สมุดไทยเล่มที่ ๔๕

๏ บัดนั้น วายุบุตรฤทธิไกรใจกล้า
แต่ต้องละอองอายยา หลับตาเมามัวไม่สมประดี
ครั้นลมพัดก็ตื่นฟื้นกาย เรียกสุครีพน้าชายกระบี่ศรี
อัศจรรย์เป็นพ้นพันทวี เมื่อกี้ข้าเคลิ้มหลับไป
หรือว่าไมยราพชาญฉกรรจ์ มันลอบสะกดเข้ามาได้
พระน้าอย่านิ่งนอนใจ จงไปดูองค์พระจักรา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ลูกพระอาทิตย์ฤทธิ์กล้า
แว่วเสียงหนุมานเรียกมา ก็ผวาตื่นขึ้นทันที
ตกใจนิ่งขึงตะลึงคิด ร้อนจิตดั่งหนึ่งเพลิงจี่
อารมณ์ไม่เป็นสมประดี ขุนกระบี่ก็รีบไปพลับพลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ เห็นหมู่โยธาพลากร พวกพลวานรซ้ายขวา
หลับไหลไม่ฟื้นตื่นตา เกลื่อนกลาดดาษดาทับกัน
ทั้งพญาพิเภกขุนยักษ์ กับองค์พระลักษมณ์รังสรรค์
หลับข้างแท่นแก้วแพรวพรรณ แต่พระทรงสุบรรณนั้นหายไป
ตกใจจึ่งเรียกหนุมาน ทั้งวานรทหารน้อยใหญ่
แล้วเดินโศกาอาลัย เข้าไปปลุกพระอนุชา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น พระลักษมณ์สุริย์วงศ์นาถา
ผวาตื่นฟื้นจากนิทรา แลมาไม่เห็นพระจักรี
ตกใจดั่งพญามัจจุราช มาฟันฟาดเศียรเกล้าเกศี
สติไม่เป็นสมประดี ก็โศกีครวญครํ่ารำพัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

โอ้

๏ โอ้ว่าสมเด็จพระเชษฐา เราจากพาราเขตขัณฑ์
ได้ยากลำบากด้วยกัน ที่ในอารัญกันดาร
ทศพักตร์มันลักพี่นางไป ไว้ในลงการาชฐาน
แต่พี่น้องสองคนทรมาน ตามมาจะผลาญอสุรี
จนได้โยธาพลากร วานรทั้งสองบุรีศรี
ยกข้ามมหาชลธี จะต่อตีแก้แค้นแทนมัน
ยังมิทันจะได้รณรงค์ ปราบพงศ์ราพณ์ร้ายโมหันธ์
ควรหรือพวกพาลชาญฉกรรจ์ มาลอบลักทรงธรรม์พาไป
ป่านนี้พระจอมมงกุฎเกศ จะแสนทุกข์แสนเทวษเป็นไฉน
มันจะทำลำบากตรากไว้ หรือจะฆ่าฟันให้บรรลัยลาญ
แม้นพระหริรักษ์จักรแก้ว ล่วงแล้วสุดสิ้นสังขาร
น้องจะอยู่ไปไยให้ทรมาน จะวายปราณตามเสด็จไปเมืองฟ้า
ให้พ้นอัปยศอดสู แก่หมู่ไตรโลกถ้วนหน้า
รํ่าพลางแสนโศกโศกา ดั่งว่าจะสิ้นสมประดี ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุครีพหนุมานกระบี่ศรี
ทั้งสิบแปดมงกุฎเสนี ก็โศกีรํ่ารักพระจักรา
โอ้ว่าพระปิ่นโลเกศ พระเดชแผ่ทั่วทุกทิศา
ควรหรืออสูรพาลา ลอบมาสะกดพระองค์ไป
เสียแรงตัวข้าเป็นทหาร จะรักษาบทมาลย์ก็ไม่ได้
เสียทีที่มีฤทธิไกร มาขายใต้เบื้องบาทพระสี่กร
ให้ไตรโลกนั้นล่วงติฉิน ประมาทหมิ่นพระองค์ทรงศร
เสียชาติสุริย์วงศ์พานร ใครห่อนจะนับว่าดี
รํ่าพลางโศกาอาลัย ทุกหมู่พลไกรกระบี่ศรี
เสียงแซ่สนั่นเป็นโกลี เพียงหนึ่งชีวีจะมรณา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด

๏ บัดนั้น พญาพิเภกยักษา
แสนวิโยคโศกเศร้าโศกา อสุราค่อยได้สมประดี
จึ่งน้อมเศียรถวายอภิวาทน์ ทูลพระนุชนาถเรืองศรี
อันว่าสมเด็จพระจักรี ใช่ที่จะม้วยชีวัน
จงระงับดับความทุกข์ร้อน อย่าอาวรณ์วิโยคกันแสงศัลย์
ขอให้หนุมานชาญฉกรรจ์ ตามพระทรงธรรม์ไปบาดาล
อันไอ้ไมยราพอสุรา ก็จะม้วยชีวาสังขาร
พระเกียรติสมเด็จพระอวตาร จะแผ่พ่านไปทั่วธาตรี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระลักษมณ์ทรงสวัสดิ์รัศมี
ได้ฟังพิเภกอสุรี ภูมีค่อยคลายโศกาลัย
จึ่งสั่งคำแหงวายุบุตร ท่านผู้ฤทธิรุทรแผ่นดินไหว
เร่งตามพระองค์ลงไป ยังในนคราบาดาล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น โอรสพระพายใจหาญ
รับสั่งน้องพระอวตาร กราบกับบทมาลย์ด้วยภักดี
แล้วถามวิถีทางจร ซึ่งจะไปนครยักษี
แก่พญาพิเภกอสุรี ถ้วนถี่มิให้แคลงวิญญาณ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เสร็จแล้วประณตบทบงสุ์ ลาองค์พระลักษมณ์กนิษฐา
ออกจากสุวรรณพลับพลา สำแดงศักดาแล้วรีบไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ จึ่งพินิจพิศดูสำคัญ ซึ่งพิเภกกุมภัณฑ์บอกให้
ก็ถึงต้นมรคาพนาลัย แลไปเห็นสระปทุมมาลย์
มีบัวดอกหนึ่งเท่ากงรถ บานสดกลิ่นเกลี้ยงหอมหวาน
ขุนกระบี่ผู้ปรีชาชาญ ก็หักก้านลอดไปด้วยฤทธา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ แลเห็นกำแพงแลงล้อม ป้อมค่ายคูเขื่อนแน่นหนา
ล้วนแล้วไปด้วยศิลา หมู่ยักษ์รักษานับพัน
จึ่งชักตรีเพชรออกกวัดแกว่ง สำแดงฤทธิไกรไหวหวั่น
เข้าไล่หักโหมโรมรัน บุกบันตีด่านอสุรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ฝ่ายหมู่อสุรยักษี
เห็นวานรเผือกผู้มาราวี ตีค่ายทำลายปราการ
ต่างตนพิโรธโกรธนัก ฉวยชักอาวุธสำแดงหาญ
กรูกันโลดโผนโจนทะยาน ออกไล่รอนราญวานร
พุ่งซัดอาวุธกุลาหล ต่างตนก็ยิงธนูศร
แทงด้วยแหลนหลาวโตมร ฟันฟอนอุตลุดวุ่นไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานทหารใหญ่
หลบหลีกเคล่าคล่องว่องไว เลี้ยวไล่สังหารอสุรี
ถีบกัดฟันแทงสับสน ด้วยกำลังฤทธิรณกระบี่ศรี
ตายยับทับกันไม่สมประดี สิ้นพวกโยธีกุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด โอด

๏ ครั้นเสร็จทำลายกำแพงด่าน ฆ่าหมู่มารม้วยอาสัญ
ขุนกระบี่ก็รีบจรจรัล ดัดดั้นไปตามมรคา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เหลือบแลไปเห็นกุญชร งางอนสูงใหญ่ขวางหน้า
เรียกมันครั่นครึกเป็นโกลา สองตาดั่งแสงอโณทัย
จึ่งทำสีหนาทตวาดเสียง สำเนียงกึกก้องแผ่นดินไหว
แกว่งตรีโลดโผนโจนไป เข้าไล่โจมจับคชกรรม์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ฝ่ายช้างอสุราตัวขยัน
บ้าบุกอุกอาจเมามัน วิ่งเข้าประจัญด้วยวานร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ สี่เท้าถีบฉัดหางฟาด ทำอำนาจดั่งคชไกรสร
งวงคว้างาแทงตะลุมบอน ด้วยกำลังฤทธิรอนราวี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี
หลบหลีกว่องไวในที ขุนกระบี่เหยียบงาคชาชาญ
ปีนขึ้นด้วยกำลังสามารถ องอาจหักคอคชสาร
ล้มลงกับพื้นสุธาธาร วายปราณสิ้นชีพชีวา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด โอด

๏ ครั้นเสร็จสังหารกุญชร อันเป็นด่านนครยักษา
ก็เร่งรีบไปตามมรคา ด้วยกำลังศักดาว่องไว ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ รวดเร็วดั่งลมพัดพาน ถึงสถานที่ร่วมทางใหญ่
ให้คิดฉงนสนเท่ห์ใจ แลไปเห็นเขากระทบกัน
เป็นประกายเพลิงแรงแสงกล้า เสียงก้องโกลาเลื่อนลั่น
เปลวพลุ่งรุ่งโรจน์ไม่มีควัน ร้อนดังสุริย์ฉันบรรลัยกาล
จึ่งตรงเข้าไปยังคีรี ไม่เกรงอัคคีจะสังหาร
ผาดแผลงฤทธิไกรชัยชาญ เผ่นทะยานขึ้นยอดบรรพต ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ ตีนถีบมือหักด้วยกำลัง ภูเขาก็พังลงหมด
ลั่นเลื่อนสะเทือนถึงโสฬส เพลิงกรดดับสิ้นทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นเสร็จหักเขากระทบกัน ซึ่งเป็นด่านขัณฑ์ยักษี
ก็รีบเร่งมาในราตรี ตามที่แถวทางรัถยา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ แลไปเห็นยุงเท่าแม่ไก่ ฝูงใหญ่บินว่อนขวางหน้า
ขุนกระบี่ผู้มีศักดา เข้าไล่เข่นฆ่ารอนราญ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งฝูงยุงใหญ่ใจหาญ
โกรธาดั่งไฟบรรลัยกาล บินทะยานเข้ากลุ้มรุมตี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ สำเนียงเสียงร้องก้องอากาศ หมายมาดกินเลือดกระบี่ศรี
จู่โจมโถมเข้าราวี ทั่วทั้งอินทรีย์วานร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานชาญสมร
เห็นยุงกลุ้มเข้ามาราญรอน สองกรจับขยี้วุ่นไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ หัวบี้หัวแบนปีกขาด ตกลงเกลื่อนกลาดไม่นับได้
ฝูงยุงก็สิ้นชีวาลัย ด้วยฤทธิไกรชัยชาญ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๏ ครั้นเสร็จหักด่านยุงร้าย จึ่งลูกพระพายใจหาญ
มุ่งหมายมรคาบาดาล ก็ระเห็จเตร็จทะยานรีบจร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เห็นสระสี่เหลี่ยมกว้างใหญ่ ดาษไปด้วยปทุมเกสร
ทรงดอกออกฝักอรชร ตูมบานสลอนสลับกัน
พระพายชายพัดมาเรื่อยเรื่อย หอมเฉื่อยซาบจิตเกษมสันต์
ให้สงสัยไม่รู้สำคัญ ว่าจะจรจรัลไปแห่งใด
เหลือบซ้ายแลขวาทุกทิศ พินิจรอบทั่วสระใหญ่
ไม่เห็นร่องรอยก็จนใจ แต่เวียนเทียวไปเทียวมา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น มัจฉานุผู้ใจแกล้วกล้า
ซึ่งอยู่ในสระคงคา เป็นด่านรักษาชั้นใน
ราตรีเที่ยงคืนเคยเที่ยว ลดเลี้ยวกระเวนทางใหญ่
ก็สำแดงแผลงฤทธิเกรียงไกร ขึ้นไปจากท้องชลธาร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ถึงที่ขอบสระก็หยุดอยู่ แลดูไปทั่วทุกสถาน
เห็นวานรเผือกผู้อหังการ ล่วงด่านผ่านทางเข้ามา
โกรธาขบฟันกระทืบบาท ทำอำนาจออกยืนขวางหน้า
แล้วร้องประกาศด้วยวาจา เหวยไอ้พาลาใจฉกรรจ์
ตัวเอ็งมานี้จะไปไหน ไม่กลัวชีวาจะอาสัญ
องอาจล่วงด่านกุมภัณฑ์ กูจะหั่นให้ยับลงกับกร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานชาญสมร
เห็นลิงน้อยขึ้นจากสาคร อ้างอวดฤทธิรอนอหังการ์
จึ่งคิดว่าวานรนี้ เหตุใดมีหางเป็นมัจฉา
รูปทรงองอาจประหลาดตา ถ้อยคำหยาบช้าทะนงใจ
จึ่งร้องว่าเหวยไอ้ลิงเล็ก จะเจียมตัวว่าเด็กก็หาไม่
มึงอย่าขวางหน้ากูไว้ ถอยไปให้พ้นไอ้สาธารณ์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น มัจฉานุฤทธิไกรใจหาญ
ได้ฟังกริ้วโกรธคือไฟกาล ตบมือฉัดฉานแล้วตอบไป
ถึงตัวกูน้อยเท่านี้ จะกลัวฤทธีเอ็งก็หาไม่
อย่าพักอาจองทะนงใจ ใครดีจะได้เห็นกัน
ว่าแล้วสำแดงเดชา พสุธาบาดาลไหวหวั่น
โลดโผนโจนรุกบุกบัน เข้าไล่โรมรันราวี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี
กริ้วโกรธพิโรธดั่งอัคคี ขุนกระบี่รับระปะทะกร
เคล่าคล่องว่องไวทั้งสองข้าง ต่างตนต่างหาญชาญสมร
ถ้อยทีถ้อยมีฤทธิรอน ต่อกรไม่ละลดกัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น มัจฉานุฤทธิแรงแข็งขัน
ปลํ้าปลุกคลุกคลีตีประจัญ พัลวันหลบหลีกไปในที
ถีบกัดวัดเหวี่ยงอุตลุด ทะยานยุทธ์ไม่ท้อถอยหนี
กอดรัดฟัดกันเป็นโกลี เปลี่ยนท่าเปลี่ยนทีรอนราญ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ
รบรกบุกบันประจัญบาน เผ่นทะยานโถมถีบด้วยบาทา
ถูกมัจฉานุซวนไป ฉวยรวบเท้าได้ทั้งซ้ายขวา
ฟาดลงกับแผ่นศิลา ด้วยกำลังศักดาราวี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น มัจฉานุผู้ชาญชัยศรี
มิได้ชอกชํ้าอินทรีย์ โกรธดั่งอัคคีบรรลัยกัลป์
ผุดลุกขึ้นได้กระทืบบาท ทำอำนาจผาดเสียงดั่งฟ้าลั่น
วิ่งผลุนหมุนเข้าบุกบัน โรมรันไม่คิดชีวา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า
โถมรับกลับกลอกไปมา หันเหียนเปลี่ยนท่าราวี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ รบพลางรำพึงคะนึงคิด สงสัยในจิตกระบี่ศรี
เหตุใดวานรน้อยนี้ จึ่งล้างชีวีไม่บรรลัย
ทรหดอดทนสามารถ องอาจต่อสู้ด้วยกูได้
คิดแล้วจึ่งร้องถามไป เหวยไอ้ลิงน้อยเท่าแมงวัน
เป็นไฉนมาอยู่รักษาด่าน ไมยราพขุนมารโมหันธ์
เชื้อชาติสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์ นามนั้นชื่อใดวานร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น มัจฉานุกุมารชาญสมร
ฟังความถามถึงนามกร พงศ์พันธุ์มารดรแลบิดา
จึ่งคิดว่าวานรตัวนี้ ฤทธีองอาจแกล้วกล้า
หักด่านผ่านทางลงมา ถึงมหานคราบาดาล
รูปกายก็คล้ายกับกู สองหูพรรณรายฉายฉาน
หรือจะเป็นกุณฑลสุรกานต์ เหมือนมารดาสั่งความไว้
ครั้นว่าจะนิ่งเสียบัดนี้ จะแจ้งเหตุร้ายดีก็หาไม่
คิดแล้วจึ่งร้องตอบไป ตัวเรานี้ได้นามกร
ชื่อมัจฉานุวัยวุฒิ บุตรนางมัจฉาดวงสมร
สำรอกไว้ริมสาคร ไมยราพฤทธิรอนได้มา
เลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม์ ให้อยู่ด่านขัณฑ์ยักษา
บิตุเรศของเราผู้ศักดา ชื่อว่าคำแหงหนุมาน
ตัวท่านนี้เป็นวานร นามกรชื่อไรจึ่งอาจหาญ
ล่วงมาถึงมือพระกาล ไม่กลัววายปราณหรือว่าไร ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานทหารใหญ่
ฟังความจะแจ้งไม่แคลงใจ ยินดีดั่งได้ฟากฟ้า
พินิจพิศดูดวงพักตร์ แสนรักพูนเพิ่มเสน่หา
ตบมือสำรวลไปมา อนิจจาเป็นได้ถึงเพียงนี้
จึ่งว่าดูกรมัจฉานุ ดวงจักษุพ่อเฉลิมศรี
เจ้าอย่าโกรธาราวี เรานี้คือศรีหนุมาน
บุญแล้วจึ่งฆ่ากันไม่ตาย สายสวาทพ่อยอดสงสาร
ทั้งเทเวศผู้ปรีชาชาญ บันดาลให้มาพบกัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น มัจฉานุฤทธิแรงแข็งขัน
ฟังลูกพระพายเทวัญ ขบฟันชี้หน้าแล้วร้องไป
เหม่เหม่ดูดู๋กระบี่ศรี มุสาพาทีก็เป็นได้
ถ้อยคำหยาบช้าไม่เกรงใจ ใครจักเชื่อฟังวานร
แม้นหาวเป็นดาวเดือนดะวัน ให้เห็นสำคัญประจักษ์ก่อน
เราจึ่งจะเชื่อว่าบิดร ทหารพระสี่กรอวตาร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น วายุบุตรผู้ปรีชาหาญ
ฟังมัจฉานุกุมาร ว่าขานกินแหนงแคลงใจ
รับขวัญแล้วกล่าวพจนารถ สุดสวาทของพ่ออย่าสงสัย
ว่าพลางก็เหาะขึ้นไป อยู่ในอากาศด้วยฤทธา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ หาวเป็นดาวเดือนทินกร เขจรสว่างเวหา
เสร็จแล้วก็กลับลงมา ยังพื้นพสุธาทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ คุกพาทย์

๏ บัดนั้น มัจฉานุผู้ชาญชัยศรี
เห็นประจักษ์เหมือนคำชนนี ยินดีก็วิ่งเข้าไป
ยอกรขึ้นเหนือศิโรเพฐน์ น้อมเกศบังคมประนมไหว้
ตัวลูกไม่แจ้งประจักษ์ใจ จึ่งชิงชัยกับพระบิดา
อันโทษนี้ใหญ่หลวงนัก ลูกรักจักขอโทษา
อย่าให้เป็นกรรมเวรา แก่ข้าน้อยนี้สืบไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานทหารใหญ่
สวมสอดกอดลูกเข้าไว้ ลูบไล้ไปทั่วทั้งอินทรีย์
รับขวัญจุมพิตแล้วพิศพักตร์ ดวงจักษุพ่อเฉลิมศรี
ซึ่งเจ้าต่อยุทธ์บิดานี้ เพราะมิได้รู้จักกัน
ถ้อยทีถ้อยรักษาตัว ด้วยกลัวชีวาจะอาสัญ
อันซึ่งผิดพลั้งทั้งนั้น ไม่ถือโทษทัณฑ์แก่ลูกรัก
พ่อจักอยู่ช้าก็ไม่ได้ จะรีบไปตามองค์พระทรงจักร
สังหารไมยราพขุนยักษ์ ซึ่งมันไปลักพระองค์มา
ตัวเจ้าค่อยอยู่เป็นสุขก่อน อย่าอาวรณ์เศร้าโทมนัสสา
อันทางบาดาลนครา แก้วตาจงบอกให้พ่อไป ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น มัจฉานุผู้มีอัชฌาสัย
ได้ฟังอัดอั้นตันใจ บังคมไหว้แล้วตอบวาที
ข้อนี้ขัดสนเป็นพ้นคิด พระบิดาจงโปรดเกศี
ด้วยพญาไมยราพอสุรี ได้เลี้ยงลูกนี้จนใหญ่มา
พระคุณดั่งคุณบิตุเรศ ซึ่งบังเกิดเกศเกศา
อันซึ่งจะบอกมรคา ดั่งข้าไม่มีกตัญญู
บิดาลงมาทางไหน ทางนั้นจะไปยังมีอยู่
จงเร่งพินิจพิศดู ก็จะรู้ด้วยปรีชาชาญ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ
ฟังมัจฉานุกุมาร ว่าขานหลีกเลี้ยวเป็นคำใน
ขุนกระบี่ผู้มีกำลังฤทธิ์ นิ่งคิดก็คิดขึ้นได้
จึ่งหักก้านบุษบงด้วยว่องไว ลอดไปตามไส้ปทุมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงซึ่งสระชลธาร ใกล้ทวารนิเวศน์ของยักษา
เห็นหมู่อสุรโยธา ตรวจตรารอบราชธานี
จึ่งหยุดยืนรำพึงคะนึงคิด จะตรงไปต่อฤทธิ์ด้วยยักษี
ไหนจะรู้ข่าวพระจักรี ว่าอยู่ที่แห่งหนตำบลใด
จำกูจะทำอุบายกล แอบตนฟังความให้จงได้
คิดพลางยืนอยู่แต่ไกล สำรวมใจกำบังกายา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ แล้วเข้าแอบต้นโศกอยู่ คอยฟังคำหมู่ยักษา
เข้าออกบอกกันจำนรรจา ริมท่าสระโบกขรณี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ คุกพาทย์

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายนางพิรากวนยักษี
ต้องจำลำบากพันทวี กับด้วยอสุรีลูกรัก
อยู่ในเรือนตรุกันดาร แสนทุกข์ทรมานเพียงอกหัก
ไมยราพอสุราพญายักษ์ ใช้ให้ไปตักคงคา
ใส่กระทะจะต้มลูกชาย ให้ตายด้วยพระรามนาถา
ก็กระเดียดกระออมเดินมา ออกจากทวาราธานี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เพลง

โอ้

๏ ครั้นถึงที่สระบุษบง นั่งลงริมท่าวารีศรี
คิดถึงลูกรักร่วมชีวี ตีทรวงเข้ารํ่าโศกา
โอ้ว่าไวยวิกของแม่เอ๋ย ทรามเชยผู้ยอดเสน่หา
เสียแรงบำรุงเลี้ยงมา จนชันษาจำเริญวัย
ควรหรือไมยราพขุนมาร คิดการพาลผิดก็เป็นได้
โทษกรณ์ไม่มีเท่ายองใย ใส่ไคล้จะล้างชีวัน
อนิจจาสงสารตัวเจ้า รุ่งเช้าก็จะม้วยอาสัญ
กับองค์พระรามด้วยกัน ใครจะช่วยได้นั้นก็ไม่มี
สุดที่แม่แล้วนะแก้วตา ซึ่งจะพ้นอาชญายักษี
แม้นเจ้าสิ้นชีพชีวี แม่นี้ไม่อยู่จะสู้ตาย
ก้มหน้าไปตามทรามสวาท ให้ประจักษ์โลกธาตุทั้งหลาย
ถึงอยู่ไปจะทรมานกาย จะฟูมฟายชลเนตรทุกเวลา
พรุ่งนี้ก็จะจากอกไป ที่ไหนแม่จะได้เห็นหน้า
รํ่าพลางแสนโศกโศกา ดั่งว่าจะสิ้นชีวัน ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ โอด

๏ บัดนั้น ฝ่ายลูกพระพายรังสรรค์
เห็นนางโศกาจาบัลย์ รำพันออกนามพระรามา
ว่ารุ่งเช้าชีวิตจะวายปราณ กับไวยวิกขุนมารยักษา
จึ่งคลายพระเวทกำบังตา เดินเข้าไปหาทันใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ นั่งลงแล้วกล่าววาที ยายอย่าโศกีละห้อยไห้
เราเป็นทหารพระภูวไนย ผู้ใดไม่รอต่อกร
ชื่อว่าหนุมานชาญณรงค์ มาตามพระองค์ทรงศร
ด้วยไอ้ไมยราพฤทธิรอน มันพาภูธรลงมา
ไม่รู้ว่าอยู่ตำบลใด จนใจที่จะเสาะแสวงหา
จงพาเราไปในพารา จะฆ่ามันให้ม้วยชีวี
จะช่วยไวยวิกให้พ้นตาย ตัวยายก็จะสุขเกษมศรี
เป็นเจ้าแก่หมู่อสุรี ในที่นคราบาดาล ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พิรากวนผู้ยอดสงสาร
ได้ฟังคำแหงหนุมาน นงคราญค่อยคลายจาบัลย์
มีความชื่นชมโสมนัส ดั่งได้สมบัติในสวรรค์
จึ่งว่าไมยราพชาญฉกรรจ์ มันเอาพระองค์ไปไว้
ดงตาลท้ายเมืองอสุรี อยู่ที่ในกรงเหล็กใหญ่
อสุรารักษาทั้งนอกใน ซึ่งจะพาเข้าไปนั้นยากนัก
ด้วยว่ากุมภัณฑ์นายประตู ชั่งดูมิให้เบาหนัก
ถึงจะเหาะข้ามกำแพงยักษ์ ก็จะต้องจักรกรดมรณา
มาตรแม้นจะแปลงเป็นแมงวัน อย่าสำคัญจะพ้นยักษา
ขุนกระบี่ผู้มีปรีชา ตรึกตราอย่าให้เสียการ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น วายุบุตรผู้ปรีชาหาญ
ฟังพิรากวนนางมาร บอกขานจะแจ้งไม่แคลงใจ
จึ่งว่าเพียงนี้ไม่ยากนัก ตัวข้าพอจักคิดได้
จะแปลงเป็นใยบัวติดสไบ เข้าไปมิให้สงกา
แม้นว่าชั่งหนักจะหักลง จงเอาสำนวนนี้ว่า
คันชั่งอยู่ครั้งบุราณมา เก่าแก่ครํ่าคร่าช้านาน
ข้ามิได้พาผู้ใด มาในพาราราชฐาน
จงดูเอาเถิดนะขุนมาร อย่าแสร้งมาพาลพาที ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น นางพิรากวนยักษี
ได้ฟังทหารพระจักรี ยินดีแล้วตอบวาจา
อันความคิดนี้ประเสริฐนัก เราจักตอบตามท่านว่า
จงเร่งนิมิตกายา ตัวข้าจะพาบทจร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานชาญสมร
ประนมหัตถ์ร่ายเวทฤทธิรอน สังวรใจนิมิตอินทรีย์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๏ เป็นใยบัวติดสไบบาง นางพิรากวนยักษี
ด้วยเดชพระมนต์อันฤทธี อสุรีไม่เห็นกายา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางพิรากวนยักษา
เอากระออมนั้นตักคงคา ขึ้นมากระเดียดเดินไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ บัดนั้น อสุรยักษ์รักษาทวารใหญ่
เห็นนางพิรากวนอรไท ไปตักซึ่งชลธีมา
จึ่งเอากระออมกับตัวนาง วางเหนือตราชูยักษา
ชั่งดูกับลูกศีลา ที่เคยตรวจตราทุกที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ ครั้นตราชูยนต์หนักนัก ก็ลั่นเดาะหักลงกับที่
กระออมแตกยับไม่สมประดี อสุรีเข้าจับวุ่นไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ แล้วตั้งกระทู้ขู่ถาม นางนี้ทำความเป็นไฉน
พาใครเข้ามาหรือว่าไร จงบอกไปแต่โดยสัจจา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางพิรากวนยักษา
ขึ้นเสียงเถียงตอบอสุรา เหตุใดมาว่าดั่งนี้
เรามาผู้เดียวก็เห็นอยู่ เมื่อตราชูยนต์ของยักษี
ครํ่าคร่ามานานกว่าแสนปี ไม่ดีหักเองจะโทษใคร
อนิจจาเห็นว่ากูตกยาก น้ำท่วมปากแล้วก็ว่าได้
จะทำกระไรก็ตามใจ ไม่อาลัยแก่ชีพชีวัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นายประตูหมู่มารตัวขยัน
ฟังนางว่าขึงดึงดัน ไม่ทันรู้กลมารยา
ต่างตนต่างเห็นเป็นจริง ทุกสิ่งมิได้กังขา
แต่เหลียวดูหน้ากันไปมา ไม่ตอบวาจาเทวี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น นางพิรากวนยักษี
เถียงพลางทางรีบจรลี เข้ามายังที่ทวารชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๏ ครั้นถึงซึ่งหน้าพระลาน ชี้บอกหนุมานทหารใหญ่
อันพญาไมยราพฤทธิไกร หลับอยู่ในที่ไสยา
แต่ตัวไวยวิกกุมภัณฑ์ ใส่ตรุจำมั่นอยู่ข้างหน้า
นั่นดงตาลท้ายพารา ซึ่งยักษามันไว้พระจักรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรชัยศรี
ยอกรเหนือเกล้าเมาลี ขุนกระบี่ร่ายเวทกำบังกาย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๏ เดชะด้วยวิทยามนต์ ทั้งตนแลเงาก็สูญหาย
รีบไปตามองค์พระนารายณ์ ยังท้ายพารากุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นมาถึงที่ดงตาล เห็นหมู่มารรักษากวดขัน
นั่งนอนล้อมวงหลายชั้น ผลัดกันกั้นกระเวนตรวจตรา
ขุนกระบี่ผู้มีฤทธิรอน ยอกรเหนือเกล้าเกศา
จึ่งร่ายพระเวทวิทยา สะกดนิทราหมู่มาร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

๏ เสียงสนั่นครั่นครื้นโพยมหน มืดมนทั่วทิศาศาล
เยือกเย็นไปทั้งบาดาล ปานดั่งฤดูเหมันต์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ คุกพาทย์

๏ บัดนั้น ฝ่ายพวกอสุราพลขันธ์
ต้องเวทหนุมานชาญฉกรรจ์ ให้บันดาลมัวตามัวใจ
ล้มหลับทับกันทั้งไพร่นาย จะเกริ่นกรายตรวจตราก็หาไม่
บ้างกรนบ้างครางวุ่นไป ไม่เป็นสติสมประดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ลูกพระพายผู้ชาญชัยศรี
ครั้นเสร็จสะกดอสุรี ขุนกระบี่ก็เดินเข้าไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ คุกพาทย์

๏ จึ่งเห็นสมเด็จพระหริวงศ์ หลับอยู่ในกรงเหล็กใหญ่
กราบลงแทบบาทภูวไนย ซบพักตร์รํ่าไห้โศกา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

โอ้

๏ โอ้ว่าพระจอมมงกุฎเกศ ลือเดชทั่วทศทิศา
เป็นที่พึ่งมนุษย์เทวา ควรหรือมานอนอยู่ในกรง
อนิจจาเป็นน่าอนาถจิต พระกายติดไปด้วยธุลีผง
ไร้ทั้งภูษาผทมทรง ใบไม้จะรององค์ก็ไม่มี
เสียแรงเลี้ยงทหารชำนาญยุทธ์ นับสมุทรไว้ใต้บทศรี
แจ้งว่าไมยราพอสุรี ในราตรีจะลอบขึ้นไป
ทำการสะกดแต่เพียงนั้น ช่วยกันรักษาไว้ไม่ได้
เสียทีที่มีฤทธิไกร มาหลับไหลด้วยเวทวิทยา
มันจึ่งได้พาพระจักรี มาถึงบุรียักษา
หาไม่ที่ไหนอสุรา จะรอดลงมายังบาดาล
จะพิฆาตฟาดฟันด้วยตรีเพชร ให้เศียรเด็ดเสียบไว้กับหน้าฉาน
จึ่งจะสมนํ้าหน้าไอ้สาธารณ์ ที่อหังการกำเริบใจ
รํ่าพลางฟูมฟายชลนา ซบพักตร์โศกาสะอื้นไห้
ดั่งหนึ่งจะสิ้นชีวาลัย ไม่เป็นสติสมประดี ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ โอด

ร่าย

๏ ครั้นคลายแสนโศกจาบัลย์ อภิวันท์เหนือเกล้าเกศี
ทำลายกรงช้อนองค์พระจักรี ด้วยกำลังฤทธีพาจร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ รีบออกมาจากเมืองมาร ถึงเขาสุรกานต์สิงขร
ตรงลงยังเชิงคีรินทร วานรเพ่งพิศไปมา
เห็นแท่นสุวรรณบัลลังอาสน์ อยู่ในนพมาศคูหา
เอกเอี่ยมเทียมทิพย์ไสยา ก็วางพระจักราด้วยยินดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

๏ แล้วจึ่งบังคมก้มเกศ กราบเบื้องบทเรศทั้งสองศรี
คำรพจบพื้นพระธรณี ชุลีกรประกาศด้วยวาจา
ขอฝูงเทวาสุราฤทธิ์ ซึ่งสถิตสิงสู่ในภูผา
ทั้งหกห้องสวรรค์ชั้นฟ้า มาช่วยรักษาพระทรงธรรม์
ตัวข้าจะไปสังหาร ไมยราพขุนมารให้อาสัญ
ฝากแล้วก็รีบจรจรัล ผันพักตร์คืนเข้ายังธานี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ