สมุดไทยเล่มที่ ๑๙

๏ เมื่อนั้น ท้าวทศรถรังสรรค์
ครั้นสิ้นแสงสีรวีวรรณ แสงจันทร์จำรัสอัมพร
ประดับด้วยดวงดาราราย เลื่อมพรายโอภาสประภัสสร
พระเสด็จสิงหาสน์บัญชร พร้อมหมู่นิกรกำนัลใน
ฟ้อนรำบำเรอเบื้องบาท พิณพาทย์จำเรียงเสียงใส
ไพเราะเสนาะจับใจ สำราญราชฤทัยภูมี
ให้หวนรำพึงคะนึงนัก ถึงนงลักษณ์โฉมไกยเกษี
ด้วยไม่เห็นองค์เทวี ในที่ท่ามกลางนางกำนัล ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ จึ่งชำระสระสรงทรงเครื่อง อร่ามเรืองดั่งเทพรังสรรค์
แล้วเสด็จย่างเยื้องจรจรัล ฝูงอนงค์ทั้งนั้นก็ตามมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงห้องแก้วสุวรรณรัตน์ จึ่งยื่นพระหัตถ์เบื้องขวา
แหวกม่านสุวรรณอลงการ์ ผ่านฟ้าเหลือบแลแปรไป
เห็นนางโศกาจาบัลย์ จะทันรู้กลหญิงก็หาไม่
ด้วยความเสน่หาอาลัย ก็เข้าไปนั่งแนบเทวี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

โอ้ชาตรี

๏ ลูบหลังแล้วมีพจนารถ สายสวาทนิ่มเนื้อมารศรี
เป็นไฉนจึ่งทรงโศกี แสนทวีเทวษเวทนา
โรคาแผ้วพานประการใด หรือใครให้เคืองจิตขนิษฐา
ตรัสพลางทางเช็ดชลนา เจ้าอย่าโศกาอาวรณ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางไกยเกษีดวงสมร
ได้ฟังบรรหารพระภูธร บังอรยิ่งโศกาลัย
ทำสะอึกสะอื้นด้วยมารยา จะสนองบัญชาก็หาไม่
แต่สะท้อนถอนทอดฤทัย ในที่แท่นแก้วอลงการ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

โลม

๏ น้องเอยน้องรัก เยาวลักษณ์ผู้ยอดสงสาร
เป็นไฉนฉะนี้นะนงคราญ จึ่งแสนโศกทรมานไม่พาที
พี่นี้ฉงนสนเท่ห์ใจ ให้เร่าร้อนฤทัยดังเพลิงจี่
อันจะนิ่งโศกาอยู่ดั่งนี้ เหมือนจะแกล้งให้พี่เวทนา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางไกยเกษีเสน่หา
สะอื้นพลางพลางทูลกิจจา ข้าไม่มีโรคาสิ่งใด
แต่ให้ชอกช้ำระกำจิต คิดน้อยใจตัวจึ่งร้องไห้
เสียแรงภักดีต่อภูวไนย ไม่อาลัยแก่ชีพชีวี
เมื่อไปล้างปทูตกุมภัณฑ์ ในชั้นพิภพโกสีย์
สู้เอากรต่างเพลารถมณี จึ่งผลาญอสุรีบรรลัยลาญ
พระองค์ให้สัตย์สัญญา โองการดั่งงาคชสาร
ข้าบาทดูมาก็ช้านาน ยังไม่ได้ประทานสิ่งใด ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

โลม

๏ ดวงเอยดวงเนตร อัคเรศผู้ยอดพิสมัย
รักนางพ่างเพียงฤทัย ว่าไยฉะนี้วนิดา
ซึ่งเจ้าจงรักสุจริต สู้เสียชีวิตสังขาร์
ความชอบนั้นพ้นคณนา ใช่ว่าลืมไปเมื่อไรมี
สิ่งใดซึ่งน้องต้องประสงค์ แก้วตาเจ้าจงบอกพี่
จะให้สมปรารถนานางเทวี มารศรีอย่าโศกาลัย ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระเยาวมาลย์ผู้มีอัชฌาสัย
ได้ฟังบรรหารภูวไนย บังคมไหว้สนองพระวาจา
ข้าจะขอสัตย์ที่ปฏิญาณ ผ่านเกล้าจงโปรดเกศา
ซึ่งจะให้พระรามลูกยา เป็นปิ่นโลกาประชากร
พระองค์จงได้เงือดงด ขอให้โอรสของข้าก่อน
ให้พระรามไปจากพระนคร สัญจรเดินไพรสิบสี่ปี
จึ่งกลับมาครองนคเรศ เป็นมงกุฎเกศบุรีศรี
ความปรารถนาข้าเท่านี้ ภูมีจงให้สมคิด ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระบิตุรงค์องค์พระจักรกฤษณ์
ได้ฟังดั่งต้องปืนพิษ ชีวิตเพียงม้วยด้วยวาจา
น้อยหรืออีไกยเกษี ใจมันกาลีริษยา
จะแกล้งมาผลาญชีวา ให้กูมรณาไม่อาลัย
อันน้ำใจหญิงทั้งไตรจักร จะเหมือนอีทรลักษณ์นี้หาไม่
จะใคร่แหวะอกดูหัวใจ ให้สมที่มันสาธารณ์
แล้วกลับตรึกไปถึงความสัตย์ ยิ่งเคืองขัดเร่าร้อนดังเพลิงผลาญ
ฆ่าเสียก็จะเสียปฏิญาณ จำจะพจมานโดยดี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

โลม

๏ สุดเอยสุดสวาท นุชนาฏผู้มิ่งมารศรี
รักเจ้าเท่าดวงชีวี ไฉนว่าดั่งนี้นะทรามวัย
อันองค์พระพรตเป็นน้อง จะครองเมืองก่อนพี่กระไรได้
ผิดประเวณีธรรมแต่ก่อนไป ไตรโลกจะล่วงนินทา
แม้นขออื่นจะให้เทวี ขัอนี้เหมือนเจ้าริษยา
แก่องค์พระรามลูกยา แก้วตาคิดดูให้ควรการ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น นางไกยเกษียอดสงสาร
ได้ฟังจึ่งตอบพจมาน ด้วยปรีชาชาญทันที
ซึ่งมีมธุรสพจนารถ ข้าบาททราบเกล้าเกศี
อันวงศ์กษัตริย์ในธาตรี ทั่วทุกบุรีกรุงไกร
ย่อมเสวยโภไคยไอศูรย์ โดยประยูรอันดับน้อยใหญ่
ตามเรื่องเนื่องวงศ์ลงไป ด้วยมิได้ให้สัตย์ไว้ต่อกัน
ข้าไม่จำนงจงจิต ริษยาพระรามรังสรรค์
จะช่วยบำรุงสัตย์พระทรงธรรม์ ให้โลกนั้นลือทั่วทั้งไตรดาล ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจอมจักรพรรดิมหาศาล
ได้ฟังเร่าร้อนในวิญญาณ ปานดั่งต้องสายอสุนี
ตะลึงคิดเป็นครู่แล้วบัญชา อนิจจานางไกยเกษี
แสนรักพี่รักพันทวี ครั้งนี้ควรหรือไม่อาลัย
ซึ่งให้สัตย์เจ้าก็จริงอยู่ โฉมตรูหาขอสิ่งใดไม่
ครั้นจะให้พระรามผ่านเวียงชัย แกล้งมาทำให้เสียการ
จะดีอยู่แต่สัตย์สัญญาเจ้า คำเราสั่งแล้วดั่งงาสาร
กลายกลับก็จะได้อัประมาณ นงคราญไม่คิดปรานี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น โฉมนวลนางไกยเกษี
ได้ฟังพระราชวาที ชุลีกรสนองพระบัญชา
ซึ่งจะยกสมบัติให้พระราม ข้อนี้เป็นความหลังข้า
อันสัตย์ซึ่งพระองค์สัญญา ดั่งจารึกศิลาลงไว้
พระรามก็ยังไม่มีชอบ ไฉนพระจึ่งมอบสมบัติให้
ไม่ปรึกษาหารือประการใด ภูวไนยกลับกล่าวดั่งนี้
เมื่อพระองค์ยังทรงเศวตฉัตร เป็นจอมจักรพรรดิเรืองศรี
ฝ่ายข้าก็ยังไม่ได้ที นี่จะยกให้พระรามา
เห็นจะไม่ได้เหมือนสัญญาไว้ จึ่งขอเมืองให้ลูกข้า
พระองค์จงทรงพระเมตตา ขอประทานโทษาในครั้งนี้ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น ท้าวทศรถเรืองศรี
ยิ่งฟังยิ่งแค้นแสนทวี ภูมีอัดอั้นฤทัย
อนิจจาควรหรือมาอาธรรม์ น้ำใจฉกรรจ์หยาบใหญ่
รักแต่ลูกตัวไม่อายใจ จะให้ผ่านโภไคศวรรยา
ก่อนองค์พระรามผู้พี่ เห็นดีก็ตามปรารถนา
แต่ซึ่งจะให้พระจักรา ออกไปอยู่ป่าพนาลัย
ข้อนี้เห็นผิดธรรมนัก อันจักฟังเจ้านั้นไม่ได้
แม้นพระรามจากเมืองวันใด พี่จะม้วยบรรลัยด้วยอาวรณ์
เจ้าจงกลับหลังยั้งคิด เหมือนบำรุงชีวิตเราไว้ก่อน
อย่ากำจัดให้พลัดพระนคร ดวงสมรจงได้เมตตา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางไกยเกษีเสน่หา
ยอกรสนองพระบัญชา ผ่านฟ้าเลือกว่าแต่ความดี
อันตัวของข้านี้จงรัก สามิภักดิ์ต่อเบื้องบทศรี
หวังบำรุงสัตย์ภูมี ให้ตรีโลกปรากฏพระยศไป
เหมือนหนึ่งความสัตย์พระบิตุรงค์ มั่นคงหาขุ่นมัวไม่
เชือดเนื้อแลกชีวิตสัตว์ไว้ มิได้อาลัยแก่ชีวัน
นี่แต่พระรามจะทรงพรต เป็นดาบสไปอยู่ไพรสัณฑ์
แต่สิบสี่ปีไม่ช้าพลัน พระลูกนั้นก็คืนเวียงชัย
พระองค์ผู้ทรงโลกา จะด่วนดับชีวาหาควรไม่
จะเป็นที่พึ่งภพไตร ภูวไนยดำริดูให้ดี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวทศรถเรืองศรี
ได้ฟังกริ้วโกรธดั่งอัคคี จับพระขรรค์โมลีศักดา
กระทืบบาทแล้วมีบรรหาร เหวยอีคนพาลริษยา
กูไม่รู้เลยว่าเป็นกา ใจบาปหยาบช้าอาธรรม์
ส่วนว่าลูกมึงสิมึงรัก ลูกเขาจักฆ่าให้อาสัญ
โลภล้นพ้นตัวทุกสิ่งอัน ความเจ็บอายนั้นก็ไม่มี
ตัวกูซึ่งเลี้ยงมึงมา ดั่งบิดาบังเกิดเกล้าเกศี
จังทานจะผลาญชีวี ให้สามีม้วยบรรลัย
ไว้ไยหนักพื้นสุธาธาร อีใจพาลนี่เลี้ยงไม่ได้
ว่าพลางกวัดแกว่งพระขรรค์ชัย ภูวไนยเงือดเงื้อจะราญรอน ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางไกยเกษีดวงสมร
ไม่คิดชีวาอาวรณ์ ประนมกรกราบลงกับบาทา
จึ่งสนองพระราชวาที ซึ่งภูมีชุบเกล้าเกศา
พระคุณดังคุณพระบิดา พ้นที่จะคณนาไป
ถึงไม่เมตตาจะฆ่าฟัน จะเสียดายชีวันนั้นหาไม่
พระองค์ผู้ทรงภพไตร ที่ไหนจะคงวาที ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวทศรถเรืองศรี
ได้ฟังดั่งเอาอัคคี มาจุดจี้ดวงชีพชีวัน
กวัดแกว่งพระแสงขรรค์ชัย หมายใจจะฆ่าให้อาสัญ
แต่เงือดเงื้อจะพิฆาตฟาดฟัน แล้วทรงธรรม์กลับคิดถึงสัจจา
ก็ขว้างพระแสงเสียจากกร เร่าร้อนเพียงสิ้นสังขาร์
ยิ่งคะนึงถึงองค์พระรามา ผ่านฟ้าแสนโศกร่ำไร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

๏ โอ้ว่าแก้วตาของบิตุเรศ ทรงเดชฟากฟ้าดินไหว
ควรหรือมีมารมาจองภัย จงใจริษยาลูกรัก
มาแกล้งกำจัดให้พลัดพราก จากไอศวรรยาอาณาจักร
มันนี้อาธรรม์ฉกรรจ์นัก ทรลักษณ์หยาบช้าสาธารณ์
คิดฆ่าผัวได้แล้วมิหนำ ซ้ำพรากเจ้าไปไม่สงสาร
บิดาก็จะม้วยวายปราณ เจ้าจะต้องทรมานเดินดง
ยามนอนเคยนอนทิพอาสน์ พ่อจะนอนดินดาษธุลีผง
ยามเสวยเคยรสอันบรรจง จะทรงเสวยผลไม้เผือกมัน
จะต้องฝนแดดลมระทมทุกข์ เสื่อมสุขจากความเกษมสันต์
เคยทรงภูษาพรายพรรณ จะทรงคากรองอันอนาถตา
เสียแรงเป็นนารายณ์อวตาร มาได้ทุกข์ทรมานเดินป่า
ร่ำพลางทางทรงโศกา ดั่งว่าจะสิ้นสมประดี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น จึงนวลนางไกยเกษี
เห็นพระองค์ทรงโศกโศกี นิ่งไปกับที่ไสยา
ให้ยินดีปรีดาในอารมณ์ ด้วยสมพระทัยปรารถนา
จำกูจะไปอยู่ทวารา อย่าให้ใครมาเฝ้าพระภูธร
คิดแล้วลุกจากไสยาสน์ องอาจดั่งนางไกรสร
ดำเนินเยื้องย่างกรายกร บทจรจากห้องบรรทมใน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงประตูก็ทรุดนั่ง แล้วสั่งสาวใช้น้อยใหญ่
เอ็งจงช่วยกันระวังระไว อย่าให้ใครเข้ามาถึงที่นี้ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น สาวใช้นางไกยเกษี
อีกทั้งนางค่อมกุจจี มาพร้อมอยู่ที่ทวารา
มีความยินดีเป็นที่สุด อุตลุดทั้งเจ้าทั้งข้า
ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ส่ายหน้าตา สำรวลสรวลร่าเริงไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น เสนาบดีน้อยใหญ่
ทั้งโยธาทหารนอกใน ครั้นแสงอุทัยสว่างฟ้า
ต่างต่างอาบน้ำทาแป้ง แต่งตัวนุ่งห่มโอ่อ่า
บ้างขี่พาชีเสลี่ยงงา มาคอยท่ารับเสด็จพระจักรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระกฤษณุรักษ์เรืองศรี
ครั้นรุ่งสางสว่างธาตรี ก็เข้าที่สระสรงชลธาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ ชำระสระสนานสำราญองค์ ทรงสุคนธารสหอมหวาน
สนับเพลารายพลอยสุรกานต์ ภูษาลายก้านกระหนกพัน
สอดใส่ชายแครงเครือครุฑ ชายไหวรายบุษย์ทับทิมคั่น
รัดองค์มรกตสังวาลวัลย์ ตาบทิศกุดั่นทับทรวง
พาหุรัดทองกรมังกรกลาย ธำมรงค์เพชรพรายรุ้งร่วง
ทรงมหามงกุฎดอกไม้พวง ห้อยห่วงกุณฑลกรรเจียกจร
ขัดพระขรรค์แก้วอันศักดา พระหัตถ์ขวานั้นจับธนูศร
เสด็จย่างเยื้องกรายกร บทจรจากปราสาทรูจี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

๏ ถึงเกยขึ้นทรงยานุมาศ งามดั่งเทวราชเรืองศรี
งามกษัตริย์สุริย์วงศ์โยธี งามแสนเสนีพร้อมกัน
งามขนัดตาริ้วกันกง งามองค์พระนารายณ์รังสรรค์
งามเครื่องสูงไสวพรายพรรณ งามเกณฑ์แห่คั่นคู่เคียง
งามธงเป็นทิวปลิวโพยม งามเครื่องประโคมประสานเสียง
งามเพราะเสนาะลํ้าจำเรียง งามพ่างเพียงเทพครรไล ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ กลองโยน

๏ บัดนั้น ฝ่ายฝูงประชากรน้อยใหญ่
เบียดเสียดเยียดยัดกันไป ดูการพิชัยพิธี
เห็นพระหริรักษ์จักรา งามสง่าดังองค์โกสีย์
อันทรงเวไชยันต์รูจี โดยเทพวิถีเสด็จจร
ตามชมบุญญาอานุภาพ ยอกรกรานกราบสโมสร
แซ่ซ้องอำนวยอวยพร ให้พระชนม์ถาวรจำเริญนาน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระจักรีผู้ปรีชาหาญ
เสด็จโดยวิถีอันโอฬาร ให้บันดาลหวาดหวั่นฤทัย
อันเครื่องแห่แตรสังข์ประสานเสียง จะเสนาะสำเนียงก็หาไม่
ทั้งพระองค์ก็เคลิ้มตะลึงไป จนมาใกล้โรงราชพิธี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงประทับกับเกยมาศ ลีลาศดั่งพญาราชสีห์
เข้ามณฑปแก้วรูจี ปโรหิตเสนีก็ตามมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งถวายประณตบทบงสุ์ พระวสิษฐ์ผู้ทรงสิกขา
กับพระสวามิตรสิทธา ทั้งคณะมหานักพรต ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระวสิษฐ์สวามิตรดาบส
เห็นพระหริวงศ์ทรงยศ อลงกตดั่งดวงสุริยัน
สมเดชสมศรีสมศักดิ์ สมเป็นปิ่นปักไอศวรรย์
บรรดาคณะพระนักธรรม์ ชวนกันชมบุญพระอวตาร
นั่งคอยท่าท้าวทศรถ ยังไม่เห็นบทจรจากสถาน
จนนาฬิกาสองโมงนาน จวนการศุภฤกษ์สถาวร
จึ่งสั่งเสนาให้ไปทูล นเรนทร์สูรบิตุรงค์พระทรงศร
ว่าจวนเวลาสยุมพร เชิญเสด็จภูธรออกมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุมันตันผู้มียศถา
รับคำทั้งสองพระสิทธา ชุลีลาแล้วรีบไปทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงทวารชั้นกลาง เห็นสาวใช้นางไกยเกษี
จึ่งสั่งความตามคำพระมุนี ถ้วนถี่เสร็จสิ้นทุกสิ่งไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น กุจจีผู้มีอัชฌาสัย
ได้ฟังแย้มยิ้มแต่ในใจ ประนมไหว้แล้วรีบเข้ามา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึ่งประณตบทบงสุ์ ทูลองค์อัคเรศเสน่หา
ว่าสองพระมหาสิทธา ใช้ให้เสนาสุมันตัน
เข้ามากราบทูลเบื้องบาท พระพงศ์เทวราชรังสรรค์
ว่าจวนศุภฤกษ์พิธีกรรม์ ให้เชิญทรงธรรม์เสด็จจร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางไกยเกษีดวงสมร
จึงมีเสาวนีย์อันสุนทร ดูก่อนกุจจีผู้ปรีชา
จงกลับไปบอกสุมันตัน ว่าพระทรงธรรม์นาถา
ให้หาพระรามเข้ามา ยังห้องปราสาทรูจี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางกุจจีค่อมทาสี
น้อมเกล้ารับราชเสาวนีย์ ถวายอัญชุลีแล้วออกไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงนบนิ้วอภิวันท์ สุมันตันเสนาผู้ใหญ่
บอกว่าพระองค์ทรงภพไตร สั่งให้เชิญพระรามเข้ามา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น สุมันตันผู้มียศถา
ได้ฟังสงสัยในวิญญาณ์ ก็รีบมาเฝ้าองค์พระจักรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ น้อมเกล้าทูลว่าพระบิตุเรศ ทรงเดชเสด็จอยู่ในที่
ปราสาทสุวรรณรูจี นางไกยเกษีนงคราญ
ให้ไปทูลเชิญบาทบงสุ์ สาวใช้กลับลงมาสั่งสาร
ว่ามีพระราชโองการ ให้เชิญบทมาลย์ขึ้นไป
รับสั่งข้อนี้ประหลาดอยู่ คิดดูก็น่าสงสัย
จะซักไซ้ไถ่ถามให้แจ้งใจ เขาไม่บอกเหตุว่าร้ายดี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระหริวงศ์ทรงสวัสดิ์รัศมี
ได้ฟังสุมันตันเสนี ภูมีถวิลจินดา
จะเป็นสิ่งใดไม่แจ้งเหตุ จึ่งองค์บิตุเรศนาถา
มิได้เสด็จลงมา กลับมีบัญชาให้หาไป
คิดแล้วยอกรมัสการ พระมหาอาจารย์ผู้ใหญ่
เสด็จจากโรงราชพิธีชัย เข้าในปราสาทรูจี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงทวารพระนิเวศน์ เห็นอัคเรศโฉมไกยเกษี
นั่งขวางอยู่กับนางกุจจี ก็นบนิ้วดุษฎีชุลีกร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางไกยเกษีดวงสมร
เห็นพระจักรกฤษณ์ฤทธิรอน จึงว่าดูกรพระโอรส
บัดนี้สมเด็จพระบิตุเรศ ให้เจ้าทรงเพศเป็นดาบส
ไปอยู่หิมวันต์บรรพต กำหนดสิบสี่ปีจึงกลับมา
เสวยแสนสวรรยาสมบัติ สืบวงศ์จักรพรรดินาถา
อันในพระราชบัญชา ให้ลูกยาเร่งไปวันนี้ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระกฤษณุรักษ์เรืองศรี
ได้ฟังอัครราชเทวี มีพระทัยรำพึงคะนึงคิด
อันองค์สมเด็จพระบิตุเรศ ทรงเดชบัญชาประกาศิต
ดั่งหนึ่งเหล็กเพชรชวลิต ลิขิตลงแผ่นศิลา
เหตุไฉนจึ่งตรัสดั่งนี้ ผิดทีประหลาดหนักหนา
คิดแล้วสนองพระวาจา ซึ่งพระจอมโลกาสุธาธาร
สั่งให้ข้าบวชเป็นดาบส ไปสร้างพรตอยู่ในไพรสาณฑ์
กำหนดสิบสี่ปีประมาณ ก็ต้องตามอวตารของลูกรัก
ความซึ่งแสนโสมนัสสา ยิ่งกว่าให้ผ่านอาณาจักร
ด้วยจะได้ปราบหมู่อสูรยักษ์ เป็นที่พำนักแก่แดนไตร
เมื่อแรกจะให้ครองพระนคร จะปรีดาถาวรก็หาไม่
หากเกรงพระเดชภูวไนย จำใจรับราชวาที
ถึงแต่พระแม่จะบังคับ ก็จะรับใส่เกล้าเกศี
อย่าอาวรณ์ร้อนใจพระชนนี ว่าแล้วจรลีออกมา ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงมหาปราสาท อันโอภาสจำรัสพระเวหา
น้อมเศียรกราบลงกับบาทา องค์พระมารดาแล้วทูลไป
บัดนี้สมเด็จพระบิตุรงค์ จะขุ่นเคืองบาทบงสุ์เป็นไฉน
แม่ไกยเกษีทรามวัย ให้ไปหาลูกเข้ามา
บอกว่ารับสั่งพระบิตุเรศ ให้ลูกทรงเพศเป็นชีป่า
ออกไปอยู่ในหิมวา กำหนดวรรษาสิบสี่ปี
ครบแล้วให้กลับบุรีรัตน์ ครอบครองสมบัติเฉลิมศรี
พระองค์ค่อยอยู่สวัสดี ลูกนี้จะลาบทจร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางเกาสุริยาดวงสมร
ได้ฟังดั่งใครมาตัดกร แสนทุกข์สะท้อนถอนใจ
อนิจจาควรหรือมามีมาร จังทานลูกกูก็เป็นได้
แกล้งจะฆ่าชีวันให้บรรลัย อรไทรำพันโศกา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

โอ้

๏ โอ้ว่าลูกรักของแม่เอ๋ย ทรามเชยแสนสุดเสน่หา
เสียทีที่อวตารมา ในวงศ์อิศราเรืองยศ
ควรหรือจะจากนคเรศ แสนเทวษเพทนาสาหส
เวรใดมาทันพระโอรส จึ่งต้องทรงพรตไปอยู่ไพร
หรือเราแม่ลูกได้พรากสัตว์ ให้วิบัติพลัดกันเป็นไฉน
อกุศลจึ่งเข้ามาจองภัย ดลใจสมเด็จพระบิดา
โอ้ว่าตัวแม่แต่วันนี้ จะโศกีเศร้าโทมนัสสา
ยามกินจะกินแต่น้ำตา แสนเวทนาระทมทุกข์
ยามนอนแม่นี้จะคิดถึง คำนึงหาเจ้าไม่มีสุข
พ่อจะดับเข็ญให้เย็นยุค หรือกลับมาได้ทุกข์ระกำใจ
ครั้งไปล้างกากนาสูร แม่ยังอาดูรละห้อยไห้
ทีนี้จะช้ำระกำใจ ที่ไหนแม่จะมีชีวา ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ โอด

ร่าย

๏ เมื่อนั้น พระจักรรัตน์แก้วนาถา
เห็นองค์พระราชมารดา แสนโศกโศกาจาบัลย์
กอดข้อพระบาทแล้วทูลวอน พระองค์อย่าทุกข์ร้อนกันแสงศัลย์
เวรแล้วก็จำจากกัน ใช่จะสิ้นชีวันเมื่อไรมี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางเกาสุริยามารศรี
ฟังโอรสาพาที เทวีค่อยได้สติมา
จึงส้วมสอดกอดองค์พระลูกรัก ดวงจักษุแม่เสน่หา
พ่ออย่าเพ่อฟังอีมารยา มารดาจะไปเฝ้าพระบิดร
จะทูลถามเหตุผลต้นปลาย จงยับยั้งฟังร้ายดีก่อน
ให้ประจักษ์ทักแท้แน่นอน ว่าแล้วกรายกรจรลี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงประตูชั้นใน จึ่งพบนางไกยเกษี
นั่งขึงบึ้งอยู่ไม่พาที เทวีเดินตรงเข้าไป
เห็นพระภัสดาธิราช ไสยาสน์เศร้าสร้อยละห้อยไห้
กราบลงแทบบาทภูวไนย อรไททูลถามกิจจา
ไฉนจึ่งโศกาอาดูร ทูนเทวษทุกข์โทมนัสสา
อันองค์พระรามกุมารา ลูกข้ามีโทษประการใด
ตั้งการมงคลภิเษกศรี จะมอบบุรีแล้วไม่ให้
มิหนำซ้ำขับไปอยู่ไพร เป็นไฉนฉะนี้ประหลาดนัก ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระบิตุรงค์องค์นารายณ์ทรงจักร
แว่วเสียงอัคเรศวิไลลักษณ์ จึ่งผินพักตร์ลืมเนตรชำเลืองมา
เห็นนางเกาสุริยาบังอร อาวรณ์เศร้าโทมนัสสา
สะอื้นพลางตรัสบอกกิจจา ความผิดลูกยานั้นไม่มี
ซึ่งพี่อาดูรพูนเทวษ เหตุด้วยอีไกยเกษี
เป็นมารมาผลาญชีวี ยกสัตย์ที่ได้สัญญามัน
ครั้งไปล้างปทูตขุนมาร ในเมืองมัฆวานรังสรรค์
อันเพลารถที่พี่ทรงนั้น หักสะบั้นออกกลางเมฆา
มันได้เอากรสอดเข้า ต่างเพลาพิชัยรัถา
ฝ่ายพี่ได้ลั่นวาจา มันพึ่งมาว่าครั้งนี้
จะให้ลูกขึ้นครองนคเรศ นิรเทศพระรามเรืองศรี
ไปบวชอยู่ป่าสิบสี่ปี พี่นี้ขัดสนจนใจ
จะฆ่ามันก็คิดเสียดายสัตย์ สุดคิดจึ่งขัดมันไม่ได้
อันตัวของพี่จะบรรลัย ที่ไหนจะคงชนมาน ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางเกาสุริยายอดสงสาร
ได้ฟังดั่งต้องเพลิงกาฬ นงคราญกราบทูลสนองไป
พระองค์จงโปรดปรานี อย่าแสนโศกีหาควรไม่
ความสัตย์ซึ่งปฏิญาณไว้ เขาประสงค์ก็ให้ดั่งจินดา
เสียศีลอย่าให้เสียสัตย์ ถึงลูกรักจักพลัดไปอยู่ป่า
สิบสี่ปีจะกลับคืนมา ใช่ว่าลูกจะม้วยชีวัน
อันซึ่งพระรามสุริย์วงศ์ คือองค์พระนารายณ์รังสรรค์
ฤๅษีเทวาประชุมกัน อัญเชิญให้เสด็จอวตาร
ลงมาหวังจะปราบยุค ให้โลกเป็นสุขเกษมศานต์
อย่าอาวรณ์ทุกข์ร้อนรำคาญ ผ่านฟ้าจงระงับดับใจ
อันจากลูกรักแต่เพียงนี้ หรือจะเสียชีวีหาควรไม่
พระองค์ผู้ทรงฤทธิไกร ไตรโลกจะได้พึ่งบาทา ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เจ้าเอยเจ้าพี่ ว่านี้ก็ชอบหนักหนา
แต่เจ็บใจด้วยคำมันเจรจา ดั่งต้องสายฟ้าสักแสนที
อายหมู่เสนาประชาชน คนธรรพ์เทวาทุกราศี
สู้ตายไม่เสียดายชีวี เจ้าพี่ค่อยอยู่สถาวร
จะลาไปพิภพเทเวศร์ คอยท่าอัคเรศดวงสมร
เป็นกรรมแล้วจำจากจร ว่าพลางภูธรก็โศกา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น นางเกาสุริยาเสน่หา
ได้ฟังพระราชบัญชา ดั่งว่าเศียรขาดจากอินทรีย์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๏ โอ้พระผู้ปิ่นปักเกศ พระเดชเคยปกเกศี
ควรหรือจะสิ้นชีวี หนีไปเมืองฟ้าสุราลัย
อกเอ๋ยพลัดลูกแล้วจากผัว จะอยู่ไปเป็นตัวกระไรได้
สารพัดจะระกำช้ำใจ จะบรรลัยไปตามพระทรงฤทธิ์
โอ้ว่ากรุงศรีอยุธยา สนุกดั่งฟากฟ้าดุสิต
พระเดชแผ่ทั่วทศทิศ ปัจจามิตรไม่รอต่อกร
ตั้งแต่นี้ไปจะได้ทุกข์ เสื่อมสุขสิ้นความสโมสร
เงียบเหงาไปทั้งพระนคร ด้วยภูธรสวรรคาลัย
ครวญพลางพลางข้อนทรวงเทวษ ชลเนตรนองพักตร์เป็นเลือดไหล
ยกพระบาทขึ้นทูนเศียรไว้ สลบไปกับองค์พระภัสดา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ