สมุดไทยเล่มที่ ๑๑๐

๏ เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์องค์นารายณ์รังสรรค์
ครั้นสิ้นรังสีรวีวรรณ แสงจันทร์จำรัสอัมพร
ดวงดาวลอยเลื่อนเกลื่อนกลาด รัศมีโอภาสประภัสสร
ก็พาสองลูกรักฤทธิรอน บทจรเข้าห้องไสยา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เอนองค์ลงเหนือบัลลังก์อาสน์ ภูวนาถเศร้าโทมนัสสา
กอดสองโอรสร่วมชีวา แนบไว้ซ้ายขวาพระอินทรีย์
ชลนัยน์คลั่งคลอดวงเนตร แสนเทวษถึงองค์มเหสี
อนิจจาสีดาเทวี ปานนี้จะเป็นประการใด
จะนิทราหรือจะคิดถึงโอรส หรือจะทรงกำสรดละห้อยไห้
หรือจะคิดแค้นพี่ทวีไป หรือจะค่อยคลายใจที่โกรธา
แต่คิดคิดก็แสนสุดคิด ร้อนจิตทั่วผิวมังสา
อกเอ๋ยจะมีแต่เวทนา จะทนทุกข์ทรมาเป็นนิรันดร์
ชะรอยชาติก่อนเราพรากสัตว์ ให้พลัดคู่ร้างความเกษมสันต์
เวรนั้นจึ่งตามมาทัน ให้พรากจากกันไปทั้งรัก
อกเอ๋ยครั้งนี้ไม่มีสุข แสนทุกข์แสนเทวษดั่งต้องจักร
ครวญพลางชลเนตรคลอพักตร์ กอดสองลูกรักหลับไป ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ ครั้นพระสุริยาเรื่อรอง แสงทองกลบแสงแขไข
เสียงวิหคไก่แก้วจับใจ ฆ้องชัยย่ำรุ่งเวลา
พระตื่นจากที่ไสยาสน์ สรงพักตร์วิลาสดั่งเลขา
แต่งองค์ทรงเครื่องอลงการ์ สำหรับกษัตราธิบดี
แล้วพาสองราชโอรส จากแท่นอลงกตเรืองศรี
ยุรยาตรนาดกรจรลี เสด็จออกจากที่พระโรงชัย ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ พร้อมหมู่เสนาพฤฒามาตย์ กระวีราชสุริย์วงศ์น้อยใหญ่
จึ่งมีพระบัญชาตรัสไป เร่งให้หาโหรเข้ามา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ขุนตำรวจผู้มียศถา
ก้มเกล้ารับราชบัญชา ก็รีบออกมาทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงบ้านโหรผู้ใหญ่ ก็ร้องเรียกเข้าไปอึงมี่
ว่าพระองค์ผู้ทรงธรณี ให้หาไปยังที่พระโรงคัล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายโหราจารย์คนขยัน
เล่นสกากับเมียอยู่ด้วยกัน พนันเสียขนตาก็อายใจ
ตำรวจเรียกมาเป็นหลายหน สาละวนทุบตีแก้ไข
ยายเอ๋ยสองสี่นี้เรือนใน ที่นี้กูจะได้ขนตา
แต่เถียงกันไปมาอุตลุด จนเขาเข้ายุดฉุดคร่า
ตกใจก็ทิ้งลูกสกา ฉวยคว้าสมปักเข้าพันกาย
ค้นหาตำราอยู่ลนลาน เหยียบกระดานตกล่องล้มหงาย
ครั้นได้เรียกบ่าววุ่นวาย ใจหายวิ่งหอบเข้าไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าไปเฝ้า น้อมเกล้าบังคมประนมไหว้
ท่ามกลางเสนาพลไกร หอบหายใจฟังพระโองการ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรีผู้ปรีชาหาญ
ทอดพระเนตรเห็นโหราจารย์ ผ่านฟ้ามีราชวาที
ดูก่อนโหรเฒ่าคนขยัน จงหาวันศุภฤกษ์เรืองศรี
ให้ปลอดอันตรายราคี กูนี้จะสมโภชพระลูกยา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ขุนโหรผู้มียศถา
รับสั่งแล้วแก้ตำรา พบแต่ที่ฆ่าปรอทตาย
พลิกไปพลิกมาเป็นหลายหน อลหม่านหน้าซีดใจหาย
เหงื่อไหลหยดย้อยโซมกาย วุ่นวายกลัวเดชพระจักรี
ครั้นพบตำรับสุริยาตร์ ก็ตั้งซึ่งศักราชแลดิถี
ลบบวกคูณหารโดยคัมภีร์ ก็ได้นาทีฤกษ์พระจันทร์
จึ่งน้อมเศียรเกล้าบังคมทูล นเรนทร์สูรปิ่นภพรังสรรค์
เวลารุ่งสีรวีวรรณ ในสิบห้าชั้นมณฑล
ฤกษ์สองต้องสารโสลก อำมฤตโชคศุภผล
ทำการพิธีมงคล จะจำเริญพระชนม์สวัสดี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์องค์นารายณ์เรืองศรี
ฟังโหรถวายฤกษ์นาที จึงสั่งมนตรีสุมันตัน
ตัวท่านผู้ปรีชาชาญ จงจัดการสมโภชเฉลิมขวัญ
อันเครื่องเล่นเต้นรำทั้งนั้น ให้ทันศุภฤกษ์ยามชัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุมันตันเสนาผู้ใหญ่
รับสั่งพระองค์ทรงภพไตร บังคมไหว้แล้วออกมาทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงทิมดาบชาววัง จึ่งสั่งนายเวรทั้งสี่
ให้หมายบอกทุกหมู่มนตรี ตามมีพระราชบัญชา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายเจ้าพนักงานถ้วนหน้า
แจ้งหมายเร่งบ่าวไพร่มา ตรวจตราจับการพร้อมกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บ้างแต่งไพชยนต์พิมานรัตน์ บัลลังก์อาสน์เศวตฉัตรฉายฉัน
เพดานดารารายสุวรรณ ระย้าแก้วเคียงคั่นพู่พราย
พื้นล่างพรมสุจหนี่ลาด ม่านไขเครือมาศฉานฉาย
บายศรีทองเก้าชั้นพรรณราย แว่นแก้วแพร้วพรายรูจี
หน้าพระลานล้วนโรงมโหรสพ มีครบประกวดกันอึงมี่
ลวดหกตํ่าสูงทุกสิ่งมี ระทาที่ทิวพุ่มดอกไม้ไฟ
แถวถนนนั้นรายราชวัติ ปักฉัตรเบญจรงค์ธงไสว
โรงทานร้านน้ำเนื่องไป เอิกเกริกทั้งในพระนคร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรแก้วสุริย์วงศ์ทรงศร
ครั้นรุ่งรางสร่างแสงทินกร ภูธรตื่นจากนิทรา
พร้อมด้วยกษัตริย์สุริย์วงศ์ ให้สององค์พระโอรสา
เข้าที่สระสรงคงคา ซึ่งนำมาแต่ปัญจนที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระกุมารทั้งสองศรี
น้อมเศียรรับสั่งด้วยยินดี พากันจรลีมาสรงชล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ พนักงานก็ไขท่อทอง วารีเป็นละอองฝอยฝน
พระพี่เลี้ยงถวายทิพย์สุคนธ์ ปรุงปนเรณูสุมามาลย์
เสร็จแล้วให้ทรงสนับเพลา อันพรายเพราเครือกรองทองประสาน
ภูษาต่างสีโอฬาร ชายไหวสุรกานต์ชายแครง
ตาบทิศทับทรวงสังวาลวรรณ สะอิ้งแก้วกุดั่นจำรัสแสง
ทองกรทับทิมลูกแตง พาหุรัดลายแทงประดับพลอย
ธำมรงค์เรือนเก็จเพชรเหลือง แสงรุ้งอร่ามเรืองดั่งหิ่งห้อย
เกี้ยวมณีโลหิตดวงลอย ดอกไม้ทิศชดช้อยกรรเจียกจร
ห้อยพวงมาลัยสุวรรณมาศ โอภาสนพรัตน์ประภัสสร
งามดั่งสุริยันกับจันทร เขจรหยาดฟ้าลงมาดิน ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรกฤษณ์ฤทธิรงค์ทรงศิลป์
จึ่งพาสองโอรสร่วมชีวิน ลินลามาเกยอลงการ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ให้พระราชบุตรทั้งสององค์ ทรงมหาราเชนทร์ฉายฉาน
ฝ่ายองค์สมเด็จพระอวตาร ทรงราชยานอันโอฬาร์
บรรดาเสนาพฤฒามาตย์ แห่แหนเกลื่อนกลาดซ้ายขวา
กลองชนะแตรสังข์เป็นหลั่นมา เสียงก้องโกลานี่นัน
เครื่องสูงชุมสายรายริ้ว มยุรฉัตรธงทิวหลายหลั่น
พระอัยกีสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์ ฝูงสนมกำนัลก็ตามไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงปราสาทอลงกต ให้สองโอรสพิสมัย
นั่งเหนือบัลลังก์อำไพ ภายในเศวตฉัตรรูจี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นได้เวลาศุภฤกษ์ ราชครูให้เบิกบายศรี
จึ่งเอาเทียนทองจุดอัคคี ติดแว่นมณีรจนา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เวียนเอยเวียนเทียน ให้เวียนแต่ซ้ายไปขวา
พระอัยกีสุริย์วงศ์แลเสนา ส่งรับกันมาเนื่องไป
ฆ้องกลองแตรสังข์ประโคมมี่ ขับไม้มโหรีเสียงใส
เถ้าแก่พระสนมกรมใน ถวายชัยให้พรพร้อมกัน
จงทรงศักดาวราเดช เหมือนพระบิตุเรศรังสรรค์
เป็นที่พึ่งมนุษย์เทวัญ ดั่งฉัตรแก้วกั้นธาตรี
อันหมู่พาลาปัจจามิตร อย่าต่อฤทธิ์พ่อได้ทั้งสองศรี
ให้ชันษานั้นยืนโกฏิ์ปี อย่ามีทุกข์โศกโรคภัย ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ครั้นถ้วนเจ็ดรอบโดยตำรับ ดับเทียนแล้วโบกควันให้
ปุโรหิตอ่านมนต์เลิศไกร ถวายชัยเชิญขวัญกุมารา
อ้าขวัญพระหน่อสุริย์วงศ์ ซึ่งหลงท่องเที่ยวอยู่ในป่า
ระเริงชมรุกขชาติดาษดา หมู่วิหคมฤคากิริณี
อ้าพ่ออย่าเพลินเล่นถํ้า ห้วยละหารธารนํ้าคีรีศรี
เชิญมาเสวยสุขสวัสดี ในบุรีดั่งชั้นสุราลัย
พร้อมด้วยสุริย์วงศ์พงศ์ประยูร ไอศูรย์สมบัติไม่นับได้
ปราสาทแก้วปราสาททองอำไพ ดั่งเวไชยันต์จำเริญตา
อ้าพ่อจะได้เป็นปิ่นกษัตริย์ สืบวงศ์จักรพรรดิไปภายหน้า
จงจำเริญศรีสวัสดิ์วัฒนา ปราศจากโรคาอันตราย ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายการมโหรสพทั้งหลาย
โขนหุ่นละครหญิงชาย บ้างเยื้องกรายกรีดกรฟ้อนรำ
ทั้งโมงครุ่มเทพทองปรบไก่ หกคะเมนแทงวิสัยมวยปลํ้า
ไต่ลวดลอดบ่วงระเบงระบำ มอญรำผาลาชาตรี
บรรดามโหรสพทั้งนั้น ก็แล่นขึ้นพร้อมกันอึงมี่
หญิงชายไพร่ฟ้าทั้งธานี ยินดีดูเล่นเฮฮา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระหริรักษ์นาถา
กับสามสมเด็จพระมารดา สุริย์วงศ์พงศาทั้งนั้น
ครั้นเสร็จสมโภชพระกุมาร แสนสำราญภิรมย์เกษมสันต์
ต่างองค์ต่างเสด็จจรจรัล ไปปราสาทสุวรรณอลงกรณ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองพระกุมารชาญสมร
อยู่ในอยุธยาพระนคร ถาวรมาหลายราตรี
ฝ่ายองค์สมเด็จพระบิตุราช ไสยาสน์อยู่ในแท่นที่
พระพี่น้องสร้อยเศร้าแสนทวี คิดถึงชนนีทุกเวลา
โอ้อนิจจาพระแม่เจ้า จะร้อนเร่าพระทัยถวิลหา
ถึงลูกรักซึ่งจากอกมา จะแสนโศกโศกาอาลัย
ตัวเราทั้งสองได้ความสุข แต่พระแม่ทนทุกข์หม่นไหม้
พระองค์จะซูบผอมตรอมใจ อยู่ในอรัญกุฎี
พระคุณลํ้าฟ้าดินแดน ยังมิได้ทดแทนบทศรี
ควรหรือจากมาดั่งนี้ ชะรอยเรามีเวรา
พระพี่น้องครวญพลางทั้งรันทด สลดใจเศร้าโทมนัสสา
กอดกันกันแสงโศกา ข้างแท่นไสยาพระทรงธรรม์ ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระกฤษณุรักษ์รังสรรค์
ฟังโอรสโศกาจาบัลย์ รำพันถึงองค์พระชนนี
มิอาจจะกลั้นโศกได้ ยิ่งอาลัยถึงองค์มเหสี
สงสารเป็นพ้นพันทวี พระลุกขึ้นจากที่ไสยา
ชลนัยน์คลอคลองนองเนตร แสนเทวษเศร้าโทมนัสสา
ทอดถอนฤทัยไปมา กอดองค์กุมาราทั้งสองกร
โอ้อนิจจาพระลูกแก้ว กรรมของเราแล้วแต่ปางก่อน
เจ้าอย่าโศกาอาวรณ์ สองสมรจงพากันออกไป
อ้อนวอนสมเด็จพระชนนี ว่าพ่อนี้ตั้งแต่ละห้อยไห้
แม้นแม่เจ้าไม่คืนเข้าเวียงชัย ชีวาลัยบิตุเรศจะมรณา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทั้งสองพระโอรสา
ได้ฟังพระราชบัญชา ค่อยคลายโศกาจาบัลย์
ทูลว่าซึ่งทรงพระการุญ พระคุณลํ้าฟ้าสุธาสวรรค์
ขอฉลองรองบาทพระทรงธรรม์ ตราบสิ้นชีวันของข้านี้ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระอวตารทรงสวัสดิ์รัศมี
ฟังสองโอรสก็ยินดี ดั่งภูมีได้ผ่านเมืองฟ้า
ลูบไล้รับขวัญลูกรัก จูบพักตร์ด้วยใจเสน่หา
แล้วจูงกรสองราชกุมารา ออกมาพระโรงโอฬาร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ลดองค์ลงเหนือบัลลังก์แก้ว แล้วมีพระราชบรรหาร
ดูก่อนสุมันตันผู้ปรีชาชาญ ตัวท่านจงเกณฑ์โยธี
ผูกทั้งมิ่งม้าอาชาชาติ คู่หนึ่งองอาจดั่งไกรสีห์
ลูกกูจะไปเยือนพระชนนี ยังที่อาศรมพระสิทธา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุมันตันผู้มียศถา
รับสั่งถวายบังคมลา ออกมาจากท้องพระโรงคัล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เกณฑ์เป็นกระบวนพยุหบาตร สี่หมู่องอาจแข็งขัน
ขุนช้างขี่ช้างดั้งกัน ถือขอหยัดยันกรีดกราย
ขุนม้าขี่ม้าดั้งแซง ถือทวนกวัดแกว่งเฉิดฉาย
ขุนรถขึ้นรถสุพรรณพราย ถือธนูประลองสายคั่งคึก
ขุนพลจัดพวกพลหาญ เลือกล้วนชำนาญในการศึก
แต่งตัวประกวดอวดฮึก งามพิลึกดั่งพลอมรินทร์
ตั้งไว้ตามแถวรัถยา ดูสุดสายตาไม่รู้สิ้น
จนถึงเกยแก้วมณีนิล คอยหน่อพระนรินทร์เสด็จจร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระกฤษณุรักษ์ทรงศร
ครั้นเสร็จซึ่งจัดพลากร ภูธรมีราชวาที
ดูก่อนเจ้าผู้จำเริญรัก ดวงจักษุพ่อทั้งสองศรี
ซึ่งจะไปเฝ้าองค์พระชนนี จงพาทีว่าวอนให้อ่อนใจ
แม้นมาตรแม่เจ้ามิเข้ามา จงผ่อนด้วยปัญญาอัชฌาสัย
ว่าพ่อนี้แต่กลับเข้าเวียงชัย อาลัยทุกข์ถึงไม่เว้นวัน
ยามกินก็กินแต่ชลเนตร อาดูรพูนเทวษโศกศัลย์
จึ่งให้ฝูงอนงค์กำนัล มาอยู่ด้วยในอรัญกุฎี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระกุมารทั้งสองศรี
ก้มเกล้ารับราชวาที ชุลีลามาสรงสาคร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ สุหร่ายมาศโปรยปรายดั่งสายฝน ละอองชลเฟื่องฟุ้งด้วยเกสร
ทรงสุคนธารสขจายจร สนับเพลาเชิงงอนสามชั้น
ภูษาต่างสีม่วงตอง แย่งยกกระหนกกรองทองคั่น
ชายแครงเครือรูปนาคพัน ชายไหวกุดั่นพริ้งพราย
ต่างทรงฉลององค์พระกรน้อย สอดสร้อยสังวาลสามสาย
ตาบทิศทับทรวงจำหลักลาย ทองกรมังกรกลายพาหุรัด
ธำมรงค์ค่าเมืองเรืองอร่าม แวววามทุกนิ้วพระหัตถ์
เกี้ยวเพชรจุฑามณีดอกไม้ทัด กุณฑลแก้วจำรัสกรรเจียกจร
ห้อยพวงสุวรรณมาลา พระหัตถ์ขวานั้นทรงธนูศร
เสด็จด้วยฝูงอนงค์นิกร บทจรมาขึ้นอาชาชาญ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ ม้าเอยม้าสินธพ สองม้าเลิศลบคะนองหาญ
ผ่านดำผ่านขาวโอฬาร เผ่นโผนทะยานคือลมพัด
มีกำลังดั่งพญาสีหราช ร้ายกาจแกล้วกล้าสาหัส
สี่ข้อคอกลมเรียวรัด หางหูชูหยัดพริ้งพราย
ย่างใหญ่ย่างน้อยเคล่าคล่อง เยื้องย่างร่ายเรียงเฉิดฉาย
เบาะอานพานหน้าดาวราย พู่ห้อยจับสายบังเหียนทรง
เครื่องสูงแสงประเทืองเรืองสุวรรณ ฆ้องกลองก้องสนั่นป่าระหง
ฝ่ายรถประเทียบฝูงอนงค์ เข้าชายดงแหวกม่านสำราญใจ
บ้างชี้ให้ชมสกุณี มฤคีรุกขชาติเนินไศล
พระเร่งรีบพหลพลไกร ไปตามอรัญมรคา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงบริเวณอาศรม ใต้ร่มพระไทรสาขา
ให้หยุดพวกพลโยธา ลงจากอาชาชาญฉกรรจ์
งามดั่งโอรสอมรินทร์ อันลินลาลงมาแต่สวรรค์
ยุรยาตรนาดกรจรจรัล ฝูงอนงค์ทั้งนั้นก็ตามไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ จึ่งน้อมเศียรประณตบทบงสุ์ องค์พระอัยกาอาจารย์ใหญ่
ต่างถวายธูปเทียนดอกไม้ ด้วยใจจงรักภักดี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ ครั้นเสร็จก็ถวายอภิวาทน์ ลาบาทพระมหาฤๅษี
พากันย่างเยื้องจรลี ไปยังกุฎีพระมารดา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ต่างองค์ประณตบทเรศ พระชนนีเกิดเกศด้วยหรรษา
ทูลว่าลูกจากบาทา โศกาอาวรณ์ร้อนใจ
มิได้วางเว้นทุ่มยาม จะมีความผาสุกก็หาไม่
กลางคืนตื่นขึ้นก็อาลัย ดั่งใครมาเด็ดเอาชีวี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางสีดามารศรี
เห็นลูกรักร่วมชีวี กับฝูงนารีออกมา
ค่อยคลายร้อนรนทนเทวษ อัคเรศแสนโสมนัสสา
ส้วมสอดกอดจูบพระลูกยา ด้วยความเสน่หาอาลัย
แล้วมีวาจาอันสุนทร ดวงสมรแม่ยอดพิสมัย
แต่พ่อทั้งสองจากอกไป แม่นี้โหยไห้ไม่เว้นวัน
บัดนี้แต่ได้เห็นหน้าเจ้า ค่อยบรรเทาวิโยคโศกศัลย์
ดั่งหนึ่งว่าตายจากกัน กลับได้ชีวันคืนมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝูงสนมกรมในซ้ายขวา
ต่างเข้ากอดบาทนางสีดา ฟูมฟายน้ำตาโศกี
โอ้ว่าสมเด็จพระแม่เจ้า พระคุณเคยปกเกล้าเกศี
คิดว่าสิ้นชีพชีวี แต่ในราตรีวันนั้น
ต่างตนโศกาอาวรณ์ ทุกข์ร้อนวิโยคโศกศัลย์
นั่งไหนก็ปรับทุกข์กัน เป็นนิรันดร์ไม่เว้นเวลา
ต่อเห็นพระโอรสโฉมตรู จึ่งรู้ว่าไม่สิ้นสังขาร์
ตัวข้าทั้งนี้ก็ปรีดา จะได้พึ่งบาทาสืบไป
นิจจาเอ๋ยเคยอยู่ในสมบัติ พูนสวัสดิ์ไม่มีที่เปรียบได้
เป็นปิ่นอนงค์นางใน ไม่มีฉันทาราคี
พระแม่เจ้ามาตกไร้ได้ยาก แสนลำบากสิ้นความเกษมศรี
จนผิดรูปซูบผอมทั้งอินทรีย์ ต้องธุลีแดดลมรำเพยพาน
เสวยแต่ผลไม้อันเฝื่อนฝาด ปราศจากโอชากระยาหาร
ทูลพลางรํ่ารักเยาวมาลย์ ปานดั่งจะสิ้นชีวัน ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางสีดาสาวสวรรค์
ฟังฝูงอนงค์กำนัล รำพันโศกาอาลัย
ชลนาคลอคลองนองเนตร อัคเรศทอดถอนใจใหญ่
แล้วมีเสาวนีย์ตรัสไป เป็นกรรมเราได้ทำมา
จึ่งวิบัติพลัดพรากจากสุข แสนทุกข์ทรมานอยู่ในป่า
จงคิดถึงความอนิจจา ธรรมดาเกิดมาในโลกีย์
ทุกข์สุขย่อมมีเหมือนกัน อย่าโศกศัลย์ไปเลยนางสาวศรี
ขอฝากลูกเราทั้งสองนี้ ด้วยปรีชาเจ้ายังเยาว์นัก
ช่วยระวังสั่งสอนให้รอบคอบ ราชกิจผิดชอบเบาหนัก
ถ้าเอ็นดูสองเยาวลักษณ์ ก็ดีกว่ารักเราผู้มารดร ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระมงกุฎสุริย์วงศ์ทรงศร
ทั้งพระลบอนุชาฤทธิรอน ชุลีกรกราบทูลพระมารดา
อันสามพระอัยกีธิราช ก็แสนสวาทลูกนี้หนักหนา
ทั้งสามสมเด็จพระเจ้าอา ก็ทรงพระเมตตาปรานี
แต่องค์พระบิตุเรศเจ้า ผู้บังเกิดเกล้าเกศี
แสนทุกข์แสนโศกโศกี แสนทวีเทวษไม่เว้นวัน
ทั้งราชสุริย์วงศ์พงศ์ประยูร ก็อาดูรพูนโศกกันแสงศัลย์
เสนาไพร่ฟ้าก็จาบัลย์ ทรงธรรม์จึ่งใช้ให้ลูกมา
เชิญพระแม่คืนเข้านคเรศ พระทรงเดชจะบรรเทาทุกขา
หาไม่ก็จะสิ้นชีวา ด้วยความโศกาอาวรณ์
ซึ่งองค์สมเด็จพระบิตุราช ได้ประมาทผิดพลั้งมาแต่ก่อน
อดโทษให้เป็นสถาวร พระมารดรจงได้ปรานี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางสีดามารศรี
ฟังลูกรักร่วมชีวี มีวาจารํ่ารำพัน
ถึงองค์สมเด็จพระภัสดา ว่าผ่านฟ้าทรงโศกกันแสงศัลย์
ก็สังเวชพระทัยจาบัลย์ แล้วรื้ออั้นอัดขัดใจ
จึ่งตรัสว่าดูก่อนลูกแก้ว สุดปัญญาแล้วไม่ไปได้
จะดูหน้าไพร่ฟ้าประการใด ใครเลยที่เขาจะว่าดี
ด้วยบิดาตราเสียว่าคนชั่ว ก็รู้ทั่วอยู่ทั้งบุรีศรี
ความอายความแค้นแสนทวี กี่ร้อยปีจะสิ้นอัประมาณ
ถึงพ่อเจ้าจะโศกศัลย์ฉันใด แม่ก็ไม่อาลัยสงสาร
จะสู้ยากอยู่ในดงดาน จนวายปราณไม่ขอพานพบ
แม้นพระองค์ปลงชีพวางวาย จะฝืนพักตร์หักอายไปไหว้ศพ
แต่พอเห็นเปลวไฟได้นอบนบ ไม่ปรารภเกรงความนินทา
ว่าพลางกอดจูบลูกรัก พิศพักตร์ทั้งสองเสน่หา
ทอดถอนฤทัยไปมา ชลนาคลอเนตรแล้วโศกี ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองพระกุมารเรืองศรี
ได้ฟังสมเด็จพระชนนี พาทีสลัดตัดรอน
อาลัยในองค์พระบิตุเรศ แสนทุกข์แสนเทวษดั่งต้องศร
ต่างเข้ากอดบาทพระมารดร ชุลีกรโศกาทูลไป
บัดนี้สมเด็จพระบิตุรงค์ จัดฝูงอนงค์ออกมาให้
เป็นเพื่อนพระแม่ที่กลางไพร ช่วงใช้อยู่ใต้พระบาทา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางสีดาผู้ยอดเสน่หา
รับขวัญโอรสทั้งสองรา แล้วมีวาจาอันสุนทร
จงระงับดับความโศกศัลย์ อย่ากันแสงเลยสายสมร
ซึ่งองค์สมเด็จพระบิดร ว่าวอนมานี้ก็เข้าใจ
แต่แม่มาพึ่งอัยกา จะมีใครมาด้วยก็หาไม่
ผู้เดียวทรมานอยู่ในไพร จนอายุเจ้าได้สิบสามปี
กรรมของตัวแล้วจะสู้ยาก จะพาเขาลำบากไม่พอที่
เจ้าจงกลับไปทูลพระภูมี ว่าแม่นี้สิ้นความอาวรณ์ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองพระกุมารชาญสมร
ได้ฟังสมเด็จพระมารดร สุดที่จะว่าวอนสืบไป
ต่างองค์ซบพักตร์ลงโศกา ชลนาแถวถั่งหลั่งไหล
อกเอ๋ยจะทำประการใด จนใจเป็นพ้นพันทวี
ตั้งแต่นี้ไปจะได้ทุกข์ ไม่มีความสุขเกษมศรี
จะอยู่ไยให้หนักปถพี แม้นตายเสียดีกว่าเป็นคน
โอ้ว่าเสียแรงเกิดมา แสนเวทนาทุกขุมขน
ห่วงหน้าห่วงหลังเป็นกังวล ด้วยผลกรรมได้ทำไว้
บิตุเรศโศกาอาวรณ์ พระมารดรทุกข์ทนหม่นไหม้
รํ่าพลางสะท้อนถอนใจ กอดกันสะอื้นไห้โศกี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางสีดามารศรี
เห็นสองโอรสร่วมชีวี โศกีครวญครํ่ารำพัน
แสนรักแสนอาลัยเป็นสุดคิด ดั่งปืนพิษติดตรึงทรวงมั่น
จึ่งกอดสองลูกยาวิลาวัณย์ รับขวัญแล้วมีวาจา
พ่ออย่าโศกาอาวรณ์ ทุกข์ร้อนเศร้าโทมนัสสา
คิดถึงจึ่งพากันออกมา แก้วตาจงฟังแม่พาที ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองพระกุมารเรืองศรี
ได้ฟังวาจาพระชนนี ยิ่งมีความสลดระทดใจ
แสนทุกข์แสนเทวษแสนโศก แสนวิโยคมิใคร่จะจากได้
ชลเนตรคลอเนตรอรไท ซบพักตร์สะอื้นไห้ไปมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เป็นครู่แล้วก้มกราบลง แทบเบื้องบาทบงสุ์ทั้งซ้ายขวา
ลาทั้งพระมหาสิทธา ผู้เป็นอัยกาธิบดี
ขืนใจเสด็จยุรยาตร ออกจากอาวาสทั้งสองศรี
เดินพลางเหลียวดูพระชนนี โศกีทั้งสนมนางใน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ สององค์ขึ้นทรงอัสดร ให้เลิกพลนิกรพยุห์ใหญ่
ต่างคิดกำสรดระทดใจ มาในมรคาพนาวัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงนิเวศน์วังสถาน อันโอฬารดั่งดาวดึงสวรรค์
ลงจากอาชาชาญฉกรรจ์ จรจรัลขึ้นเฝ้าพระบิดา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ต่างน้อมเศียรเกล้าบังคม พระบรมบิตุเรศนาถา
ท่ามกลางอนงค์กัลยา ในมหาปราสาทรูจี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์องค์นารายณ์เรืองศรี
เห็นลูกรักกลับมาก็ยินดี จึ่งมีบัญชาถามไป
เจ้าออกไปเฝ้าพระมารดร บังอรว่ากล่าวเป็นไฉน
พ่อนี้คอยหาด้วยอาลัย จะใคร่ได้แจ้งกิจจา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองพระกุมารโอรสา
กราบลงกับเบื้องบาทา โศกาสนองพระวาที
ซึ่งองค์สมเด็จพระบิตุเรศ โปรดเกศให้ลูกทั้งสองศรี
ไปเฝ้าสมเด็จพระชนนี ยังที่กาลวาตพนาลัย
ตัวข้าได้ทูลอ้อนวอน ว่าพระองค์ทุกข์ร้อนโหยไห้
เพียงจะสิ้นชีวิตจิตใจ จึ่งตรัสใช้ลูกมาบังคมคัล
เชิญองค์สมเด็จพระแม่เจ้า คืนเข้าพระนิเวศน์เขตขัณฑ์
ตรัสว่าเมื่อไรพระทรงธรรม์ สวรรคตสุดสิ้นชีวา
จะมาดูเปลวไฟไหว้ศพ พระปิ่นภพบรมนาถา
ลูกรำพันทูลเป็นหลายครา จนถวายกัลยาอนงค์ใน
พระองค์สลัดตัดรอน จะมีความอาวรณ์ก็หาไม่
แต่นางเดียวก็มิได้รับไว้ ทูลพลางสะอื้นไห้โศกี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกเรืองศรี
ฟังสองโอรสร่วมชีวี โศกีทูลแจ้งกิจจา
ให้บันดาลร่านร้อนรนจิต ดั่งเพลิงพิษเผาผิวมังสา
ครั้นคํ่าย่ำแสงสุริยา ผ่านฟ้าเข้าที่บรรทมใน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เอนองค์ลงเหนือทิพอาสน์ พระกรก่ายนลาฏโหยไห้
แสนสลดระทดฤทัย แสนระลึกตรึกไปถึงเทวี
โอ้ว่าเจ้าดวงนัยน์เนตร ควรหรืออัคเรศมาตัดพี่
มิได้อาลัยเท่าธุลี ดั่งหนึ่งไพรีอริกัน
นิจจาเอ๋ยเราเคยได้ยาก ร่วมลำบากร่วมชีพอาสัญ
ร่วมร้อนร่วมนอนในอารัญ ร่วมทุกข์สุขกันแต่ก่อนมา
พี่พาฝ่ารกระหกระเหิน แสนกันดารดำเนินเดินป่า
เห็นกันเป็นสามกับอนุชา จนทศพักตร์ยักษามันลักน้อง
พี่ตามไปชิงชัยสัประยุทธ์ จึ่งได้วรนุชมาร่วมห้อง
แสนสนิทนิทร์แนบนวลละออง ถนอมศรีมิให้ข้องระคายใจ
ครั้งนี้ผลกรรมมาจำพราก ให้แก้วตาพี่จากอกได้
อกเอ๋ยผู้เดียวจะอยู่ไย พระสะท้อนถอนใจไปมา
แต่ผุดลุกผุดนั่งคลั่งคลุ้ม กลัดกลุ้มทรวงโทมนัสสา
มิได้สนิทนิทรา จนสุริยาเยี่ยมยอดยุคุนธร ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ จึ่งเสด็จจากห้องไสยาสน์ อันโอภาสจำรัสประภัสสร
ออกหมู่เสนาพลากร ยังบัญชรตรีมุขพิมาน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ลดองค์ลงเหนือบัลลังก์รัตน์ ภายใต้เศวตฉัตรฉายฉาน
แล้วมีพระราชโองการ บรรหารแก่สามพระน้องรัก
ทั้งสุมันตันเสนา วายุบุตรปรีชาแหลมหลัก
ว่าองค์สุดานงลักษณ์ อัคเรศแค้นขัดตัดไป
แต่วอนว่ารำพันขอโทษ จะเคลื่อนคลายหายโกรธก็หาไม่
ต่อเราสวรรคาลัย อรไทเจ้าจึ่งจะเข้ามา
จำเป็นจะคิดอุบาย ว่าเราวอดวายสังขาร์
จงแต่งพระเมรุโอฬาร์ ทั้งโกศรัตนาอลงกรณ์
อย่าให้ไพร่ฟ้าประชาชน ล่วงรู้ในกลที่เร้นซ่อน
จะล่อลวงอัคเรศบังอร ให้บทจรเข้ามาธานี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สามพระอนุชาเรืองศรี
หนุมานสุมันตันเสนี รับราชวาทีแล้วออกไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงที่หน้าพระลาน หนุมานผู้มีอัชฌาสัย
ยอกรไหว้เจ้าภพไตร สำรวมใจร่ายวิทยามนต์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๏ บัดเดี๋ยวก็เป็นพระเมรุมาศ โอภาสสูงเยี่ยมเวหน
สี่มุขล้วนแก้วแกมกล จับแสงสุริยนในเมฆา
มีรูปเทวัญกินนร วิชาธรเสี้ยวกางแลยักษา
บัลลังก์โกศแก้วรจนา ฉัตรธงดาษดาพรายพรรณ
งามแม้นวิมานเทวราช หยาดฟ้าลงมาแต่สวรรค์
ฝ่ายว่าเสนาสุมันตัน ก็เกณฑ์กันรักษาวุ่นไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายเจ้าพนักงานน้อยใหญ่
ที่ไม่แจ้งก็ตระหนกตกใจ นั่งไหนปรับทุกข์กันทุกคน
ที่รู้ก็นิ่งทำการ อลหม่านอื้ออึงกุลาหล
หญิงชายไพร่ฟ้าประชาชน ไม่แจ้งในกลก็โศกา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทั้งสามสุริย์วงศ์กนิษฐา
หนุมานสุมันตันเสนา เสร็จแล้วก็พากันเข้าไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงที่เฝ้าพระทรงศร ยอกรประณตประนมไหว้
ทูลว่าการพระเมรุอำไพ แต่งไว้เสร็จตามพระโองการ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรีผู้ปรีชาหาญ
ฟังสามอนุชาชัยชาญ ผ่านฟ้ามีความยินดี
ดั่งหนึ่งได้องค์อัคเรศ มาไว้ในนิเวศน์บุรีศรี
จึ่งมีพระราชวาที ตรัสสั่งนารีที่ไว้ใจ
จงจัดนางท้าวเถ้าแก่ กับฝูงชะแม่ร้องไห้
อันอุบายของเราที่ทำไว้ หวังจะให้ไปลวงนางสีดา
แม้นเจ้าเข้ามายังธานี จงโศกีอย่าให้กังขา
อันสองโอรสกุมารา พาไปเที่ยวเล่นให้ไกลการ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฉลองพระโอษฐ์ผู้ปรีชาหาญ
ก้มเกล้ารับสั่งพระอวตาร ไปตามพจมานภูมี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระภุชพงศ์ทรงสวัสดิ์รัศมี
จึ่งมีพระราชวาที สั่งศรีหนุมานชาญฉกรรจ์
จงเร่งออกไปอรัญวา ลวงนางสีดาสาวสวรรค์
ด้วยเล่ห์กลมารยาของท่าน อย่าให้กัลยาแคลงใจ
สั่งเสร็จเสด็จยุรยาตร จากอาสน์ที่ท้องพระโรงใหญ่
องค์เดียวกรายกรคลาไคล ไปยังพระเมรุรัตนา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น วายุบุตรผู้มียศถา
ครั้นพระหริวงศ์ทรงศักดา ไปมหาพระเมรุพรายพรรณ
จึ่งผาดแผลงสำแดงกำลังหาญ สุธาธารสะเทือนเลื่อนลั่น
เหาะทะยานผ่านฟ้าดั่งลมกัลป์ ไปอารัญกาลวาตพนาลัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงอาศรมศาลา ทำฟายนํ้าตาร้องไห้
กราบลงแทบบาทอรไท สะอื้นไห้ไปเพียงจะสิ้นสมประดี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางสีดามารศรี
เห็นวายุบุตรมาโศกี ดั่งหนึ่งชีวีจะมรณา
ตกใจนิ่งขึงตะลึงคิด ร้อนจิตดั่งต้องฟ้าผ่า
ให้ฉงนสนเท่ห์ในวิญญาณ์ จึ่งมีวาจาถามไป
ดูก่อนคำแหงหนุมาน มีเหตุเภทพาลเป็นไฉน
ท่านมาร้องไห้ด้วยอันใด สงสัยเป็นพ้นพันทวี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น วายุบุตรผู้ชาญชัยศรี
ยิ่งทำเป็นแสนโศกี แล้วทูลเทวีด้วยมารยา
ว่าองค์สมเด็จพระทรงครุฑ ผู้มงกุฎโลกนาถา
แต่วันเสด็จเข้าพารา ผ่านฟ้าแสนโศกวิโยคนัก
ให้คะนึงถึงพระแม่เจ้า อาวรณ์ร้อนเร่าดังไข้หนัก
แสนทุกข์สุดทุกข์ด้วยความรัก จนพระพักตร์มัวคลํ้าดำไป
ละราชกิจกษัตรา จะสรงเสวยโภชนาก็หาไม่
มีแต่ครวญครํ่ารํ่าไร สุดคิดจึ่งให้พระโอรส
ทั้งสองออกมายังอาวาส วอนว่าเบื้องบาทบงกช
เชิญเสด็จโฉมยงทรงยศ บทจรคืนเข้าพารา
พระแม่ตัดไปไม่ไยดี ต่อพระสามีนาถา
พระองค์ยิ่งทรงโศกา จนผ่านฟ้าสวรรคาลัย
บัดนี้กรุงกษัตริย์ทั้งปวง คับคั่งเมืองหลวงไม่นับได้
สุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์ก็พร้อมใจ จะให้ถวายเพลิงภูมี
ฝ่ายพระชนนีทั้งสาม ห้ามไว้ท่าเบื้องบทศรี
จึ่งให้มาเชิญเสด็จจรลี ไปดูเปลวอัคคีพระจักรา ฯ

ฯ ๑๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางสีดาผู้ยอดเสน่หา
ไม่แจ้งแห่งกลมารยา ก็โศกาครวญครํ่ารำพัน
โอ้ว่าพระองค์ผู้ทรงครุฑ ฤทธิรุทรเลิศลํ้าสรวงสวรรค์
เป็นที่พึ่งมนุษย์เทวัญ ดั่งฉัตรแก้วกั้นธาตรี
ตัวข้าบริจาเย็นเกศ เพราะพระเดชปกเกล้าเกศี
ยังมิได้สนองคุณเท่าธุลี ภูมีมาสวรรคาลัย
อนิจจาสงสารพระลูกรัก จะมีที่พำนักก็หาไม่
กำพร้าบิตุเรศแต่น้อยไป ที่นี้จะเปลี่ยวใจเปล่าตา
อกเอ๋ยเพราะกรรมวิบาก จึ่งจากบาทบงสุ์มาอยู่ป่า
มิได้เห็นใจพระจักรา รํ่าพลางกัลยาก็โศกี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ แล้วระงับดับโศกดำรงกาย พาลูกพระพายเรืองศรี
ออกจากที่อยู่นางเทวี ตรงไปกุฎีพระอาจารย์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงประณตบทบงสุ์ พระองค์ผู้ปรีชาหาญ
แจ้งความตามคำหนุมาน ซึ่งมาบอกขานทั้งนั้น
แล้วว่าหลานรักจักลาไป ยังในนิเวศน์เขตขัณฑ์
ถวายเพลิงพระองค์ทรงสุบรรณ อันได้มีคุณแต่ก่อนมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระวัชมฤคฌานกล้า
ได้แจ้งแห่งคำนางสีดา ไม่ทันพิจารณาก็ตกใจ
นิ่งขึงตะลึงอยู่เป็นครู่ จะรู้ว่ากลก็หาไม่
แล้วมีวาจาตอบไป อนิจจาเป็นได้ถึงเพียงนี้
กูว่าให้ดีเสียด้วยกัน จะดึงดันตัดรอนไม่พอที่
จนองค์พระราชสามี ถึงสิ้นชีวีวายปราณ
แต่นี้สุรารักษ์นักสิทธ์ จะร้อนจิตไปทั่วทุกสถาน
จะเกิดเสี้ยนศัตรูหมู่พาล อันสาธารณ์เบียดเบียนแดนไตร
สงสารแต่กุมารทั้งสองศรี ดั่งชนนีแกล้งทำกรรมให้
เออเมื่อฉะนี้จะโทษใคร จงเร่งเข้าไปพารา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ