบทเรศ บำรุงไกยเกษบูรีศรี
ให้พระองค์เป็นสุขสวัสดี ในที่สวรรยาราชัย
ฝ่ายท้าวพญาพานรินทร์ ซึ่งกินเมืองครองเมืองน้อยใหญ่
บัดนี้เสร็จล้างพวกภัย คืนได้โกยเกษพระนคร
ท่านจงกลับไปราชฐาน ให้สำราญเป็นสุขสโมสร
รักษาไพร่ฟ้าประชากร อย่าให้เดือดร้อนราคี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตพระสัตรุดเรืองศรี
กับท้าวพญาทุกธานี ชุลีกรรับราชบัญชา
มีความชื่นชมโสมนัส ไพบูลย์พูนสวัสดิ์ถ้วนหน้า
ต่างตนน้อมเกล้าบังคมลา ออกมาจากท้องพระโรงชัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงซึ่งหน้าพระลาน ที่ประทับทวยหาญน้อยใหญ่
บ้างทรงรถคชามโนมัย บ้างเหาะขึ้นไปโพยมบน
บ้างขี่ยวดยานคานหาม เกณฑ์แห่เกณฑ์ตามสับสน
บ้างเดินแผ่นพื้นสุธาดล ยกพลแยกไปทุกพารา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระตรีภพจบสกลทิศา
เป็นสุขด้วยเสวยสวรรยา กับองค์สีดาเทวี
ในทวารวดีนคเรศ ดั่งสุริเยศส่องทวีปทั้งสี่
ปราบจบพื้นภพธาตรี เป็นโมลีโลกสถาวร
ดำรงทรงธรรม์ทศพิธ เรืองฤทธิ์สิทธิศักดิ์ด้วยแสงศร
อันหมู่อาสัตย์ดัสกร เกรงเดชภูธรทั้งแดนไตร
ประกอบด้วยจตุรงค์โยธี สมบัติพ้นที่จะนับได้
ไพร่ฟ้าประชาชนพลไกร อเนกแน่นนอกในพารา
อันมหาปราสาทราชฐาน โอฬารดั่งดาวดึงสา
พระสนมแปดหมื่นกัลยา บำเรอผ่านฟ้าเป็นนิรันดร์
พระองค์มีราชโอรส ดั่งจักรกรดวิเชียรฉายฉัน
ทั้งสองทรงลักษณ์วิไลวรรณ ต่างเนตรต่างกรรณภูวไนย
อันหมู่ทหารฤทธิรุทร จะแหวกสมุทรดำดินก็ทำได้
เหาะเหินเดินฟ้าว่องไว ล้วนเทพไทอาสามา
มีราชโหราเพียงตาทิพย์ เห็นแจ้งทั้งสิบทิศา
รู้ทั้งเวทมนต์สรรพยา ฤกษ์ผาเดือนดาวทุกประการ
อันศรีอยุธยานคเรศ ไกยเกษมิถิลาราชฐาน
แสนสนุกไม่มีที่เปรียบปาน สำราญทั่วหน้าประชาชี
เพราะพระทรงครุฑภุชพงศ์ อวตารกับองค์พระลักษมี
ทั้งพระพรตพระลักษมณ์ธิบดี พระสัตรุดผู้มีศักดา
โดยเสด็จมาบำรุงไตรดาล ปราบหมู่พวกพาลยักษา
บ้างพ้นสาปบ้างสิ้นชนมา บ้างไปฟากฟ้าสุราลัย
บรรดาอินทร์พรหมยมเรศ เทเวศวิทยาน้อยใหญ่
ทั้งหมู่ฤๅษีชีไพร ครุฑนาคมีใจสำราญ
พระบารมีเป็นที่เฉลิมภพ เลิศลบกษัตรามหาศาล
เป็นจรรโลงโลกาสุธาธาร ทุกสถานน้อมเกล้าประนมกร
บ้างแต่งบุปผามาลาช ดอกไม้มาศเงินงามประภัสสร
บุตรีนัดดาอรชร อัสดรคชลักษณ์ตัวดี
บรรณาการแก้วเก้าเนาวรัตน์ ทั้งกาสิกพัสตร์ต่างสี
มาถวายเบื้องบาทไม่ขาดปี เอาเดชะพระจักรีปกไป
ดั่งเศวตฉัตรทิพย์สี่คัน กางกั้นทั่วจักรวาลใหญ่
ราบรื่นทั้งพื้นภพไตร ดั่งหน้ากลองชัยเภริน
ตราบถ้วนกำหนดไตรดายุค อยู่เย็นเป็นสุขด้วยกันสิ้น
พระเกียรติชั่วกัลปาฟ้าดิน ดั่งศิลาจารึกลายสุวรรณ
เป็นลักษณ์อักษรสรรเสริญเดช อยู่ทุกประเทศเขตขัณฑ์
เสนาะจริงยิ่งเรื่องแต่ปางบรรพ์ ดั่งจวงจันทร์คันธรสจรุงใจ
อันพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ ทรงเพียรตามเรื่องนิยายไสย
ใช่จะเป็นแก่นสารสิ่งใด ดั่งพระทัยสมโภชบูชา
ใครฟังอย่าได้ใหลหลง จงปลงอนิจจังสังขาร์
ซึ่งอักษรกลอนกล่าวลำดับมา โดยราชปรีชาก็บริบูรณ์ ฯ

ฯ ๔๐ คำ ฯ

๏ จบ เรื่องราเมศมล้าง อสุรพงศ์
บ พิตรธรรมิกทรง แต่งไว้
ริ รํ่าพรํ่าประสงค์ สมโภช พระนา
บูรณ์ บำเรอรมย์ให้ อ่านร้องรำเกษม ฯ
๏ เดือนอ้ายสองคํ่าขึ้น จันทรวาร
บพิตรผู้ทรงญาณ ยิ่งหล้า
แรกรินิพนธ์สาร รามราพณ์ นี้แฮ
ศักราชพันร้อยห้า สิบเก้าปีมะเส็ง ฯ

จบบริบูรณ์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ