สมุดไทยเล่มที่ ๘๐

๏ บัดนั้น พิเภกผู้มีอัชฌาสัย
ครั้นถึงให้หยุดบุษบกไว้ เข้าไปยังหน้าพลับพลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ น้อมเศียรประณตบทบงสุ์ พระทรงครุฑภุชพงศ์นาถา
ท่ามกลางทหารโยธา ทูลว่าตัวข้าผู้ภักดี
เชิญเสด็จโฉมยงนงลักษณ์ องค์อัคเรศมเหสี
ผู้ทรงเสาวภาคย์สวัสดี มาเฝ้าธุลีบทมาลย์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ช้า

๏ เมื่อนั้น พระจักรีผู้ปรีชาหาญ
ได้ฟังพิเภกขุนมาร ผ่านฟ้าแสนโสมนัสนัก
ดั่งหนึ่งได้ดวงมณีรัตน์ มาวางเหนือหัตถ์พระทรงจักร
จะใคร่ชมองค์นงลักษณ์ จึ่งผินพักตร์ทอดทัศนาไป
เห็นบุษบกแก้วมณี รัศมีดั่งดวงแขไข
มีฝูงเยาวเรศอรไท ทรงโฉมวิไลจำเริญตา
นั่งเป็นอันดับซับซ้อน ดั่งดาวล้อมจันทรในเวหา
จึ่งมีพระราชบัญชา ถามพญาพิเภกกุมภัณฑ์
อันนางซึ่งอยู่ทั้งสองข้าง รูปร่างเพียงอัปสรสวรรค์
กับสองกุมารนั่งหน้านั้น ถือดวงสุวรรณมาลัย
จะเป็นประยูรสุริย์วงศ์ ขององค์ทศพักตร์หรือไฉน
อันฝูงอนงค์นางใน ทั้งนั้นคือใครตามมา ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พิเภกสุริย์วงศ์ยักษา
น้อมเศียรสนองพระบัญชา อันกุมาราทั้งสองนี้
ฝ่ายขวาชื่อยามลิวัน ซ้ายนั้นกันยุเวกยักษี
เป็นบุตรอินทรชิตอสุรี พี่น้องนั้นร่วมอุทร
นางซึ่งนั่งถัดกุมารา ชื่อสุวรรณกันยุมาดวงสมร
ภรรยาอินทรชิตฤทธิรอน เป็นมารดรทั้งสองอสุรี
นั่นคือเบญกายนงลักษณ์ ลูกรักของข้าบทศรี
ถัดนั้นชื่อจันทวดี ภรรยาอสุรีกุมภกรรณ
นั่นตรีชฎาเมียข้าบาท อยู่ด้วยอัครราชในสวนขวัญ
อันนางอยู่ข้างขวานั้น ชื่อว่ามณโฑกัลยา
ข้างซ้ายนางกาลอัคคี มเหสีทศพักตร์ยักษา
ทั้งนั้นคือเทพธิดา ลงมาเป็นเพื่อนเยาวมาลย์ ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น นางสีดาผู้ยอดสงสาร
อยู่ในบุษบกอลงการ นงคราญรำพึงคะนึงคิด
ตัวกูกำจัดพลัดพราก จากบาทพระบรมจักรกฤษณ์
เพราะทศกัณฐ์ปัจจามิตร ทำการทุจริตไปลักมา
ให้อยู่ในสวนอุทยาน ช้านานหลายปีหนักหนา
จะชั่วดีก็ไม่ทราบบาทา เกลือกว่าจะแคลงพระทัย
ครั้นจะเฝ้าใกล้องค์ภูวนาถ แม้นมิประภาษปราศรัย
จะรู้ที่เอาหน้าไว้แห่งใด จะได้ความอัปยศพันทวี
จำจะดูกิริยาอาการ องค์พระอวตารเรืองศรี
แต่หน้าพลับพลารูจี ร้ายดีก็จะแจ้งกิจจา
คิดแล้วเปิดม่านสุวรรณ ให้นางสาวสวรรค์นั้นนำหน้า
ลงจากบุษบกอลงการ์ กัลยาย่างเยื้องเสด็จจร ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ลดองค์ลงถวายอภิวาทน์ พระตรีภูวนาถทรงศร
อยู่ยังพ่างพื้นดินดอน บังอรก้มพักตร์ไม่พาที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า

๏ เมื่อนั้น พระจอมภพลบโลกเรืองศรี
แลเห็นอัครราชเทวี มีความยินดีเป็นสุดคิด
จะใคร่ไปอุ้มองค์นงลักษณ์ มาชมเหนือตักพระจักรกฤษณ์
แล้วเกรงเทวาสุราฤทธิ์ ทศทิศจะเย้ยไยไพ
ทั้งหมู่แสนยาพลากร วานรจะนินทาได้
ว่ากูรักองค์อรไท ไม่อายแก่ไตรโลกา
มีจิตพิศวาสงวยงง ลุ่มหลงด้วยความเสน่หา
มิได้พินิจพิจารณา ธรรมดาหญิงตกถึงมือชาย
เป็นที่พิรุธราคิน ทรลักษณ์มลทินหมองหมาย
ดั่งหนึ่งสุบรรณตัวร้าย หยาบคายจับนาคพาไป
คาบคั้นเข้าไว้ในปาก มิมากก็น้อยให้ได้
จำจะชอกชํ้าลำบากใจ ด้วยฤทธิไกรสกุณี
อันซึ่งองค์อัครชายา ตกมาในมือยักษี
ใครจักล่วงรู้ว่าร้ายดี มีแต่ตัวกูกับนงลักษณ์
เคยเห็นสุจริตนํ้าจิตกัน นอกนั้นไม่แจ้งทั้งไตรจักร
ความนี้เป็นที่อดสูนัก จำเปลื้องพักตร์ให้พ้นอัประมาณ
ระงับข้อแหนงแคลงจิต ให้ทศทิศแจ้งสิ้นทุกสถาน
จึ่งจะไม่ราคีแผ้วพาล สิ้นกาลชั่วกัลปาไป ฯ

ฯ ๑๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ คิดแล้วจึ่งมีพจนารถ เอื้อนโอษฐ์ประภาษปราศรัย
ดูก่อนอัคเรศอรไท พี่ได้ยากสู้ติดตามมา
ข้ามมหาสาครกว้างลึก มาทำศึกล้างเหล่ายักษา
มิได้อาลัยแก่ชีวา เพราะเสน่หาเจ้าผู้เดียวดาย
วันนี้ได้เห็นนงลักษณ์ ผิวพักตร์ดั่งเดือนจำรัสฉาย
ฝ่ายพี่ทุกข์ร้อนลำบากกาย เจ้ามาอยู่สบายหลายปี
ยังได้สมบัติพัสถาน ของประทานพญายักษี
ซึ่งวิเศษเลิศหล้าธาตรี ขอพี่ชมบ้างเป็นขวัญตา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางสีดาเยาวยอดเสน่หา
ได้ฟังพระราชบัญชา ดั่งต้องสายฟ้าสักแสนที
ถึงเมื่อทศกัณฐ์ขุนยักษ์ มันไปลอบลักพาหนี
ก็ไม่เจ็บใจเหมือนครั้งนี้ ในที่ปริภาษณาการ
ความอายอัปยศเป็นสุดคิด ดั่งชีวิตจะม้วยสังขาร
มิรู้ที่จะสนองพจมาน ให้ผ่านฟ้าเห็นจริงประการใด
อกเอ๋ยเกิดมาเป็นหญิง ยากยิ่งจะไว้ตัวได้
อันความกินแหนงแคลงใจ ย่อมเกิดที่ในสัตรี
คิดแล้วนบนิ้วบังคมทูล นเรนทร์สูรจงโปรดเกศี
อันซึ่งตัวข้าบาทนี้ อสุรีไปลักพามา
ตกถึงมือชายแล้วไกลเนตร พระทรงเดชปิ่นภพนาถา
เป็นที่สงสัยวิญญาณ์ แก่หมู่โลกาฟ้าดิน
ถึงมาตรจะรักษาตัวดี อันจะเปลื้องราคีเห็นไม่สิ้น
เว้นแต่ทวยเทพอมรินทร์ จะไม่กินแหนงแคลงใจ
กับพระคงคาแลอัคคี จะเป็นที่สักขีพยานได้
พระองค์จงลั่นศิลป์ชัย ประชุมไทเทเวศให้พร้อมกัน
ข้าขอพิสูจน์เพลิงถวาย เบื้องบาทพระนารายณ์รังสรรค์
ต่อหน้าฝูงเทพเทวัญ กับพวกพลขันธ์วานร ฯ

ฯ ๑๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์องค์นารายณ์ทรงศร
ได้ฟังอัครราชบังอร ภูธรชื่นชมด้วยสมคิด
อันนางสีดานี้ซื่อตรง สัจธรรมมั่นคงสุจริต
ควรเป็นมารดาสุราฤทธิ์ หญิงทั้งทศทิศไม่เทียมทัน
คิดแล้วมีราชบัญชา แก้วตาของพี่เฉลิมขวัญ
ซึ่งเจ้าว่ากล่าวรำพัน ทั้งนั้นสัจจริงทุกสิ่งไป
แต่ว่าใครเลยจะล่วงเห็น เป็นที่รังเกียจสงสัย
แต่พี่กับองค์อรไท เคยแจ้งจิตใจกันมา
ว่าแล้วเสด็จยืนเหนืออาสน์ งามวิลาศดั่งเทพเลขา
จับจันทวาทิตย์อันศักดา ผ่านฟ้าก็แผลงไปทันที ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๏ ครั่นครื้นพื้นภพหวาดหวั่น ทุกชั้นฟากฟ้าราศี
แล้วกลับเข้าแล่งพระจักรี ดั่งว่ามีจิตวิญญาณ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ยานี

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงองค์เจ้าตรัยตรึงศ์สถาน
เสด็จเหนือทิพอาสน์อลงการ ในมหาวิมานเวไชยันต์
พร้อมหมู่ฝูงเทพนิกร กับนางอัปสรสาวสวรรค์
ได้ยินสำเนียงนี่นัน กึกก้องสนั่นธาตรี
ก็เล็งทิพเนตรลงมาดู ก็รู้ว่าสมเด็จพระลักษมี
จะลุยเพลิงถวายพระจักรี ยังที่สุวรรณพลับพลา
จึ่งพาฝูงเทพเทวัญ กับนางสาวสวรรค์เสน่หา
ออกจากวิมานรัตนา เหาะมาด้วยกำลังว่องไว ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ โคมเวียน

ร่าย

๏ ครั้นถึงมรกตคีรี ก็ตรงลงที่เชิงเขาใหญ่
นั่งเป็นอันดับกันไป ใกล้พลับพลาชัยพระทรงธรรม์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรรัตน์แก้วรังสรรค์
ครั้นเห็นฝูงเทพเทวัญ มาประชุมพร้อมกันก็ยินดี
จึ่งมีบัญชาประกาศิต สั่งลูกพระอาทิตย์เรืองศรี
ท่านจงเอาเชื้ออัคคี กองลงที่หน้าพลับพลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุครีพผู้มียศถา
รับสั่งสมเด็จพระจักรา ถวายบังคมลาแล้วออกไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งให้วานรทั้งหลาย กับลูกพระพายทหารใหญ่
แบกขนเอาฟืนเชื้อไฟ กองไว้ตามราชวาที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระนารายณ์สุริย์วงศ์เรืองศรี
ก็จับแสงศรอัคนี ภูมีผาดแผลงไปด้วยฤทธิ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๏ สำเนียงปานเสียงลมกัลป์ สะเทือนเลื่อนลั่นถึงดุสิต
โชติช่วงดั่งดวงพระอาทิตย์ ติดเชื้อเป็นประกายพรายตา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางสีดาเยาวยอดเสน่หา
เห็นเพลิงเริงโรจน์โชติฟ้า แสงกล้าดั่งหนึ่งไฟกาล
น้อมเศียรอภิวาทพระสามี เทวีตั้งจิตพิษฐาน
กล่าวคำสัตยาสาบาน ต่อเทวามัฆวานพร้อมพักตร์
ขอเทพท้าวทุกองค์ จงเป็นทิพย์พยานให้ประจักษ์
แม้นข้าระคนรสรัก ด้วยทศพักตร์แลชายใด
นอกออกไปจากพระจักรกฤษณ์ มาตรแม้นแต่จิตพิสมัย
ไม่ซื่อต่อเบื้องบาทพระภูวไนย ประกอบการสิ่งใดที่ไม่ดี
ขอจงพระเพลิงเจ้าสังหาร ชนมานข้าม้วยอยู่ที่นี่
ให้ตกนรกอเวจี แสนกัลป์พันปีอย่าพ้นทุกข์
แม้นข้าคงครองสัจธรรม์ เทวัญจงช่วยให้เป็นสุข
จะเหยียบย่างเข้าไปในเพลิงลุก ทุกก้าวอย่าร้อนบาทา
แล้วคำรพจบกองอัคคี ทั้งพระธรณีใส่เกศา
ครั้นเสร็จซึ่งตั้งสัตยา ก็เสด็จลีลาลุยไฟ ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ เดชะความสัตย์ที่ซื่อตรง จะร้อนเบื้องบาทบงสุ์ก็หาไม่
มีประทุมทิพมาศอำไพ เกิดขึ้นในกลางเพลิงกาล
ขยายแย้มผกาเกสร ขจายจรรื่นรสหอมหวาน
รับรองบาทบงสุ์ทรงธาร ทุกย่างบทมาลย์เทวี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวหัสนัยน์เรืองศรี
ทั้งเทวานางฟ้าทุกนารี ฝูงกระบี่แลหมู่กุมภัณฑ์
ครั้นเห็นซึ่งดวงประทุมาศ โอภาสพรรณรายฉายฉัน
ผุดขึ้นกลางกองเพลิงนั้น รับองค์กัลยายุพาพาล
รัศมีสว่างกระจ่างจับ กับเปลวเพลิงแรงแสงฉาน
เลื่อมเหลืองเรืององค์พระเยาวมาลย์ เรืองสร้อยสังวาลประพาฬพิศ
พักตร์ผ่องเพียงจันทร์ทรงกลด เปลื้องเมฆหมอกหมดไม่ปกปิด
บรรดาเทวาสุราฤทธิ์ ทั่วทิศอำนวยอวยพร
บ้างประโคมดนตรีมี่ก้อง สะเทือนท้องมรกตสิงขร
โปรยมาลาทิพย์อรชร กลิ่นขจรตลบทั้งธาตรี
อันหมู่อสุราวานรินทร์ ทั้งสิ้นนบนิ้วเหนือเกศี
สรรเสริญความสัจพระเทวี อึงมี่ทั้งหน้าพลับพลา
อมรินทร์เป่าสังข์เป็นโองการ ขอเชิญยอดเยาวมาลย์เสน่หา
ด้วยมงคลมธุรสพจนา ให้ออกมาจากกลางกองไฟ ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น นางสีดาเยาวยอดพิสมัย
ได้ฟังองค์ท้าวหัสนัยน์ ก็ออกไปจากกองอัคคี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ นั่งลงน้อมเศียรอภิวาท พระภัสดาธิราชเรืองศรี
กับองค์หัสนัยน์ธิบดี ที่หน้าพลับพลาพรายพรรณ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระกฤษณุรักษ์รังสรรค์
เห็นองค์กัลยาวิลาวัณย์ ไม่มีอันตรายในกลางไฟ
ชื่นชมด้วยสมพระทัยคิด ดั่งถอนปืนพิษออกเสียได้
เสด็จจากอาสน์แก้วแววไว ลงไปยังองค์วนิดา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ยอกรลูบหลังแล้วพิศพักตร์ รับขวัญเยาวลักษณ์เสน่หา
พาองค์อัคเรศกัลยา ขึ้นยังพลับพลาอลงกรณ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ เสด็จนั่งร่วมบัลลังก์อาสน์ พระนุชนาฏแน่งน้อยดวงสมร
แสนสุขแสนสวัสดิ์สถาวร ภูธรแย้มยิ้มพริ้มพราย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางกษัตริย์สุริย์วงศ์ทั้งหลาย
ยักษาวานรไพร่นาย เห็นองค์พระนารายณ์ผู้ศักดา
นั่งเรียงเคียงพักตร์พระอัคเรศ ดั่งรูปวาดเทเวศเลขา
งามองค์งามทรงพระจักรา งามสามโลกาไม่เทียมทัน
งามโฉมสมเด็จพระลักษมี ลํ้าอัปสรศรีในสวรรค์
งามศักดิ์สุริย์วงศ์สมกัน งามจรรโลงโลกทั้งสององค์
ยิ่งพิศยิ่งงามจำเริญใจ ต่างคนพิสมัยใหลหลง
ยอกรประณตบทบงสุ์ พระจอมมงกุฎเกศสุธาธาร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หัสนัยน์เจ้าตรัยตรึงศ์สถาน
จึ่งสั่งฝูงเทพบริวาร ให้เล่นการรำร่ายถวายกร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น เทวัญแลนางอัปสร
รับสั่งองค์อมรินทร ชุลีกรด้วยความปรีดา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

พระทอง

๏ จึ่งจับระบำรำถวาย วาดกรเยื้องกรายทำท่า
เวียนวงเป็นหงส์ลีลา คลอเคียงนางฟ้าติดพัน
แล้วซัดสองกรอ่อนระทวย นาดนวยเข้าชิดสาวสวรรค์
เมียงม่ายไขว่คว้าพัลวัน หันเวียนเปลี่ยนไปในที
คลอเคล้าก้าวสกัดกั้นกาง ฉวยฉุดยุดนางอัปสรศรี
ย้ายท่าเป็นม้าตีคลี ทำทีร่ายเรียงเบี่ยงไป
ส่ายเนตรให้สบเนตรนาง แล้วเยื้องย่างลัดเลี่ยงเข้าเคียงไหล่
สัพยอกหยอกเย้าอนงค์ใน สำราญใจทุกเทพเทวัญ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

เบ้าหลุด

๏ เมื่อนั้น นวลนางอัปสรสาวสวรรค์
เห็นเทวากระชิดติดพัน กั้นกางขวางหน้าสกัดไว้
ดำเนินเดินร่ายชายหนี ทำทีมิให้เข้าใกล้
แล้วตีวงเวียนเปลี่ยนไป นัยน์เนตรชม้ายม่ายเมียง
รำร่ายกรายหัตถ์ให้ยียวน ทำกระบวนใส่จริตบิดเบี่ยง
ล่อเลี้ยวเกี้ยวกรเป็นคู่เคียง หลีกเลี่ยงหันไปด้วยมารยา
ครั้นเทพบุตรมาข้างซ้าย นางสวรรค์เยื้องย้ายไปขวา
แทรกเปลี่ยนเวียนวงไปมา เทวัญนางฟ้าก็ยินดี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เพลง

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวหัสนัยน์เรืองศรี
เสร็จระบำรำถวายพระจักรี กับพระลักษมีวิไลวรรณ
จึ่งชวนฝูงเทพนิกร ทั้งหมู่อัปสรสาวสวรรค์
ลาองค์พระผู้ทรงสุบรรณ พากันเหาะไปยังฟากฟ้า ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระลักษมีเยาวยอดเสน่หา
กราบลงแทบเบื้องบาทา องค์พระจักราผู้สามี
ทูลว่าซึ่งข้าบาทบงสุ์ หลงด้วยอุบายยักษี
ไม่ฟังพระราชวาที อสุรีจึ่งได้ลักมา
พระองค์ต้องเสด็จติดตาม มาทำสงครามด้วยยักษา
ได้ยากลำบากพระกายา โทษข้านี้ใหญ่หลวงนัก
อันชีวิตของน้องผู้เป็นทาส อยู่ใต้เบื้องบาทพระทรงจักร
ขอประทานโทษาซึ่งทรลักษณ์ พระหริรักษ์จงได้โปรดปราน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรีผู้ปรีชาหาญ
รับขวัญแล้วมีพจมาน อันเกิดการทั้งนี้เพราะเวรา
พี่ไม่ถือโทษโกรธเจ้า ยุพเยาว์ผู้ยอดเสน่หา
วันเมื่อทศพักตร์มันลักมา พี่ยาไปตามมฤคี
ต้อนกวางมาพบพระลักษมณ์ ทุกข์นักถึงมิ่งมารศรี
อกใจไม่เป็นสมประดี พี่นี้จึ่งรีบเร่งมา
ถึงอาศรมบทไม่เห็นเจ้า ยิ่งโศกเศร้าเที่ยวติดตามหา
มาพบพญาสกุณา ได้แจ้งกิจจานงลักษณ์
พี่จึ่งชุมพลพานร ข้ามมหาสาครมาหาญหัก
แสนยากลำบากเป็นพ้นนัก ปิ้มชีวิตจักบรรลัย
ครั้นเมื่ออสุรีเบญกาย ทำตายลอยมาที่นํ้าไหล
พี่โศกศัลย์พ่างเพียงจะขาดใจ จับตัวมันได้ด้วยหนุมาน
ครั้งหนึ่งปิ้มสิ้นชีวัน ด้วยกุมภัณฑ์ไมยราพใจหาญ
สะกดทัพจับพี่ไปบาดาล หนุมานนั้นตามเอาขึ้นมา
อันองค์พระลักษมณ์นี้เล่า ได้ยากด้วยเจ้าหนักหนา
ต้องโมกขศักดิ์อสุรา กุมภกรรณยักษาแต่เดิมที
แล้วมาต้องศรนาคบาศ พรหมาสตร์อินทรชิตยักษี
ทั้งหอกมูลพลัมอสุรี กบิลพัทฤทธีทศกัณฐ์
แต่พระลักษมณ์ต้องหนักถึงห้าครั้ง ปิ้มชีวังจะม้วยอาสัญ
หากได้หนุมานพิเภกนั้น แก้ไขผ่อนผันได้ทันที
หาไม่จะพากันบรรลัย ที่ไหนจะได้เห็นมารศรี
เดชะกุศลของเรามี พี่จึ่งไม่ม้วยชีวา ฯ

ฯ ๒๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางสีดาเสน่หา
ได้ฟังพระราชบัญชา ชลนาคลอเนตรแล้วทูลไป
อันพระองค์เมตตาการุญ พระคุณนั้นหาที่สุดไม่
หนักยิ่งแผ่นพื้นภพไตร จะเปรียบสิ่งใดได้ก็ไม่มี
ซึ่งข้ามาไกลเบื้องบาท พระภัสดาธิราชเรืองศรี
อยู่ในอุทยานอสุรี มีแต่ทนทุกข์ทุกเวลา
ทศกัณฐ์มันกล่าวเลียมลาม ความแค้นปิ้มสิ้นสังขาร์
จนแต่สาวใช้อสุรา ก็หยาบช้าเป็นพ้นประมาณ
ชวนกันขู่เข็ญจะฆ่าฟัน ทุกสิ่งสารพันว่าขาน
ช้ำจิตสุดคิดจะทนทาน คอยข่าวผ่านฟ้าก็หายไป
จึ่งผูกศอจะให้สิ้นชีวาตม์ ขอพบเบื้องบาทในชาติใหม่
หนุมานไปทันแก้ไว้ ให้สไบธำมรงค์อลงกรณ์
แก่ข้าในสวนขุนมาร แล้วแจ้งการว่าองค์พระทรงศร
ยกพลโยธาวานร ตามมาราญรอนอสุรา
น้องนี้ยินดีเป็นพ้นคิด อุตส่าห์ครองชีวิตไว้ท่า
จึ่งได้พบเบื้องบาทา หาไม่จะม้วยชีวี
ทูลแล้วจึ่งตรัสแก่พระลักษมณ์ น้องรักได้ยากด้วยพี่
ปิ้มชีวิตจะตายหลายที เจ้านี้เหมือนน้องร่วมครรภ์
มิเสียทีที่เป็นเพื่อนยาก แสนเทวษลำบากในไพรสัณฑ์
ร่วมสุขร่วมทุกข์ร่วมชีวัน คุณของเจ้านั้นพันทวี ฯ

ฯ ๒๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระลักษมณ์ทรงสวัสดิ์รัศมี
ได้ฟังพระราชเสาวนีย์ ชุลีกรสนองพระวาจา
อันพระพี่นางผู้ทรงลักษณ์ กับพระหริรักษ์นาถา
มีคุณข้าบาทอนุชา ดั่งองค์บิดามารดร
ด้วยทรงพระเมตตาสุจริต มาตรถึงทำผิดก็สั่งสอน
ทั้งร่วมสุขร่วมทุกข์ร่วมร้อน แต่จรจากราชธานี
ตัวข้าโดยเสด็จพระหริวงศ์ มารณรงค์ด้วยยักษี
มิได้อาลัยแก่ชีวี จะฉลองคุณพี่จนวายปราณ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรีผู้ปรีชาหาญ
เห็นพระอนุชาชัยชาญ กับโฉมเยาวมาลย์นางสีดา
ต่างสนทนาปราศรัยกัน ทรงธรรม์แสนโสมนัสสา
พระพักตร์ผ่องแผ้วดั่งจันทรา อันหมดเมฆเมฆาไม่ราคี
จึ่งมีพระราชบรรหาร แก่พิเภกขุนมารยักษี
แต่เราปราบหมู่อสุรี ที่มันหยาบช้าอาธรรม์
บรรดาเป็นเสี้ยนแผ่นดิน ก็สุดสิ้นชีวาอาสัญ
เสร็จศึกซึ่งปราบกุมภัณฑ์ ท่านนั้นจงผ่านลงกา
เป็นเจ้าแก่หมู่อสุรศักดิ์ สืบวงศ์พงศ์ยักษ์ไปภายหน้า
บำรุงรี้พลโยธา เป็นมหาจรรโลงเลิศไกร ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พิเภกผู้มีอัชฌาสัย
รับสั่งพระตรีภูวไนย บังคมไหว้สนองพระวาที
ซึ่งพระองค์ทรงพระเมตตา จะให้ผ่านลงกาบุรีศรี
พระคุณล้ำฟ้าธาตรี ไม่มีสิ่งใดจะเปรียบปาน
แต่คิดประหวั่นพรั่นนัก เกลือกหมู่ปรปักษ์จะหักหาญ
ขอเดชะสมเด็จพระอวตาร เป็นประธานปกเกศอสุรา
ทูลแล้วน้อมเศียรบังคม ลาบาทพระบรมนาถา
คลานออกจากหน้าพลับพลา พากันคืนเข้ายังธานี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึ่งนั่งเหนืออาสน์ พร้อมเสนามาตย์ยักษี
ทั้งพระญาติวงศ์อสุรี แล้วมีพระราชบัญชา
สั่งเปาวนาสูรผู้ปรีชาญ จงเกณฑ์เจ้าพนักงานซ้ายขวา
ให้แต่งการพระเมรุอันรจนา จะปลงศพเชษฐาที่บรรลัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งเปาวนาสูรเสนาใหญ่
ก้มเกล้ารับสั่งภูวไนย ก็ออกไปเร่งรัดจัดการ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ยานี

๏ จึ่งให้ตั้งมหาเมรุมาศ อันโอภาสพรรณรายฉายฉาน
สี่มุขห้ายอดดั่งวิมาน สูงตระหง่านเงื้อมงํ้าอัมพร
ทั้งเมรุทิศเมรุแทรกรายเรียง ดูเพียงสัตภัณฑ์สิงขร
มีชั้นอินทร์พรหมประนมกร รายรูปกินนรคนธรรพ์
ประดับด้วยราชวัติฉัตรจรง พนมแก้วแถวองค์สลับคั่น
ชั้นในพระเมรุทองนั้น มีบัลลังก์รัตน์รูจี
เพดานปักทองเป็นเดือนดาว แสงวาวด้วยแก้วมณีศรี
ทั้งระย้าพู่พวงดวงมณี ก็เสร็จตามมีพระบัญชา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พญาพิเภกยักษา
จึ่งให้เชิญพระศพเจ้าลงกา ขึ้นมหาพิชัยราชรถ
ประดับด้วยเครื่องสูงเศวตฉัตร กรรชิงรัตน์พัดโบกอลงกต
ขนัดพลเกณฑ์แห่เป็นหลั่นลด รถโยงรถนำเรียบเรียง
กลองชนะปี่ฆ้องก้องกึก พันลึกครึกครั่นสนั่นเสียง
แตรงอนแตรฝรั่งเป็นคู่เคียง สำเนียงเอิกเกริกเป็นโกลา
จึ่งให้เคลื่อนรถทรงบรมศพ พระจอมภพธิราชยักษา
โดยกระบวนไปตามรัถยา ยังมหาเมรุมาศรูจี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ กลองโยน

๏ ครั้นถึงจึ่งให้เชิญพระโกศแก้ว อันเพริศแพร้วจำรัสรัศมี
ขึ้นเบญจารัตน์มณี ในที่พระเมรุอลงการ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางมณโฑเยาวยอดสงสาร
ทั้งอัคคีกัลยายุพาพาล เยาวมาลย์ตีอกเข้าร่ำไร
บรรดาสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์ ฝูงสนมกำนัลน้อยใหญ่
ต่างตนโศกาอาลัย กลิ้งเกลือกเสือกไปไม่สมประดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พญาพิเภกยักษี
จึ่งเอาธูปเทียนมาลี อันมีกลิ่นฟุ้งขจายจร
สมาศพบรมเชษฐา ซึ่งได้ประมาทมาแต่ก่อน
ให้คิดเสน่หาอาวรณ์ ชุลีกรประณตบทมาลย์
แล้วเอากฤษณาจวงจันทน์ สารพันมีกลิ่นหอมหวาน
ใส่ในโกศแก้วอลงการ พญามารก็จุดอัคคี
บรรดากษัตริย์สุริย์วงศ์ ฝูงอนงค์กำนัลสาวศรี
ต่างสมาลาโทษอสุรี ชุลีกรถวายเพลิงพร้อมกัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ ปี่กลอง

๏ ครั้นเสร็จปลงศพพระเชษฐา ในมหาเมรุมาศฉายฉัน
ก็พาฝูงสนมกำนัล จรจรัลขึ้นยังปราสาทชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าที่สรง นํ้าหอมอาบองค์เย็นใส
ทรงเครื่องเนาวรัตน์อำไพ เสด็จไปขึ้นรถสุรกานต์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ให้เคลื่อนพหลโยธา แสนสุรเสนาทวยหาญ
ออกจากนคเรศอันโอฬาร ไปเฝ้าบทมาลย์พระจักรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งให้หยุดรัถา นอกสุวรรณพลับพลาเรืองศรี
ลงจากรถรัตน์มณี อสุรีก็ตรงเข้าไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ หมอบหน้าเสนาวานร ชุลีกรประนมบังคมไหว้
กราบทูลพระตรีภูวไนย ตามได้ปลงศพทศพักตร์
ขอเชิญเสด็จบาทบงสุ์ พระผู้ทรงโลกาอาณาจักร
เข้าเหยียบลงกากรุงยักษ์ ให้ปรากฏยศศักดิ์ขจายจร
อยู่ชั่วพระจันทร์พระอาทิตย์ ดั่งเหล็กเพชรลิขิตสิงขร
เป็นเกศข้าบาทราษฎร ภูธรจงได้เมตตา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์องค์นารายณ์นาถา
ได้ฟังน้องเจ้าลงกา มีพระทัยกรุณากุมภัณฑ์
พักตร์ผ่องดั่งดวงแขไข ภูวไนยปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
จึ่งตรัสสั่งลูกพระสุริยัน จงเตรียมพลขันธ์โยธี
เราจะยกพยุห์ยาตรา เข้าไปลงกาบุรีศรี
เหยียบแผ่นพิภพอสุรี โดยที่มีชัยแก่ภัยพาล ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุครีพฤทธิไกรใจหาญ
รับสั่งสมเด็จพระอวตาร ชุลีลาแล้วคลานออกไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ปฐม

๏ เกณฑ์หมู่กระบินทร์วานรินราช โดยเสด็จพยุหบาตรกระบวนใหญ่
กองหน้าล้วนมีฤทธิไกร พื้นถือปืนไฟรางแดง
ถัดมากระบี่เตียวเพชร ถือหอกตามเสด็จตามตำแหน่ง
ถัดมาถือดาบคมแวง เดินแข่งสลับพวกทวนทอง
ถัดมาหน้ารถพระจักรภุช สิบแปดมงกุฎเป็นทิวถ้อง
ขัดกระบี่เดินเรียงเคียงประคอง สองข้างพิชัยราชรถ
อันซึ่งคำแหงหนุมาน กับวานรบริวารทั้งปวงหมด
กระบวนหลังรั้งท้ายเป็นหลั่นลด คอยพระทรงยศเสด็จจร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระจักรกฤษณ์ฤทธิรงค์ทรงศร
กับพระลักษมณ์นางสีดาบังอร กรายกรไปสรงคงคา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

โทน

๏ สามกษัตริย์ชำระสระสนาน สุคนธาธารทิพย์บุปผา
พระหริวงศ์ผู้ทรงศักดา กับพระอนุชาฤทธิรอน
สอดใส่สนับเพลาเชิงยก ก้านกระหนกรูปราชไกรสร
นางทรงภูษาอุทุมพร พื้นเขียวลายกินนรกรกราย
สองพระองค์ทรงทิพย์ภูษา อันเทเวศนำมาบรรจงถวาย
ชายไหวชายแครงจำหลักลาย ฉลององค์ทองพรายต่างกัน
นางทรงสไบตาดลอยดวง สะอิ้งแก้วทับทรวงประดับถัน
ต่างทรงตาบทิศสังวาลวัลย์ ทองกรมังกรพันพาหุรัด
ธำมรงค์เรือนเก็จเพชรเหลือง อร่ามเรืองทั้งสิบนิ้วพระหัตถ์
มงกุฎแก้วกุณฑลดอกไม้ทัด กรรเจียกจรจำรัสจำเริญตา
งามทรงงามองค์พระจักรี งามพระลักษมีเสน่หา
งามทั้งพระศรีอนุชา เสด็จมาขึ้นรถทั้งสามองค์ ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ บาทสกุณี

โทน

๏ รถเอยรถวิมาน สองรถชัชวาลงามระหง
แปรกแอกงอนดุมวง กำกงล้วนแก้วแกมกัน
บัลลังก์ช่อตั้งกระจังรัตน์ ครุฑอัดสิงห์อัดสลับคั่น
พระหริวงศ์กับองค์สีดานั้น ทรงมหาเวไชยันต์อลงการ
พระลักษมณ์ทรงราชรถแก้ว ล้วนแล้วด้วยดวงมุกดาหาร
เทียมเทพสินธพเผ่นทะยาน สารถีขับปานดั่งลมพัด
เครื่องสูงมยุรฉัตรชุมสาย ธงริ้วทิวรายปลายสะบัด
พลแห่เบียดเสียดเยียดยัด ขนัดฆ้องกลองประโคมอึงอล
แตรงอนแตรฝรั่งประสานเสียง สำเนียงกึกก้องกุลาหล
ผงคลีมืดคลุ้มโพยมบน พิเภกนำพลเข้าลงกา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ กราวนอก

สระบุหร่ง

๏ ผันแปรแลรอบนคเรศ แม้นเมืองพรหเมศนาถา
ขอบคูเขื่อนขัณฑ์มรรคา ล้วนศิลาลายลาดอลงการ
กำแพงพื้นแก้วประกอบกัน นางจรัลหอรบสูงตระหง่าน
เสาสวมทองเชิดซุ้มทวาร ใบบานแก้วบดสะบัดบัง
เสมาหุ้มมาศเสมอพื้น ช่องป้อมวางปืนจินดาตั้ง
หลังคารัตน์ขอบรายกระดึงดัง ปักทั้งฉัตรธงเป็นทิวงาม
เที่ยวชมทุกชั้นเป็นหลั่นลด โรงคชโรงรถเรืองอร่าม
ธินั่งเย็นแก้วย้อยพลอยวาม ท้องสนามดูสนุกถนนแนว
นิเวศน์วังจังหวะตำหนักเนื่อง โรงเครื่องโรงทิมเป็นทิวแถว
สามปราสาทงามประเสริฐเพริศแพร้ว พื้นแก้วสุรกานต์ตระหง่านลอย
จัตุรมุขสุกแม้นพิมานมาศ ผนังดวงเพชรดาษดั่งหิ่งห้อย
ห้ายอดแสงระยับประดับพลอย บันช้อยทวยชดอรชร
บราลีสีเลื่อมมุกดาหาร ช่อฟ้าแก้วประพาฬประภัสสร
พิศเพลินจำเริญเนตรพระสี่กร ให้ขับรถบทจรเข้าไป ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พิเภกผู้มีอัชฌาสัย
ครั้นมาถึงหน้าพระลานชัย จึ่งให้ประทับเวไชยันต์
เข้ากับเกยแก้วแกมมาศ อันโอภาสพรรณรายฉายฉัน
แล้วน้อมเศียรถวายบังคมคัล ทูลพระทรงธรรม์ผู้ฤทธี
ขอเชิญเสด็จบทเรศ ประเวศยังปราสาทมณีศรี
ให้สำราญราชอินทรีย์ ภูมีจงทรงพระเมตตา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์องค์นารายณ์นาถา
ได้ฟังพิเภกอสุรา ผ่านฟ้าแสนโสมนัสนัก
จึ่งลงยังเกยอลงกรณ์ อันควรเสด็จจรพญาจักร
กับนางสีดาแลพระลักษมณ์ ผันพักตร์ขึ้นปราสาทอสุรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ลดองค์ลงเหนือบัลลังก์อาสน์ อันโอภาสด้วยแก้วมณีศรี
ภายใต้เศวตฉัตรรูจี ในที่นิเวศน์พญามาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางมณโฑเยาวยอดสงสาร
แจ้งว่าสมเด็จพระอวตาร ผ่านฟ้าเสด็จเข้ามา
บัดนี้สถิตยังสิงหาสน์ ในปราสาทองค์ท้าวยักษา
ก็จัดแจงฝูงสนมกัลยา พากันมาเฝ้าพระสี่กร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ น้อมเศียรประณตบทบงสุ์ หมอบอยู่ตรงพักตร์พระทรงศร
ทั้งพวกอนงค์บังอร ซับซ้อนเกลื่อนกลาดดาษไป
งามเป็นระเบียบเรียบเรียง เพียงดาวล้อมดวงแขไข
งามรูปงามโฉมประโลมใจ งามวิไลวิลาสสะอาดตา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พญาพิเภกยักษา
จึ่งสั่งฝูงนางกัลยา บรรดาพนักงานดนตรี
ทั้งนางคนรำระบำบัน ให้ชวนกันขับกล่อมดีดสี
ฝ่ายฟ้อนถวายกรพระจักรี ให้ภูมีสำราญฤๅทัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝูงนางกำนัลน้อยใหญ่
ทั้งนางคนรำระบำใน บังคมไหว้รับบัญชาการ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

พระทอง

๏ ฝ่ายนางบำเรอก็ครวญขับ ร้องรับรี่เรื่อยเฉื่อยฉาน
โหยหวนโอดพันบรรเลงลาน เป็นคำหวานประสานเสียงกัน
ฝ่ายนางระบำก็รำร่าย เยื้องกรายใส่จริตบิดผัน
แทรกเปลี่ยนเวียนวงพัลวัน ตระหลบหันคลอเคล้าถวายกร
เป็นท่าเมขลาล่อแก้ว แล้วชายเนตรดูองค์พระทรงศร
พิศวาสทั้งพระลักษมณ์ฤทธิรอน ทอดกรก็ผิดจังหวะไป
อันนางดีดสีตีกรับ จะถูกต้องท้าทับก็หาไม่
งวยงงด้วยสองภูวไนย ฤๅทัยด่าวดิ้นไม่สมประดี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ช้า

๏ เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์ทรงสวัสดิ์รัศมี
กับองค์อัครราชเทวี พระศรีอนุชาวิลาวัณย์
เสด็จเหนือแท่นทิพอาสน์ ในห้องปราสาทฉายฉัน
ยังที่นิเวศน์วังจันทน์ ของทศกัณฐ์เจ้าลงกา
ทอดพระเนตรนางระบำรำฟ้อน ดั่งฝูงอัปสรเสน่หา
ทั้งฟังเสียงดีดสีเสภา ผ่านฟ้าชื่นชมยินดี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ ครั้นพระสุริยาเรืองรอง แสงทองจำรัสรัศมี
โสรจสรงทรงเครื่องรูจี เสด็จออกยังที่พระโรงคัล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ พร้อมด้วยสิบแปดมงกุฎ ทวยหาญฤทธิรุทรแข็งขัน
ทั้งหมู่เสนากุมภัณฑ์ แน่นนันต์เฝ้าบาทดาษดา
พระองค์จึ่งมีสีหนาท แก่ชามพูวราชฤทธิ์กล้า
ตัวท่านผู้มีปรีชา จงหาศุภฤกษ์ยามชัย
ให้เป็นศรีสวัสดิ์สถาผล จะตั้งการมงคลภิเษกใหญ่
มอบซึ่งลงกากรุงไกร ให้พิเภกครอบครองธานี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ชามพูวราชกระบี่ศรี
ได้ฟังโองการพระจักรี ชุลีกรรับราชบัญชา
จึ่งตั้งศักราชลงคูณหาร เทียบทานกับดวงชันษา
ของพญาพิเภกอสุรา แล้วชำระหาฤกษ์พระจันทร์
ได้เศษห้าเป็นมงคลสิ้น ปลอดทั้งทักทินยมขันธ์
จึ่งกราบทูลพระองค์ทรงสุบรรณ ในวันรุ่งพรุ่งนี้ดีนัก
บรรดาอัฏฐเคราะห์เทเวศ มาประชุมในเมษราศีจักร
จึ่งมอบลงกาพญายักษ์ จะเป็นหลักชั่วฟ้าธาตรี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจอมภพลบโลกเรืองศรี
ฟังชามพูวราชก็ยินดี จึ่งมีสิงหนาทโองการ
แก่โอรสพระสุริยา อันมีปรีชากล้าหาญ
จงให้มหาเสนามาร จัดการอุปภิเษกอสุรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พญาสุครีพกระบี่ศรี
รับสั่งสมเด็จพระจักรี ถวายอัญชุลีแล้วออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ จึ่งสั่งเปาวนาสูรอำมาตย์ ผู้ฉลาดไพบูลย์ด้วยยศถา
โดยมีพระราชบัญชา องค์พระจักราทุกสิ่งไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งเปาวนาสูรผู้ใหญ่
ฟังลูกพระอาทิตย์ฤทธิไกร กราบไหว้แล้วรีบไปจัดการ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ยานี

๏ จึ่งกะเกณฑ์กันตามตำแหน่ง ให้ตกแต่งปราสาทราชฐาน
ปูลาดสะอาดโอฬาร กั้นฉากผูกม่านเครือสุวรรณ
เพดานห้อยพวงพู่กลิ่น หอมประทิ่นดั่งทิพย์พิมานสวรรค์
บายศรีแก้วทองพรายพรรณ เจ็ดชั้นประดับเนาวรัตน์
แล้วแต่งสิงหาสน์บัลลังก์ ปักทั้งมหาเศวตฉัตร
ทั้งกลดสังข์ทักขิณาวัฏ จัดเสร็จตามราชบัญชา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ