สมุดไทยเล่มที่ ๙๔

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์เรืองศรี
ครั้นฟื้นตื่นได้สมประดี ภูมีนิ่งขึงตะลึงกาย
พิศดูอนุชาวิลาวัณย์ ให้หวาดหวั่นฤทัยใจหาย
แสนทุกข์แสนเทวษแสนเสียดาย น้องนารายณ์เหลือบแลแปรมา
พอเห็นท้าวทศคิริวงศ์ พระองค์จึ่งถามยักษา
เราให้มาด้วยพระอนุชา คิดว่าต่างตาต่างใจ
การศึกตัวก็รู้หนักเบา จะตักเตือนน้องเราก็ไม่ได้
ละเสียจนม้วยชีวาลัย ท่านจะคิดกระไรนะขุนมาร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พิเภกผู้ปรีชาหาญ
น้อมเศียรสนองบัญชาการ เมื่อพระน้องรอนราญด้วยไพรี
ข้าก็ได้ทูลเตือนเป็นหลายครั้ง ให้ระวังเมฆพัทยักษี
พระอนุชาแกล้วกล้าราวี ไม่เกรงฤทธีอสุรา
หอกนี้พระสยมภูวญาณ พระองค์ประทานให้แก่ยักษา
อันจะแก้ฤทธิ์เทพสาตรา สรรพยานั้นมีสำหรับกัน
เอาจันทน์แดงกับมูลอุศุภราช ซึ่งเป็นอาสน์พระอิศวรรังสรรค์
อันตัวศีลาบดนั้น มีอยู่ในชั้นพรหมา
ลูกอยู่พิภพนาคินทร์ ให้กระบินทร์มีฤทธิ์แกล้วกล้า
เอามาประกอบบดทา พระอนุชาก็จะรอดชีวี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์เรืองศรี
ได้ฟังพิเภกอสุรี จึ่งมีพจนารถบัญชาการ
นิลพัทจงเร่งรีบไป ยังในอยุธยาราชฐาน
ทูลขอจันทน์แดงพระอวตาร แจ้งการให้ทราบบาทา
แล้วเอามูลโคพระเป็นเจ้า ยังเขาอินทกาลคูหา
ทั้งลูกศีลาบดยา กลับมาให้ทันในราตรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นิลพัทผู้ชาญชัยศรี
รับสั่งถวายอัญชุลี ขุนกระบี่เหาะขึ้นอัมพร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงอยุธยานคเรศ น้อมเกศกราบทูลพระทรงศร
ว่าพระอนุชาฤทธิรอน ยกไปนครลงกา
จับทศพินอสุรี กับวรณีสูรยักษา
ฆ่าเสียสิ้นชีพชีวา แล้วเลิกโยธาพลไกร
ไปยังพารามลิวัน ทำลายด่านสองชั้นนั้นได้
ตั้งประทับพลับพลาชัย ใกล้เขามยุราคีรี
พระสัตรุดวุฒิไกรได้ต่อรบ ด้วยสุริยาภพยักษี
บุตรเจ้ามลิวันธานี อสุรีมันพุ่งหอกมา
ต้องพระอนุชาล้มลง ในที่รณรงค์เข่นฆ่า
ท้าวทศคิริวงศ์อสุรา ทูลว่ามียาสำหรับกัน
พระพรตใช้ข้าให้มาเฝ้า พระปิ่นเกล้าอยุธยานราสรรค์
ขอแก่นจันทน์แดงที่ดีนั้น กลับไปให้ทันในราตรี
ประกอบกับมูลโคศุภราช ซึ่งเป็นอาสน์พระอิศวรเรืองศรี
แก้พระอนุชาธิบดี ก็จะคืนชีวีเป็นมา ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระกฤษณุรักษ์นาถา
ฟังลูกพระกาลผู้ศักดา ผ่านฟ้าตระหนกตกใจ
จึงหยิบเอาจันทน์แดงอันบริสุทธิ์ สำหรับแก้อาวุธนั้นส่งให้
ขุนกระบี่จงเร่งรีบไป แก้น้องเราให้ทันที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ลูกพระกาลผู้ชาญชัยศรี
รับจันทน์แล้วถวายอัญชุลี ก็เหาะไปคีรีอินทกาล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งแจ้งกิจจา แก่พญาโคตัวหาญ
บัดนี้น้องพระอวตาร ไปปราบมารยังเมืองมลิวัน
ต้องหอกเมฆพัทอสุรี พ่างเพียงชีวีจะอาสัญ
ขอมูลท่านไปประสมกัน กับแก่นจันทน์แก้พระอนุชา
บอกพลางก็เก็บเอาโคมัย ได้แล้วออกจากคูหา
ถีบทะยานผ่านขึ้นยังเมฆา ไปชั้นพรหมาด้วยฤทธี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงประณตบทบงสุ์ ทูลองค์พรหเมศเรืองศรี
ตามรับสั่งน้องพระจักรี ถ้วนถี่เสร็จสิ้นทุกประการ
บัดนี้จะประกอบโอสถ จะขอศีลาบดเดชาหาญ
ไปบดยาแก้พิษหอกมาร ผ่านเกล้าจงได้เมตตา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์บรมพรหเมศนาถา
ได้ฟังกระบี่ผู้ปรีชา หยิบศีลาส่งให้ทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นิลพัทผู้ชาญชัยศรี
ก้มเกล้ารับเอาด้วยยินดี ขุนกระบี่รีบเร่งระเห็จไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ยืนอยู่เหนือพื้นดินดอน วานรผู้มีอัชฌาสัย
สำแดงแผลงฤทธิ์เกรียงไกร แทรกไปพิภพบาดาล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงกล่าววาที แก่พญานาคีตัวหาญ
ว่าองค์สมเด็จพระอวตาร ผ่านฟ้าให้สองอนุชา
มาสงครามยังเมืองมลิวัน รบพุ่งติดพันกันหนักหนา
พระสัตรุดต้องหอกอสุรา จะขอลูกศีลาที่ท่านนี้
ขึ้นไปบดยาทาองค์ น้องพระหริวงศ์เรืองศรี
ให้ทันแต่ในราตรี เรานี้จะรีบกลับไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พญานาคผู้มีอัชฌาสัย
ได้ฟังไม่แหนงแคลงใจ ก็หยิบลูกหินให้วานร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น โอรสพระกาลชาญสมร
ได้ลูกศีลาฤทธิรอน ก็ชำแรกดินดอนขึ้นมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งประณตบทบงสุ์ พระพรตสุริย์วงศ์นาถา
แล้วทูลถวายสรรพยา กับศีลาบดด้วยกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตรุ่งฟ้านราสรรค์
จึ่งส่งสรรพยาทั้งนั้น ให้พิเภกกุมภัณฑ์ทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ท้าวทศคิริวงศ์ยักษี
รับยาต่อน้องพระจักรี วางลงที่หน้าศีลา
แล้วจึ่งยอกรขึ้นเหนือเกศ เสกด้วยพระเวทคาถา
ครบถ้วนสามคาบตามตำรา สำรวมวิญญาณ์บดไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เสร็จแล้วเสกชํ้าอีกสามหน ด้วยมนต์พระศุลีประสาทให้
ทาลงที่แผลหอกชัย ชโลมไปทั่วทั้งอินทรีย์
เมฆพัทก็หลุดออกจากองค์ พระสัตรุดสุริย์วงศ์เรืองศรี
ด้วยอำนาจโอสถพระศุลี บาดแผลไม่มีกับกายา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระสัตรุดกนิษฐา
ครั้นฟื้นคืนได้สติมา เห็นพระพี่ยาผู้ร่วมใจ
มีความแสนโสมนัสนัก เคลื่อนลงจากตักบังคมไหว้
ทูลว่าเมื่อข้าออกชิงชัย ต่อกรกับไอ้อสุรี
เพราะประมาทในการรณยุทธ์ จึ่งต้องอาวุธยักษี
หากพระองค์มาช่วยทันที จึ่งรอดชีวีคืนมา
พระคุณลํ้าฟ้าสุธาธาร พระสุเมรุจักรวาลภูผา
จะฉลองรองเบื้องบาทา ไปกว่าจะสิ้นชีวัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์รังสรรค์
ฟังพระอนุชารำพัน รับขวัญแล้วกล่าววาที
อันองค์สมเด็จพระจักรา ใช้เรามาปราบยักษี
แม้นเจ้าสุดสิ้นชีวี ตัวพี่ก็จะตายตามไป
ว่าแล้วขึ้นยังบัลลังก์รถ ให้เลิกทศโยธาทัพใหญ่
โห่สนั่นลั่นเลื่อนภพไตร กลับไปสุวรรณพลับพลา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายกองคอยเหตุยักษา
แอบอยู่แทบเชิงบรรพตา คอยฟังกิจจาไพรี
เห็นมนุษย์คืนได้ชีวัน วานรโห่สนั่นอึงมี่
ตกใจเพียงจะแทรกปถพี อสุรีก็รีบเข้าเวียงชัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งตรงเข้าไปเฝ้า น้อมเกล้าบังคมประนมไหว้
ทูลว่ามนุษย์ไม่บรรลัย เลิกทัพกลับไปพลับพลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวจักรวรรดิยักษา
ได้ฟังตะลึงทั้งกายา อสุรารำพึงคะนึงคิด
อันมนุษย์สิต้องหอกชัย ที่จะไม่บรรลัยนั้นเห็นผิด
ชะรอยมันได้ยามาแก้พิษ ด้วยความคิดพิเภกอสุรี
ไอ้นี่ชั่วช้าสาหัส กูจะตัดเศียรเกล้าเกศี
ประจานไว้ให้ดูทั้งธาตรี จงสาที่ริษยาอาธรรม์
คิดแล้วจึ่งมีบรรหาร สั่งนางพนักงานสาวสวรรค์
ไปหาลูกรักร่วมชีวัน สุริยาภพนั้นให้ขึ้นมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝูงนางกำนัลเสน่หา
รับสั่งพญาอสุรา ถวายบังคมลาแล้วเหาะไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งตรงเข้าไปเฝ้า น้อมเกล้าบังคมประนมไหว้
ทูลว่าพระองค์ทรงภพไตร ใช้ให้มาแจ้งบทมาลย์
ด้วยมนุษย์ซึ่งเป็นปัจจามิตร คืนได้ชีวิตสังขาร
ให้เชิญไปปรึกษาราชการ ที่จะคิดรอนราญไพรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึ่งสุริยาภพยักษี
ฟังข่าวผ่าวร้อนดั่งอัคคี อสุรีอัดอั้นตันใจ
เอะไฉนฉะนี้มนุษย์ จึ่งแก้เทพอาวุธของกูได้
คิดแล้วลงจากปราสาทชัย ฝูงกำนัลในก็ตามมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงน้อมเศียรอภิวาทน์ พระบิตุรงค์ธิราชยักษา
อยู่ในท่ามกลางเสนา อสุราคอยฟังพระวาที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวจักรวรรดิยักษี
เห็นลูกรักร่วมชีวี จึ่งมีบัญชาตรัสไป
ซึ่งเจ้าสังหารปัจจามิตร กลับรอดชีวิตขึ้นได้
เพราะไอ้พิเภกจังไร มันบอกยาให้แก้กัน
อันสงครามครั้งนี้นี่สามารถ ดั่งศึกเทวราชในสรวงสวรรค์
แล้วโยธาวานรทั้งนั้น สันทัดในการต่อตี
บิดานี้หนักใจนัก จะเหมือนครั้งทศพักตร์ยักษี
จะคิดอ่านประการใดดี ไพรีจึงจะม้วยมรณา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึ่งสุริยาภพยักษา
น้อมเศียรสนองพระบัญชา ผ่านฟ้าอย่าร้อนฤทัย
มาตรแม้นถึงไอ้พิเภก จะรู้ยาแก้เมฆพัทได้
ลูกรักก็เรืองฤทธิไกร คทาธรศรชัยนั้นยังมี
ทั้งจักรแก้วศักดาวราเดช ปราบเทเวศได้ทุกราศี
จะเกรงมันไยไอ้อัปรีย์ วันนี้จะยกไปราญรอน
สังหารผลาญสองมนุษย์ ด้วยกำลังฤทธิรุทรพระแสงศร
ทั้งพวกสวาวานร ให้ตายด้วยกรของลูกยา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวจักรวรรดิยักษา
ได้ฟังดั่งอมฤตฟ้า มาโสรจสรงกายาให้สำราญ
สี่ปากสำรวลสรวลสันต์ แปดหัตถ์ตบสนั่นฉาดฉาน
ลูบหลังแล้วมีโองการ เจ้าผู้ปานดวงเนตรดวงใจ
มิเสียแรงที่ทรงศักดา ทั้งไตรโลกาไม่หาได้
ซึ่งเจ้าจะยกออกไป ชิงชัยกับพวกปัจจามิตร
อันสองมนุษย์แลวานร จงพ่ายแพ้ฤทธิรอนศรสิทธิ์
นึกสิ่งใดให้สมอารมณ์คิด ดวงชีวิตพ่อไปสวัสดี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึ่งสุริยาภพยักษี
รับพรบิตุรงค์ทรงธรณี ถวายอัญชุลีแล้วออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงพระมหาปราสาท ตรัสสั่งอำมาตย์ยักษา
จงเตรียมจตุรงค์โยธา กูจะไปเข่นฆ่าพวกพาล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุพินสันผู้ปรีชาหาญ
ก้มเกล้ารับบัญชาการ ขุนมารออกจากพระโรงคัล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ยานี

๏ เกณฑ์เป็นกระบวนจตุรงค์ เลือกล้วนอาจองแข็งขัน
ขุนช้างขี่ช้างซับมัน พื้นผูกเครื่องมั่นอลงกรณ์
ขุนม้าขี่ม้าอาชาชาติ ร้ายกาจว่องไวดั่งไกรสร
ขุนรถขี่รถสามงอน ปักธงมังกรแผลงฤทธิ์
ขุนพลจัดพวกพลยุทธ์ อึงอุดแน่นนันต์อกนิษฐ์
บ้างถือหอกง้าวปืนพิษ คทาธรศรสิทธิ์ทุกตน
กวัดแกว่งดั่งแสงเพลิงพราย ไพร่นายเอิกเกริกกุลาหล
เป็นระเบียบเรียบริ้วขนัดพล เกลื่อนกล่นตามแถวมรคา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ลูกท้าวสี่พักตร์ยักษา
ครั้นใกล้ศุภฤกษ์เวลา มาเข้าที่สรงสาคร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

โทน

๏ ชำระสระสนานวาริน สุคนธาธารกลิ่นเกสร
สอดทรงสนับเพลาเชิงงอน อุทุมพรภูษาท้องพัน
ชายไหวดวงประพาฬก้านขด ชายแครงมรกตทับทิมคั่น
ฉลององค์พื้นม่วงดวงสุวรรณ ทับทรวงกุดั่นตาบทิศ
ทองกรพาหุรัดรูปภุชงค์ ธำมรงค์พลอยมณีโลหิต
ทรงมงกุฎแก้วชวลิต ดอกไม้ทิศกุณฑลกรรเจียกจร
ห้อยพวงสุวรรณมาลา จับคทาจักรแก้วธนูศร
งามคล้ายบิตุเรศฤทธิรอน บทจรมาขึ้นพิชัยรถ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

โทน

๏ รถเอยรถศึก กงกำแก้วผลึกอลงกต
เอกงอนอ่อนงามช้อยชด ชั้นลดภาพล้อมบัลลังก์ลอย
เครือขดเรือนเก็จเสากาบ พรหมศรกระหนาบกระหนกห้อย
บันแววแก้ววามอร่ามพลอย สุกย้อยงามเพียงพิมานอินทร์
เทียมด้วยราชสีห์สี่พัน โลทันมือถือธนูศิลป์
ขับทะยานผ่านเร็วดั่งหงส์บิน เครื่องสูงบังทินกรพราย
ปี่กลองฆ้องขานประสานเสียง สำเนียงเพียงพลิกแผ่นดินหงาย
โห่ร้องก้องกึกทั้งไพร่นาย เร่งพลนิกายดำเนินไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงซึ่งที่สนามยุทธ์ จึ่งให้หยุดโยธาทัพใหญ่
ตั้งเป็นกระบวนลงไว้ ที่ใกล้แนวเนินคีรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตทรงสวัสดิ์รัศมี
เสด็จเหนืออาสน์แก้วรูจี ในที่สุวรรณพลับพลา
พร้อมทหารทั้งสามพระนคร ยักษาวานรถ้วนหน้า
หมอบเฝ้าตามที่อันดับมา ดั่งดารารายล้อมดวงจันทร์
พอได้ยินสำเนียงโห่ร้อง กึกก้องเพียงพื้นสุธาลั่น
โพยมพยับอับแสงสุริยัน เป็นควันมืดคลุ้มชอุ่มไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ จึ่งมีพระราชบัญชา ถามพิเภกโหราผู้ใหญ่
อันซึ่งสำเนียงเกรียงไกร คือใครยกมาวันนี้ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ท้าวทศคิริวงศ์ยักษี
ก้มเกล้ารับราชวาที ก็จับยามตามที่เวลา
ทั้งอัศกาลแลตรีเนตร โดยเคยสังเกตของยักษา
เห็นแจ้งไม่แคลงวิญญาณ์ อสุรากราบทูลด้วยปรีชาญ
อันทัพที่ยกออกมารบ คือสุริยาภพใจหาญ
ตัวมันจะสิ้นชนมาน ในที่สถานชิงชัย
ด้วยว่าชันษาถึงฆาต ซึ่งจะคลาดล่วงวันนั้นหาไม่
ขอเชิญพระองค์ทรงฤทธิไกร เสด็จไปสังหารอสุรี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์เรืองศรี
ได้ฟังพิเภกก็ยินดี จึ่งมีพระบัญชาการ
สั่งพญาสุครีพฤทธิรอน จงเกณฑ์นิกรทวยหาญ
เราจะยกออกไปรอนราญ ผลาญไอ้อาธรรม์ให้บรรลัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พญาสุครีพทหารใหญ่
รับสั่งพระองค์ทรงฤทธิไกร บังคมไหว้แล้วรีบออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ยานี

๏ จัดกระบวนเสนาตัวหาญ ลูกพระกาลเป็นเศียรปักษา
นิลราชนิลนนท์เป็นสองตา ปากเสนานิลปานัน
นิลเอกนั้นให้เป็นลิ้น คอคือกระบินทร์นิลขัน
ปีกขวาหัทวิกัน ปีกซ้ายวิสันตราวี
สุรเสนสุรการทหารกล้า เป็นสองบาทาปักษี
กองหลวงนั้นตัวสกุณี หางคือกระบี่ชมพูพาน
จังเกียงนั้นเป็นเล็บลิ้น ยักษาพานรินทร์ทวยหาญ
สลับกันเป็นขนเหยี่ยวกาล อันสุครีพหนุมานองคต
พิเภกอสุรผัดผู้นัดดา เคียงราชรถาทั้งหมด
ตั้งระเบียบเรียบกันเป็นหลั่นลด คอยบทจรพระภูมี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตทรงสวัสดิ์รัศมี
กับพระอนุชาร่วมชีวี เสด็จมาเข้าที่สรงชล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

โทน

๏ สองกษัตริย์สระสนานสำราญกาย ปทุมทองโปรยปรายดั่งสายฝน
ทรงสุคนธาทิพย์เสาวคนธ์ ปรุงปนเกสรสุมามาลย์
สนับเพลาภูษาต่างสี เทวครีแย่งยกกระหนกก้าน
ชายแครงกุดั่นดวงประพาฬ ชายไหวแก้วกาญจน์อลงกรณ์
ฉลององค์พื้นผุดสุวรรณพราย สังวาลวัลย์สามสายประภัสสร
ตาบทิศทับทิมอรชร ทับทรวงสร้อยอ่อนพาหุรัด
ทองกรรักร้อยพลอยเพชร ธำมรงค์เรือนเก็จกาบสะบัด
มรกตแก้วคู่ทรงจักรพรรดิ กรรเจียกจรเนาวรัตน์พรายพรรณ
ห้อยพวงมาลัยดอกไม้มาศ ต่างจับศรสาตร์พระแสงขรรค์
งามดั่งสุริยากับพระจันทร์ ตามกันมาขึ้นรถทรง ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ รถเอยรถมรกต แอกงอนอ่อนชดงามระหง
เรือนรองทองครํ่ากำกง ดุมวงดูแววด้วยเนาวรัตน์
ลดชั้นคั่นภาพรายเรียง เทพนมครุฑเคียงสิงห์อัด
งามแม้นรถทรงจักรพรรดิ บุษบกบันสะบัดปราลี
เทียมสินธพสี่ดั่งสีสังข์ มีกำลังดั่งพญาราชสีห์
ขุนรถกรายแส้ประลองตี ขับรี่ดั่งรถพระทินกร
พระสัตรุดนั่งหน้าประนมหัตถ์ มยุรฉัตรพรายแสงประภัสสร
ชุมสายบังสีรวีวร แตรงอนฆ้องกลองประโคมครึก
ไชยามพวานฤทธิรณ โบกธงนำพลกระบวนศึก
วานรโห่สนั่นพันลึก คึกคึกรีบเร่งกันมา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายสุริยาภพยักษา
ยืนรถอยู่กลางโยธา เห็นมนุษย์ยกมาแต่ไกล
โกรธาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน กระทืบบาทสนั่นหวั่นไหว
จึ่งมีสิงหนาทประกาศไป เหวยไวยกาสูรเสนี
จงขับพหลพลยักษ์ เข้าหักโจมทัพกระบี่ศรี
ฆ่าเสียทั้งจอมโยธี ให้สาที่นํ้าใจอหังการ์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งไวยกาสูรยักษา
น้อมเกล้ารับราชบัญชา ก็ขับโยธาเข้าราญรอน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายพวกพลมารชาญสมร
วิ่งวุ่นหนุนกลุ้มตะลุมบอน เข้าต่อกรด้วยพวกพานรินทร์
พุ่งซัดอาวุธสับสน ลางตนก็ยิงธนูศิลป์
เสียงปืนครื้นครั่นสนั่นดิน อสุรินทร์ไม่คิดชีวา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายพลวานรทัพหน้า
ไม่ทันตั้งยั้งหยุดกายา ยักษาจู่โจมเข้าราวี
ลางตนรับรอต่อประจัญ ลางตนขยั้นถอยหนี
จนนายหมวดตรวจไล่โบยตี หมู่กระบี่จึ่งกลับเข้าชิงชัย
ถีบตบขบกัดฟัดฟาด พลมารตายกลาดไม่นับได้
บ้างชิงฉุดอาวุธวุ่นไป โลดไล่แทงฟันอสุรา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายพลทหารยักษา
รบรุกคลุกคลีตีประดา ปีกซ้ายปีกขวากระหนาบกัน
ทัพหน้าวานรเสียที อสุรีโห่ร้องเสียงสนั่น
ยิงปืนมืดกลุ้มชอุ่มควัน ไล่แทงไล่ฟันวุ่นไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น หมู่กระบี่สองปีกเหยี่ยวใหญ่
ทั้งกองหนุนกองขันเกรียงไกร กรูกันเข้าไปประจัญรับ
อสุราไม่รอต่อกร วานรถาโถมโจมจับ
ได้ทีตีรุกทุกทัพ พลมารแตกยับไม่สมประดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กาลวุธกาลจักรยักษี
เห็นวานรบุกบันประจัญตี โยธีแตกพ่ายกระจายมา
สองนายโกรธาตัวสั่น ขบฟันเขม้นเข่นฆ่า
กระทืบบาทผาดเสียงเป็นโกลา แกว่งคทาโลดโผนโจนทะยาน
ไล่ตีกลางพลวานร ด้วยฤทธิรอนกำลังหาญ
หมู่ลิงวิ่งหนีลนลาน สองมารไล่รุกคลุกคลี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นิลพัทนิลนนท์กระบี่ศรี
เห็นยักษาตีพลโยธี กริ้วโกรธแกว่งตรีทะยานมา
นิลพัทโจมจับกาลวุธ ด้วยกำลังฤทธิรุทรแกล้วกล้า
นิลนนท์ผู้มีศักดา จับกาลจักรกลางแปลง
สี่นายทรหดอดทน ต่างตนต่างกล้าต่างแข็ง
กลอกกลับจับกันประจัญแรง ต่างตีต่างแทงไม่ลดกร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กาลวุธกาลจักรชาญสมร
สองนายรับสองวานร แกว่งคทาธรทะยานยุทธ์
รับรองป้องปัดกันไปมา หันเหียนเปลี่ยนท่าอุตลุด
ถ้อยทีถ้อยมีฤทธิรุทร ฉวยชิงอาวุธวุ่นไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นิลพัทนิลนนท์ทหารใหญ่
รบชิดติดพันว่องไว ทะลวงไล่โถมถีบด้วยบาทา
ล้มลงกับพื้นสุธาธาร ทะยานขึ้นเหยียบอกยักษา
หวดด้วยตรีเพชรอันศักดา อสุราสุดสิ้นชีวี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น จึ่งสุริยาภพยักษี
เห็นสองวานรเข้าต่อยตี ฆ่าสองอสุรีบรรลัย
กริ้วโกรธพิโรธดั่งเพลิงกัลป์ กระทืบบาทสนั่นหวั่นไหว
ฉวยชักพระแสงศรชัย พาดสายแผลงไปด้วยฤทธิ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เปรี้ยงเปรี้ยงดั่งเสียงสุนีบาต เป็นศรเกลื่อนกลาดอกนิษฐ์
ต้องพลวานรปัจจามิตร สุดสิ้นชีวิตดาษดา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์นาถา
เห็นศรอสุรีแผลงมา ต้องพลสวาวานร
ตายยับทับกันเกลื่อนกลาด จึ่งชักพลายวาตแสงศร
น้าวหน่วงด้วยกำลังฤทธิรอน น้องพระสี่กรก็แผลงไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เสียงสนั่นหวั่นไหวทั้งไตรจักร ต้องศรมารหักไม่ทนได้
พลยักษ์ตายยับทั้งทัพชัย กระบี่ไพรกลับเป็นขึ้นพร้อมกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ลูกท้าวจักรวรรดิรังสรรค์
เห็นศรล้างศรกุมภัณฑ์ ทั้งพวกพลขันธ์บรรลัยลาญ
ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันสนั่นฟ้า สองตาดั่งดวงพระสุริย์ฉาน
ฉวยจับจักรแก้วสุรกานต์ ขุนมารขว้างไปด้วยฤทธี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เป็นจักรลอยเลื่อนเกลื่อนกลาด สำเนียงกัมปนาทอึงมี่
ล้อมรอบรถรัตน์มณี สำแดงฤทธีจะราญรอน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์ทรงศร
เห็นจักรลูกท้าวแปดกร ร่อนร้อนใกล้รถเข้ามา
จึ่งจับจันทวาทิตย์พาดสาย หมายล้างอาวุธยักษา
น้าวหน่วงด้วยกำลังศักดา ผ่านฟ้าก็แผลงไปทันที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ศรชัยไล่ล้างจักรมาร เสียงสะเทือนสะท้านทุกราศี
ต้องทั้งรถทรงอสุรี เป็นภัสม์ธุลีไปด้วยกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สุริยาภพฤทธิแรงแข็งขัน
ตกจากรถแก้วแพรวพรรณ กุมภัณฑ์ยิ่งกริ้วโกรธา
ลุกขึ้นกวัดแกว่งคทาวุธ สำแดงฤทธิรุทรแกล้วกล้า
กระทืบบาทผาดโผนโจนมา ฉวยงอนรถาทันที
ดั่งไพจิตรากุมภัณฑ์ จับเวไชยันต์โกสีย์
คร่ากระชากลากฉุดจะราวี ด้วยกำลังฤทธีขุนยักษ์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น น้องพระหริวงศ์ทรงจักร
แลเห็นลูกท้าวสี่พักตร์ ฉวยหักงอนราชรถชัย
พระกรกวัดแกว่งศรสาตร์ งามวิลาสไม่มีที่เปรียบได้
ตีต้องอสุราซวนไป ด้วยฤทธิไกรพระภูมี
แล้วเสด็จลงจากรถทรง กับองค์พระสัตรุดเรืองศรี
เข้าไล่โจมจับอสุรี ในที่ท่ามกลางโยธา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึ่งสุริยาภพยักษา
ผู้เดียวรับสองกษัตรา แกว่งคทาถาโถมโรมรัน
ตีซ้ายป่ายขวากุลาหล จับกันสามตนดั่งจักรผัน
หันเหียนเปลี่ยนท่าพัลวัน กุมภัณฑ์ไม่ละลดกร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทั้งสองน้องนารายณ์ทรงศร
ต่างแกว่งศิลป์สิทธิ์ฤทธิรอน เข้าไล่ต่อกรอสุรา
พระเชษฐาขึ้นเหยียบบ่าซ้าย น้องชายนั้นเหยียบเข่าขวา
พระสัตรุดฉุดชิงคทา พระพรตตีอสุรากระเด็นไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ แล้วจับพรหมาสตร์ศรทรง ขององค์พระนารายณ์ประทานให้
พาดสายหมายล้างชีวาลัย น้าวหน่วงแผลงไปด้วยฤทธี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ พสุธาอากาศก็หวาดหวั่น เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นทุกราศี
ต้องสุริยาภพสิ้นชีวี ปลิวไปคิรีจักรวาล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ยานี

๏ เมื่อนั้น เทวานางฟ้าทุกสถาน
ซึ่งสถิตยังทิพย์พิมาน เห็นน้องพระอวตารสี่กร
สังหารผลาญสุริยาภพ ล้มในที่รบด้วยแสงศร
ต่างองค์ปรีดาสถาวร เผยบัญชรรัตน์มณี
เยี่ยมยิ้มพริ้มพักตร์สรวลสันต์ ตบหัตถ์สนั่นอึงมี่
บ้างบรรเลงดุริยางค์ดนตรี ขับครวญดีดสีวุ่นไป
บ้างโปรยข้าวตอกทิพมาศ มณฑามาลาศลงมาให้
หอมหวนตลบอบอาบใจ อวยชัยให้พรทั้งเมืองฟ้า ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตพระสัตรุดนาถา
ครั้นเสร็จสังหารอสุรา เทวาโปรยทิพย์สุมามาลย์
เกลื่อนกลาดดาษพื้นพนาลี มีกลิ่นเสาวคนธ์หอมหวาน
พระหยิบดมชมเล่นสำราญ ผ่านฟ้าเสด็จขึ้นรถชัย
ให้เลิกโยธาพลากร ยักษาวานรน้อยใหญ่
โห่สนั่นครั่นครื้นภพไตร กลับไปสุวรรณพลับพลา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายกองคอยเหตุยักษา
แอบอยู่ตามเชิงบรรพตา เห็นสุริยาภพกุมภัณฑ์
รณรงค์ต้องศรบรรลัย ตกใจหน้าซีดตัวสั่น
ดั้นดัดลัดป่าพนาวัน พากันเร่งรีบเข้าธานี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงประณตบทบงสุ์ ทูลองค์จักรวรรดิยักษี
ว่าพระโอรสธิบดี ไปต่อตีด้วยราชภัยพาล
บัดนี้ต้องศรสวรรคต ม้วยหมดทั้งพลทวยหาญ
อันซึ่งซากศพขุนมาร แหลกลาญไม่เห็นประจักษ์ตา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวจักรวรรดิยักษา
แจ้งว่าโอรสผู้ศักดา สุดสิ้นชีวาในที่รบ
ด้วยศรมนุษย์อันเพริศพราย สิ้นสาบสูญหายทั้งซากศพ
ตกใจดั่งมีมาณพ มาพลิกราชพิภพให้ควํ่าไป
ชลเนตรกระเด็นออกจากเนตร แสนทุกข์แสนเทวษละห้อยไห้
อ้าโอษฐ์สะท้อนถอนใจ อาลัยครวญครํ่ารำพัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

โอ้

๏ โอ้สุริยาภพของพ่อเอ๋ย ไฉนเลยมาม้วยอาสัญ
เจ้าก็เรืองฤทธิไกรดั่งไฟกัลป์ ปราบได้ถึงสวรรค์ชั้นบาดาล
ตั้งใจบำรุงเลี้ยงมา จะให้ครองพาราราชฐาน
เป็นเจ้าอสูรหมู่มาร หรือมาแพ้พวกพาลทรลักษณ์
เป็นที่อัปยศอดอาย จะดูหมิ่นยินร้ายทั้งไตรจักร
เสียแรงเป็นสุริย์วงศ์ยักษ์ จรรโลงหลักโลกาธาตรี
ตั้งแต่วันนี้จะแลลับ ดั่งเดือนดับสิ้นแสงรัศมี
ทีนี้อริราชไพรี จะมีแต่กำเริบอหังการ์
อกเอ๋ยจะได้ผู้ใด ออกไปช่วยพ่อเข่นฆ่า
เหมือนเจ้าผู้มีศักดา รํ่าพลางโศกาจาบัลย์ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด

ร่าย

๏ สร่างโศกคืนคิดด้วยจิตพาล พญามารกริ้วโกรธหุนหัน
เหม่เหม่มนุษย์เท่าแมงวัน มาดูหมิ่นกันนักไป
ดีแล้วจะเป็นไรมี กูจะผลาญชีวีเสียให้ได้
ดูก่อนเสนาปรีชาไว ไปหาบรรลัยจักรขึ้นมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนีผู้มียศถา
รับสั่งถวายบังคมลา ก็รีบมาปราสาทพระโอรส ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงน้อมเศียรอภิวาทน์ กราบทูลแทบบาทบงกช
ว่าพระเชษฐาผู้ทรงยศ สวรรคตด้วยราชไพรี
บัดนี้สมเด็จพระบิดา ให้ข้ามาเชิญบทศรี
ขึ้นไปเฝ้าองค์พระภูมี ยังในที่ท้องพระโรงคัล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น บรรลัยจักรฤทธิแรงแข็งขัน
รู้ว่าเชษฐากุมภัณฑ์ สุดสิ้นชีวันด้วยพวกภัย
ความรักความเสียดายเป็นพ้นนัก ดั่งใครควักดวงเนตรไปได้
ทั้งโกรธทั้งแค้นแน่นใจ ก็รีบไปพระโรงรัตนา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงน้อมเศียรบังคมบาท พระบิตุรงค์ธิราชยักษา
ชลนัยน์ไหลอาบพักตรา อสุราคอยฟังพระวาที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวจักรวรรดิยักษี
ครั้นเห็นลูกรักร่วมชีวี จึ่งมีพระราชโองการ
ตรัสว่าดูก่อนบรรลัยจักร ลูกรักผู้ปรีชาหาญ
พี่เจ้าออกไปรอนราญ สุดสิ้นชนมานกลางยุทธ์
พ่อไม่เห็นใครที่อาจอง ซึ่งจะออกรณรงค์สัประยุทธ์
เจ้าผู้ศักดาวรารุทร จงไปล้างมนุษย์วานร
แก้แค้นแทนมือมันจงได้ ด้วยกำลังฤทธิไกรชาญสมร
ให้ปรากฏเกียรติยศขจายจร ถาวรอยู่ชั่วกัลปา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น บรรลัยจักรสุริย์วงศ์ยักษา
ได้ฟังบรรหารพระบิดา กราบกับบาทาแล้วทูลไป
อันศึกเพียงนี้ไม่หนักนัก พอจักสนองพระคุณได้
ตัวลูกจะขอออกชิงชัย มิให้เคืองใต้บาทธุลี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวจักรวรรดิยักษี
ได้ฟังโอรสก็ยินดี ดั่งวารีทิพย์ชโลมทา
ความทุกข์ความร้อนนั้นหายสิ้น อสุรินทร์ตบมือสรวลร่า
ลูบหลังแล้วมีบัญชา แก้วตาจงเร่งยกไป
อันหมู่อริราชไพรี อย่าต่อฤทธีเจ้าได้
แม้นเสร็จสงครามเมื่อใด พ่อจะให้ครอบครองพระนคร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น บรรลัยจักรใจหาญชาญสมร
บังคมก้มเกล้ารับพร องค์พระบิดรแล้วกลับมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงมหาปราสาท เสด็จเหนือสิงหาสน์ฝ่ายหน้า
จึ่งมีพระราชบัญชา ตรัสสั่งเสนาผู้ร่วมใจ
จงเกณฑ์ม้ารถคชสาร สุรโยธาหาญน้อยใหญ่
พรุ่งนี้จะยกออกไป ชิงชัยด้วยราชไพรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุพินสันเสนายักษี
รับสั่งพระองค์ทรงฤทธี ถวายอัญชุลีแล้วออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ยานี

๏ จัดพวกทหารชำนาญศึก สี่หมู่ห้าวฮึกแกล้วกล้า
เหล่าหนึ่งใส่เสื้อสีฟ้า ถือหอกเงื้อง่ากระหยับแทง
หมู่หนึ่งใส่เสื้อดอกคำ ถือทวนกรายรำกวัดแกว่ง
เหล่าหนึ่งพื้นใส่เสื้อแดง ถือธนูขัดแล่งลูกพิษ
หมู่หนึ่งล้วนใส่เสื้อลาย มือถือทองปรายเหน็บกริช
แต่ละตนล้วนมีศักดาฤทธิ์ อาจสู้ปัจจามิตรได้ถึงพัน
ขุนช้างก็ผูกช้างศึก เรียกมันครั่นครึกแผ่นดินลั่น
ขุนม้าผูกม้าตัวฉกรรจ์ ฝีเท้าเร็วทันลมพัด
ขุนรถเทียมรถด้วยไกรสร สารถีถือค้อนยืนหยัด
ตั้งเป็นกระบวนเยียดยัด อึงอัดเพียบพื้นธรณี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น บรรลัยจักรสุริย์วงศ์ยักษี
ครั้นแสงทองส่องฟ้าธาตรี เสด็จไปเข้าที่สนานกาย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ ปทุมทองโปรยปรายใสสะอาด ดั่งนํ้าอโนดาตกระแสสาย
ทรงสุคนธ์ปรุงปนสุพรรณพราย กลิ่นขจายขจรฟุ้งจรุงใจ
สนับเพลาเครือยกกระหนกร่วง เชิงงอนพลอยดวงดอกไม้ไหว
ภูษาเขียวทองอำไพ สอดใส่ฉลององค์อลงการ
เกราะแก้วรัดอกกระหนกเกล็ด สังวาลเพชรตาบทิศมุกดาหาร
สร้อยซับทับทรวงดวงประพาฬ พาหุรัดชัชวาลทองกร
ทรงมหาธำมรงค์มงกุฎแก้ว กรรเจียกจรเพชรแพร้วประภัสสร
จับเหราพตฤทธิรอน บทจรขึ้นรถรูจี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ คุกพาทย์

โทน

๏ รถเอยราชรถศึก กงกำแก้วผลึกสลับสี
แอกงอนล้วนแล้วด้วยมณี บุษบกตั้งที่บัลลังก์พราย
ชั้นต้นรูปสิงห์ยืนหยัด ชั้นสองครุฑอัดเฉิดฉาย
ชั้นสามเทพนมเรียงราย กระจังพรายเสาแก้วแวววาม
เทียมด้วยไกรสรสิงหราช สี่พันร้ายกาจชาญสนาม
โลทันสันทัดในสงคราม กรายทวนขับตามดำเนินรถ
เครื่องสูงชุมสายรายรัตน์ มยุรฉัตรกรรชิงกลิ้งกลด
แห่เคียงเรียงกันเป็นหลั่นลด โบกธงหน้ารถเป็นสำคัญ
แซ่เสียงปี่กลองก้องกึก ประโคมครึกเพียงพื้นแผ่นดินลั่น
หมู่มารขานโห่รับกัน เร่งพวกพลขันธ์ดำเนินจร ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงให้หยุดพลหาญ ริมธารแทบเชิงสิงขร
ในที่ชัยภูมิสถาวร คอยจะราญรอนปัจจามิตร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ