สมุดไทยเล่มที่ ๕๘

๏ เมื่อนั้น พระลักษมณ์สุริย์วงศ์ทรงศร
ครั้นเห็นอินทรชิตฤทธิรอน ยกพลนิกรออกมา
เกลื่อนกลาดแน่นนันต์นับสมุทร โห่ร้องอุตลุดสำแดงกล้า
ทำทีองอาจอหังการ์ ดั่งว่าจะโถมเข้าชิงชัย
ยิ้มแล้วจึ่งมีบัญชาการ สั่งหมู่ทหารน้อยใหญ่
จงกำชับกันให้มั่นไว้ ฟังดูฤทธิไกรอสุรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ลูกท้าวสิบพักตร์ยักษี
ยืนรถอยู่กลางโยธี จึ่งมีพระราชบัญชา
เหวยเหวยดูกรพลมาร จงยกทหารเข้าหักกล้า
ตีทัพกระบี่โยธา ฆ่าเสียให้สิ้นทั้งนั้น
แม้นใครย่อท้อปัจจามิตร กูจะล้างชีวิตให้อาสัญ
ทั้งเจ็ดชั่วโคตรกุมภัณฑ์ ให้สาใจมันไอ้อัปรีย์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายพลทหารยักษี
ได้ฟังพระราชวาที ไม่อาจที่จะเข้าต่อกร
ความกลัวนั้นสุดที่กลัวนัก ดั่งพยัคฆ์เห็นพญาไกรสร
หากเกรงอินทรชิตฤทธิรอน มิรู้ที่ผันผ่อนประการใด
จำเป็นจำใจเข้าต่อสู้ ครั้นจะย่อท้ออยู่ก็ไม่ได้
โลดโผนโจนจ้วงทะลวงไป เข้าไล่เข่นฆ่าราวี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ยิงแย้งแทงฟันสับสน อลวนกับพวกกระบี่ศรี
เป็นหมู่หมู่เหล่าเหล่าเข้าโจมตี ต่างหนีต่างไล่ราญรอน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น พวกพลกระบี่ชาญสมร
รบรุกบุกบันประจัญกร โถมเข้าราญรอนหมู่มาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ พลลิงไล่ชิงอาวุธยักษ์ โหมหักเอาด้วยกำลังหาญ
ตายกลาดดาษพื้นสุธาธาร แตกพ่านจนรถอสุรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น อินทรชิตสิทธิศักดิ์ยักษี
เห็นพลแตกตายไม่สมประดี โกรธดั่งอัคคีไหม้ฟ้า
จึ่งชักแสงศรสุรกานต์ ขุนมารพาดสายเงื้อง่า
หมายองค์พระลักษมณ์อนุชา อสุราก็ผาดแผลงไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ สำเนียงดั่งเสียงเพลิงกรด บรรพตจักรวาลสะท้านไหว
ต้องหมู่โยธีกระบี่ไพร บรรลัยเกลื่อนกลาดปัถพี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระลักษมณ์สุริย์วงศ์เรืองศรี
เห็นอินทรชิตวางศรมาราวี ต้องหมู่โยธีวานร
หัวขาดตัวขาดตีนขาด กลิ้งกลาดตามเนินสิงขร
จึ่งจับพรหมาสตร์ฤทธิรอน น้องพระสี่กรก็แผลงไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครื้นครื้นดังคลื่นในสมุทร กาลาคนิรุทรก็หวาดไหว
ต้องรถอินทรชิตฤทธิไกร หักไปเป็นภัสม์ธุลี
อันหมู่โยธาวานร ซึ่งตายด้วยศรยักษี
ก็กลับคืนได้ชีวี ด้วยฤทธีองค์พระอนุชา
ยักคิ้วหลิ่วตาอ้าเขี้ยว โห่เกรียวผาดแผลงสำแดงกล้า
โลดโผนโจนไปด้วยศักดา เข้าไล่เข่นฆ่าหมู่มาร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ฝ่ายพลอินทรชิตใจหาญ
ลางหมู่วิ่งหนีลนลาน ลางหมู่เข้าต้านทานกร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ แทงฟันตีรันกันสับสน บางตนก็ยิงธนูศร
ต่างกล้าต่อหาญราญรอน ตะลุมบอนรบชิดติดพัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น โยธาวานรแข็งขัน
เข้าไล่ราวีตีประจัญ จับกันกับพวกอสุรา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ปากกัดตีนถีบมือตบ หลีกหลบเขม้นเข่นฆ่า
หมู่มารไม่ทานฤทธา แตกตายพ่ายมาไม่สมประดี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น อินทรชิตสิทธิศักดิ์ยักษี
เสียรถยืนอยู่กับปัถพี เห็นกระบี่ไล่รุกบุกบัน
ฆ่าโยธามารมรณา กริ้วโกรธโกรธาหุนหัน
กระทืบบาทขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ออกไล่โรมรันกระบี่ไพร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ หวดซ้ายป่ายขวาด้วยคันศิลป์ หมู่กบินทร์ไม่ทนกำลังได้
แตกร้นย่นยับเข้าไป ผู้ใดไม่อาจทานกร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น น้องพระอวตารชาญสมร
เห็นอินทรชิตฤทธิรอน ไล่ตีวานรเข้ามา
พระกรนั้นแกว่งศรทรง อาจองเขม้นเข่นฆ่า
โลดโผนโจนจับอสุรา ด้วยกำลังศักดาว่องไว ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เท้าซ้ายเหยียบเข่ากุมภัณฑ์ กรนั้นฉวยคันธนูได้
ตีต้องอินทรชิตฤทธิไกร เซซวนออกไปทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น อินทรชิตสิทธิศักดิ์ยักษี
ทรหดอดทนแสนทวี อสุรีจับศรแผลงมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ สำเนียงสะเทือนเลื่อนลั่น เปรี้ยงเปรี้ยงสนั่นดังฟ้าผ่า
กระทบชงฆ์องค์พระอนุชา ด้วยกำลังฤทธาขุนมาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระลักษมณ์สุริย์วงศ์ใจหาญ
กระทบศรแก้วสุรกานต์ เจ็บร้อนปิ้มปานเพลิงพิษ
อุตส่าห์ดำรงกายไว้ ตั้งใจคิดคุณพระนักสิทธ์
ยอกรขึ้นเหนือโมสิศ ร่ายวิษณุเวทอันศักดา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

๏ ครั้นถ้วนเจ็ดคาบก็เป่าลง ที่ในพระชงฆ์เบื้องขวา
ลูบไล้ไปทั่วกายา พิษศรอสุราก็หายไป
จึ่งชักซึ่งอัคนิวาต อันมีอำนาจแผ่นดินไหว
พาดสายน้าวหน่วงด้วยว่องไว แผลงไปด้วยกำลังฤทธิ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๏ รุ่งโรจน์โชติช่วงด้วยเพลิงกัลป์ เสียงสนั่นลั่นถึงดุสิต
ตรงไปต้ององค์อินทรชิต ติดอยู่กับอกขุนมาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ลูกท้าวทศเศียรใจหาญ
ล้มลงกับพื้นสุธาธาร ปานดั่งจะสิ้นชีวี
ดำรงกายยอกรขึ้นเหนือเกศ ไหว้คุณพรหเมศเรืองศรี
อุตส่าห์สำรวมอินทรีย์ อสุรีร่ายเวทอันศักดา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

๏ ครั้นถ้วนคำรบก็เป่าลง ลูบไปทั่วองค์ยักษา
ศรนั้นก็หลุดจากกายา กริ้วโกรธโกรธาดั่งเพลิงพราย
ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกระทืบบาท ทำอำนาจเพียงพลิกแผ่นดินหงาย
โลดโผนโจนด้วยกำลังกาย เขม้นหมายโจมจับพระลักษมณ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เท้าซ้ายเหยียบเข่ายืนยัน ดั่งราหูจับจันทร์ในหว่างจักร
พระอนุชาฉวยชิงศรยักษ์ ลูกท้าวทศพักตร์ก็หวดมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น น้องพระจักรกฤษณ์ฤทธิ์กล้า
ประจัญกรรอนรบอสุรา ผ่านฟ้าก็หักเอาด้วยฤทธิ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ โจนขึ้นเหยียบบ่าคว้าเศียร กลอกกลับหันเหียนเบี่ยงบิด
หวดลงต้ององค์อินทรชิต โลหิตหยดย้อยทั้งอินทรีย์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น อินทรชิตสิทธิศักดิ์ยักษี
ต้องคันศรทรงหลายที อสุรีหันเหเซไป
อุตส่าห์ทนกลั้นเวทนา ค่อยดำรงกายาขึ้นได้
จึ่งจับจักรกรดฤทธิไกร ขว้างไปด้วยกำลังกุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ สำเนียงดั่งเสียงฟ้าร้อง อากาศกึกก้องไหวหวั่น
โชติช่วงดั่งดวงสุริยัน ผัดผันรอบน้องพระสี่กร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระอนุชาชาญสมร
เห็นจักรสำแดงฤทธิรอน จึ่งจับศรพรหมาสตร์แผลงไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เสียงสนั่นครั่นครื้นโพยมหน สุธาดลจักรวาลสะท้านไหว
ไล่ล้างจักรกรดฤทธิไกร ละเอียดไปไม่ทันพริบตา
แล้วต้องม้ารถคชสาร จัตุรงค์ทวยหาญยักษา
ตายกลาดดาษพื้นพสุธา ด้วยศักดาน้องพระจักรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ลูกท้าวทศพักตร์ยักษี
สิ้นรถสิ้นทศโยธี อสุรีสุดสิ้นอาวุธ
ให้คิดหวาดหวั่นพรั่นกาย กลัวแต่ความตายเป็นที่สุด
แม้นกูจะอยู่ต่อยุทธ์ กับด้วยมนุษย์สืบไป
ที่ในพ่างพื้นปัถพี เห็นจะต่อฤทธีนั้นไม่ได้
น่าที่จะม้วยบรรลัย ด้วยศรชัยของมันอันศักดา
มาตรแม้นตัวตายจะไว้ชื่อ ให้ลือเกียรติไปในภายหน้า
อย่าให้ไตรโลกล่วงนินทา ไปกว่าจะสิ้นกัปกัลป์
คิดแล้วสำแดงแผลงฤทธิ์ ทศทิศกัมปนาทหวาดหวั่น
อากาศมืดคลุ้มชอุ่มควัน กุมภัณฑ์ก็เหาะขึ้นไป ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงพ่างพื้นโพยมหน แอบตนในกลีบเมฆใหญ่
ไหว้คุณองค์เจ้าภพไตร สะกดใจร่ายเวทวิทยา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๏ ครั้นถ้วนคำรบถึงพัน เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นทุกทิศา
เป็นห่าฝนอาวุธตกมา ต้องหมู่โยธาวานร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น น้องพระหริวงศ์ทรงศร
เห็นอาวุธตกจากอัมพร ต้องหมู่นิกรกระบี่ไพร
แลไปในที่รณรงค์ จะเห็นองค์อินทรชิตก็หาไม่
ให้คิดฉงนสนเท่ห์ใจ ภูวไนยจึ่งถามโหรา
ดูกรพิเภกอสุรี บัดนี้อินทรชิตยักษา
รบอยู่แล้วหายไปกับตา อาวุธตกมาประหลาดนัก
อันพลเราโยธาวานร เท้ากรบาดเจ็บดั่งต้องจักร
เป็นไฉนฉะนี้นะขุนยักษ์ ลูกท้าวทศพักตร์อยู่แห่งใด ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พิเภกผู้มีอัชฌาสัย
ฟังน้องพระตรีภูวไนย บังคมไหว้สนองพระบัญชา
อันลูกท้าวทศพักตร์นั้นสิ้นคิด สุดฤทธิ์จะต่อหัตถา
หนีไปแอบอยู่ในเมฆา อสุราร่ายวิทยามนต์
จึ่งเป็นอาวุธทั้งหลาย ตกปรายลงมาดั่งห่าฝน
ขอน้องสมเด็จพระชุมพล จงแผลงไปแก้กลขุนมาร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระลักษมณ์ฤทธิไกรใจหาญ
ได้ฟังถี่ถ้วนทุกประการ ผ่านฟ้าแผลงพลายวาตไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ สำเนียงดั่งฟ้าคะนองฝน สุธาดลกัมปนาทหวาดไหว
โชติช่วงเพียงดวงอโณทัย ตรงไปต้ององค์อสุรา
บรรดาโยธาวานร ที่ม้วยมรณ์สิ้นชีพสังขาร์
กลับได้ชีวิตคืนมา ด้วยฤทธาน้องพระจักรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อินทรชิตสิทธิศักดิ์ยักษี
ต้องศรตรึงแน่นอินทรีย์ อสุรีร่ายวิทยาไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๏ ครั้นครบเจ็ดคาบแล้วเป่าลง ศรจะหลุดจากองค์ก็หาไม่
ยิ่งคิดสลดระทดใจ ร้องไห้รักตัวกุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

โอ้

๏ โอ้ว่าเสียแรงเอากำเนิด เกิดในพงศ์พรหมรังสรรค์
เลื่องชื่อลือฤทธิ์ดั่งไฟกัลป์ ปราบได้ถึงชั้นโสฬส
พร้อมทั้งปรีชาศักดาเดช ไตรเพทเวทมนต์ก็เรียนหมด
เทวาสุราฤทธิ์ย่อมเกรงยศ ปรากฏดั่งดวงทินกร
เสียทีที่มีกำลังกล้า เสียแรงศึกษาในการศร
เสียชีวิตเพราะน้องพระบิดร มาเบียนบ่อนสาวไส้ให้กากิน
ตั้งแต่วันนี้กรุงมาร จะเกิดการเดือดร้อนไปหมดสิ้น
จะเสื่อมสูญสุริย์วงศ์พรหมินทร์ ด้วยหมู่ไพรินมาบีฑา
รํ่าพลางพิษศรร้อนรุ่ม เผากลุ้มดวงจิตยักษา
แสนทุกข์แสนเทวษเวทนา ดั่งว่าจะสิ้นชีวี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น พระลักษมณ์ทรงสวัสดิ์รัศมี
หมายเขม้นเข่นฆ่าคอยที จะล้างชีวีอินทรชิต
จึ่งชักพรหมาสตร์ออกพาดสาย งามคล้ายพระบรมจักรกฤษณ์
พระเนตรแลเล็งเพ่งพิศ ทรงฤทธิ์จะผาดแผลงไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พิเภกผู้มีอัชฌาสัย
เห็นพระลักษมณ์น้าวหน่วงศรชัย บังคมไหว้แล้วทูลกิจจา
พระองค์จงงดอยู่ก่อน อย่าเพ่อราญรอนยักษา
ตัวมันได้พรพรหมา ว่าแม้นสิ้นชีพชนมาน
ถ้าเศียรตกพื้นปัถพี ให้เกิดเป็นอัคคีแสงฉาน
ไหม้ไปทั่วทั้งจักรวาล ร้อนดั่งเพลิงกาลบรรลัยกัลป์
แล้วองค์บรมพรหมา ประทานพานแว่นฟ้าฉายฉัน
สำหรับรับเศียรกุมภัณฑ์ เมื่อมันจะสิ้นชีวี
ขอให้กระบี่องคต โอรสพาลีเรืองศรี
ผู้ร่วมมารดาอสุรี ไปเอาพานมณีลงมา
แต่ท้าวธาดาพรหเมศ คอยรองรับเกศยักษา
แล้วจึงแผลงศรอันศักดา ไปล้างชีวากุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระลักษมณ์สุริย์วงศ์รังสรรค์
ได้ฟังน้องท้าวทศกัณฐ์ ทรงธรรม์จึ่งมีบัญชาการ
ดูกรลูกพญาพาลี ผู้มีศักดากล้าหาญ
จงไปยังชั้นพรหมาน ขอพานองค์ท้าวธาดา
อันแล้วด้วยแก้ววิเชียร มารับเศียรอินทรชิตยักษา
ตัวเราจะล้างอสุรา จงรีบเร่งมาให้ทันที ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น องคตผู้ชาญชัยศรี
น้อมเศียรรับสั่งด้วยยินดี ถวายอัญชุลีแล้วเหาะไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงบรมพรหเมศ วานรน้อมเกศบังคมไหว้
ทูลว่าอินทรชิตฤทธิไกร ชิงชัยด้วยน้องพระจักรา
ตัวมันนั้นหนีขึ้นอากาศ พระจะแผลงพรหมาสตร์ไปเข่นฆ่า
พระองค์จึ่งใช้ให้ขึ้นมา ขอพานแว่นฟ้าอลงกรณ์
ลงไปรับเศียรอินทรชิต เมื่อพระทรงฤทธิ์จะวางศร
มิให้ตกลงกับดินดอน ภูธรจงได้ปรานี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวธาดาเรืองศรี
ฟังลูกพญาพาลี ว่าน้องพระจักรีใช้มา
จึ่งหยิบพานแก้วนั้นส่งให้ ด้วยใจแสนโสมนัสสา
ท่านจงรีบไปอย่าให้ช้า รับเศียรอสุราอาธรรม์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น องคตฤทธิแรงแข็งขัน
รับพานแว่นฟ้าพรายพรรณ ถวายบังคมคัลแล้วเหาะมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงตรงเนินจักรวาล ชูพานลอยอยู่ในเวหา
คอยจะรับเศียรอสุรา มิให้ตกลงมาถึงแผ่นดิน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระลักษมณ์สุริย์วงศ์ทรงศิลป์
ครั้นเห็นองคตหลานอินทร์ ขุนกะบินทร์ชูพานอลงกรณ์
ลอยอยู่ในกลางอากาศ จึ่งชักพรหมาสตร์แสงศร
พาดสายหมายมุ่งจะราญรอน น้องพระสี่กรก็แผลงไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ สำเนียงดั่งเสียงลมกรด ถึงชั้นโสฬสก็หวาดไหว
ต้องกรอินทรชิตฤทธิไกร ซ้ายขวาขาดไปด้วยศักดา
แล้วศรพรหมาสตร์ไปสังหาร ตัดเศียรขุนมารยักษา
กายตกยังพื้นพสุธา ก็สุดสิ้นชีวาทันที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

๏ บัดนั้น องคตหลานท้าวโกสีย์
เห็นเศียรอินทรชิตอสุรี ขาดจากอินทรีย์กระเด็นไป
จึ่งเอาพานแว่นฟ้าพรหเมศ เข้ารองรับเกศไว้ได้
ก็พาลงมาด้วยว่องไว ยังในพ่างพื้นพสุธา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึ่งถวายเศียรยักษ์ แก่องค์พระลักษมณ์กนิษฐา
ท่ามกลางวานรเสนา โยธาทหารพร้อมกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น น้องพระหริรักษ์รังสรรค์
เห็นองคตชูเศียรกุมภัณฑ์ ทรงธรรม์แสนโสมนัสนัก
ดั่งได้สมบัติพัสถาน ศฤงคารบริวารในไตรจักร
ทอดพระเนตรดูเศียรขุนยักษ์ แย้มยิ้มพริ้มพักตร์เปรมปรีดิ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ยานี

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงเทวัญนางฟ้าทุกราศี
ทั้งเทพไทเจ้าป่าพนาลี สถิตที่แนวเนินบรรพตา
เห็นพระลักษมณ์สังหารอินทรชิต สุดสิ้นชีวิตสังขาร์
ต่างองค์ยินดีปรีดา เยี่ยมหน้าทุกช่องวิมาน
โปรยทิพย์บุปผามาลาลาศ สุมามาศทรงกลิ่นหอมหวาน
เกลื่อนกลาดดาษเขาจักรวาล ตบหัตถ์ฉัดฉานสำราญใจ
บ้างดีดสีตีเป่าขับครวญ โหยหวนจำเรียงเสียงใส
แซ่ซ้องอำนวยอวยชัย อื้ออึงคะนึงไปทั้งเมืองฟ้า ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ สาธุการ

๏ เมื่อนั้น พระลักษมณ์สุริย์วงศ์นาถา
ครั้นเสร็จสังหารอสุรา เทวาโปรยทิพย์มาลี
มีความชื่นชมโสมนัส ตรัสแก่พิเภกยักษี
อันอินทรชิตอสุรี เศียรมันนั้นมีฤทธิรอน
จำเราจะเอาไปถวาย องค์พระนารายณ์ทรงศร
ว่าแล้วเสด็จบทจร กรายกรมาขึ้นรถชัย ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๏ ให้เลิกโยธาทวยหาญ ออกจากจักรวาลเขาใหญ่
โห่สนั่นครั่นครื้นภพไตร กลับไปสุวรรณพลับพลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงประทับกับเกยมาศ อันโอภาสจำรัสพระเวหา
เสด็จจากรถรัตนา เข้ามาเฝ้าองค์พระสี่กร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ น้อมเศียรกราบเบื้องบาทบงสุ์ พระเชษฐาสุริย์วงศ์ทรงศร
ทูลความตามซึ่งได้ราญรอน ภูธรถวายเศียรอสุรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า

๏ เมื่อนั้น พระอวตารทรงสวัสดิ์รัศมี
ฟังพระอนุชาก็ยินดี ภูมีทอดทัศนาไป
เห็นเศียรอินทรชิตอสุรา แยกเขี้ยวเหลือกตายักคิ้วให้
ดั่งมีชีวิตจิตใจ ภูวไนยจึ่งบัญชาการ
เจ้าเห็นหรือไม่พระวรนุช เศียรยักษ์อันสุดสังขาร
ยังไม่ละเพศที่เป็นพาล สำแดงหาญให้เห็นว่าทรลักษณ์
มาตรแม้นผู้อื่นจะราญรอน ไม่ต่อกรมันได้ทั้งไตรจักร
นี่หากว่าองค์พระน้องรัก จึ่งฆ่าขุนยักษ์บรรลัย ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุครีพหนุมานทหารใหญ่
ทั้งสิบแปดมงกุฎวุฒิไกร พิเภกผู้ไวปัญญา
ต่างน้อมเศียรเกล้าบังคมทูล นเรนทร์สูรปิ่นภพนาถา
บรรยายแต่ต้นความมา รณรงค์อสุราติดพัน
อินทรชิตแผลงศรมาเล่มใด ฤทธิไกรเลิศลบสรวงสวรรค์
ทั้งอุบายถ่ายเทก็หลายชั้น องค์พระลักษมณ์นั้นก็ยิ่งชาย
แผลงซ้ำกระหนํ่าไปสับสน แก้กลมารมากหลากหลาย
จนอสุรินทร์สิ้นชีพวางวาย น้องนารายณ์เลิศลบโลกา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระจักรรัตน์แก้วนาถา
ได้ฟังจึ่งมีพระบัญชา อันไอ้อสุราอินทรชิต
ตัวมันใจบาปหยาบคาย ทำร้ายเทวานักสิทธ์
ให้ได้เดือดร้อนทุกทิศ ด้วยจิตโมหันธ์อันธพาล
ตรัสแล้วจึ่งผินพักตร์มา ถามพิเภกโหราปรีชาหาญ
อันเศียรอินทรชิตขุนมาร ท่านจะให้ทำประการใด ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พิเภกผู้มีอัชฌาสัย
ได้ฟังพระองค์ทรงภพไตร บังคมไหว้สนองพระบัญชา
ขอให้หลานท้าวโกสิต นำเศียรอินทรชิตยักษา
ชูไว้ในกลางเมฆา ผ่านฟ้าจึ่งแผลงไปราญรอน
ให้ยับเป็นภัสม์ธุลีลง ด้วยกำลังฤทธิรงค์พระแสงศร
โลกาจะได้สถาวร ภูธรจงโปรดปรานี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระตรีภูวไนยเรืองศรี
ได้ฟังพิเภกอสุรี จึ่งมีบัญชาตรัสไป
ดูก่อนหลานท้าวมัฆวาน ตัวท่านผู้เป็นทหารใหญ่
จงนำเศียรอินทรชิตไปชูไว้ ที่ในพ่างพื้นเมฆา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น องคตฤทธิไกรใจกล้า
ก้มเกล้ารับราชบัญชา พาเศียรอสุราเหาะทะยาน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เลื่อนลอยอยู่บนอากาศ ดั่งพญาครุฑราชตัวหาญ
กรหนึ่งชูเศียรขุนมาร ถวายพระอวตารผู้ทรงฤทธิ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระหริรักษ์จักรกฤษณ์
เห็นองคตชูเศียรอินทรชิต พระทรงฤทธิ์ย่างเยื้องจรลี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ จึ่งชักพรหมาสตร์พาดสาย พระเนตรหมายดูเศียรยักษี
น้าวหน่วงด้วยกำลังฤทธี ภูมีก็ผาดแผลงไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครื้นครั่นสนั่นทั้งโสฬส บรรพตจักรวาลสะท้านไหว
ต้องเศียรอินทรชิตฤทธิไกร บรรลัยเป็นภัสม์ธุลีกัลป์
ครั้นเสร็จก็เสด็จยุรยาตร งามวิลาสดั่งเทพรังสรรค์
พอสิ้นแสงสีรวีวรรณ ทรงธรรม์คืนเข้ายังพลับพลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ บัดนั้น ฝ่ายพวกพลมารยักษา
ที่เหลือตายซุ่มซ่อนกายา อยู่ในชายป่าพนาวัน
ครั้นเห็นอินทรชิตบรรลัย ตกใจหน้าซีดตัวสั่น
วิ่งหอบหายใจไม่ใคร่ทัน กุมภัณฑ์รีบเข้ายังธานี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงประณตบทบงสุ์ ทูลองค์พญายักษี
ว่าพระโอรสธิบดี ไปต่อตีด้วยพวกปัจจามิตร
อันหมู่จตุรงค์ทวยหาญ ล้มตายวายปราณอกนิษฐ์
บัดนี้พระองค์สิ้นชีวิต ด้วยศรสิทธิ์มนุษย์ผู้ศักดา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์ยักษา
แจ้งว่าสมเด็จพระลูกยา สุดสิ้นชีวาก็ตกใจ
พระพักตร์ผาดเผือดลงทันที จะดำรงอินทรีย์มิใคร่ได้
ดั่งหนึ่งจะสิ้นชีวาลัย ร่ำไห้ถึงองค์พระลูกรัก ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

โอ้

๏ โอ้ว่าอินทรชิตของบิดร เลื่องชื่อลือขจรทั้งไตรจักร
ยิ่งในสุริย์วงศ์พงศ์ยักษ์ ฤๅมาแพ้ปรปักษ์ปัจจามิตร
เสียแรงเป็นวงศ์พรหมา รอบรู้วิชาศรสิทธิ์
อานุภาพปราบได้ทั่วทิศ ฤๅแพ้ฤทธิ์มนุษย์เดินดิน
ได้ความอัปยศอดสู แก่หมู่ไตรโลกทั้งสิ้น
ทีนี้อริราชไพริน จะดูหมิ่นฮึกฮักอหังการ์
อนิจจาเสียน้องแล้วมิหนำ มาซ้ำเสียลูกรักเสน่หา
จะได้ใครต่างใจต่างตา อสุราร่ำพลางทางโศกี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

๏ แล้วคิดถึงศพพระโอรส ยิ่งระทดฤทัยยักษี
อุตส่าห์ขืนสติสมประดี จึ่งมีพระราชโองการ
ดูก่อนมโหทรเสนา จงเตรียมโยธาทวยหาญ
อีกทั้งรถแก้วอันโอฬาร กูจะไปจักรวาลคีรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น มโหทรมารยักษี
ก้มเกล้ารับราชวาที ถวายอัญชุลีแล้วออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ปฐม

๏ จัดหมู่ม้ารถคชสาร จตุรงค์ทวยหาญซ้ายขวา
ลางเหล่ามือฟายนํ้าตา ด้วยญาติกานั้นไปตาย
หมู่มารลางตนที่รู้ข่าว หน้าขาววิ่งวุ่นใจหาย
มาเข้ากองทัพมากมาย ไพร่นายคอยเสด็จอสุรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์ยักษี
ครั้นเสร็จซึ่งจัดโยธี ก็เสด็จจรลีมาขึ้นรถ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งให้เลิกพหลพลขันธ์ โลทันโบกธงเป็นกำหนด
เสด็จโดยเดชาศักดายศ ตรงไปบรรพตจักรวาล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นมาถึงที่สนามรบ เห็นศพอสุรทวยหาญ
ตายกลาดดาษพื้นสุธาธาร พญามารสลดระทดใจ
แลดูหมู่พวกไพรี จะมีวานรตายก็หาไม่
ยิ่งแสนโศกาอาลัย ขับรถเที่ยวไปหาลูกยา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ แลไปในเนินบรรพต เห็นศพโอรสเสน่หา
กายเปล่านอนกลิ้งอนาถตา ก็ลงจากรัถาทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ จึ่งวิ่งเข้าไปด้วยความรัก ยกศพใส่ตักยักษี
อกใจไม่เป็นสมประดี โศกีครวญคร่ำรำพัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

โอ้

๏ ปากหนึ่งว่าโอ้ลูกเอย ไม่เห็นเลยว่าจะม้วยอาสัญ
ทรงเทพอาวุธดั่งเพลิงกัลป์ สารพันรอบรู้ทุกสิ่งไป
ปากสองว่าโอ้เจ้าดวงเนตร เลื่องชื่อลือเดชแผ่นดินไหว
ชำนาญในการชิงชัย ปราบได้ทั้งสวรรค์ชั้นฟ้า
ปากสามว่าโอ้เสียดายนัก ลูกรักร่วมชีพสังขาร์
ร่วมสุขร่วมทุกข์ทุกเวลา ได้เป็นใจเป็นตาของบิดร
ปากสี่ว่าโอ้พ่อจอมภพ ปรีชาเลิศลบชาญสมร
ควรฤๅมาแพ้ฤทธิรอน แก่มนุษย์สองกรสาธารณ์
ปากห้าว่าเมื่อเจ้าผาดแผลง แสงศรนาคบาศไปสังหาร
มัดหมู่ปรปักษ์ภัยพาล วายปราณเกลื่อนกลาดดาษดิน
ปากหกว่าสายสุดสวาท เจ้าวางพรหมาสตร์ศรศิลป์
ต้องหมู่อริราชไพริน วอดวายตายสิ้นด้วยฤทธา
ปากเจ็ดว่าเสร็จศึกแล้ว หวังจะเสกลูกแก้วเสน่หา
ครอบครองโภไคศวรรยา ในพิชัยลงกาธานี
ปากแปดว่าโอ้เสียดาย มาจำตายด้วยพิเภกยักษี
บอกไส้ใจศึกให้ไพรี ลูกจึ่งเสียทีแก่สงคราม
ปากเก้าว่าเจ้ามาพินาศ เศียรขาดกายกลิ้งกลางสนาม
ไม่สมศักดิ์สุริย์วงศ์ทรงนาม ดั่งชายทรามชั่วช้าสาธารณ์
สิบปากว่าโอ้จะอยู่ไย มาจะไปนิเวศน์วังสถาน
หาพระชนนีนงคราญ ร่ำพลางขุนมารก็โศกา ฯ

ฯ ๒๐ คำ ฯ โอด

๏ บัดนั้น ฝ่ายหมู่อสุรศักดิ์ยักษา
เห็นศพญาติมิตรแลบิดา ตายกลาดดาษป่าพนาลัย
หัวขาดตีนขาดตัวขาด ดูอนาถไม่สมประดีได้
ต่างคนโศการ่ำไร วุ่นไปทั้งทัพอสุรี
หน้าคร่ำด้วยนํ้านัยน์เนตร แสนเทวษโหยไห้อึงมี่
เซ็งแซ่ด้วยเสียงโศกี สะเทือนที่จักรวาลบรรพต
อุปมาดั่งหนึ่งลมกาล พัดพานป่ารังให้หักหมด
บางตนร่ำรักพระโอรส แสนสลดทุกหมู่กุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์รังสรรค์
ค่อยสร่างโศกาจาบัลย์ กุมภัณฑ์อุ้มศพพระลูกรัก
วางเหนือบัลลังก์รถทรง อันควรคู่องค์พญาจักร
ให้เลิกพหลพลยักษ์ บ่ายพักตร์คืนเข้าลงกา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงนิเวศน์วังสถาน พญามารให้หยุดรถา
อุ้มศพสมเด็จพระลูกยา ขึ้นมหาปราสาทรูจี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น นวลนางมณโฑมารศรี
ทั้งนางสุณิสาเทวี เสด็จอยู่ยังที่ตำหนักใน
แจ้งว่าอินทรชิตไปราญรอน ต่อกรมนุษย์นั้นไม่ได้
ถึงแก่สวรรคาลัย อยู่ในเนินเขาจักรวาล
พระบิตุเรศเสด็จไปรับศพ มาถึงพิภพราชฐาน
ทั้งสองกัลยายุพาพาล กับฝูงบริวารก็รีบมา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงจึ่งทรุดนั่งลง พิศไปทั่วองค์ยักษา
เห็นเศียรนั้นขาดจากกายา พระกรซ้ายขวาก็ไม่มี
ต่างตระหนกตกใจหน้าซีด ร้องหวีดกรีดขึ้นอึงมี่
ฝ่ายองค์สมเด็จพระชนนี เทวีกอดศพเข้าร่ำไร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

โอ้

๏ โอ้ว่าอินทรชิตลูกรัก ดวงจักษุแม่พิสมัย
อุ้มท้องบำรุงเลี้ยงไว้ สิ่งใดมิให้อนาทร
จนจำเริญวัยใหญ่มา รอบรู้วิชาศิลป์ศร
เลื่องชื่อลือฤทธิ์ขจายจร มารดรมีความยินดี
หวังจะให้เป็นปิ่นนคเรศ มงกุฎเกศอสูรยักษี
ควรฤๅมาม้วยชีวี แม่นี้ดูน่าอนาถนัก
เศียรกรไม่มีกับกาย ดั่งหนึ่งชาติชายอัปลักษณ์
เสียดายวงศ์จตุรพักตร์ จะเสื่อมศักดิ์สูญสิ้นทั้งลงกา
นิจจาเอ๋ยตั้งแต่จะแลลับ เหมือนเดือนดับเลื่อนเลี้ยวเหลี่ยมผา
จะคะนึงถึงเจ้าทุกเวลา กินแต่น้ำตาเป็นนิจไป
ยามสรงจะสรงแต่ชลเนตร อาดูรพูนเทวษโหยไห้
ร่ำพลางแสนโศกาลัย อรไทไม่เป็นสมประดี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น นางสุวรรณกันยุมาโฉมศรี
กอดบาทพระราชสามี โศกีครวญคร่ำร่ำไร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

โอ้

๏ โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมเอ๋ย เวรสิ่งใดเลยมาซัดให้
ควรฤๅมาม้วยบรรลัย หนีข้าน้อยไปเมืองฟ้า
สงสารแต่สองสุริย์วงศ์ อันเป็นเอกองค์โอรสา
ตัวเจ้ายังเยาวพาลา ฤๅมาเป็นกำพร้าพระบิดร
ตั้งแต่วันนี้จะได้ทุกข์ ไม่มีสิ่งสุขเหมือนแต่ก่อน
จะแสนโศกาอาวรณ์ เร่าร้อนทนเทวษเวทนา
แม่ลูกจะปรับทุกข์กัน ทุกคืนวันจะไห้โหยหา
อกเอ๋ยเป็นน่าอนิจจา เสียแรงเกิดมาเป็นสตรี
เป็นหม้ายไร้ผัวเหมือนหัวขาด เป็นที่ประมาทแก่ยักษี
ร่ำพลางแสนโศกโศกี เทวีเพียงสิ้นชีวัน ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์รังสรรค์
เห็นมณโฑโศกาจาบัลย์ กับสุวรรณกันยุมานิ่งไป
ยิ่งกำสรดระทดระทวยองค์ สุดที่จะดำรงพระกายได้
ซบพักตร์ลงโศกาลัย ไม่เป็นสติสมประดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

๏ บัดนั้น ฝูงนางกำนัลสาวศรี
เห็นสามกษัตริย์โศกี นิ่งไปกับที่พร้อมกัน
เถ้าแก่ชะแม่ทั้งหลาย ตกใจวุ่นวายไม่มีขวัญ
แสนโศกโศกาจาบัลย์ เสียงสนั่นอื้ออึงคะนึงไป
ทั่วทั้งนิเวศน์วังสถาน ดั่งหนึ่งเพลิงกาฬลามไหม้
ล้มกลาดดาษพื้นปราสาทชัย นางในเพียงสิ้นชีวี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

๏ อันฝูงท้าวนางทั้งนั้น เข้านวดฟั้นกษัตริย์ทั้งสามศรี
บ้างประพรมสุคนธวารี ก็ได้สมประดีทั้งสามองค์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๏ เมื่อนั้น โฉมนางมณโฑนวลหง
ค่อยฟื้นคืนกายใจดำรง แล้วรื้อทรงโศการำพัน
โอ้ว่าอินทรชิตของแม่เอย ไม่ควรเลยจะม้วยอาสัญ
อัปยศฝูงเทพเทวัญ นักสิทธ์สุบรรณนาคา
ทั้งนี้เพราะพระบิตุเรศ เบาเหตุฟังสำมนักขา
ใหลหลงด้วยองค์นางสีดา ไปพามาไว้ในธานี
จึ่งเกิดณรงค์ชิงชัย ได้ความร้อนใจดั่งไฟจี่
แม่ได้ทูลทัดแต่เดิมที ภูมีไม่เชื่อวาจา
พระองค์หลงรักนางโฉมงาม กลับความว่าแม่นี้หึงสา
จนเสียลูกแก้วแววตา พญามารไม่คิดอาลัย
เมื่อเจ้าจากอกไปทั้งรัก แม่จักมีชีวาก็หาไม่
สะอื้นพลางทอดองค์ลงร่ำไร อรไทไม่เป็นสมประดี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ โอด

ร่าย

๏ เมื่อนั้น ท้าวราพณาสูรยักษี
ได้ยินคำนางร่ำโศกี เจ็บดั่งเอาตรีมาแทงใจ
ให้อาลัยในองค์พระลูกนัก หักรักนางสีดาเสียได้
อสุรีกริ้วโกรธคือไฟ ฉวยพระขรรค์ชัยแล้วออกมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ถึงเกยแล้วมีบรรหาร สั่งเสนามารยักษา
กูจะไปยังสวนมาลา ฆ่าอี่สีดากาลี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งเปาวนาสูรยักษี
เห็นพระองค์กริ้วโกรธดั่งอัคคี จะไปฆ่าชีวีนงลักษณ์
มีความตระหนกตกใจ ด้วยกลัวภัยพระรามทรงจักร
อันพระองค์สิทรงฤทธิ์นัก เห็นจะได้เมืองยักษ์ในครั้งนี้
จะได้นางไหนถวายเบื้องบาท พระตรีภูวนาถเรืองศรี
จะพากันมอดม้วยชีวี สิ้นโคตรอสุรีในลงกา
คิดแล้วยอกรบังคมทูล นเรนทร์สูรจงโปรดเกศา
พระองค์ก็ทรงพระปรีชา ซึ่งจะฆ่าสีดานั้นผิดไป
มาตรแม้นถึงนางชีวงคต พระโอรสจะเป็นมาก็หาไม่
ไตรโลกจะเย้ยไยไพ ว่าเสียชัยแก่หมู่ปัจจามิตร
ไม่คิดแก้แค้นแทนกัน มาฆ่าฟันสตรีไม่มีผิด
พระองค์ผู้ทรงศักดาฤทธิ์ จงหยุดยั้งชั่งคิดให้จงดี
อันนางสีดายุพาพักตร์ วิไลลักษณ์แน่งน้อยเฉลิมศรี
ทรงสิริยอดกัลยาณี ไม่มีหญิงใดจะเทียมทัน
มาตรแม้นถึงเทพกัลยา ทั้งหกห้องฟ้าสรวงสวรรค์
จะเปรียบรูปทรงก็ไกลกัน ควรไว้เป็นขวัญเมืองมาร ฯ

ฯ ๑๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์ใจหาญ
ฟังเปาวนาสูรปรีชาชาญ กล่าวโฉมนงคราญสีดา
ความรักซาบซ่านทุกขุมขน ให้มืดมนในการเสน่หา
อันซึ่งกริ้วโกรธโกรธา ก็เคลื่อนคลาเสื่อมคลายหายไป
พระขรรค์ที่พญามารทรง ก็พลัดลงจากกรหารู้ไม่
เสด็จย่างเยื้องคลาไคล กลับมาไพชยนต์รูจี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึ่งมีบรรหาร สั่งเสนามารยักษี
จงเอาศพลูกรักร่วมชีวี ใส่โกศมณีอลงกรณ์
นำไปยังยอดสีขริน อันชื่อนิลกาลาสิงขร
กูกับอัครราชบังอร จะบทจรไปเผาพระลูกยา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งมโหทรมารยักษา
ก้มเกล้ารับราชบัญชา ก็เอาโกศรัตนาพรายพรรณ
เข้ามาแล้วเชิญพระศพ ลูกเจ้าจอมภพไอศวรรย์
ใส่ลงกับสุคนธ์จุณจันทน์ ตามบัญชาการอสุรี
แล้วเชิญขึ้นยังพิชัยรถ อลงกตจำรัสรัศมี
ประโคมด้วยดุริยางคดนตรี นำไปยังที่บรรพตา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ ปี่กลอง

๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์ยักษา
กับนางมณโฑกัลยา ทั้งสุวรรณกันยุมายุพาพาล
สามกษัตริย์เสด็จยุรยาตร ลงจากปราสาทฉายฉาน
อันนางพระสนมบริวาร ตามเสด็จขุนมารออกไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงซึ่งนิลกาลา มหาบรรพตเขาใหญ่
จึ่งให้ยกศพลงตั้งไว้ ที่ในเชิงตะกอนรูจี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายเจ้าพนักงานยักษี
ก้มเกล้ารับราชวาที อสุรีทำตามพระบัญชา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ท้าวยี่สิบกรยักษา
พระหัตถ์จับหอกแก้วกาลา อันมีเดชาดั่งเพลิงกัลป์
กวัดแกว่งสำแดงแผลงฤทธิ์ รัศมีชวลิตฉายฉัน
เข้ายังเชิงตะกอนพรายพรรณ กุมภัณฑ์ก็จุดเข้าทันที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๏ เมื่อนั้น นวลนางมณโฑมเหสี
กับสุวรรณกันยุมาเทวี ทั้งสนมนารีบริวาร
ต่างทรงธูปเทียนบุปผา สุคนธาทิพรสหอมหวาน
สมาลาโทษขุนมาร นงคราญก็จุดเข้าพร้อมกัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ ปี่กลอง

๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์รังสรรค์
เสร็จเผาลูกรักร่วมชีวัน สุริยันลับเหลี่ยมยุคุนธร
จึ่งชวนองค์อัครเทวี กับศรีสุณิสาดวงสมร
พร้อมฝูงอนงค์นิกร ก็เสด็จบทจรกลับมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงนิเวศน์วังสถาน อันโอฬารดั่งดาวดึงสา
เสด็จเหนือแท่นแก้วอลงการ์ ท่ามกลางเสนาพลไกร
จึ่งมีบรรหารสีหนาท ตรัสสั่งอำมาตย์ผู้ใหญ่
จงจัดจตุรงค์ให้พร้อมไว้ กูจะไปราญรอนไพรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น มโหทรมารยักษี
รับสั่งแล้วถวายอัญชุลี ออกมาจากที่พระโรงคัล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ปฐม

ยานี

๏ เกณฑ์เอาสิบขุนเป็นทัพหน้า สิบกองแกล้วกล้าแข็งขัน
โยธาเลือกล้วนชาญฉกรรจ์ กุมเสน่าเกาทัณฑ์ลูกพิษ
กองขันโอรสทั้งสิบรถ กำหนดให้ถืออาชญาสิทธิ์
แต่ละองค์ล้วนทรงกำลังฤทธิ์ ขี่รถชวลิตอลงกรณ์
ขุนช้างผูกช้างชนะงา ร้ายกาจแกล้วกล้าชาญสมร
ขุนม้าผูกม้าอัสดร กำลังเท้าจรดั่งลมพัด
ขุนรถเทียมรถด้วยไกรสีห์ สารถีถือง้าวยืนหยัด
พลหาญถือตระบองหอกซัด ดั้งดาบแกว่งกวัดกรีดกราย
เทียมทั้งรถทรงสำหรับศึก แอกงอนพันลึกฉานฉาย
ตั้งเป็นกระบวนริ้วราย ไพร่นายคอยเสด็จอสุรี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ