สมุดไทยเล่มที่ ๒๑

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงกุขันพรานไพรใจกล้า
อยู่ในบูรีรัมย์นครา ภูผาล้อมรอบเป็นขอบคัน
นํ้าใจหยาบช้าสาหส อดทนเรี่ยวแรงแข็งขัน
ไม่รู้จักปีเดือนคืนวัน สำคัญใบไม้หล่นจึ่งแจ้งใจ
ในแนวสะโตงนัที ใครจะไปยํ่ายีก็ไม่ได้
บริวารห้าโกฏิล้วนพรานไพร การธนูหน้าไม้ก็เชี่ยวชาญ
เพื่อนจึ่งดำริตริตรึก จะล่าไล่โคถึกคชสาร
ก็แต่งตัวเสร็จสรรพสำหรับพราน จับธนูทะยานรีบมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ กลม

๏ ครั้นถึงที่เคยประชุมพล ก็ปีนป่ายขึ้นบนต้นพฤกษา
เป่าหลอดสำคัญสัญญา เสียงสนั่นลั่นป่าพนาวัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เป่าหลอด เจรจา

๏ บัดนั้น บริวารพวกพรานแข็งขัน
ได้ยินเสียงหลอดสำคัญ ก็พากันวิ่งวุ่นออกไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กุขันผู้เป็นนายใหญ่
ยินดีลงจากต้นไม้ พาพวกพรานไพรเที่ยวมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เห็นหมู่โคถึกมฤคี หมู่หมีกวางทรายกระต่ายป่า
ก็โห่ร้องก้องสนั่นอรัญวา ล่าไล่มฤคาในดงดอน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ มาถึงฝั่งสะโตงคงคาลัย แลไปเห็นองค์พระทรงศร
กับทั้งพระลักษมณ์ฤทธิรอน บังอรองค์อัครเทวี
นั่งอยู่ริมฝั่งสาคเรศ ผูกชฎาทรงเพศเป็นฤๅษี
สง่างามดั่งดวงพระรวี นางเทพบุตรีในชั้นฟ้า
จึ่งย่องเข้าไปด้อมมอง แหวกช่องพุ่มไม้ใบหนา
พิศวงสามองค์กษัตรา ดั่งว่าจะลืมสมประดี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายพวกพรานป่าพนาศรี
เห็นสามองค์ทรงเพศเป็นโยคี มีสิริเสาวภาคย์ละกลคัน
พิศโฉมพระองค์ทรงศร งามลํ้าทินกรรังสรรค์
อันองค์ทรงพรตน้อยนั้น งามดั่งพระจันทร์อำไพ
ดูโฉมนางดาบสินี งามลํ้าไม่มีที่เปรียบได้
ยัดเยียดเบียดเสียดกันเข้าไป ดูพระภูวไนยไม่วางตา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กุขันนายใหญ่ใจกล้า
ให้ดลจิตคิดเกรงเดชา องค์พระจักราเรืองฤทธิ์
ทั้งคำรพรักในเบื้องบาท ด้วยอำนาจนารายณ์จักรกฤษณ์
จึ่งเข้าไปน้อมเศียรอัญชุลิต ด้วยจิตรักองค์พระทรงชัย
แล้วถวายนํ้าผึ้งกับเนื้อทราย ทั้งปลากรายย่างตัวใหญ่
ถามว่าท่านนื้ชื่อไร ชาวไพรหรืออยู่บูรี
เป็นเชื้อกษัตริย์ขัตติยา หรือว่าพาณิชเศรษฐี
เป็นไฉนมาอยู่ริมนัที เรานี้ฉงนสนเท่ห์นัก ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระนารายณ์ฤทธิรงค์ทรงจักร
ได้ฟังพรานไพรถามทัก ก็ผินพักตร์มาตรัสจำนรรจา
ตัวเราเป็นหน่อสุริย์วงศ์ องค์ท้าวทศรถนาถา
ทรงนามชื่อว่ารามา อยู่กรุงอยุธยาพระนคร
นางนี้ชื่อสีดานงลักษณ์ เป็นองค์อัคเรศดวงสมร
น้องเราผู้มีฤทธิรอน นามกรพระลักษมณ์กุมารา
พระบิตุรงค์จะมอบเศวตฉัตร สืบวงศ์จักรพรรดินาถา
แม่เลี้ยงเราขอสัจจา ให้ลูกยานั้นผ่านบูรี
เรารักษาสัตย์พระบิตุเรศ จึ่งละเพศมาบวชเป็นฤๅษี
เที่ยวอยู่กลางป่าพนาลี สิบสี่ปีจะคืนเข้าเวียงชัย
ท่านนี้ชื่อไรนะนายพราน ถิ่นฐานเคหาอยู่ไหน
เมตตาช่วยส่งเราไป ให้ถึงฟากฝั่งคงคา ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น จึ่งนายกุขันพรานป่า
ได้ฟังพระราชบัญชา อาลัยในองค์พระจักรี
อนิจจาพระพงศ์จักรพรรดิ เลิศลํ้ากษัตริย์ทุกกรุงศรี
เคยเสด็จอยู่ในธานี มีความผาสุกสำราญ
ชะรอยว่าเวรามาแต่หลัง จึ่งจากวังเดินป่าน่าสงสาร
ว่าพลางพลางกราบบทมาลย์ ผ่านฟ้าอย่าข้ามคงคา
จงอยู่ด้วยข้าผู้ใจภักดิ์ จะได้พิทักษ์รักษา
ข้าชื่อกุขันสมญา ขอรองบาทาพระภูธร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระกฤษณุรักษ์ทรงศร
ได้ฟังพรานป่าวิงวอน จึ่งกล่าวสุนทรว่าขอบใจ
แต่ซึ่งจะให้อยู่ที่นี่ ใกล้พระบูรีไม่อยู่ได้
ผู้คนจะมาวุ่นไป ไหนจะได้จงกรมภาวนา
ที่ใดสงัดลับแล้ง เป็นตำแหน่งฤๅษีชีป่า
จะไปอยู่สร้างพรตจรรยา ให้เป็นผาสุกสำราญ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กุขันพรานไพรใจหาญ
ได้ฟังมธุรสพจมาน สงสารสะท้อนถอนใจ
ด้วยสุดรักแสนรักในเบื้องบาท มิอาจจะขัดพระองค์ได้
จึ่งสั่งบริวารพรานไพร เร่งให้ไปถอยเรือมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายหมู่ทหารพรานป่า
ได้ฟังนายสั่งก็ปรีดา พากันวิ่งมาลนลาน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงถอยเรือวุ่นวาย บ้างถ่อบ้างพายอลหม่าน
ประทับแทบท่าชลธาร คอยองค์ผ่านฟ้าเสด็จจร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น กุขันนายพรานชาญสมร
จึ่งทูลพระองค์ทรงฤทธิรอน ซึ่งภูธรจะข้ามวารี
ข้าจะพาทั้งสามสุริย์วงศ์ ไปให้พบองค์พระฤๅษี
ชื่อภารทวาชมุนี อยู่ที่ฟากฝั่งคงคา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรรัตน์แก้วนาถา
ได้ฟังยินดีปรีดา ชวนสองกษัตราวิลาวัณย์
เสด็จออกจากร่มพระไทร งามดั่งเทพไทรังสรรค์
กรายกรย่างเยื้องจรจรัล ตามกันมาลงนาวา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ บัดนั้น จึ่งนายกุขันพรานป่า
ให้ฉากบากเรือออกมา ข้ามมหาคงคาวารี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ โล้

ร่าย

๏ เมื่อนั้น พระหริวงศ์ทรงสวัสดิ์รัศมี
กับพระลักษมณ์นางสีดาเทวี ภูมีข้ามมาในสาคร
ดวงพระสุริยงก็ทรงกลด บดบังรังสีอ่อนอ่อน
พระพายพัดพานาวาจร พระสี่กรชมปลาในวาริน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

จำปาทองเทศ

๏ เป็นหมู่หมู่คู่เคล้าคลึงว่าย คล้ายคล้ายตามสายกระแสสินธุ์
ปลาม้าล่าเลี้ยวเล็มกิน อินทรีสีเสียดสลุมพร
นวลจันทร์จันทรเม็ดลอยล่อง เพียนทองเคล้าคู่สโมสร
ปลากรายว่ายแหวกสาคร พระสี่กรชี้ชวนให้นางดู
ฉนากว่ายวนปนฉลาม เนื้ออ่อนพรวนพราหมณ์ตามคู่
แก้มชํ้าดำดินกินสินธู ราหูเหราหน้าคน
โลมาผุดพ่นวาเรศ กระดึงพรวนหวีเกศสับสน
มังกรไล่เลี้ยวเวียนวน เงือกนํ้าว่ายปนปลาวาฬ
บรรดามัจฉาในวารี ว่ายรี่ตามระลอกกระฉอกฉาน
เหมือนจะช่วยส่งเสด็จพระอวตาร ถึงสถานฝั่งฟากคงคา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ โล้

๏ บัดนั้น กุขันพรานไพรใจกล้า
ถึงฝั่งก็มีวาจา สั่งหมู่พรานป่าโยธี
ชาวเจ้าทั้งปวงจงหยุดอยู่ คอยดูต้นทางที่นี่
แม้นมีอริราชไพรี สู้เสียชีวีอย่าให้ไป
สั่งแล้วเชิญสามกษัตรา มาต้นมรคาทางใหญ่
อันตัวกุขันพรานไพร นำองค์ภูวไนยเสด็จจร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระนเรศสุริย์วงศ์ทรงศร
กับพระลักษมณ์นางสีดาบังอร กรายกรไปตามมรคา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ พญาเดิน

๏ บัดนั้น กุขันพรานไพรใจกล้า
นำสามกษัตริย์เสด็จมา ก็ถึงศาลาพระอาจารย์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น พระทรงภพลบโลกทุกสถาน
ชวนสองกษัตรายุพาพาล เข้าไปมัสการพระมุนี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น พระภารทวาชฤๅษี
เห็นนายพรานป่าพนาลี นำพระจักรีเสด็จมา
กับองค์พระลักษมณ์นุชนาถ สีดาเยาวราชเสน่หา
หน่อท้าวทศรถกษัตรา ก็สงสัยวิญญาณ์ตะลึงคิด
ซึ่งเป็นดั่งนี้ด้วยเหตุไฉน หรือจะเสียกรุงไกรก็เห็นผิด
อันหมู่พาลาปัจจามิตร ใครจะรอต่อฤทธิ์ก็ไม่มี
คิดแล้วจึ่งกล่าววาจา ดูราพระรามเรืองศรี
ไฉนทรงเพศเป็นโยคี ละพระบูรีมาเดินไพร
แสนยากลำบากแต่สามองค์ รี้พลจัตุรงค์ก็หาไม่
เหตุผลต้นปลายประการใด สงสัยเป็นพ้นประมาณ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรีผู้ปรีชาหาญ
จึ่งแจ้งแก่องค์พระอาจารย์ ทุกประการเสร็จสิ้นแต่เดิมมา
ข้านี้รับสัตย์พระบิตุเรศ ละเพศทรงพรตเป็นชีป่า
ออกมาบำเพ็ญภาวนา ไปกว่าจะครบสิบสี่ปี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระภารทวาชฤๅษี
ได้ฟังสงสารพันทวี จึ่งมีวาจาอันสุนทร
ซึ่งหลานรับสัตย์พระบิตุรงค์ อาจองดั่งพญาไกรสร
จะปรากฏพระยศขจายจร สถาวรเป็นสวัสดิมงคล
จงอยู่ที่นี่รโหฐาน สำราญทั้งนํ้าท่าผลาผล
คูหาอาศรมก็ชอบกล ไม่ขัดสนสิ่งใดพระนัดดา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระนรินทร์ปิ่นภพนาถา
ได้ฟังพระมหาสิทธา จึ่งมีบัญชาตอบไป
ซึ่งจะให้หลานอยู่ที่นี่ อันจะมีความสุขก็หาไม่
เพราะทางนั้นใกล้กับเวียงชัย ที่ไหนจะได้สร้างพรต
ข้าขอลาเบื้องบาทา องค์พระมหาดาบส
ไปยังหิมวันต์บรรพต อดใจจำเริญภาวนา
ว่าแล้วตรัสสั่งกุขัน ท่านผู้พงศ์พันธุ์พรานป่า
จงกลับไปยังพารา ให้เป็นผาสุกสำราญใจ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น กุขันผู้มีอัชฌาสัย
ได้ฟังพระองค์ทรงฤทธิไกร บังคมไหว้แล้วทูลด้วยภักดี
ข้าขออาสาสนองบาท พระตรีภูวนาถเรืองศรี
ตระเวนมรคาพนาลี แม้นมีไพรีตามมา
จะต้านต่อฤทธิ์ไม่คิดกาย กว่าจะวายชีวังสังขาร์
ว่าแล้วกราบลงกับบาทา ลาพระจักรากลับไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระภารทวาชอาจารย์ใหญ่
ได้ฟังวาจาก็อาลัย ในสามกษัตริย์สุริย์วงศ์
จึ่งอ่านซึ่งมนต์อันวิเศษ เอานํ้าพระเวทให้โสรจสรง
จงมีเดโชชัยในณรงค์ ทรงเดชเลิศลํ้าแดนไตร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

๏ แล้วยกหัตถ์ชี้มรคา ว่าข้างทักษิณทิศใต้
เป็นที่รโหฐานสำราญใจ ป่าใหญ่ไม้สูงร่มชิด
หนทางไปหกโยชน์กึ่ง จะถึงพระสระภังค์นักสิทธ์
เธอนั้นเชี่ยวชาญในการฤทธิ์ สำรวมจิตบำเพ็ญภาวนา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกนาถา
กับองค์พระลักษมณ์นางสีดา วันทารับพรด้วยยินดี
แล้วมัสการลาพระดาบส กำหนดแนวเนินวิถี
ออกจากอรัญกุฎี จรลีไปตามพนาลัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ จึ่งเห็นอาศรมที่เชิงผา ใต้ร่มพฤกษาโศกใหญ่
สามกษัตริย์ก็พากันเข้าไป บังคมไหว้พระมหานักพรต ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายพระสระภังค์ดาบส
ครั้นเห็นหน่อท้าวทศรถ เข้ามาประณตอัญชุลี
จึ่งมีวาจาอันสุนทร ดูก่อนพระรามเรืองศรี
วันเจ้าทรงพรตเป็นโยคี ตานี้รู้แล้วจึ่งรีบมา
คิดว่าจะไม่มีที่อาศัย จึ่งทำศาลไว้คอยท่า
จงอยู่สร้างพรตจรรยา จำเริญภาวนาให้ถาวร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรกฤษณ์ฤทธิรงค์ทรงศร
นบนิ้วดุษฎีชุลีกร จึ่งตอบสุนทรวาจา
ซึ่งพระอัยกาการุญ พระคุณควรไว้เหนือเกศา
แต่จะไม่สบายวิญญาณ์ ด้วยว่ายังใกล้บูรี
เห็นพระพรตไม่ฟังมารดร จะตามมาวิงวอนถึงนี่
พระองค์จงอยู่สวัสดี หลานนี้จะลาพระอาจารย์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระมุนีผู้ปรีชาหาญ
อาลัยในองค์พระอวตาร สงสารมิใคร่จะให้ไป
จึ่งว่าตาว่านี้ด้วยรัก จะใคร่ให้สำนักอยู่ใกล้
นัดดาว่าไม่สบายใจ จะบอกไปให้อยู่สำราญ
หลังเขาสัตกูฏคีรี มีศาลาเป็นที่รโหฐาน
เทวัญลงมาบันดาล ภูมิฐานสะอ้านชอบกล
ลูกหมากรากไม้ล้วนโอชา ทั้งกระจับบัวผาผลาผล
มรคาห้าโยชน์จรดล มีต้นนนทรีเป็นสำคัญ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระกฤษณุรักษ์รังสรรค์
ได้ฟังพระมหานักธรรม์ แนะที่อารัญกุฎี
จึ่งชวนพระลักษมณ์นุชนาถ กับองค์อัครราชมเหสี
กราบลาพระมหามุนี จรลีไปตามมรคา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ พญาเดิน

ชมดง

๏ เดินทางตามหว่างสิงขร พระสี่กรชมพรรณพฤกษา
ประดู่ดอกดกดาษดา กระดังงาจำปาแกมกัน
บุนนาคลำดวนสาวหยุด ชาตบุษย์สุกรมนมสวรรค์
พิกุลสารภีมะลิวัน คันทรงกุหลาบจำปี
พุทธชาดรักซ้อนซ่อนกลิ่น อินทนิลช้องนางนางคลี่
นางแย้มกล้วยไม้มะลุลี ยี่สุ่นโยทะกาชะบาบาน
กรรณิการ์เกดแก้วกาหลง ประยงค์พะยอมหอมหวาน
ชมพลางเด็ดดวงผกากาญจน์ พระอวตารส่งให้วนิดา
พระลักษมณ์เด็ดดอกการะเกด ถวายองค์อัคเรศสุณิสา
สามกษัตริย์สำราญวิญญาณ์ ไปตามมรคาพนาลี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เพลง

๏ ข้ามละหานธารถํ้าลำเนา ถึงเขาสัตกูฏคีรีศรี
แลไปเห็นต้นนนทรี อยู่ที่ข้างเชิงบรรพต
แล้วเห็นอาศรมที่ปากถํ้า เหมือนคำพระมหาดาบส
มีพรรณไม้หอมรวยรส พระทรงยศเข้าอยู่ในศาลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งตั้งกองกูณฑ์บูชาไฟ สำรวมใจตามเพศชีป่า
สามกษัตริย์บำเพ็ญภาวนา ทุกวันเวลาราตรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๏ บัดนั้น ฝ่ายขุนอัสดรทั้งสี่
ครั้นถึงไกยเกษบูรี ก็เข้ายังที่พระโรงคัล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ น้อมเกล้าทูลสองพระโอรส พระพรตพระสัตรุดรังสรรค์
ว่าพระบิตุรงค์ทรงธรรม์ จะมอบสวรรยาธานี
ให้องค์สมเด็จพระราเมศ เป็นปิ่นนคเรศเฉลิมศรี
ให้ข้ามาเชิญใต้ธุลี ไปยังบูรีอยุธยา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทั้งสองน้องนารายณ์นาถา
แจ้งว่าสมเด็จพระบิดา จะมอบนัคราพระสี่กร
เป็นใหญ่ในมหาเศวตฉัตร ต่างองค์โสมนัสสโมสร
เสด็จจากอาสน์แก้วบวร บทจรไปเฝ้าพระอัยกา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงน้อมเกล้าบังคมทูล นเรนทร์สูรบรมนาถา
บัดนี้สมเด็จพระบิดา จะมอบสวรรยาราชัย
ให้พระหริวงศ์ทรงจักร เป็นปิ่นปักหลักภพสบสมัย
หลานรักจักลาพระภูวไนย ไปยังอยุธยาธานี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวไกยเกษเรืองศรี
ฟังพระนัดดาก็ยินดี จึ่งมีพจนารถวาจา
เจ้าเร่งรีบไปให้ทันการ องค์พระอวตารเชษฐา
จงทูลสมเด็จพระบิดา ว่าตาอวยพรสวัสดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตพระสัตรุดทั้งสองศรี
ถวายบังคมคัลอัญชุลี มาปราสาทมณีอำไพ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึ่งมีพจนารถ สั่งมหาอำมาตย์ผู้ใหญ่
จงเตรียมพหลพลไกร เราจะไปกรุงศรีอยุธยา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนีผู้มียศถา
รับสั่งถวายบังคมลา ก็รีบออกมาทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ยานี

๏ จึ่งจัดม้ารถคชสาร จัตุรงค์ทวยหาญทั้งสี่
ขุนรถขึ้นรถมณี ขุนม้าขึ้นขี่อัสดร
ขุนช้างขึ้นขี่คชา แต่ละตัวแกล้วกล้าชาญสมร
พลเท้าแต่งกายอลงกรณ์ มือถือโตมรยืนยัน
กองหน้าถือปืนรางแดง กำยำลํ่าแรงแข็งขัน
ถัดมาพื้นถือเกาทัณฑ์ ลูกนั้นชุบซาบอาบพิษ
เหล่าหนึ่งล้วนถือดาบเขน โพกหัวถกเขมรเหน็บกริช
เตรียมทั้งรถแก้วชวลิต คอยสองทรงฤทธิ์เสด็จจร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตพระสัตรุดทรงศร
ครั้นรุ่งแสงสีรวีวร ก็กรายกรมาสรงคงคา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ ชำระสระสนานสำราญองค์ ทรงสุคนธาธารบุปผา
สอดใส่สนับเพลาโอฬาร์ ภูษาเครือก้านต่างกัน
แล้วทรงชายไหวชายแครง ฉลององค์ทองแล่งกระหนกคั่น
ทับทรวงสร้อยสนสังวาลวัลย์ ตาบทิศกุดั่นทองกร
พาหุรัดเป็นรูปนาคกลาย ธำมรงค์เพชรพรายประภัสสร
ต่างทรงมงกุฎกรรเจียกจร กุณฑลแก้วอรชรดอกไม้ทัด
จับศรแล้วขัดพระแสงขรรค์ ย่างเยื้องจรจรัลกรายหัตถ์
งามทรงสมวงศ์จักรพรรดิ มาขึ้นรถรัตน์อลงการ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

โทน

๏ รถเอยสองรถทรง กำกงประดับมุกดาหาร
บุษบกล้วนแล้วแก้วประพาฬ สามงอนชัชวาลด้วยธงชาย
เทียมสินธพชาติตัวคะนอง สะบัดย่างเยื้องย่องเฉิดฉาย
สารถีถือแซ่กรีดกราย ขับร่ายรวดเร็วดั่งลมพัด
ประดับด้วยเครื่องสูงครบสิ่ง ทานตะวันกรรชิงมยุรฉัตร
โยธาเกณฑ์แห่เยียดยัด ขนัดฆ้องกลองขานประสานกัน
แตรงอนแตรฝรั่งประดังเสียง สำเนียงสะเทือนเลื่อนลั่น
กองหน้านำพลจรจรัล เข้าในอรัญบรรพต ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ อันนกไม้ซึ่งอยู่ริมทาง เป็นลางวิปริตไปหมด
ทั้งธงฉานธงชัยธงรถ จะปรากฏโบกสะบัดก็ไม่มี
จนล่วงด่านเมืองไกยเกษ เข้าเขตอยุธยาบุรีศรี
อันหมู่ไพร่ฟ้าประชาชี ไม่มีผู้เที่ยวไปมา
ทั้งเสียงดนตรีมหรสพ เงียบสงบดั่งหนึ่งกลางป่า
ให้ฉงนสนเท่ห์ในวิญญาณ์ ก็เร่งรีบรัถาเข้าไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ เห็นหมู่อำมาตย์พร้อมกัน ทั้งสุมันตันผู้ใหญ่
แสนโศกโศกาอาลัย ไม่เป็นอารมณ์สมประดี
จึ่งมีพระราชสุนทร ดูก่อนเสนาทั้งสี่
เมื่อจะมอบสมบัติพระจักรี แล้วมาโศกีด้วยอันใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุมันตันเสนาน้อยใหญ่
ก้มเกล้าชุลีกรถอนใจ สะอื้นไห้แล้วทูลกิจจา
เดิมองค์สมเด็จพระบิตุเรศ จะมอบเศวตฉัตรพระเชษฐา
แล้วกลับสั่งให้บรรพชา ออกไปอยู่ป่าสิบสี่ปี
ฝ่ายนางสีดายุพาพักตร์ กับทั้งพระลักษมณ์เรืองศรี
โศการ่ำรักพระจักรี บวชเป็นโยคีด้วยกัน
อันพระองค์ออกจากพารา ข้าได้โดยเสด็จถึงสวนขวัญ
ครั้นราตรีดึกแจ้งแสงจันทร์ สามกษัตริย์พากันหนีไป
ข้ากลับมาทูลพระบิตุรงค์ พระองค์ทรงโศกกันแสงไห้
จนเสด็จสวรรคาลัย ล่วงไปได้เจ็ดราตรี
อันหมู่เสนาประชาชน ได้ความร้อนรนดั่งเพลิงจี่
เหตุนี้เพราะองค์พระชนนี จึ่งโศกีไปทั้งพระนคร ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระพรตพระสัตรุดชาญสมร
แจ้งว่าสมเด็จพระบิดร ภูธรสุดสิ้นชีวัน
ตกใจเพียงพญามัจจุราช มาฟันฟาดตัดเศียรให้อาสัญ
เร่าร้อนฤทัยดั่งไฟกัลป์ อัดอั้นตะลึงทั้งกายา
นัยน์เนตรมืดมัวไปทั่วทิศ สลดจิตแสนโทมนัสสา
เอะไฉนฉะนี้พระมารดา จึ่งมาหยาบช้าสาธารณ์
จนพี่น้องพลัดพรากจากนิเวศน์ พระบิตุเรศก็ม้วยสังขาร
เสียทีที่ร่วมอวตาร อัประมาณพ้นที่จะรำพัน
อย่าเลยจะไปเฝ้าพระมารดา องค์พระเชษฐารังสรรค์
จึ่งจะแจ้งเหตุผลแต่ต้นนั้น คิดแล้วพากันจรลี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงปราสาทอลงกรณ์ เห็นพระมารดรทั้งสองศรี
ทรงกันแสงศัลย์พันทวี พระพี่น้องกราบลงแล้วโศกา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๏ พระพรตจบบาทขึ้นใส่เกล้า พระแม่เจ้าจงโปรดเกศา
เป็นไฉนสมเด็จพระบิดา ผ่านฟ้าจึ่งสวรรคาลัย
อันองค์พระลักษมณ์พระอวตาร พี่สีดาเยาวมาลย์นั้นไปไหน
พระชนนีลูกทำประการใด ทูลพลางร่ำไรไม่สมประดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น นางเกาสุริยามารศรี
ทั้งนางสมุทรเทวี ได้ฟังวาทีก็หลากใจ
จึ่งว่าเป็นไฉนพระพรต เจ้ามากำสรดกันแสงไห้
ดูดั่งชีวิตจะบรรลัย เหมือนไม่รู้ด้วยพระมารดร
เหตุใดมาถามความเรา ไม่ไปเฝ้าพระชนนีเสียก่อน
ตัวเจ้าจะได้ผ่านพระนคร จะทุกข์ร้อนไยเล่านะลูกรัก ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์ทรงจักร
ได้ฟังฉงนสนเท่ห์นัก ชลเนตรนองพักตร์แล้วทูลไป
ลูกจากบาทาก็ช้านาน จะได้ร่วมคิดอ่านนั้นหาไม่
ต่อเขาไปแจ้งถึงเวียงชัย ว่าจะให้สมบติพระจักรา
ก็ดีใจมาถึงจึ่งรู้ความ ว่าองค์พระรามไปเดินป่า
พระบิตุรงค์ก็สิ้นพระชนมา เพราะด้วยมารดาของข้านี้
ความแค้นลูกแสนสาหส จึ่งตรงมาประณตบทศรี
หวังจะทูลถามพระชนนี มาตรัสดั่งนี้ก็จนใจ
เหมือนพระแม่เจ้าไม่เมตตา จะเห็นความสัจจาก็หาไม่
ทูลพลางกอดข้อพระบาทไว้ ร่ำไรสะอื้นโศกี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น องค์พระมารดาทั้งสองศรี
จึ่งมีพระราชเสาวนีย์ แม่นี้ไม่แสร้งเจรจา
วันเมื่อสมเด็จพระบิตุเรศ จะมอบเศวตฉัตรพระเชษฐา
ให้เป็นจรรโลงโลกา แม่เจ้าริษยาอาธรรม์
ขอสัตย์ให้เจ้าผ่านโภไคย ขับพระรามออกไปพนาสัณฑ์
จนพระบิตุเรศสิ้นชีวัน เหตุนั้นเพราะองค์นางเทวี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตทรงสวัสดิ์รัศมี
ได้ฟังสมเด็จพระชนนี โศกีแล้วทูลสนองไป
อันซึ่งมารดาข้าก่อเข็ญ ลูกจะได้รู้เห็นก็หาไม่
เจ็บจิตเพียงชีวิตจะบรรลัย ช่างมาทำได้ถึงเพียงนี้
ชั่วช้าสาธารณ์ยิ่งนัก โลภล้นอัปลักษณ์บัดสี
จนใจด้วยเป็นชนนี หาไม่ชีวีจะม้วยมิด
เสียชาติที่ลูกกำเนิด หลงเกิดเข้าท้องทุจริต
ระกำใจได้อายเป็นพ้นคิด พระทรงฤทธิ์ซบพักตร์ลงโศกา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

๏ แล้วทูลชนนีทั้งสององค์ อันความซื่อตรงของข้า
อย่าว่าแต่สมบัติอยุธยา ถึงสวรรค์ชั้นฟ้าสุราลัย
จะให้ลูกก็ไม่ยินดี จะผ่านเมืองก่อนพี่กระไรได้
อยู่วังดั่งนอนในกองไฟ ไตรโลกจะหมิ่นนินทา
ลูกขออภิวาทน์บาทบงสุ์ ลาไปตามองค์พระเชษฐา
จะอ้อนวอนเชิญเสด็จคืนมา ครอบครองไพร่ฟ้าประชากร
แม้นว่าไม่พบเบื้องบาท พระตรีภูวนาถทรงศร
ไม่ขอกลับคืนพระนคร พระมารดรจงได้โปรดปรานี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระมารดาทั้งสองศรี
ได้ฟังพระพรตพาที เทวีสิ้นแหนงแคลงใจ
จึ่งสวมกอดสองพระลูกรัก ซบพักตร์กันแสงร่ำไห้
ซึ่งเจ้าจะตามพระพี่ไป ใครจะช่วยการศพพระบิดา
งดอยู่จนถวายพระเพลิงเสร็จ จึ่งค่อยโดยเสด็จพระเชษฐา
แต่เห็นจะไม่กลับมา ด้วยรับสัจจาพระบิดร
ตัวแม่ทั้งสองจะไปด้วย จะได้ช่วยปลอบองค์พระทรงศร
แม้นว่าไม่คืนพระนคร จะวิงวอนมิให้ไปไกล ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตผู้มีอัชฌาสัย
ฟังพระเสาวนีย์อรไท ดีใจกราบลงกับบาทา
ซึ่งพระองค์เมตตาการุญ พระคุณควรไว้เหนือเกศา
ลูกรักขอถวายบังคมลา ไปวันทาศพพระภูมี
ทูลแล้วประณตบทบงสุ์ องค์พระมารดาทั้งสองศรี
ลงจากปราสาทมณี พระพี่น้องเสด็จตามกัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

โอ้

๏ ครั้นถึงน้อมเศียรอภิวาทน์ ศพพระบิตุราชรังสรรค์
ต่างองค์แสนโศกจาบัลย์ รำพันสะอื้นโศกา
พระพรตว่าโอ้พระจอมเกศ พระเดชเคยปกเกศา
บำรุงเลี้ยงลูกแต่เยาว์มา พระคุณล้ำฟ้าธาตรี
ยังมิได้สนองละอองบาท พระบิตุรงค์ธิราชเรืองศรี
แม่ข้าชั่วช้าอัปรีย์ ทำให้ภูมีสวรรคต
ทั้งพระเชษฐาสุริย์วงศ์ ก็ต้องทรงผนวชเป็นดาบส
ไปอยู่อรัญบรรพต ประชากรร้อนหมดทั้งเวียงชัย
พระสัตรุดว่าโอ้พระจอมภพ พระคุณเลิศลบไม่หาได้
รักลูกดั่งหนึ่งดวงใจ สิ่งใดมิให้ราคี
มั่นอยู่ในสัจสุจริต ทศทิศได้พึ่งบทศรี
พระชันษาก็หกหมื่นปี ไม่ควรที่จะสิ้นชนมาน
ตั้งแต่นี้ไปจะได้ทุกข์ เสื่อมสุขจากความเกษมศานต์
จะมืดมนทั่วฟ้าสุธาธาร ดั่งสุริย์ฉานเลี้ยวลับเมรุไกร
อกเอ๋ยเป็นน่าอนาถนัก จะผินพักตร์ไปพึ่งผู้ใดได้
สองกษัตริย์แสนโศกาลัย ไม่เป็นสติสมประดี ฯ

ฯ ๑๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายนวลนางไกยเกษี
แจ้งว่าโอรสถึงธานี ยินดีดั่งได้ฟากฟ้า
แต่นั่งนั่งคอยลอยพักตร์ นงลักษณ์เยี่ยมแกลชะแง้หา
คิดกระหยิ่มปริ่มเปรมวิญญาณ์ ไม่เห็นลูกมาก็หลากใจ
แต่ผุดลุกผุดนั่งอุตลุด เรียกกุจจีค่อมเข้ามาใกล้
พระพรตมาอยู่แห่งใด ไปดูให้เห็นประจักษ์ตา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นางกุจจีค่อมทาสา
ก้มเกล้ารับสั่งกัลยา ชุลีลาแล้วพากันรีบจร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๏ มาถึงปราสาทพระโกศอยู่ ก็รู้ว่าพระพรตทรงศร
เสด็จยังที่ศพพระบิดร ก็ซ่อนหน้าแอบดูแต่ไกล
เห็นพระพี่น้องทั้งสององค์ ซบพักตร์ลงทรงกันแสงไห้
กุจจีก็พากันกลับไป เฝ้าองค์อรไทด้วยปรีดา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ นบนิ้วดุษฎีชุลีบาท องค์อัครราชเสน่หา
ทูลว่าบัดนี้พระลูกยา มาอยู่ยังศพพระภูมี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึ่งนวลนางไกยเกษี
แจ้งว่าโอรสร่วมชีวี อยู่ยังที่ศพพระบิดร
มีความชื่นชมโสมนัส พูนสวัสดิ์ภิรมย์สโมสร
ก็เสด็จยุรยาตรนาดกร บทจรขึ้นยังปราสาทชัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นมาถึงราชโอรส จึ่งลดพระองค์ลงนั่งใกล้
แล้วมีเสาวนีย์ตรัสไป เจ้าผู้ดวงใจของมารดา
เป็นไฉนพ่อจึ่งมาช้านัก แม่นี้ตั้งพักตร์คอยหา
มานี่จะแจ้งกิจจา เจ้าอย่าโศกาจาบัลย์
แม่ทูลขอสัตย์พระบิตุเรศ ให้เจ้าผ่านนิเวศน์ไอศวรรย์
เป็นใหญ่ในวงศ์เทวัญ ซึ่งแม่หมายมั่นก็สมคิด ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น น้องพระหริรักษ์จักรกฤษณ์
ได้ฟังดั่งหนึ่งเพลิงพิษ มาติดไหม้ทรวงดวงใจ
จึ่งร้องประกาศด้วยวาจา ควรหรือช่างมาทำได้
อัปยศอดสูทั้งแดนไตร ธรรมเนียมของใครที่ไหนมี
จะยกสมบัติให้แก่น้อง ครอบครองพระนครก่อนพี่
มิหนำซ้ำขับพระจักรี ให้เป็นชีไปเดินอรัญวา
จนองค์สมเด็จพระบิตุเรศ ทนเทวษสุดสิ้นสังขาร์
ไพร่ฟ้าประชาชนทั้งพารา โศกาเดือดร้อนดั่งเพลิงกัลป์
เป็นคนทรลักษณ์อัปรีย์ กูจะล้างชีวีให้อาสัญ
ว่าพลางผุดลุกขึ้นยืนยัน ชักพระขรรค์กวัดแกว่งจะพันฟอน ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระสัตรุดฤทธิรงค์ทรงศร
ตกใจกลัวจะฆ่าพระมารดร วิ่งเข้ากุมกรพระพี่ยา
ไฉนมาทำดั่งนี้ จะซ้ำให้มีโทษา
ความชั่วจะชั่วกัลปา พระเชษฐาคิดดูให้ควรการ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตผู้ปรีชาหาญ
ทิ้งพระขรรค์แล้วกล่าวพจมาน เหวยอีสาธารณ์ใจฉกรรจ์
นี่หากว่าเป็นมารดา หาไม่ชีวาจะอาสัญ
ไม่ขอเห็นหน้าคนอาธรรม์ พระหุนหันขับไล่ไม่ปรานี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึ่งนวลนางไกยเกษี
เห็นโอรสโกรธกริ้วดั่งอัคคี เทวีขัดสนจนใจ
มิรู้ที่จะตอบพจมาน จะรอหน้าอยู่นานก็ไม่ได้
จึ่งลุกดำเนินเดินกลับไป ยังปราสาทชัยกัลยา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์นาถา
แสนทุกข์อัดอั้นในอุรา โศการ่ำรักพระบิดร
ทั้งคิดคำนึงถึงองค์ พระเชษฐาภุชพงศ์ทรงศร
กับพระลักษมณ์นางสีดาบังอร ให้เร่าร้อนฤทัยดั่งไฟกัลป์
ยิ่งแค้นสมเด็จพระชนนี จะใคร่ล้างชีวีให้อาสัญ
จนใจด้วยเกิดในครรภ์ ไตรโลกทั้งนั้นจะไยไพ
แล้วจะเป็นเวรเป็นกรรม มิรู้ที่จะทำกระไรได้
แต่ผุดลุกผุดนั่งถอนใจ ชลนัยน์ไหลอาบพระพักตรา
ทั้งพระสัตรุดสุริย์วงศ์ ต่างองค์เศร้าโทมนัสสา
แสนทุกข์แสนเทวษโศกา ดั่งว่าจะสิ้นชีวี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น ทั้งสองพระมหาฤๅษี
ครั้นแสงทองส่องฟ้าธาตรี เข้ามายังที่พระโรงคัล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ต่างองค์สถิตเหนืออาสน์ อันงามด้วยเครื่องลาดฉายฉัน
พร้อมกษัตริย์สุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์ เสนาแน่นนันดาษไป
จึ่งมีพจนารถวาจา ดูราสุมันตันผู้ใหญ่
อันศพพระองค์ทรงภพไตร สั่งไว้เราสองอาจารย์
ครั้นจะงดช้าอยู่บัดนี้ ก็ไม่มีประโยชน์แก่นสาร
ตัวท่านผู้ปรีชาชาญ จงจัดการพระเมรุให้ครบครัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุมันตันเสนาคนขยัน
รับคำพระมหานักธรรม์ อภิวันทน์แล้วรีบออกไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึ่งสั่งนายเวร ให้หมายเกณฑ์ตามกรมน้อยใหญ่
เวียงวังคลังนามหาดไทย จงพร้อมโดยในตำรา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ยานี

๏ บัดนั้น ฝ่ายเจ้าพนักงานถ้วนหน้า
สี่ตำรวจตรวจกันเป็นโกลา สัสดีซ้ายขวาก็เกณฑ์คน
เมืองเอกโทตรีชนบท ก็ขับต้อนมาหมดทุกแห่งหน
เยียดยัดอัดอึงอลวน ต่างตนทำตามพนักงาน
บ้างตั้งเมรุใหญ่เมรุทิศ เมรุทองชวลิตฉายฉาน
ราชวัติฉัตรธงอลงการ รูปสัตว์ชัชวาลจำเริญตา
หว่างระทานั้นมีโรงรำ โขนหนังระบำทุกภาษา
เร่งรัดตีกันเป็นโลกา เสร็จตามตำราทุกสิ่งอัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๏ เมื่อนั้น สองพระอาจารย์ฌานขยัน
ครั้นการพระเมรุครบครัน จึ่งสั่งสุมันตันมนตรี
ให้เชิญเสด็จบรมศพ พระทรงภพธิราชเรืองศรี
ขึ้นทรงรถแก้วมณี ไปที่พระเมรุอำไพ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุมันตันเสนาผู้ใหญ่
รับคำแล้วพากันไป ยังปราสาทชัยรจนา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งเชิญบรมโกศแก้ว อันเพริศแพร้วดั่งเทพเลขา
ขึ้นพิชัยรถทรงอลงการ์ ในมหาบุษบกพรายพรรณ
พร้อมทั้งรถโยงพรรณราย รถปรายข้าวตอกฉายฉัน
อีกรถพระมหานักธรรม์ ถัดนั้นเกณฑ์แห่ประนมกร
คู่เคียงเรียงกันสองหมื่น แต่พื้นถือปทุมเกสร
ประดับด้วยเครื่องสูงจามร บทจรมาตามรัถยา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ กลองโยน

๏ ครั้นถึงซึ่งที่พระเมรุมาศ อันโอภาสจำรัสพระเวหา
เชิญพระศพขึ้นแท่นอลงการ์ รจนาด้วยแก้วแกมกัน
พระสนมหกหมื่นก็โศกี เพียงหนึ่งชีวีจะอาสัญ
สองอัครชายาวิลาวัณย์ ก็รำพันร่ำรักพระภัสดา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

๏ บัดนั้น ฝ่ายการมหรสพถ้วนหน้า
โขนหนังระบำช่องระทา ก็ทำท่าเต้นรำเป็นโกลี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระพรตพระสัตรุดเรืองศรี
กับสองสมเด็จพระชนนี สุริย์วงศ์มนตรีแลกำนัล
ตั้งแต่สมโภชพระศพ เอิกเกริกพิภพไหวหวั่น
ก็ถ้วนเจ็ดคืนเจ็ดวัน พร้อมกันจะจุดอัคคี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึ่งนวลนางไกยเกษี
หน้าตาไม่เป็นสมประดี เรียกอีกุจจีเข้ามา
ให้ถือธูปเทียนสุวรรณ จุณจันทน์สุคนธบุปผา
ลงจากปราสาทรัตนา เจ้าข้าก็พากันไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงพระเมรุอันโอภาส ไม่อาจดูหน้าผู้ใดได้
เข้าไปนั่งคอยจะจุดไฟ สะเทิ้นใจทำพูดกับกุจจี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระวสิษฐ์สวามิตรฤๅษี
ครั้นบ่ายได้ห้านาที จวนจุดอัคคีก็แลดู
เห็นนางไกยเกษีทรามวัย ถือดอกไม้ธูปเทียนมานั่งอยู่
จึ่งว่าดูก่อนโฉมตรู ช่างไม่อดสูวิญญาณ์
เดิมตัวของเจ้าขอสัตย์ กำจัดพระรามไปเดินป่า
ด้วยจิตโมหันธ์ฉันทา ให้ลูกยาขึ้นผ่านเวียงชัย
พระองค์รับสัตย์ไม่ขัดเจ้า ยกเอาสมบัตินั้นให้
แต่ซึ่งให้พระรามจะเดินไพร ภูวไนยว่าวอนนางเทวี
ก็ไม่ฟังพระราชบัญชา จนร้อนมาถึงกูผู้ฤๅษี
เจ้าก็ยิ่งหยาบช้าพาที ไม่คิดว่าเรานี้เป็นอาจารย์
จนพระองค์ปลงชีพชีวัง สั่งไว้เมื่อจะดับสังขาร
มิให้พระพรตกับนงคราญ ต้องพานเผาศพพระภูวไนย
ซึ่งจะมาพลอยจุดอัคคี เรานี้หาให้ทำไม่
เร่งไปเสียเถิดอรไท จากในพระเมรุรจนา ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางไกยเกษีเสน่หา
ได้ฟังทั้งสองพระสิทธา กัลยาขัดสนเป็นพ้นคิด
มิรู้ที่จะตอบประการใด จนใจด้วยตัวทำผิด
ก็ออกจากพระเมรุชวลิต กับข้าสนิทชื่อกุจจี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ