สมุดไทยเล่มที่ ๑๕

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายพระบิตุเรศรังสรรค์
ฟังโอรสร่ำรำพัน รับขวัญแล้วตรัสตอบไป
เจ้าผู้ดวงเนตรดวงชีวี พ่อว่าดั่งนี้หาควรไม่
ด้วยฝูงเทวาสุราลัย เชิญให้ร่วมไวกูณฑ์มา
สำหรับจะช่วยปราบยุค ฤๅทนทุกข์ที่จะจากวงศา
อันพระสัตรุดอนุชา แก้วตาจงไปด้วยกัน
ฝ่ายว่าพระลักษมณ์สุริย์วงศ์ กับองค์พระรามรังสรรค์
จะรักษานิเวศน์วังจันทน์ ต่างกรรณต่างเนตรพระบิดา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์นาถา
ทั้งพระสัตรุดอนุชา ฟังพระวาจาก็จนใจ
ดั่งเหล็กเพชรลิขิตสุพรรณบัฏ จะขัดพจมานก็ไม่ได้
ชุลีกรกราบทูลสนองไป ลูกมิให้เคืองพระภูมี
ว่าแล้วประณตบทบงสุ์ ลาองค์พระบิตุเรศเรืองศรี
กับสามสมเด็จพระชนนี เชษฐาธิบดีรามา
พระสัตรุดก็ลาพระลักษมณ์ ต่างรักต่างโทมนัสสา
ต่างองค์ต่างฟายน้ำตา อาลัยมิใคร่จะจากกัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ ครั้นค่อยสร่างกำสรด พระพรตพระสัตรุดรังสรรค์
ก็เสด็จย่างเยื้องจรจรัล มาปราสาทสุวรรณอำไพ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งสั่งสี่พี่เลี้ยงซ้ายขวา ผู้มีปัญญาอัชฌาสัย
ให้เตรียมม้ารถคชไกร จะยกไปไกยเกษบุรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งพระพี่เลี้ยงทั้งสี่
ก้มเกล้ารับสั่งด้วยยินดี ถวายอัญชุลีแล้วออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ยานี

๏ จัดกระบวนหน้าหลังตามตำแหน่ง โยธาม้าแซงซ้ายขวา
ปลายเชือกกรกุมปืนยา ใส่เสื้อสีฟ้าหมวกดำ
ถัดนั้นใส่เสื้อเขียวขาบ หมวกแดงขัดดาบด้ามคร่ำ
ถัดมาเสื้อสีการะกำ ใส่หมวกดอกคำทวนทอง
ถัดมาใส่เสื้อสีหมอก หมวกเขียวกุมหอกเป็นทิวท่อง
เตรียมทั้งรถทรงรถรอง ทุกกองคอยเสด็จยาตรา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ทั้งสองสุริย์วงศ์นาถา
ครั้นรุ่งรางสร่างแสงสุริยา เสด็จมาโสรจสรงสาคร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ เข้าที่ชำระสระสนาน ทรงสุคนธ์ธารทิพย์เกสร
ต่างสอดสนับเพลาเชิงงอน อุทุมพรภูษาท้องพัน
ชายแครงสุริกานต์ก้านขด ชายไหวมรกตทับทิมคั่น
ฉลององค์พื้นตาดต่างกัน สังวาลวัลย์ตาบทิศทับทรวง
พาหุรัดทองกรมังกรกลาย ธำมรงค์เพชรพรายโชติช่วง
ทรงมงกุฎแก้วดอกไม้พวง ห้อยห่วงกุณฑลกรรเจียกจร
ขัดพระแสงขรรค์ฤทธิรงค์ แล้วทรงสะพักธนูศร
งามเพียงสุริยันจันทร กรายกรขึ้นรถสุพรรณพราย ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

โทน

๏ รถเอยรถเนาวรัตน์ แสงตรัสตรัสต้องพระสุริย์ฉาย
แอกอ่อนอ่อนชดธงชาย คล้ายคล้ายดุมวงวงเวียน
แปรกบังบังใบประดับแก้ว แพร้วแพร้วด้วยนาคเจ็ดเศียร
โตกตั้งบัลลังก์แก้วแก้ววิเชียร เทียมม้าม้าเขียนไม่เทียมทัด
สารถีขี่ขับขับทะยาน ธงฉานปลิวปลายปลายสะบัด
เครื่องสูงเรียงรายรายรัตน์ โยธาอึงอัดอัดไป
ปี่กลองฆ้องขานขานเสียง สำเนียงก้องก้องเพียงแผ่นดินไหว
รีบเร่งเร่งหมู่พลไกร เข้าในในแนวพนาลี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ชมดง

๏ เดินทางตามหว่างสีขเรศ ข้ามเขตห้วยธารคีรีศรี
เห็นฝูงมฤคามฤคี พระตรัสชี้บอกองค์อนุชา
นั้นหมู่ละมั่งกวางทราย ช้างพลายพาพวกออกจากป่า
ลูกน้อยแนบข้างมารดา บ้างกินหญ้าเย่อชักหักพง
โคแดงแข่งหน้ากระบือเปลี่ยว กระทิงเที่ยวขวิดดินกินป่ง
พลางชมนกไม้ที่ในดง ฝูงหงส์โหยหาคณานาง
โนรีเรียงเคล้าบนเขาสูง มยุราพาฝูงฟ้อนหาง
สาลิกาเจรจาอยู่ริมทาง นกลางเลียบไม้อยู่ตามกัน
พญาลอล้อเล่นเป็นหมู่ นกเขาเคียงคู่คูขัน
ชมพลางเร่งพลจรจรัล สิบห้าวันก็ถึงพารา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น หญิงชายชาวเมืองล้วนหน้า
ครั้นรู้ว่าองค์พระนัดดา เสด็จมาถึงราชธานี
ต่างคนมีใจเกษมสันต์ บอกกันเอิกเกริกอึงมี่
ลูกค้าวาณิชกฎุมพี จีนจามพราหมณ์ชีทั้งเวียงชัย
บางคนอุ้มลูกจูงหลาน วิ่งพล่านตามท้องถนนใหญ่
แก่เฒ่าก็ถือไม้เท้าไป ที่เดินไม่ได้ก็ถัดมา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ยัดเยียดเบียดเสียดกันสับสน ตามแนวถนนซ้ายขวา
เห็นสองพระราชกุมารา ทรงรถรัตนาอลงกรณ์
นรลักษณ์พักตราวิลาวัณย์ ผิวพรรณโอภาสประภัสสร
งามดั่งสุริยันกับจันทร อันเขจรในพื้นนภาลัย
บ้างโปรยปรายบุปผามาลาศ เกลื่อนกลาดตามท้องถนนใหญ่
แซ่ซ้องอำนวยอวยชัย อื้ออึงคะนึงไปทั้งธานี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองพระองค์ทรงสวัสดิ์รัศมี
ประทับรถกับเกยมณี จรลีขึ้นเฝ้าพระอัยกา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ต่างองค์น้อมเศียรอภิวาทน์ แทบบาทยุคลซ้ายขวา
ท่ามกลางเสนีมาตยา ในมหาปราสาทพรายพรรณ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวไกยเกษรังสรรค์
เห็นสองนัดดาวิลาวัณย์ ผิวพรรณเลิศลํ้าอำไพ
พิศพระสัตรุดอนุชา พักตราดั่งดวงแขไข
จำเริญรักในราชฤทัย กอดไว้แล้วมีโองการ
อันองค์สมเด็จพระบิตุเรศ ปิ่นเกศอยุธยาราชฐาน
เสวยแสนสมบัติอันโอฬาร ผ่านฟ้ายังค่อยสถาวร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์ทรงศร
ได้ฟังโองการอันสุนทร ชุลีกรแล้วทูลสนองไป
อันซึ่งสมเด็จพระบิดา ทุกข์โศกโรคานั้นหาไม่
แจ้งสารพระทรงภพไตร ภูวไนยชื่นชมยินดี
โปรดให้หลานรักทั้งสอง มารองใต้เบื้องบทศรี
องค์พระอัยกาธิบดี ไปกว่าชีวีจะมรณา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวไกยเกษนาถา
ได้ฟังพระราชนัดดา ดั่งอมฤตฟ้ายาใจ
เพราะเสียงเพราะรสวาที ไม่มีสิ่งที่จะเปรียบได้
ปรีชาเคล่าคล่องว่องไว สมในสุริย์วงศ์เทวัญ
จูบพักตร์ทั้งสองพระเยาวเรศ เจ้าดวงนัยน์เนตรเฉลิมขวัญ
อัยกาไร้วงศ์พงศ์พันธุ์ จะปกป้องครองขัณฑเสมา
พ่อจงทรงฤทธิอำนาจ เป็นที่พึ่งแก่ญาติวงศา
ประชาราษฎร์อำมาตย์โยธา จะได้เป็นผาสุกสืบไป
ตรัสแล้วจึ่งให้ประทาน แสนสนมบริวารน้อยใหญ่
ทั้งปราสาทแก้วแววไว โยธาข้าใช้ครบครัน ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระพรตพระสัตรุดรังสรรค์
บังคมก้มเกล้าอภิวันท์ ก็พากันไปปราสาทรัตนา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ทั้งสองพระองค์ทรงสวัสดิ์ เสวยสมบัติบรมสุขา
อยู่ด้วยสมเด็จพระอัยกา ในมหาไกยเกษเวียงชัย
เย็นเช้าเข้าเฝ้าเป็นนิจ ราชกิจอุตส่าห์เอาใจใส่
ต่างพระเนตรพระกรรณภูวไนย ตั้งใจบริรักษ์สถาวร
บำรุงเสนาพฤฒามาตย์ ประชาราษฎร์เป็นสุขสโมสร
ปราศจากภยันต์นิรันดร พระนครเกษมเปรมปรีดิ์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ช้า

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายท้าวทศพักตร์ยักษี
ครอบครองไพร่ฟ้าประชาชี เป็นปิ่นโมลีลงกา
ให้คิดอิ่มเอิบกำเริบฤทธิ์ ด้วยใจทุจริตอิจฉา
บัดนี้นักสิทธ์วิทยา ล้วนมีวิชากระลาไฟ
เหาะเหินเดินโดยอัมพร จะชุบศิลป์ศรก็ย่อมได้
จะมีสานุศิษย์ฤทธิไกร นานไปจะเป็นไพรี
อย่าเลยกูจะให้ทำลาย อันตรายพรตกรรมพระฤๅษี
ให้เสียการกิจพิธี ซึ่งมีอุตส่าห์ตบะญาณ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ คิดแล้วผินพักตร์มาบัญชา สั่งนางกากนาใจหาญ
ท่านจงพาพวกบริวาร ไปเที่ยวจังทานพระมุนี
ให้เสียกิจกรรมจำเริญพรต ทุกอาศรมบทพระฤๅษี
เจ็ดวันชวนกันไปโฉบตี อย่าให้มีสุขสถาพร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น นางกากนาชาญสมร
รับสั่งท้าวยี่สิบกร บทจรออกจากท้องพระโรงคัล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งเรียกฝูงนางบริวาร อันกล้าหาญฤทธิแรงแข็งขัน
เกลื่อนกลาดพื้นพงศ์กุมภัณฑ์ พร้อมกันนิมิตเป็นกา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ เจรจา

๏ ครั้นเสร็จจำแลงแปลงตน บินทะยานขึ้นบนเวหา
เสียงปีกกึกก้องโกลา ดั่งว่าอากาศจะทำลาย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ แผละ

๏ มาถึงซึ่งอาศรมบท แห่งพระนักพรตทั้งหลาย
บินว่อนร่อนร้องวุ่นวาย ตาหมายฉาบโฉบลงมา
เย่อแย่งหลังคาอาศรม หักถล่มดั่งต้องพายุกล้า
ไล่ขยิกจิกตีพระสิทธา ฉวยเฉี่ยวชฎาวุ่นไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ฤๅษีโยคีน้อยใหญ่
เห็นกากนาบังอาจใจ โฉบไล่จิกตีจุลาจล
ต่างองค์ตระหนกอกสั่น วิ่งพะปะกันสับสน
ตื่นแตกแยกไปทุกตำบล อลวนไม่เป็นสมประดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น นางกากนาสูรยักษี
ครั้นเห็นคณะพระโยคี แตกหนีจากบรรณศาลา
ต่างตนรนร้องก้องกึก ครึกครั่นสนั่นไปทั้งป่า
แล้วพากันบินขึ้นเมฆา กลับไปลงกาเวียงชัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายพระมุนีน้อยใหญ่
ครั้นเห็นฝูงกากลับไป ก็ออกจากพุ่มไพรพนาลี
จึ่งประชุมพร้อมกันปรึกษา จะตั้งพรตจรรยาอยู่ที่นี่
หมู่กากนาอสุรี เห็นจะมายํ่ายีเป็นนิจ
จำจะแจ้งเหตุเภทภัย แก่ท่านไทผู้ชื่อพระวสิษฐ์
กับพระมหาสวามิตร คิดแล้วก็พากันรีบมา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงสององค์พระอาจารย์ ยอกรมัสการเหนือเกศา
บอกว่ามีกาอสุรา เย่อแย่งศาลาวุ่นไป
เจ็ดวันมันมาจลาจล สุดทนสุดที่จะกลั้นได้
พระอาจารย์จงช่วยดับภัย อย่าให้อสุรามายายี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระวสิษฐ์สวามิตรฤๅษี
ได้ฟังคณะพระโยคี มีจิตคิดอัศจรรย์ใจ
เอะเหตุไฉนกากนา จึ่งมายํ่ายีฉะนี้ได้
แต่ก่อนบห่อนจะมีภัย ที่ในบริเวณพนาวัน
ชะรอยอสูรหมู่มาร มาแกล้งจังทานด้วยโมหันธ์
ถึงยุคจะสิ้นโคตรมัน เราจะพากันรีบจร
เข้าไปกรุงศรีอยุธยา หาท้าวทศรถชาญสมร
ขอองค์พระรามฤทธิรอน มาทรงศรสังหารอสุรี
ว่าแล้วจึ่งองค์พระวสิษฐ์ กับพระสวามิตรฤๅษี
ก็นำบริวารโยคี ไปยังธานีอยุธยา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงนิเวศน์วังสถาน สองพระอาจารย์ฌานกล้า
กับพวกคณะพระสิทธา ก็พากันเข้ายังพระโรงคัล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น ท้าวทศรถรังสรรค์
ครั้นเห็นจึ่งเชิญพระนักธรรม์ ให้นั่งอาสน์สุวรรณรูจี
นบนิ้วถวายอภิวาทน์ ภูวนาถตรัสถามพระฤๅษี
ซึ่งพาคณะพระโยคี มานี้จะประสงค์สิ่งใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองพระมหาอาจารย์ใหญ่
ต่างองค์ถวายพระพรไป บัดนี้มีภัยพาลา
เพราะด้วยฝูงกากนามาร มันจังทานดาบสที่ในป่า
ไม่เป็นสวดมนตร์ภาวนา รูปจึ่งเข้ามาทั้งนี้
จะขอพระรามพระลักษมณ์ ไปมล้างอสุราศักดิ์ยักษี
ดับเข็ญให้เย็นโยคี ภูมีจงทรงพระเมตตา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ท้าวทศรถนาถา
ได้ฟังพระมหาสิทธา จึ่งมีบัญชาตอบไป
อันสองกุมารนี้เยาว์นัก เห็นจะปราบยักษ์นั้นไม่ได้
ตัวโยมจะออกไปชิงชัย ฆ่าเสียให้ม้วยชีวี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระวสิษฐ์สวามิตรฤๅษี
ได้ฟังจึ่งตอบวาที ไฉนว่าดั่งนี้พระผ่านฟ้า
เมื่อพระนารายณ์อวตาร ลงมาสังหารยักษา
ซึ่งพระองค์ผู้ทรงศักดา จะออกเข่นฆ่านั้นผิดไป
อันว่าพระลักษมณ์พระราเมศ ทรงศักดาเดชแผ่นดินไหว
ถึงเท่านี้ก็มีฤทธิไกร ดั่งหนึ่งกองไฟบรรลัยกัลป์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ท้าวทศรถรังสรรค์
ได้ฟังเห็นชอบระบอบบรรพ์ ทรงธรรม์จึ่งมีวาจา
ซึ่งพระองค์จะพาสองหลาน ออกไปสังหารยักษา
ก็ต้องความตามไวกูณฐ์มา สุดแต่พระมหามุนี
ตรัสแล้วจึ่งมีพจนารถ สั่งพระเยาวราชทั้งสองศรี
เจ้าจงไปมล้างอสุรี ที่ในอาศรมพระนักพรต
ด้วยศรศักดาวราฤทธิ์ ให้สุดสิ้นชีวิตทั้งหมด
องค์พระมุนีผู้มียศ จะได้จำเริญพรตภาวนา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทั้งสองสุริย์วงศ์นาถา
ได้ฟังพระราชบัญชา กราบกับบาทาแล้วทูลไป
ซึ่งพระองค์จะให้ปราบยักษี ที่มันทรลักษณ์หยาบใหญ่
ก็สมดั่งจิตลูกคิดไว้ ดีใจเป็นพ้นพันทวี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวทศรถเรืองศรี
ทั้งสามสมเด็จชนนี ได้ฟังวาทีพระลูกรัก
รับขวัญทั้งสองสุริย์วงศ์ ต่างองค์โอบอุ้มขึ้นใส่ตัก
ยอกรลูบหลังแล้วจูบพักตร์ พ่อจักไปปราบอสุรา
จงมีชัยแก่หมู่ปัจจามิตร ด้วยศรสิทธิ์ของเจ้าอันแกล้วกล้า
ให้ปรากฏยศไว้ในโลกา แก้วตาจงไปสถาวร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองพระกุมารชาญสมร
นบนิ้วดุษฎีชุลีกร รับพรพระชนกชนนี
กราบลงแทบเบื้องบทรัตน์ ลาองค์กษัตริย์ทั้งสี่
ต่างจับศรสิทธิ์ฤทธี งามสง่ายิ่งตรีโลกา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองพระดาบสพรตกล้า
กับทั้งคณะพระสิทธา สมดั่งจินดาก็ยินดี
จึ่งลาพระองค์ทรงเดช พาพระเยาวเรศทั้งสองศรี
ลงจากปราสาทมณี ไปยังกุฎีพระนักธรรม์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ฝ่ายนางกากนาโมหันธ์
ครั้นถ้วนกำหนดเจ็ดวัน ก็ชวนกันจำแลงแปลงกาย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๏ กลับกลายเป็นกาตัวหาญ พาพวกบริวารทั้งหลาย
บินขึ้นยังพื้นโพยมพราย หมายไปศาลาพระมุนี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายคณะพระมหาฤๅษี
เคยขยาดฤทธาอสุรี ได้ยินเสียงมี่ก็ตกใจ
ต่างกลัวตัวสั่นขวัญหาย วิ่งกระจัดพลัดพรายไม่อยู่ได้
บ้างฉุดยุดลากกันวุ่นไป บ้างหนีเข้าในพนาวัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ทั้งสองสุริย์วงศ์รังสรรค์
เห็นหมู่คณะพระนักธรรม์ พากันวิ่งวุ่นอึงมา
ต่างจับพระแสงศรทรง อาจองดั่งพระกาลหาญกล้า
กวัดแกว่งสำแดงฤทธา ออกจากศาลาทันที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ แลเห็นฝูงกากนามาร มาไล่รุกรานพระฤๅษี
คิ้วตานั้นเป็นอสุรี พระจักรีขึ้นศรแผลงไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๏ เสียงสนั่นครั่นครื้นโพยมหน ต้องพลตายยับไม่นับได้
พระลักษมณ์แผลงซ้ำเป็นเปลวไฟ ไล่ล้างจนสิ้นพลกา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด โอด

๏ บัดนั้น นางกากนาสูรยักษา
เหลือบแลเห็นสองกุมารา ฆ่าพวกพลกาวายปราณ
กริ้วโกรธพิโรธตาแดง กางปีกบังแสงสุริย์ฉาน
แผดร้องก้องสนั่นหิมพานต์ เหวยสองกุมารเท่าแมงใย
เหตุใดใช่การมาราญรอน นามกรสุริย์วงศ์ตำแหน่งไหน
จึ่งทำอาจองทะนงใจ ไม่กลัวฤทธิไกรอสุรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์องค์นารายณ์เรืองศรี
ได้ฟังจึ่งตอบวาที กูนี้มีนามรามา
น้องเรานั้นชื่อเจ้าลักษมณ์ เรืองฤทธิ์สิทธิศักดิ์แกล้วกล้า
อันพระบิตุรงค์ทรงศักดา ผ่านกรุงอยุธยาธานี
ตัวเอ็งอาสัตย์แสนร้าย มาทำลายพรตกรรมพระฤๅษี
กูจึ่งจะล้างชีวี มึงนี้ให้สิ้นสุดปราณ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น นางกากนาสูรใจหาญ
ได้ฟังกริ้วโกรธดั่งเพลิงกาฬ แผดเสียงสะท้านทั้งไพรวัน
เหม่เหม่เด็กน้อยอหังการ์ กูจะผลาญชีวาให้อาสัญ
ว่าพลางถาโถมเข้าโรมรัน โฉบเฉี่ยวพัลวันเป็นโกลี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น สองพระองค์ทรงสวัสดิ์รัศมี
ต่างแกว่งศรสิทธิ์ฤทธี ไล่ฟาดไล่ตีอสุรินทร์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ต้องปีกหลีกเลี่ยงเวียนวง ฝ่ายพระภุชพงศ์ก็ขึ้นศิลป์
ผาดแผลงถูกอกตกดิน สิ้นชีพเป็นยักขินีไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด โอด

๏ เมื่อนั้น พระมหาดาบสน้อยใหญ่
เห็นกากนาบรรลัย ตกลงยังในสุธาธาร
ด้วยศรพระลักษมณ์พระจักรา ก็ปรีดาตบหัตถ์ฉาดฉาน
อวยชัยให้พรพระกุมาร แล้วพาหลานกลับเข้ากุฎี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ บัดนั้น พลกากนาสูรยักษี
เหลืออยู่ไม่สิ้นชีวี เร้นหนีซอกซอนเวียนวน
ตัวขาดบาดเจ็บเลือดไหล เล็ดลอดบินไปในเวหน
ปิ้มว่าจะตายวายชนม์ ต่างคนรีบข้ามไปลงกา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงประณตบทบงสุ์ ทูลองค์สวาหุยักษา
ทั้งพญามารีศอสุรา ว่าพระมารดาเสด็จไป
ฉาบอาศรมบทนักสิทธ์ อันสถิตอยู่ในป่าใหญ่
พบสองกุมารชาญชัย สุริย์วงศ์พงศ์ไหนมิได้รู้
ไม่มีโยธาพลากร มือถือศิลป์ศรทั้งคู่
แกล้วกล้าเรืองฤทธิ์ดั่งพิษงู มาอยู่อาศรมพระนักธรรม์
ศักดาสามารถอาจหาญ ฆ่ากากนามารอาสัญ
ทั้งองค์พระชนนีนั้น ก็สุดสิ้นชีวันด้วยฤทธา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น สวาหุมารีศยักษา
ได้แจ้งแห่งคำกากนา ว่าพระมารดาวายชนม์
สองยักษ์พิโรธโกรธเกรี้ยว ขบเขี้ยวกระทืบบาทกุลาหล
แผดผาดสีหนาทอึงอล เหม่มนุษย์สองคนอหังการ
เป็นลูกเต้าเผ่าพันธุ์ผู้ใด จึ่งอาจใจฮึกฮักหักหาญ
ไม่เกรงสุริย์วงศ์พงศ์มาร จะผลาญให้เป็นภัสม์ธุลีกัลป์
ว่าพลางทางฉวยคทาวุธ กวัดแกว่งอุตลุดดั่งจักรผัน
เรียกรถเรียกพลกุมภัณฑ์ อื้ออึงสนั่นเป็นโลกา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ พิราพรอน

๏ บัดนั้น ฝ่ายหมู่อสุรศักดิ์ยักษา
ครั้นได้ยินเสียงอสุรา ต่างฉวยสาตราคทาธร
ดาบดั้งโล่เขนปืนไฟ ง้าวทวนหน้าไม้ธนูศร
กล้องสลัดแหลนซัดโตมร กุญชรม้ารถครบครัน
ต่างแกว่งอาวุธเป็นโกลา พสุธาอากาศหวาดหวั่น
พลมารแยกเขี้ยวเคี้ยวฟัน เร่งกันมาคอยอสุรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ กราวนอก

๏ เมื่อนั้น สวาหุมารีศยักษี
โจนจากอาสน์แก้วรูจี มาขึ้นรถมณีอลงการ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ รถเอยสองรถเพชร สีเตร็จแสงตรัสพระเวหา
เทียมสินธพสี่พันมา เมฆามืดดั่งพลมาร
เหล่ากากล้วนกองคะนองศึก แห่คู่โห่คึกฉาวฉาน
โลกาลั่นก้องจักรวาล ดินสะท้านดั่งสะเทือนจลาจล
เหล่ามารหลายหมู่ทำฤทธิ์ ทุกทิศมืดทั่วมัวฝน
กวัดดั้งแกว่งดาบอลวน มาตรประจัญหมายประจญไพรี
สิงขรสาครกัมปนาท โลกธาตุสั่นทั่วทุกราศี
รีบม้าเร่งมารโยธี ลอยรี่เลื่อนราชรถมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงอาศรมพระนักสิทธ์ สองยักษ์ผู้มีฤทธิ์แกล้วกล้า
เห็นศพพระราชมารดา กับหมู่กากนาบรรลัย
ชลเนตรคลอเนตรตัวสั่น กระทืบบาทสนั่นหวั่นไหว
เรียกเร่งพหลพลไกร ให้ล้อมอาศรมพระมุนี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายคณะพระมหาฤๅษี
ครั้นเห็นพวกพลอสุรี ตกใจอึงมี่วุ่นวาย
วิ่งเข้ากอดสองพระทรงฤทธิ์ พระนักสิทธ์ตัวสั่นขวัญหาย
จงช่วยรูปด้วยอย่าให้ตาย บ้างตะเกียกตะกายทั้งศาลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น สองพระกุมารแกล้วกล้า
ยิ้มแล้วจึ่งกล่าววาจา พระอาจารย์อย่ากลัวกุมภัณฑ์
ถึงโกฏิแสนแน่นมาทั้งจักรวาล หลานรักจะฆ่าให้อาสัญ
ว่าแล้วกรายกรจรจรัล ออกจากพระบรรณศาลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น มารีศสวาหุยักษา
เห็นสองกุมารออกมา ก็สั่งโยธาให้โจมตี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งหมู่อสุรศักดิ์ยักษี
รับสั่งพญาอสุรี ก็สำแดงฤทธีอันพิลึก
ต่างแกว่งหอกง้าวทวนกระบอง เผ่นโผนโจนร้องก้องกึก
ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันครั่นครึก ขับกันโห่ฮึกเข้ารอนราญ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระจักรีผู้ปรีชาหาญ
กับพระอนุชาชัยชาญ เห็นหมู่มารบุกรุกเข้ามา
สององค์กวัดแกว่งพระแสงศร สำแดงฤทธิรอนแกล้วกล้า
เข้าไล่ตีพลอสุรา ด้วยกำลังศักดาว่องไว ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ฝ่ายพวกพลมารน้อยใหญ่
หมายมาดพิฆาตให้บรรลัย กรูกันเข้าไล่อลวน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ยิงแย้งแทงฟันอุตลุด พุ่งซัดอาวุธดั่งห่าฝน
ลางมารขบเขี้ยวคำรน เข้าประจญไม่คิดชีวา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองพระกุมารหาญกล้า
ต่างแกว่งศรสิทธิ์ฤทธา เข้าไล่เข่นฆ่ากุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ หวดซ้ายป่ายขวาวุ่นไป ว่องไวรวดเร็วดั่งจักรผัน
พลมารตายยับทับกัน ด้วยศักดาอันราวี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น สวาหุมารีศยักษี
แลเห็นพวกพลอสุรี สุดสิ้นชีวีวายปราณ
ต่างตนกวัดแกว่งอาวุธ สำแดงฤทธิรุทรกำลังหาญ
เร่งให้โลทันขุนมาร ขับรถทะยานเข้าไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เสียงกงกึกก้องกัมปนาท พสุธาอากาศก็หวาดไหว
สวาหุเข้าต่อฤทธิไกร ชิงชัยด้วยองค์พระสี่กร
มารีศนั้นเข้ารณรงค์ ด้วยองค์พระลักษมณ์ทรงศร
กวัดแกว่งเงื้อง่าคทาธร หมายใจราญรอนพระทรงฤทธิ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น องค์พระหริรักษ์จักรกฤษณ์
กับพระอนุชาคู่ชีวิต ต่างชักศรสิทธิ์แผลงไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๏ สำเนียงเพียงลมประลัยกัลป์ โลกธาตุเลื่อนลั่นหวั่นไหว
ศรสองพระกุมารชาญชัย ไปต้องสองรถอสุรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ พาชีสี่พันก็วินาศ หัวขาดทั้งนายสารถี
เรือนรถแหลกลงเป็นผงคลี ด้วยฤทธีอันมหิมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สวาหุมารีศยักษา
สิ้นรถสิ้นพลโยธา อสุรากริ้วโกรธดั่งไฟกัลป์
ต่างตนต่างทำสีหนาท กระทืบบาทสำเนียงดั่งฟ้าลั่น
ร้องตวาดกราดเกรี้ยวเคี้ยวฟัน กุมภัณฑ์โลดโผนเข้าต่อกร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ สวาหุนั้นเข้าโจมจับ กับพระหริวงศ์ทรงศร
มารีศเข้าต่อฤทธิรอน ด้วยน้องพระสี่กรผู้ศักดา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระรามสุริย์วงศ์นาถา
กับองค์พระศรีอนุชา สองราโจมจับกุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ต่างองค์ขึ้นเหยียบบ่ายักษ์ กลอกกลับดั่งจักรพัดผัน
สี่หาญสี่กล้าไม่ลดกัน ต่างฟาดต่างฟันประจัญตี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สวาหุมารีศยักษี
บุกบันรานรุกคลุกคลี ถ้อยทีประหารราญรอน
สวาหุตีด้วยคทาวุธ พระทรงภุชปัดกันด้วยคันศร
มารีศหวดด้วยคทาธร พระลักษมณ์ปัดกรขุนมาร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระจักรีผู้ปรีชาหาญ
กับพระอนุชาชัยชาญ รอนราญบุกบันประจัญตี
พระนารายณ์ก็ฟาดด้วยศรทรง ถูกองค์สวาหุยักษี
พระลักษมณ์หวดมารีศอสุรี กระเด็นไปจากที่พร้อมกัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ พระสี่กรจับศรพาดสาย เยื้องกรายเหลือบแลแปรผัน
แผลงต้องสวาหุกุมภัณฑ์ ก็ม้วยชีวันด้วยฤทธา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด โอด

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายว่ามารีศยักษา
ครั้นสวาหุมรณา เห็นพระรามาเป็นสี่กร
ตกใจขนพองสยองเกศ แจ้งเหตุว่านารายณ์ทรงศร
สุดกลัวสุดคิดจะราญรอน ก็หนีไปนครลงกา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

ยานี

๏ เมื่อนั้น ฝูงเทพเทวัญทุกทิศา
ทั้งนางอัปสรกัลยา แจ้งว่าองค์พระอวตาร
เสด็จมาสังหารอสุรี สุดสิ้นชีวีสังขาร
ก็แซ่ซ้องร้องสาธุการ ตบหัตถ์ฉัดฉานอึงไป
โปรยปรายบุปผามาลาศ ทั่วทุกวิมานมาศน้อยใหญ่
บ้างร้องอำนวยอวยชัย เทพไทเกษมเปรมปรีดิ์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ สาธุการ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายคณะพระมหาฤๅษี
เห็นยักษาตายยับไม่สมประดี ด้วยฤทธีสองพระกุมาร
ทั้งเทวาโปรยทิพย์มาลาศ เกลื่อนกลาดส่งกลิ่นหอมหวาน
ต่างองค์ชมโพธิสมภาร ควรที่อวตารมาปราบยักษ์
ตั้งแต่นี้ไปจะสิ้นทุกข์ เป็นสุขทั้งในไตรจักร
ด้วยเดชะสมเด็จพระหริรักษ์ กับองค์พระลักษมณ์อนุชา
ว่าแล้วอำนวยอวยพร ให้ฤทธิรอนปราบได้ทุกทิศา
อันศัตรูหมู่ราชพาลา จงพ่ายแพ้ศักดาทั้งธาตรี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายพระชนกฤๅษี
แต่ได้ธิดาในวารี เสี่ยงด้วยบารมีฝังไว้
กลับมาตั้งกรรมทำกิจ จะให้สำเร็จฤทธิ์จงได้
อันฌานสมาบัติสิ่งใด จะบังเกิดให้ก็ไม่มี
จนเหนื่อยหน่ายคลายจากความเพียร ที่จะเรียนโดยกิจพระฤๅษี
จะใคร่ลาพรตจากโยคี คืนเข้าบุรีมิถิลา
คิดถึงบุตรีโฉมตรู ที่ฝังอยู่ใต้ไทรสาขา
ตกใจเรียกนายโสมมา ก็พากันรีบออกไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ มาถึงบริเวณมณฑล ใต้ต้นนิโครธไทรใหญ่
จึ่งสั่งนายโสมผู้ร่วมใจ ให้ขุดหาองค์พระบุตรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นายโสมโยมพระฤๅษี
จับจอบขุดพื้นปัถพี ตามที่อันหมายสำคัญไว้ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ใช้เรือ

๏ แต่รุ้งแระแสะหาอยู่ช้านาน จะพบพานธิดาก็หาไม่
นั่งลงทิ้งจอบเสียทันใด ร้องไห้แล้วบอกพระสิทธา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระฤๅษีผู้ทรงสิกขา
ตกใจตะลึงทั้งกายา ดั่งหนึ่งชีวาจะม้วยมิด
ชลนาคลอคลองนองเนตร แสนเทวษอัดอั้นตันจิต
กลับรื้อรำพึงคำนึงคิด อันจะสิ้นชีวิตนั้นผิดไป
ตริแล้วจึ่งว่าแก่นายโสม โยมฟังกูก่อนอย่าร้องไห้
อันองค์พระธิดายาใจ เลิศลบนางในธาตรี
เมื่อวันฝังได้ตั้งอธิษฐาน ปทุมมาลย์ผุดรับนางโฉมศรี
ด้วยเดชะบุญญาบารมี อันจะสิ้นชีวีอย่าสงกา
เทพไทที่ในพนาสัณฑ์ เข้าป้องกันพิทักษ์รักษา
เอ็งจงไปบอกแก่เสนา ให้มาไถหาเยาวมาลย์ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นายโสมผู้ปรีชาหาญ
ก้มเกล้ารับคำพระอาจารย์ ก็ลนลานรีบเข้ายังเวียงชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงราชนิเวศน์ แจ้งเหตุแก่ท่านเสนาใหญ่
เล่าความแต่ต้นจนปลายไป ตามในคำสั่งพระสิทธา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนีธิบดีซ้ายขวา
ได้ฟังนายโสมก็ปรีดา เร่งรีบตรวจตราเกณฑ์กัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ จัดทั้งรถรัตน์อัสดร กุญชรโคตรคํ้าตัวขยัน
แอกไถวัวควายครบครัน สรรเอาแต่ล้วนตัวดี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เสร็จแล้วก็ให้นายโสม ผู้โยมรับสั่งพระฤๅษี
นำหมู่พหลโยธี ตรงไปยังที่ศาลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงให้หยุดทวยหาญ ตั้งไว้แทบธารชายป่า
นายโสมกับหมู่เสนา เข้าไปวันทาพระนักพรต ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระชนกดาบส
เห็นพร้อมโยธาม้ารถ จึ่งมีพจนารถตรัสไป
เรานี้ได้ราชธิดา มาฝังไว้ใต้ต้นไทรใหญ่
จงช่วยไถหาอรไท ได้แล้วจะคืนเข้าธานี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งมหาเสนาทั้งสี่
ก้มเกล้ารับสั่งด้วยยินดี ชุลีกรแล้วรีบออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ให้เทียมคู่โคแลกาสร ซับซ้อนเกลื่อนกลาดดาษป่า
ไถไปตามสั่งพระสิทธา เวียนรอบฉายาต้นไทร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ พญาเดิน

๏ กลับไปกลับมาหลายตลบ จะพบพระธิดาก็หาไม่
ทั้งเหนื่อยทั้งร้อนอ่อนใจ หยุดลงกราบไหว้พระมุนี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระชนกมหาฤๅษี
ครั้นไม่พบองค์พระบุตรี ทุกข์ดั่งชีวีจะบรรลัย
ชลนัยน์ไหลคลอคลองเนตร ที่กำหนดสังเกตก็สงสัย
โอ้ว่าจะทำประการใด จึ่งจะได้ลูกน้อยคืนมา
ฤๅว่าเทวาสุราฤทธิ์ แกล้งปิดบังไว้กระมังหนา
คิดแล้วจึ่งตั้งสัจจา เดชะบุญญาของลูกรัก
จะได้สืบประยูรสุริย์วงศ์ อยู่ด้วยเอกองค์พญาจักร
เป็นปิ่นอนงค์ทรงลักษณ์ ที่พึ่งพำนักประชาชี
ขอจงพญาอุศุภราช ชาติโคอาชาเฉลิมศรี
นำให้พบองค์พระบุตรี พระโยคีว่าแล้วก็ไถไป ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ กราวจีน

๏ พบซึ่งดวงทิพย์ปทุมมาลย์ โอภาสกลีบก้านสดใส
ส่งกลิ่นหอมรื่นชื่นใจ อำไพบานแย้มขจายจร
เห็นทั้งผอบสุวรรณรัตน์ จำรัสในห้องเกสร
ดั่งมณฑาทิพย์อรชร จับแสงทินกรพรายพรรณ
เปิดขึ้นเห็นโฉมพระธิดา งามยิ่งนางฟ้าในสวรรค์
นรลักษณ์พักตราวิลาวัณย์ รับขวัญแล้วอุ้มนางเทวี
จากผอบสุวรรณบรรจง รูปทรงเท่านางในราศี
แรกปฏิสนธิเป็นนารี สิบหกปีจำเริญนัยนา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น เสนีโยธีถ้วนหน้า
พิศวงในองค์พระธิดา เป็นมหามหัศอัศจรรย์
ยิ่งพิศยิ่งเพลินจำเริญเนตร เยาวเรศงามลํ้านางสวรรค์
ยอกรถวายพรขึ้นพร้อมกัน เสียงสนั่นลั่นป่าพนาลี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระชนกมหาฤๅษี
ก็พาพระราชบุตรี ไปยังที่บรรณศาลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงอาวาสตำหนักไพร มีใจแสนโสมนัสสา
จึ่งกล่าวสุนทรวาจา แก่พระธิดาวิลาวัณย์
ตัวพ่อไร้ราชสุริย์วงศ์ จะดำรงพิภพไอศวรรย์
จึ่งมาสร้างพรตตบะกรรม์ อยู่ที่ในอารัญคีรี
เป็นกุศลผลบุญยิ่งนัก จึ่งได้ลูกรักเฉลิมศรี
สมความปรารถนาในครานี้ ที่จะสืบสุริย์วงศ์กษัตรา
พ่อจะประสาทพระนามให้ ดวงใจแสนสุดเสน่หา
จงชื่อว่านางสีดา อันตรายโรคาอย่าแผ้วพาน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางสีดาเยาวยอดสงสาร
ฟังพระบิดาบัญชาการ เยาวมาลย์กราบลงกับบาทา
อันคุณของพระบิตุเรศ ซึ่งปกเกศชุบเกล้าเกศา
จะชั่งด้วยปัถพีแผ่นฟ้า มหาคงคาสมุทรไท
ทั้งไตรโลกาเอามาเทียบ จะเปรียบเท่าทันนั้นไม่ได้
ลูกจะขอสนองรองบาทไป กว่าชีวาลัยจะม้วยมิด ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น เสนาผู้ว่าราชกิจ
ยอกรเหนือศิโรโมลิศ ทูลพระนักสิทธ์ทันที
แต่พระสละนัคเรศ ออกมาทรงเพศเป็นฤๅษี
ให้ข้ารักษาไว้หลายปี มิได้มีเหตุเภทพาล
บัดนี้ก็ได้พระธิดา เชิญลาพรตพรหมวิหาร
คืนเข้านัคเรศโอฬาร สำราญในเศวตฉัตรชัย
ทั้งพระญาติประยูรสุริย์วงศ์ จะคลายทรงโศกากันแสงไห้
ไพร่ฟ้าประชาชีจะดีใจ พระองค์จงได้ปรานี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระชนกมหาฤๅษี
ได้ฟังดั่งทิพวารี มาโสรจสรงลงที่กายา
จึ่งเปลื้องคากรองเปลือกไม้ ทั้งสไบหนังเสือออกจากบ่า
ก็ลาพรตพิธีจรรยา ทรงเครื่องกษัตราอลงกรณ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๏ เสร็จแล้วขึ้นรถสุวรรณมาศ กับพระราชธิดาดวงสมร
ให้เลิกจัตุรงค์รีบจร ออกจากสิงขรกุฎี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๏ เดินทางหว่างทุ่งวุ้งป่า ข้ามชลาห้วยธารคีรีศรี
เสียงรถเสียงทศโยธี กาหลอึงมี่สนั่นไพร
ม้าแซงจีนห้อถือเกาทัณฑ์ ขี่ขับแข่งกันเป็นอย่างใหญ่
สารถีเร่งขับรถชัย ตรงไปยังกรุงมิถิลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น หญิงชายชาวเมืองถ้วนหน้า
เศรษฐีชีพราหมณ์พฤฒา แจ้งว่าพระทรงธรณี
ได้ธิดาในดวงปทุมมาศ งามวิลาสลํ้านางอัปสรศรี
ลาพรตกลับเข้าบุรี บอกกันมามี่อึงไป
เห็นพระองค์ทรงรถสุรกานต์ ทวยหาญแห่ห้อมล้อมไสว
พระธิดานั่งหน้ารถชัย งามดั่งแขไขในอัมพร
ต่างดูต่างเพลินไม่เมินตา ต่างต่างปรีดาสโมสร
ต่างโปรยดวงบุษบากร อวยชัยถวายพรทั้งธานี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ท้าวชนกจักรวรรดิเรืองศรี
ครั้นถึงเกยแก้วรูจี ภูมีให้หยุดรถทรง
เสนาบังคมก้มเกล้า ดั่งเทเวศร์เฝ้าท้าวครรไลหงส์
แตรฝรั่งเป่าเชิญเสด็จลง ปี่กลองส่งเสียงสังข์โกลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น นางรัตนมณีเสน่หา
อันเป็นองค์อัครชายา กับฝูงคณานางใน
อีกทั้งนางท้าวเถ้าแก่ ชะแม่พนักงานน้อยใหญ่
นุ่งห่มผัดหน้ากันไร ออกไปรับเสด็จพร้อมกัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ เมื่อนั้น ท้าวชนกจักรวรรดิรังสรรค์
จึ่งนำพระธิดาวิลาวัณย์ จรจรัลขึ้นปราสาทรัตนา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ลดองค์ลงเหนือบัลลังก์อาสน์ งามดั่งเทวราชนาถา
พร้อมด้วยอนงค์กัลยา ดาษดาก้มเกล้าประนมกร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมนางสีดาดวงสมร
เห็นองค์พระราชมารดร บังอรกราบลงกับบาทา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางรัตนมณีเสน่หา
พิศโฉมพระราชธิดา ลักขณาพริ้มพร้อมทั้งอินทรีย์
อรชรอ้อนแอ้นคมขำ งามลํ้านางฟ้าในราศี
นวลละอองผ่องแผ้วไม่ราคี เทวีสวมสอดกอดไว้
รับขวัญแล้วกล่าวสุนทร สายสมรผู้ยอดพิสมัย
แม่รักเจ้าเท่าเทียบเปรียบดวงใจ ด้วยไร้โอรสแลธิดา
จะได้สืบสุริย์วงศ์พงศ์กษัตริย์ เฉลิมเกียรติจักรพรรดิไปภายหน้า
เป็นศรีเมืองเรืองกรุงมิถิลา แก้วตาแม่โสมนัสนัก
แล้วประทานเครื่องต้นเครื่องทรง สำหรับนางคู่องค์พญาจักร
ให้อยู่ปราสาทแก้วพรหมพักตร์ ถนอมรักดั่งดวงชีวา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ