- คำนำ
- คำอธิบาย
- เนื้อเรื่องย่อ
- สมุดไทยเล่มที่ ๑
- สมุดไทยเล่มที่ ๒
- สมุดไทยเล่มที่ ๓
- สมุดไทยเล่มที่ ๔
- สมุดไทยเล่มที่ ๕
- สมุดไทยเล่มที่ ๖
- สมุดไทยเล่มที่ ๗
- สมุดไทยเล่มที่ ๘
- สมุดไทยเล่มที่ ๙
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๐
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๑
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๒
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๓
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๔
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๕
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๖
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๗
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๘
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๙
- สมุดไทยเล่มที่ ๒๐
- สมุดไทยเล่มที่ ๒๑
- สมุดไทยเล่มที่ ๒๒
- สมุดไทยเล่มที่ ๒๓
- สมุดไทยเล่มที่ ๒๔
- สมุดไทยเล่มที่ ๒๕
- สมุดไทยเล่มที่ ๒๖
- สมุดไทยเล่มที่ ๒๗
- สมุดไทยเล่มที่ ๒๘
- สมุดไทยเล่มที่ ๒๙
- สมุดไทยเล่มที่ ๓๐
- สมุดไทยเล่มที่ ๓๑
- สมุดไทยเล่มที่ ๓๒
- สมุดไทยเล่มที่ ๓๓
- สมุดไทยเล่มที่ ๓๔
- สมุดไทยเล่มที่ ๓๕
- สมุดไทยเล่มที่ ๓๖
- สมุดไทยเล่มที่ ๓๗
- สมุดไทยเล่มที่ ๓๘
- สมุดไทยเล่มที่ ๓๙
- สมุดไทยเล่มที่ ๔๐
- สมุดไทยเล่มที่ ๔๑
- สมุดไทยเล่มที่ ๔๒
- สมุดไทยเล่มที่ ๔๓
- สมุดไทยเล่มที่ ๔๔
- สมุดไทยเล่มที่ ๔๕
- สมุดไทยเล่มที่ ๔๖
- สมุดไทยเล่มที่ ๔๗
- สมุดไทยเล่มที่ ๔๘
- สมุดไทยเล่มที่ ๔๙
- สมุดไทยเล่มที่ ๕๐
- สมุดไทยเล่มที่ ๕๑
- สมุดไทยเล่มที่ ๕๒
- สมุดไทยเล่มที่ ๕๓
- สมุดไทยเล่มที่ ๕๔
- สมุดไทยเล่มที่ ๕๕
- สมุดไทยเล่มที่ ๕๖
- สมุดไทยเล่มที่ ๕๗
- สมุดไทยเล่มที่ ๕๘
- สมุดไทยเล่มที่ ๕๙
- สมุดไทยเล่มที่ ๖๐
- สมุดไทยเล่มที่ ๖๑
- สมุดไทยเล่มที่ ๖๒
- สมุดไทยเล่มที่ ๖๓
- สมุดไทยเล่มที่ ๖๔
- สมุดไทยเล่มที่ ๖๕
- สมุดไทยเล่มที่ ๖๖
- สมุดไทยเล่มที่ ๖๗
- สมุดไทยเล่มที่ ๖๘
- สมุดไทยเล่มที่ ๖๙
- สมุดไทยเล่มที่ ๗๐
- สมุดไทยเล่มที่ ๗๑
- สมุดไทยเล่มที่ ๗๒
- สมุดไทยเล่มที่ ๗๓
- สมุดไทยเล่มที่ ๗๔
- สมุดไทยเล่มที่ ๗๕
- สมุดไทยเล่มที่ ๗๖
- สมุดไทยเล่มที่ ๗๗
- สมุดไทยเล่มที่ ๗๘
- สมุดไทยเล่มที่ ๗๙
- สมุดไทยเล่มที่ ๘๐
- สมุดไทยเล่มที่ ๘๑
- สมุดไทยเล่มที่ ๘๒
- สมุดไทยเล่มที่ ๘๓
- สมุดไทยเล่มที่ ๘๔
- สมุดไทยเล่มที่ ๘๕
- สมุดไทยเล่มที่ ๘๖
- สมุดไทยเล่มที่ ๘๗
- สมุดไทยเล่มที่ ๘๘
- สมุดไทยเล่มที่ ๘๙
- สมุดไทยเล่มที่ ๙๐
- สมุดไทยเล่มที่ ๙๑
- สมุดไทยเล่มที่ ๙๒
- สมุดไทยเล่มที่ ๙๓
- สมุดไทยเล่มที่ ๙๔
- สมุดไทยเล่มที่ ๙๕
- สมุดไทยเล่มที่ ๙๖
- สมุดไทยเล่มที่ ๙๗
- สมุดไทยเล่มที่ ๙๘
- สมุดไทยเล่มที่ ๙๙
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๐๐
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๐๑
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๐๒
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๐๓
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๐๔
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๐๕
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๐๖
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๐๗
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๐๘
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๐๙
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๑๐
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๑๑
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๑๒
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๑๓
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๑๔
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๑๕
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๑๖
- สมุดไทยเล่มที่ ๑๑๗
สมุดไทยเล่มที่ ๕๘
๏ เมื่อนั้น | พระลักษมณ์สุริย์วงศ์ทรงศร |
ครั้นเห็นอินทรชิตฤทธิรอน | ยกพลนิกรออกมา |
เกลื่อนกลาดแน่นนันต์นับสมุทร | โห่ร้องอุตลุดสำแดงกล้า |
ทำทีองอาจอหังการ์ | ดั่งว่าจะโถมเข้าชิงชัย |
ยิ้มแล้วจึ่งมีบัญชาการ | สั่งหมู่ทหารน้อยใหญ่ |
จงกำชับกันให้มั่นไว้ | ฟังดูฤทธิไกรอสุรี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ลูกท้าวสิบพักตร์ยักษี |
ยืนรถอยู่กลางโยธี | จึ่งมีพระราชบัญชา |
เหวยเหวยดูกรพลมาร | จงยกทหารเข้าหักกล้า |
ตีทัพกระบี่โยธา | ฆ่าเสียให้สิ้นทั้งนั้น |
แม้นใครย่อท้อปัจจามิตร | กูจะล้างชีวิตให้อาสัญ |
ทั้งเจ็ดชั่วโคตรกุมภัณฑ์ | ให้สาใจมันไอ้อัปรีย์ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ฝ่ายพลทหารยักษี |
ได้ฟังพระราชวาที | ไม่อาจที่จะเข้าต่อกร |
ความกลัวนั้นสุดที่กลัวนัก | ดั่งพยัคฆ์เห็นพญาไกรสร |
หากเกรงอินทรชิตฤทธิรอน | มิรู้ที่ผันผ่อนประการใด |
จำเป็นจำใจเข้าต่อสู้ | ครั้นจะย่อท้ออยู่ก็ไม่ได้ |
โลดโผนโจนจ้วงทะลวงไป | เข้าไล่เข่นฆ่าราวี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ยิงแย้งแทงฟันสับสน | อลวนกับพวกกระบี่ศรี |
เป็นหมู่หมู่เหล่าเหล่าเข้าโจมตี | ต่างหนีต่างไล่ราญรอน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้น | พวกพลกระบี่ชาญสมร |
รบรุกบุกบันประจัญกร | โถมเข้าราญรอนหมู่มาร ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ พลลิงไล่ชิงอาวุธยักษ์ | โหมหักเอาด้วยกำลังหาญ |
ตายกลาดดาษพื้นสุธาธาร | แตกพ่านจนรถอสุรี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตสิทธิศักดิ์ยักษี |
เห็นพลแตกตายไม่สมประดี | โกรธดั่งอัคคีไหม้ฟ้า |
จึ่งชักแสงศรสุรกานต์ | ขุนมารพาดสายเงื้อง่า |
หมายองค์พระลักษมณ์อนุชา | อสุราก็ผาดแผลงไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ สำเนียงดั่งเสียงเพลิงกรด | บรรพตจักรวาลสะท้านไหว |
ต้องหมู่โยธีกระบี่ไพร | บรรลัยเกลื่อนกลาดปัถพี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระลักษมณ์สุริย์วงศ์เรืองศรี |
เห็นอินทรชิตวางศรมาราวี | ต้องหมู่โยธีวานร |
หัวขาดตัวขาดตีนขาด | กลิ้งกลาดตามเนินสิงขร |
จึ่งจับพรหมาสตร์ฤทธิรอน | น้องพระสี่กรก็แผลงไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครื้นครื้นดังคลื่นในสมุทร | กาลาคนิรุทรก็หวาดไหว |
ต้องรถอินทรชิตฤทธิไกร | หักไปเป็นภัสม์ธุลี |
อันหมู่โยธาวานร | ซึ่งตายด้วยศรยักษี |
ก็กลับคืนได้ชีวี | ด้วยฤทธีองค์พระอนุชา |
ยักคิ้วหลิ่วตาอ้าเขี้ยว | โห่เกรียวผาดแผลงสำแดงกล้า |
โลดโผนโจนไปด้วยศักดา | เข้าไล่เข่นฆ่าหมู่มาร ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้น | ฝ่ายพลอินทรชิตใจหาญ |
ลางหมู่วิ่งหนีลนลาน | ลางหมู่เข้าต้านทานกร ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ แทงฟันตีรันกันสับสน | บางตนก็ยิงธนูศร |
ต่างกล้าต่อหาญราญรอน | ตะลุมบอนรบชิดติดพัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้น | โยธาวานรแข็งขัน |
เข้าไล่ราวีตีประจัญ | จับกันกับพวกอสุรา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ปากกัดตีนถีบมือตบ | หลีกหลบเขม้นเข่นฆ่า |
หมู่มารไม่ทานฤทธา | แตกตายพ่ายมาไม่สมประดี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตสิทธิศักดิ์ยักษี |
เสียรถยืนอยู่กับปัถพี | เห็นกระบี่ไล่รุกบุกบัน |
ฆ่าโยธามารมรณา | กริ้วโกรธโกรธาหุนหัน |
กระทืบบาทขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน | ออกไล่โรมรันกระบี่ไพร ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ หวดซ้ายป่ายขวาด้วยคันศิลป์ | หมู่กบินทร์ไม่ทนกำลังได้ |
แตกร้นย่นยับเข้าไป | ผู้ใดไม่อาจทานกร ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | น้องพระอวตารชาญสมร |
เห็นอินทรชิตฤทธิรอน | ไล่ตีวานรเข้ามา |
พระกรนั้นแกว่งศรทรง | อาจองเขม้นเข่นฆ่า |
โลดโผนโจนจับอสุรา | ด้วยกำลังศักดาว่องไว ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เท้าซ้ายเหยียบเข่ากุมภัณฑ์ | กรนั้นฉวยคันธนูได้ |
ตีต้องอินทรชิตฤทธิไกร | เซซวนออกไปทันที ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตสิทธิศักดิ์ยักษี |
ทรหดอดทนแสนทวี | อสุรีจับศรแผลงมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ สำเนียงสะเทือนเลื่อนลั่น | เปรี้ยงเปรี้ยงสนั่นดังฟ้าผ่า |
กระทบชงฆ์องค์พระอนุชา | ด้วยกำลังฤทธาขุนมาร ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระลักษมณ์สุริย์วงศ์ใจหาญ |
กระทบศรแก้วสุรกานต์ | เจ็บร้อนปิ้มปานเพลิงพิษ |
อุตส่าห์ดำรงกายไว้ | ตั้งใจคิดคุณพระนักสิทธ์ |
ยอกรขึ้นเหนือโมสิศ | ร่ายวิษณุเวทอันศักดา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ
๏ ครั้นถ้วนเจ็ดคาบก็เป่าลง | ที่ในพระชงฆ์เบื้องขวา |
ลูบไล้ไปทั่วกายา | พิษศรอสุราก็หายไป |
จึ่งชักซึ่งอัคนิวาต | อันมีอำนาจแผ่นดินไหว |
พาดสายน้าวหน่วงด้วยว่องไว | แผลงไปด้วยกำลังฤทธิ์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๏ รุ่งโรจน์โชติช่วงด้วยเพลิงกัลป์ | เสียงสนั่นลั่นถึงดุสิต |
ตรงไปต้ององค์อินทรชิต | ติดอยู่กับอกขุนมาร ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ลูกท้าวทศเศียรใจหาญ |
ล้มลงกับพื้นสุธาธาร | ปานดั่งจะสิ้นชีวี |
ดำรงกายยอกรขึ้นเหนือเกศ | ไหว้คุณพรหเมศเรืองศรี |
อุตส่าห์สำรวมอินทรีย์ | อสุรีร่ายเวทอันศักดา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ
๏ ครั้นถ้วนคำรบก็เป่าลง | ลูบไปทั่วองค์ยักษา |
ศรนั้นก็หลุดจากกายา | กริ้วโกรธโกรธาดั่งเพลิงพราย |
ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกระทืบบาท | ทำอำนาจเพียงพลิกแผ่นดินหงาย |
โลดโผนโจนด้วยกำลังกาย | เขม้นหมายโจมจับพระลักษมณ์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เท้าซ้ายเหยียบเข่ายืนยัน | ดั่งราหูจับจันทร์ในหว่างจักร |
พระอนุชาฉวยชิงศรยักษ์ | ลูกท้าวทศพักตร์ก็หวดมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | น้องพระจักรกฤษณ์ฤทธิ์กล้า |
ประจัญกรรอนรบอสุรา | ผ่านฟ้าก็หักเอาด้วยฤทธิ์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ โจนขึ้นเหยียบบ่าคว้าเศียร | กลอกกลับหันเหียนเบี่ยงบิด |
หวดลงต้ององค์อินทรชิต | โลหิตหยดย้อยทั้งอินทรีย์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตสิทธิศักดิ์ยักษี |
ต้องคันศรทรงหลายที | อสุรีหันเหเซไป |
อุตส่าห์ทนกลั้นเวทนา | ค่อยดำรงกายาขึ้นได้ |
จึ่งจับจักรกรดฤทธิไกร | ขว้างไปด้วยกำลังกุมภัณฑ์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ สำเนียงดั่งเสียงฟ้าร้อง | อากาศกึกก้องไหวหวั่น |
โชติช่วงดั่งดวงสุริยัน | ผัดผันรอบน้องพระสี่กร ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์พระอนุชาชาญสมร |
เห็นจักรสำแดงฤทธิรอน | จึ่งจับศรพรหมาสตร์แผลงไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เสียงสนั่นครั่นครื้นโพยมหน | สุธาดลจักรวาลสะท้านไหว |
ไล่ล้างจักรกรดฤทธิไกร | ละเอียดไปไม่ทันพริบตา |
แล้วต้องม้ารถคชสาร | จัตุรงค์ทวยหาญยักษา |
ตายกลาดดาษพื้นพสุธา | ด้วยศักดาน้องพระจักรี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ลูกท้าวทศพักตร์ยักษี |
สิ้นรถสิ้นทศโยธี | อสุรีสุดสิ้นอาวุธ |
ให้คิดหวาดหวั่นพรั่นกาย | กลัวแต่ความตายเป็นที่สุด |
แม้นกูจะอยู่ต่อยุทธ์ | กับด้วยมนุษย์สืบไป |
ที่ในพ่างพื้นปัถพี | เห็นจะต่อฤทธีนั้นไม่ได้ |
น่าที่จะม้วยบรรลัย | ด้วยศรชัยของมันอันศักดา |
มาตรแม้นตัวตายจะไว้ชื่อ | ให้ลือเกียรติไปในภายหน้า |
อย่าให้ไตรโลกล่วงนินทา | ไปกว่าจะสิ้นกัปกัลป์ |
คิดแล้วสำแดงแผลงฤทธิ์ | ทศทิศกัมปนาทหวาดหวั่น |
อากาศมืดคลุ้มชอุ่มควัน | กุมภัณฑ์ก็เหาะขึ้นไป ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงพ่างพื้นโพยมหน | แอบตนในกลีบเมฆใหญ่ |
ไหว้คุณองค์เจ้าภพไตร | สะกดใจร่ายเวทวิทยา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๏ ครั้นถ้วนคำรบถึงพัน | เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นทุกทิศา |
เป็นห่าฝนอาวุธตกมา | ต้องหมู่โยธาวานร ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | น้องพระหริวงศ์ทรงศร |
เห็นอาวุธตกจากอัมพร | ต้องหมู่นิกรกระบี่ไพร |
แลไปในที่รณรงค์ | จะเห็นองค์อินทรชิตก็หาไม่ |
ให้คิดฉงนสนเท่ห์ใจ | ภูวไนยจึ่งถามโหรา |
ดูกรพิเภกอสุรี | บัดนี้อินทรชิตยักษา |
รบอยู่แล้วหายไปกับตา | อาวุธตกมาประหลาดนัก |
อันพลเราโยธาวานร | เท้ากรบาดเจ็บดั่งต้องจักร |
เป็นไฉนฉะนี้นะขุนยักษ์ | ลูกท้าวทศพักตร์อยู่แห่งใด ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พิเภกผู้มีอัชฌาสัย |
ฟังน้องพระตรีภูวไนย | บังคมไหว้สนองพระบัญชา |
อันลูกท้าวทศพักตร์นั้นสิ้นคิด | สุดฤทธิ์จะต่อหัตถา |
หนีไปแอบอยู่ในเมฆา | อสุราร่ายวิทยามนต์ |
จึ่งเป็นอาวุธทั้งหลาย | ตกปรายลงมาดั่งห่าฝน |
ขอน้องสมเด็จพระชุมพล | จงแผลงไปแก้กลขุนมาร ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระลักษมณ์ฤทธิไกรใจหาญ |
ได้ฟังถี่ถ้วนทุกประการ | ผ่านฟ้าแผลงพลายวาตไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ สำเนียงดั่งฟ้าคะนองฝน | สุธาดลกัมปนาทหวาดไหว |
โชติช่วงเพียงดวงอโณทัย | ตรงไปต้ององค์อสุรา |
บรรดาโยธาวานร | ที่ม้วยมรณ์สิ้นชีพสังขาร์ |
กลับได้ชีวิตคืนมา | ด้วยฤทธาน้องพระจักรี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อินทรชิตสิทธิศักดิ์ยักษี |
ต้องศรตรึงแน่นอินทรีย์ | อสุรีร่ายวิทยาไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๏ ครั้นครบเจ็ดคาบแล้วเป่าลง | ศรจะหลุดจากองค์ก็หาไม่ |
ยิ่งคิดสลดระทดใจ | ร้องไห้รักตัวกุมภัณฑ์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
โอ้
๏ โอ้ว่าเสียแรงเอากำเนิด | เกิดในพงศ์พรหมรังสรรค์ |
เลื่องชื่อลือฤทธิ์ดั่งไฟกัลป์ | ปราบได้ถึงชั้นโสฬส |
พร้อมทั้งปรีชาศักดาเดช | ไตรเพทเวทมนต์ก็เรียนหมด |
เทวาสุราฤทธิ์ย่อมเกรงยศ | ปรากฏดั่งดวงทินกร |
เสียทีที่มีกำลังกล้า | เสียแรงศึกษาในการศร |
เสียชีวิตเพราะน้องพระบิดร | มาเบียนบ่อนสาวไส้ให้กากิน |
ตั้งแต่วันนี้กรุงมาร | จะเกิดการเดือดร้อนไปหมดสิ้น |
จะเสื่อมสูญสุริย์วงศ์พรหมินทร์ | ด้วยหมู่ไพรินมาบีฑา |
รํ่าพลางพิษศรร้อนรุ่ม | เผากลุ้มดวงจิตยักษา |
แสนทุกข์แสนเทวษเวทนา | ดั่งว่าจะสิ้นชีวี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | พระลักษมณ์ทรงสวัสดิ์รัศมี |
หมายเขม้นเข่นฆ่าคอยที | จะล้างชีวีอินทรชิต |
จึ่งชักพรหมาสตร์ออกพาดสาย | งามคล้ายพระบรมจักรกฤษณ์ |
พระเนตรแลเล็งเพ่งพิศ | ทรงฤทธิ์จะผาดแผลงไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พิเภกผู้มีอัชฌาสัย |
เห็นพระลักษมณ์น้าวหน่วงศรชัย | บังคมไหว้แล้วทูลกิจจา |
พระองค์จงงดอยู่ก่อน | อย่าเพ่อราญรอนยักษา |
ตัวมันได้พรพรหมา | ว่าแม้นสิ้นชีพชนมาน |
ถ้าเศียรตกพื้นปัถพี | ให้เกิดเป็นอัคคีแสงฉาน |
ไหม้ไปทั่วทั้งจักรวาล | ร้อนดั่งเพลิงกาลบรรลัยกัลป์ |
แล้วองค์บรมพรหมา | ประทานพานแว่นฟ้าฉายฉัน |
สำหรับรับเศียรกุมภัณฑ์ | เมื่อมันจะสิ้นชีวี |
ขอให้กระบี่องคต | โอรสพาลีเรืองศรี |
ผู้ร่วมมารดาอสุรี | ไปเอาพานมณีลงมา |
แต่ท้าวธาดาพรหเมศ | คอยรองรับเกศยักษา |
แล้วจึงแผลงศรอันศักดา | ไปล้างชีวากุมภัณฑ์ ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระลักษมณ์สุริย์วงศ์รังสรรค์ |
ได้ฟังน้องท้าวทศกัณฐ์ | ทรงธรรม์จึ่งมีบัญชาการ |
ดูกรลูกพญาพาลี | ผู้มีศักดากล้าหาญ |
จงไปยังชั้นพรหมาน | ขอพานองค์ท้าวธาดา |
อันแล้วด้วยแก้ววิเชียร | มารับเศียรอินทรชิตยักษา |
ตัวเราจะล้างอสุรา | จงรีบเร่งมาให้ทันที ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | องคตผู้ชาญชัยศรี |
น้อมเศียรรับสั่งด้วยยินดี | ถวายอัญชุลีแล้วเหาะไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงบรมพรหเมศ | วานรน้อมเกศบังคมไหว้ |
ทูลว่าอินทรชิตฤทธิไกร | ชิงชัยด้วยน้องพระจักรา |
ตัวมันนั้นหนีขึ้นอากาศ | พระจะแผลงพรหมาสตร์ไปเข่นฆ่า |
พระองค์จึ่งใช้ให้ขึ้นมา | ขอพานแว่นฟ้าอลงกรณ์ |
ลงไปรับเศียรอินทรชิต | เมื่อพระทรงฤทธิ์จะวางศร |
มิให้ตกลงกับดินดอน | ภูธรจงได้ปรานี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวธาดาเรืองศรี |
ฟังลูกพญาพาลี | ว่าน้องพระจักรีใช้มา |
จึ่งหยิบพานแก้วนั้นส่งให้ | ด้วยใจแสนโสมนัสสา |
ท่านจงรีบไปอย่าให้ช้า | รับเศียรอสุราอาธรรม์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | องคตฤทธิแรงแข็งขัน |
รับพานแว่นฟ้าพรายพรรณ | ถวายบังคมคัลแล้วเหาะมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงตรงเนินจักรวาล | ชูพานลอยอยู่ในเวหา |
คอยจะรับเศียรอสุรา | มิให้ตกลงมาถึงแผ่นดิน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระลักษมณ์สุริย์วงศ์ทรงศิลป์ |
ครั้นเห็นองคตหลานอินทร์ | ขุนกะบินทร์ชูพานอลงกรณ์ |
ลอยอยู่ในกลางอากาศ | จึ่งชักพรหมาสตร์แสงศร |
พาดสายหมายมุ่งจะราญรอน | น้องพระสี่กรก็แผลงไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ สำเนียงดั่งเสียงลมกรด | ถึงชั้นโสฬสก็หวาดไหว |
ต้องกรอินทรชิตฤทธิไกร | ซ้ายขวาขาดไปด้วยศักดา |
แล้วศรพรหมาสตร์ไปสังหาร | ตัดเศียรขุนมารยักษา |
กายตกยังพื้นพสุธา | ก็สุดสิ้นชีวาทันที ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ บัดนั้น | องคตหลานท้าวโกสีย์ |
เห็นเศียรอินทรชิตอสุรี | ขาดจากอินทรีย์กระเด็นไป |
จึ่งเอาพานแว่นฟ้าพรหเมศ | เข้ารองรับเกศไว้ได้ |
ก็พาลงมาด้วยว่องไว | ยังในพ่างพื้นพสุธา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึ่งถวายเศียรยักษ์ | แก่องค์พระลักษมณ์กนิษฐา |
ท่ามกลางวานรเสนา | โยธาทหารพร้อมกัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | น้องพระหริรักษ์รังสรรค์ |
เห็นองคตชูเศียรกุมภัณฑ์ | ทรงธรรม์แสนโสมนัสนัก |
ดั่งได้สมบัติพัสถาน | ศฤงคารบริวารในไตรจักร |
ทอดพระเนตรดูเศียรขุนยักษ์ | แย้มยิ้มพริ้มพักตร์เปรมปรีดิ์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ยานี
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงเทวัญนางฟ้าทุกราศี |
ทั้งเทพไทเจ้าป่าพนาลี | สถิตที่แนวเนินบรรพตา |
เห็นพระลักษมณ์สังหารอินทรชิต | สุดสิ้นชีวิตสังขาร์ |
ต่างองค์ยินดีปรีดา | เยี่ยมหน้าทุกช่องวิมาน |
โปรยทิพย์บุปผามาลาลาศ | สุมามาศทรงกลิ่นหอมหวาน |
เกลื่อนกลาดดาษเขาจักรวาล | ตบหัตถ์ฉัดฉานสำราญใจ |
บ้างดีดสีตีเป่าขับครวญ | โหยหวนจำเรียงเสียงใส |
แซ่ซ้องอำนวยอวยชัย | อื้ออึงคะนึงไปทั้งเมืองฟ้า ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ สาธุการ
๏ เมื่อนั้น | พระลักษมณ์สุริย์วงศ์นาถา |
ครั้นเสร็จสังหารอสุรา | เทวาโปรยทิพย์มาลี |
มีความชื่นชมโสมนัส | ตรัสแก่พิเภกยักษี |
อันอินทรชิตอสุรี | เศียรมันนั้นมีฤทธิรอน |
จำเราจะเอาไปถวาย | องค์พระนารายณ์ทรงศร |
ว่าแล้วเสด็จบทจร | กรายกรมาขึ้นรถชัย ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๏ ให้เลิกโยธาทวยหาญ | ออกจากจักรวาลเขาใหญ่ |
โห่สนั่นครั่นครื้นภพไตร | กลับไปสุวรรณพลับพลา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงประทับกับเกยมาศ | อันโอภาสจำรัสพระเวหา |
เสด็จจากรถรัตนา | เข้ามาเฝ้าองค์พระสี่กร ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ น้อมเศียรกราบเบื้องบาทบงสุ์ | พระเชษฐาสุริย์วงศ์ทรงศร |
ทูลความตามซึ่งได้ราญรอน | ภูธรถวายเศียรอสุรี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๏ เมื่อนั้น | พระอวตารทรงสวัสดิ์รัศมี |
ฟังพระอนุชาก็ยินดี | ภูมีทอดทัศนาไป |
เห็นเศียรอินทรชิตอสุรา | แยกเขี้ยวเหลือกตายักคิ้วให้ |
ดั่งมีชีวิตจิตใจ | ภูวไนยจึ่งบัญชาการ |
เจ้าเห็นหรือไม่พระวรนุช | เศียรยักษ์อันสุดสังขาร |
ยังไม่ละเพศที่เป็นพาล | สำแดงหาญให้เห็นว่าทรลักษณ์ |
มาตรแม้นผู้อื่นจะราญรอน | ไม่ต่อกรมันได้ทั้งไตรจักร |
นี่หากว่าองค์พระน้องรัก | จึ่งฆ่าขุนยักษ์บรรลัย ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สุครีพหนุมานทหารใหญ่ |
ทั้งสิบแปดมงกุฎวุฒิไกร | พิเภกผู้ไวปัญญา |
ต่างน้อมเศียรเกล้าบังคมทูล | นเรนทร์สูรปิ่นภพนาถา |
บรรยายแต่ต้นความมา | รณรงค์อสุราติดพัน |
อินทรชิตแผลงศรมาเล่มใด | ฤทธิไกรเลิศลบสรวงสวรรค์ |
ทั้งอุบายถ่ายเทก็หลายชั้น | องค์พระลักษมณ์นั้นก็ยิ่งชาย |
แผลงซ้ำกระหนํ่าไปสับสน | แก้กลมารมากหลากหลาย |
จนอสุรินทร์สิ้นชีพวางวาย | น้องนารายณ์เลิศลบโลกา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | พระจักรรัตน์แก้วนาถา |
ได้ฟังจึ่งมีพระบัญชา | อันไอ้อสุราอินทรชิต |
ตัวมันใจบาปหยาบคาย | ทำร้ายเทวานักสิทธ์ |
ให้ได้เดือดร้อนทุกทิศ | ด้วยจิตโมหันธ์อันธพาล |
ตรัสแล้วจึ่งผินพักตร์มา | ถามพิเภกโหราปรีชาหาญ |
อันเศียรอินทรชิตขุนมาร | ท่านจะให้ทำประการใด ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พิเภกผู้มีอัชฌาสัย |
ได้ฟังพระองค์ทรงภพไตร | บังคมไหว้สนองพระบัญชา |
ขอให้หลานท้าวโกสิต | นำเศียรอินทรชิตยักษา |
ชูไว้ในกลางเมฆา | ผ่านฟ้าจึ่งแผลงไปราญรอน |
ให้ยับเป็นภัสม์ธุลีลง | ด้วยกำลังฤทธิรงค์พระแสงศร |
โลกาจะได้สถาวร | ภูธรจงโปรดปรานี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระตรีภูวไนยเรืองศรี |
ได้ฟังพิเภกอสุรี | จึ่งมีบัญชาตรัสไป |
ดูก่อนหลานท้าวมัฆวาน | ตัวท่านผู้เป็นทหารใหญ่ |
จงนำเศียรอินทรชิตไปชูไว้ | ที่ในพ่างพื้นเมฆา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | องคตฤทธิไกรใจกล้า |
ก้มเกล้ารับราชบัญชา | พาเศียรอสุราเหาะทะยาน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เลื่อนลอยอยู่บนอากาศ | ดั่งพญาครุฑราชตัวหาญ |
กรหนึ่งชูเศียรขุนมาร | ถวายพระอวตารผู้ทรงฤทธิ์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์พระหริรักษ์จักรกฤษณ์ |
เห็นองคตชูเศียรอินทรชิต | พระทรงฤทธิ์ย่างเยื้องจรลี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ จึ่งชักพรหมาสตร์พาดสาย | พระเนตรหมายดูเศียรยักษี |
น้าวหน่วงด้วยกำลังฤทธี | ภูมีก็ผาดแผลงไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครื้นครั่นสนั่นทั้งโสฬส | บรรพตจักรวาลสะท้านไหว |
ต้องเศียรอินทรชิตฤทธิไกร | บรรลัยเป็นภัสม์ธุลีกัลป์ |
ครั้นเสร็จก็เสด็จยุรยาตร | งามวิลาสดั่งเทพรังสรรค์ |
พอสิ้นแสงสีรวีวรรณ | ทรงธรรม์คืนเข้ายังพลับพลา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้น | ฝ่ายพวกพลมารยักษา |
ที่เหลือตายซุ่มซ่อนกายา | อยู่ในชายป่าพนาวัน |
ครั้นเห็นอินทรชิตบรรลัย | ตกใจหน้าซีดตัวสั่น |
วิ่งหอบหายใจไม่ใคร่ทัน | กุมภัณฑ์รีบเข้ายังธานี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงประณตบทบงสุ์ | ทูลองค์พญายักษี |
ว่าพระโอรสธิบดี | ไปต่อตีด้วยพวกปัจจามิตร |
อันหมู่จตุรงค์ทวยหาญ | ล้มตายวายปราณอกนิษฐ์ |
บัดนี้พระองค์สิ้นชีวิต | ด้วยศรสิทธิ์มนุษย์ผู้ศักดา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริย์วงศ์ยักษา |
แจ้งว่าสมเด็จพระลูกยา | สุดสิ้นชีวาก็ตกใจ |
พระพักตร์ผาดเผือดลงทันที | จะดำรงอินทรีย์มิใคร่ได้ |
ดั่งหนึ่งจะสิ้นชีวาลัย | ร่ำไห้ถึงองค์พระลูกรัก ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
โอ้
๏ โอ้ว่าอินทรชิตของบิดร | เลื่องชื่อลือขจรทั้งไตรจักร |
ยิ่งในสุริย์วงศ์พงศ์ยักษ์ | ฤๅมาแพ้ปรปักษ์ปัจจามิตร |
เสียแรงเป็นวงศ์พรหมา | รอบรู้วิชาศรสิทธิ์ |
อานุภาพปราบได้ทั่วทิศ | ฤๅแพ้ฤทธิ์มนุษย์เดินดิน |
ได้ความอัปยศอดสู | แก่หมู่ไตรโลกทั้งสิ้น |
ทีนี้อริราชไพริน | จะดูหมิ่นฮึกฮักอหังการ์ |
อนิจจาเสียน้องแล้วมิหนำ | มาซ้ำเสียลูกรักเสน่หา |
จะได้ใครต่างใจต่างตา | อสุราร่ำพลางทางโศกี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
๏ แล้วคิดถึงศพพระโอรส | ยิ่งระทดฤทัยยักษี |
อุตส่าห์ขืนสติสมประดี | จึ่งมีพระราชโองการ |
ดูก่อนมโหทรเสนา | จงเตรียมโยธาทวยหาญ |
อีกทั้งรถแก้วอันโอฬาร | กูจะไปจักรวาลคีรี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | มโหทรมารยักษี |
ก้มเกล้ารับราชวาที | ถวายอัญชุลีแล้วออกมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ ปฐม
๏ จัดหมู่ม้ารถคชสาร | จตุรงค์ทวยหาญซ้ายขวา |
ลางเหล่ามือฟายนํ้าตา | ด้วยญาติกานั้นไปตาย |
หมู่มารลางตนที่รู้ข่าว | หน้าขาววิ่งวุ่นใจหาย |
มาเข้ากองทัพมากมาย | ไพร่นายคอยเสด็จอสุรี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริย์วงศ์ยักษี |
ครั้นเสร็จซึ่งจัดโยธี | ก็เสด็จจรลีมาขึ้นรถ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จึ่งให้เลิกพหลพลขันธ์ | โลทันโบกธงเป็นกำหนด |
เสด็จโดยเดชาศักดายศ | ตรงไปบรรพตจักรวาล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นมาถึงที่สนามรบ | เห็นศพอสุรทวยหาญ |
ตายกลาดดาษพื้นสุธาธาร | พญามารสลดระทดใจ |
แลดูหมู่พวกไพรี | จะมีวานรตายก็หาไม่ |
ยิ่งแสนโศกาอาลัย | ขับรถเที่ยวไปหาลูกยา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ แลไปในเนินบรรพต | เห็นศพโอรสเสน่หา |
กายเปล่านอนกลิ้งอนาถตา | ก็ลงจากรัถาทันที ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ จึ่งวิ่งเข้าไปด้วยความรัก | ยกศพใส่ตักยักษี |
อกใจไม่เป็นสมประดี | โศกีครวญคร่ำรำพัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
โอ้
๏ ปากหนึ่งว่าโอ้ลูกเอย | ไม่เห็นเลยว่าจะม้วยอาสัญ |
ทรงเทพอาวุธดั่งเพลิงกัลป์ | สารพันรอบรู้ทุกสิ่งไป |
ปากสองว่าโอ้เจ้าดวงเนตร | เลื่องชื่อลือเดชแผ่นดินไหว |
ชำนาญในการชิงชัย | ปราบได้ทั้งสวรรค์ชั้นฟ้า |
ปากสามว่าโอ้เสียดายนัก | ลูกรักร่วมชีพสังขาร์ |
ร่วมสุขร่วมทุกข์ทุกเวลา | ได้เป็นใจเป็นตาของบิดร |
ปากสี่ว่าโอ้พ่อจอมภพ | ปรีชาเลิศลบชาญสมร |
ควรฤๅมาแพ้ฤทธิรอน | แก่มนุษย์สองกรสาธารณ์ |
ปากห้าว่าเมื่อเจ้าผาดแผลง | แสงศรนาคบาศไปสังหาร |
มัดหมู่ปรปักษ์ภัยพาล | วายปราณเกลื่อนกลาดดาษดิน |
ปากหกว่าสายสุดสวาท | เจ้าวางพรหมาสตร์ศรศิลป์ |
ต้องหมู่อริราชไพริน | วอดวายตายสิ้นด้วยฤทธา |
ปากเจ็ดว่าเสร็จศึกแล้ว | หวังจะเสกลูกแก้วเสน่หา |
ครอบครองโภไคศวรรยา | ในพิชัยลงกาธานี |
ปากแปดว่าโอ้เสียดาย | มาจำตายด้วยพิเภกยักษี |
บอกไส้ใจศึกให้ไพรี | ลูกจึ่งเสียทีแก่สงคราม |
ปากเก้าว่าเจ้ามาพินาศ | เศียรขาดกายกลิ้งกลางสนาม |
ไม่สมศักดิ์สุริย์วงศ์ทรงนาม | ดั่งชายทรามชั่วช้าสาธารณ์ |
สิบปากว่าโอ้จะอยู่ไย | มาจะไปนิเวศน์วังสถาน |
หาพระชนนีนงคราญ | ร่ำพลางขุนมารก็โศกา ฯ |
ฯ ๒๐ คำ ฯ โอด
๏ บัดนั้น | ฝ่ายหมู่อสุรศักดิ์ยักษา |
เห็นศพญาติมิตรแลบิดา | ตายกลาดดาษป่าพนาลัย |
หัวขาดตีนขาดตัวขาด | ดูอนาถไม่สมประดีได้ |
ต่างคนโศการ่ำไร | วุ่นไปทั้งทัพอสุรี |
หน้าคร่ำด้วยนํ้านัยน์เนตร | แสนเทวษโหยไห้อึงมี่ |
เซ็งแซ่ด้วยเสียงโศกี | สะเทือนที่จักรวาลบรรพต |
อุปมาดั่งหนึ่งลมกาล | พัดพานป่ารังให้หักหมด |
บางตนร่ำรักพระโอรส | แสนสลดทุกหมู่กุมภัณฑ์ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริย์วงศ์รังสรรค์ |
ค่อยสร่างโศกาจาบัลย์ | กุมภัณฑ์อุ้มศพพระลูกรัก |
วางเหนือบัลลังก์รถทรง | อันควรคู่องค์พญาจักร |
ให้เลิกพหลพลยักษ์ | บ่ายพักตร์คืนเข้าลงกา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงนิเวศน์วังสถาน | พญามารให้หยุดรถา |
อุ้มศพสมเด็จพระลูกยา | ขึ้นมหาปราสาทรูจี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้น | นวลนางมณโฑมารศรี |
ทั้งนางสุณิสาเทวี | เสด็จอยู่ยังที่ตำหนักใน |
แจ้งว่าอินทรชิตไปราญรอน | ต่อกรมนุษย์นั้นไม่ได้ |
ถึงแก่สวรรคาลัย | อยู่ในเนินเขาจักรวาล |
พระบิตุเรศเสด็จไปรับศพ | มาถึงพิภพราชฐาน |
ทั้งสองกัลยายุพาพาล | กับฝูงบริวารก็รีบมา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงจึ่งทรุดนั่งลง | พิศไปทั่วองค์ยักษา |
เห็นเศียรนั้นขาดจากกายา | พระกรซ้ายขวาก็ไม่มี |
ต่างตระหนกตกใจหน้าซีด | ร้องหวีดกรีดขึ้นอึงมี่ |
ฝ่ายองค์สมเด็จพระชนนี | เทวีกอดศพเข้าร่ำไร ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
โอ้
๏ โอ้ว่าอินทรชิตลูกรัก | ดวงจักษุแม่พิสมัย |
อุ้มท้องบำรุงเลี้ยงไว้ | สิ่งใดมิให้อนาทร |
จนจำเริญวัยใหญ่มา | รอบรู้วิชาศิลป์ศร |
เลื่องชื่อลือฤทธิ์ขจายจร | มารดรมีความยินดี |
หวังจะให้เป็นปิ่นนคเรศ | มงกุฎเกศอสูรยักษี |
ควรฤๅมาม้วยชีวี | แม่นี้ดูน่าอนาถนัก |
เศียรกรไม่มีกับกาย | ดั่งหนึ่งชาติชายอัปลักษณ์ |
เสียดายวงศ์จตุรพักตร์ | จะเสื่อมศักดิ์สูญสิ้นทั้งลงกา |
นิจจาเอ๋ยตั้งแต่จะแลลับ | เหมือนเดือนดับเลื่อนเลี้ยวเหลี่ยมผา |
จะคะนึงถึงเจ้าทุกเวลา | กินแต่น้ำตาเป็นนิจไป |
ยามสรงจะสรงแต่ชลเนตร | อาดูรพูนเทวษโหยไห้ |
ร่ำพลางแสนโศกาลัย | อรไทไม่เป็นสมประดี ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | นางสุวรรณกันยุมาโฉมศรี |
กอดบาทพระราชสามี | โศกีครวญคร่ำร่ำไร ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
โอ้
๏ โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมเอ๋ย | เวรสิ่งใดเลยมาซัดให้ |
ควรฤๅมาม้วยบรรลัย | หนีข้าน้อยไปเมืองฟ้า |
สงสารแต่สองสุริย์วงศ์ | อันเป็นเอกองค์โอรสา |
ตัวเจ้ายังเยาวพาลา | ฤๅมาเป็นกำพร้าพระบิดร |
ตั้งแต่วันนี้จะได้ทุกข์ | ไม่มีสิ่งสุขเหมือนแต่ก่อน |
จะแสนโศกาอาวรณ์ | เร่าร้อนทนเทวษเวทนา |
แม่ลูกจะปรับทุกข์กัน | ทุกคืนวันจะไห้โหยหา |
อกเอ๋ยเป็นน่าอนิจจา | เสียแรงเกิดมาเป็นสตรี |
เป็นหม้ายไร้ผัวเหมือนหัวขาด | เป็นที่ประมาทแก่ยักษี |
ร่ำพลางแสนโศกโศกี | เทวีเพียงสิ้นชีวัน ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริย์วงศ์รังสรรค์ |
เห็นมณโฑโศกาจาบัลย์ | กับสุวรรณกันยุมานิ่งไป |
ยิ่งกำสรดระทดระทวยองค์ | สุดที่จะดำรงพระกายได้ |
ซบพักตร์ลงโศกาลัย | ไม่เป็นสติสมประดี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ บัดนั้น | ฝูงนางกำนัลสาวศรี |
เห็นสามกษัตริย์โศกี | นิ่งไปกับที่พร้อมกัน |
เถ้าแก่ชะแม่ทั้งหลาย | ตกใจวุ่นวายไม่มีขวัญ |
แสนโศกโศกาจาบัลย์ | เสียงสนั่นอื้ออึงคะนึงไป |
ทั่วทั้งนิเวศน์วังสถาน | ดั่งหนึ่งเพลิงกาฬลามไหม้ |
ล้มกลาดดาษพื้นปราสาทชัย | นางในเพียงสิ้นชีวี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
๏ อันฝูงท้าวนางทั้งนั้น | เข้านวดฟั้นกษัตริย์ทั้งสามศรี |
บ้างประพรมสุคนธวารี | ก็ได้สมประดีทั้งสามองค์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | โฉมนางมณโฑนวลหง |
ค่อยฟื้นคืนกายใจดำรง | แล้วรื้อทรงโศการำพัน |
โอ้ว่าอินทรชิตของแม่เอย | ไม่ควรเลยจะม้วยอาสัญ |
อัปยศฝูงเทพเทวัญ | นักสิทธ์สุบรรณนาคา |
ทั้งนี้เพราะพระบิตุเรศ | เบาเหตุฟังสำมนักขา |
ใหลหลงด้วยองค์นางสีดา | ไปพามาไว้ในธานี |
จึ่งเกิดณรงค์ชิงชัย | ได้ความร้อนใจดั่งไฟจี่ |
แม่ได้ทูลทัดแต่เดิมที | ภูมีไม่เชื่อวาจา |
พระองค์หลงรักนางโฉมงาม | กลับความว่าแม่นี้หึงสา |
จนเสียลูกแก้วแววตา | พญามารไม่คิดอาลัย |
เมื่อเจ้าจากอกไปทั้งรัก | แม่จักมีชีวาก็หาไม่ |
สะอื้นพลางทอดองค์ลงร่ำไร | อรไทไม่เป็นสมประดี ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | ท้าวราพณาสูรยักษี |
ได้ยินคำนางร่ำโศกี | เจ็บดั่งเอาตรีมาแทงใจ |
ให้อาลัยในองค์พระลูกนัก | หักรักนางสีดาเสียได้ |
อสุรีกริ้วโกรธคือไฟ | ฉวยพระขรรค์ชัยแล้วออกมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ ถึงเกยแล้วมีบรรหาร | สั่งเสนามารยักษา |
กูจะไปยังสวนมาลา | ฆ่าอี่สีดากาลี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึ่งเปาวนาสูรยักษี |
เห็นพระองค์กริ้วโกรธดั่งอัคคี | จะไปฆ่าชีวีนงลักษณ์ |
มีความตระหนกตกใจ | ด้วยกลัวภัยพระรามทรงจักร |
อันพระองค์สิทรงฤทธิ์นัก | เห็นจะได้เมืองยักษ์ในครั้งนี้ |
จะได้นางไหนถวายเบื้องบาท | พระตรีภูวนาถเรืองศรี |
จะพากันมอดม้วยชีวี | สิ้นโคตรอสุรีในลงกา |
คิดแล้วยอกรบังคมทูล | นเรนทร์สูรจงโปรดเกศา |
พระองค์ก็ทรงพระปรีชา | ซึ่งจะฆ่าสีดานั้นผิดไป |
มาตรแม้นถึงนางชีวงคต | พระโอรสจะเป็นมาก็หาไม่ |
ไตรโลกจะเย้ยไยไพ | ว่าเสียชัยแก่หมู่ปัจจามิตร |
ไม่คิดแก้แค้นแทนกัน | มาฆ่าฟันสตรีไม่มีผิด |
พระองค์ผู้ทรงศักดาฤทธิ์ | จงหยุดยั้งชั่งคิดให้จงดี |
อันนางสีดายุพาพักตร์ | วิไลลักษณ์แน่งน้อยเฉลิมศรี |
ทรงสิริยอดกัลยาณี | ไม่มีหญิงใดจะเทียมทัน |
มาตรแม้นถึงเทพกัลยา | ทั้งหกห้องฟ้าสรวงสวรรค์ |
จะเปรียบรูปทรงก็ไกลกัน | ควรไว้เป็นขวัญเมืองมาร ฯ |
ฯ ๑๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริย์วงศ์ใจหาญ |
ฟังเปาวนาสูรปรีชาชาญ | กล่าวโฉมนงคราญสีดา |
ความรักซาบซ่านทุกขุมขน | ให้มืดมนในการเสน่หา |
อันซึ่งกริ้วโกรธโกรธา | ก็เคลื่อนคลาเสื่อมคลายหายไป |
พระขรรค์ที่พญามารทรง | ก็พลัดลงจากกรหารู้ไม่ |
เสด็จย่างเยื้องคลาไคล | กลับมาไพชยนต์รูจี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึ่งมีบรรหาร | สั่งเสนามารยักษี |
จงเอาศพลูกรักร่วมชีวี | ใส่โกศมณีอลงกรณ์ |
นำไปยังยอดสีขริน | อันชื่อนิลกาลาสิงขร |
กูกับอัครราชบังอร | จะบทจรไปเผาพระลูกยา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึ่งมโหทรมารยักษา |
ก้มเกล้ารับราชบัญชา | ก็เอาโกศรัตนาพรายพรรณ |
เข้ามาแล้วเชิญพระศพ | ลูกเจ้าจอมภพไอศวรรย์ |
ใส่ลงกับสุคนธ์จุณจันทน์ | ตามบัญชาการอสุรี |
แล้วเชิญขึ้นยังพิชัยรถ | อลงกตจำรัสรัศมี |
ประโคมด้วยดุริยางคดนตรี | นำไปยังที่บรรพตา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ ปี่กลอง
๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริย์วงศ์ยักษา |
กับนางมณโฑกัลยา | ทั้งสุวรรณกันยุมายุพาพาล |
สามกษัตริย์เสด็จยุรยาตร | ลงจากปราสาทฉายฉาน |
อันนางพระสนมบริวาร | ตามเสด็จขุนมารออกไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงซึ่งนิลกาลา | มหาบรรพตเขาใหญ่ |
จึ่งให้ยกศพลงตั้งไว้ | ที่ในเชิงตะกอนรูจี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ฝ่ายเจ้าพนักงานยักษี |
ก้มเกล้ารับราชวาที | อสุรีทำตามพระบัญชา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ท้าวยี่สิบกรยักษา |
พระหัตถ์จับหอกแก้วกาลา | อันมีเดชาดั่งเพลิงกัลป์ |
กวัดแกว่งสำแดงแผลงฤทธิ์ | รัศมีชวลิตฉายฉัน |
เข้ายังเชิงตะกอนพรายพรรณ | กุมภัณฑ์ก็จุดเข้าทันที ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๏ เมื่อนั้น | นวลนางมณโฑมเหสี |
กับสุวรรณกันยุมาเทวี | ทั้งสนมนารีบริวาร |
ต่างทรงธูปเทียนบุปผา | สุคนธาทิพรสหอมหวาน |
สมาลาโทษขุนมาร | นงคราญก็จุดเข้าพร้อมกัน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ ปี่กลอง
๏ เมื่อนั้น | ทศเศียรสุริย์วงศ์รังสรรค์ |
เสร็จเผาลูกรักร่วมชีวัน | สุริยันลับเหลี่ยมยุคุนธร |
จึ่งชวนองค์อัครเทวี | กับศรีสุณิสาดวงสมร |
พร้อมฝูงอนงค์นิกร | ก็เสด็จบทจรกลับมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงนิเวศน์วังสถาน | อันโอฬารดั่งดาวดึงสา |
เสด็จเหนือแท่นแก้วอลงการ์ | ท่ามกลางเสนาพลไกร |
จึ่งมีบรรหารสีหนาท | ตรัสสั่งอำมาตย์ผู้ใหญ่ |
จงจัดจตุรงค์ให้พร้อมไว้ | กูจะไปราญรอนไพรี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | มโหทรมารยักษี |
รับสั่งแล้วถวายอัญชุลี | ออกมาจากที่พระโรงคัล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ ปฐม
ยานี
๏ เกณฑ์เอาสิบขุนเป็นทัพหน้า | สิบกองแกล้วกล้าแข็งขัน |
โยธาเลือกล้วนชาญฉกรรจ์ | กุมเสน่าเกาทัณฑ์ลูกพิษ |
กองขันโอรสทั้งสิบรถ | กำหนดให้ถืออาชญาสิทธิ์ |
แต่ละองค์ล้วนทรงกำลังฤทธิ์ | ขี่รถชวลิตอลงกรณ์ |
ขุนช้างผูกช้างชนะงา | ร้ายกาจแกล้วกล้าชาญสมร |
ขุนม้าผูกม้าอัสดร | กำลังเท้าจรดั่งลมพัด |
ขุนรถเทียมรถด้วยไกรสีห์ | สารถีถือง้าวยืนหยัด |
พลหาญถือตระบองหอกซัด | ดั้งดาบแกว่งกวัดกรีดกราย |
เทียมทั้งรถทรงสำหรับศึก | แอกงอนพันลึกฉานฉาย |
ตั้งเป็นกระบวนริ้วราย | ไพร่นายคอยเสด็จอสุรี ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา