สมุดไทยเล่มที่ ๙๑

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายทศพินยักษา
ครั้นชมพูพานผู้ศักดา ไปจากลงกาธานี
ทั้งเจ็บทั้งอายทั้งแค้น แสนเทวษร้อนใจดั่งไฟจี่
อนิจจาเสียแรงมีโยธี ล้วนตัวดีนับด้วยสมุทรไท
แต่วานรตนเดียวมันเข้ามา จะช่วยกันจับฆ่าก็ไม่ได้
ยิ่งคิดยิ่งแค้นแน่นใจ ชลนัยน์คลอคลองนองพักตร์
โอ้ว่าครั้งนี้ตัวกู เหมือนตกอยู่ในพวกปรปักษ์
ยิ่งคิดยิ่งน้อยใจนัก ขุนยักษ์ไปเฝ้าพระมารดร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ พญาโศก

๏ เมื่อนั้น นวลนางมณโฑดวงสมร
อยู่ในปราสาทอลงกรณ์ บังอรเหลือบแลแปรไป
เห็นพระโอรสเสด็จมา กายาโลหิตหลั่งไหล
เยาวมาลย์ตระหนกตกใจ วิ่งไปรับองค์พระลูกรัก ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ จูงกรมายังบัลลังก์อาสน์ อัครราชลูบไล้มิให้หนัก
พินิจพิศดูดวงพักตร์ นงลักษณ์จึ่งกล่าววาจา
เป็นไฉนฉะนี้นะพ่อเอ๋ย ทรามเชยแม่ยอดเสน่หา
จึ่งเจ็บช้ำคลํ้าเขียวทั้งกายา โลหิตติดมาทั้งองค์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทศพินพงศ์ท้าวครรไลหงส์
ชลเนตรคลอเนตรไหลลง กราบบาททูลองค์พระชนนี
วันนี้พระพรตใช้ทหาร ชื่อชมพูพานกระบี่ศรี
เขามาร้องว่าพาที ให้หาลูกนี้ออกไป
ไอ้วานรนั้นอหังการ์ ถ้อยคำเจรจาหยาบใหญ่
ครั้นลูกว่าบ้างก็ขัดใจ มันทำให้ได้อัประมาณ
ขึ้นมาจะลาบาทบงสุ์ ยกพวกจตุรงค์ทวยหาญ
ไปแก้แค้นแทนกรไอ้สาธารณ์ ผลาญเสียให้ม้วยชีวัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางมณโฑสาวสวรรค์
ได้ฟังดั่งใครมาฟาดฟัน ตัวสั่นส้วมกอดพระลูกยา
โอ้ว่าทศพินเจ้าแม่เอ๋ย ทรามเชยไม่ฟังแม่ว่า
เพราะวรณีสูรอสุรา จึ่งมาเป็นเหตุดั่งนี้
ครั้งเมื่อพ่อเจ้าก็เชื่อคำ นางสำมนักขายักษี
ไปลักองค์สีดาเทวี แม่นี้ทูลทัดก็ขัดใจ
จนสิ้นญาติวงศ์พงศา ลงกาเกิดเข็ญดั่งเพลิงไหม้
อันตัวของเจ้าจะออกไป ชิงชัยด้วยน้องพระสี่กร
ดั่งแมงเม่าเข้ากองเพลิงพิษ แม่นี้ร้อนจิตดั่งพิษศร
ว่าพลางโศกาอาวรณ์ บังอรไม่เป็นสมประดี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทศพินสุริย์วงศ์ยักษี
เห็นองค์สมเด็จพระชนนี โศกีรํ่าไรไปมา
ยิ่งคิดสลดระทดใจ ชลนัยน์อาบพักตร์ยักษา
กอดบาทสมเด็จพระมารดา ก็ทรงโศกโศกาจาบัลย์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ แล้วคิดมานะอหังการ กูเป็นวงศ์พรหมานรังสรรค์
สามโลกก็แจ้งอยู่ด้วยกัน จะรักชีวันไปว่าไร
มาตรแม้นตัวตายจะไว้ยศ ให้ปรากฏเกียรติจงได้
คิดแล้วอุตส่าห์ดำรงใจ บังคมไหว้กราบทูลพระมารดา
ความอายความแค้นของลูกนี้ แม้นม้วยชีวีเสียดีกว่า
พระองค์ค่อยอยู่จะขอลา ยกพลโยธาไปราญรอน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางมณโฑดวงสมร
ได้ฟังยิ่งแสนอาวรณ์ บังอรจึ่งมีพจมาน
เจ้าจงฟังคำแม่ว่า แก้วตาผู้ยอดสงสาร
พ่ออย่ามานะอหังการ ยกพวกพลหาญไปราวี
อันหมู่อสุราเสนายักษ์ เคยกลัวสิทธิศักดิ์กระบี่ศรี
ก็จะกลับเป็นพวกไพรี น่าที่เจ้าจะม้วยมรณา
จงถอดพิเภกออกเสียก่อน แม่จะอ้อนวอนดีกว่า
ให้พาไปเฝ้าอนุชา เห็นว่าจะรอดชีวัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทศพินสุริย์วงศ์รังสรรค์
ได้ฟังกริ้วโกรธดั่งเพลิงกัลป์ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันสนั่นไป
ผุดลุกขึ้นยืนกระทืบบาท พสุธากัมปนาทหวาดไหว
แผดร้องก้องทั้งปราสาทชัย ควรหรือว่าได้ถึงเพียงนี้
อันพิเภกนั้นเป็นปัจจามิตร คิดจะใคร่ตัดเกล้าเกศี
เสียบไว้กับทวารพระบูรี ให้สาที่ทรยศแก่พงศ์พันธุ์
หากเกรงจะมีนินทา ไปทั่วดินฟ้าสรวงสวรรค์
มาตรแม้นจะม้วยชีวัน จะไหว้มนุษย์นั้นอย่าพึงคิด
บรรดาเกิดมาทั้งแดนไตร ใครไม่พ้นพรหมลิขิต
ถึงเทเวศพรหเมศอันมีฤทธิ์ อย่าคิดว่าจะพ้นมรณา
จะสู้ไปชิงชัยไม่คิดกาย แม้นตายก็ดูประเสริฐกว่า
ว่าแล้วมิได้บังคมลา ก็กลับมาปราสาทอสุรี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ ลดองค์ลงเหนือบัลลังก์รัตน์ ภายใต้เศวตฉัตรเฉลิมศรี
จึ่งมีพจนารถวาที สั่งพระพี่เลี้ยงผู้ร่วมใจ
จงจัดม้ารถคชสาร ทวยหาญเป็นกระบวนบัพใหญ่
พรุ่งนี้เราจะยกออกไป ชิงชัยด้วยมนุษย์วานร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งวรณีสูรชาญสมร
รับสั่งลูกท้าวยี่สิบกร บทจรออกจากพระโรงคัล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ยานี

๏ เกณฑ์กองโยธีสี่หมู่ โดยกระบวนพยูห์พลขันธ์
พลเท้าพื้นถือเกาทัณฑ์ ชาญฉกรรจ์เคยการราญรอน
พวกม้าล้วนม้ามโนมัย ลำพองว่องไวดั่งไกรศร
ผู้ขี่ล้วนถือโตมร กรายกรกวัดแกว่งสำแดงฤทธิ์
พวกช้างพื้นช้างชนะศึก กระหึ่มฮึกงวงคว้างาขวิด
ควาญหมอกุมขอชวลิต กวัดแกว่งแสงพิษโพยมพราย
ขุนรถขึ้นรถสำหรับทัพ ถือศรกรกระหยับประลองสาย
ครบกระบวนถ้วนพร้อมไพร่นาย ตั้งรายเพียงพื้นปถพี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายหมู่อสุรศักดิ์ยักษี
ต่างตนต่างกระซิบพาที ครั้งนี้ทศพินจะชิงชัย
ทั้งวรณีสูรอสุรา อันจะพ้นมรณาอย่าสงสัย
เรามิได้มีผิดสิ่งใด เห็นไม่มอดม้วยชีวัน
อันหมู่โยธาเสนายักษ์ ทำฮึกฮักสำรวลสรวลสันต์
ไพร่นายสัพยอกหยอกกัน ต่างขันจะเข้าราวี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายยามลิวันยักษี
กับกันยุเวกอสุรี พี่น้องแจ้งว่าทศพิน
จะยกออกไปรณรงค์ ด้วยน้องพระหริวงศ์ทรงศิลป์
ความกลัวดั่งจะลอดแผ่นดิน อสุรินทร์ก็พากันรีบจร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงประณตบทบาท พระชนนีธิราชดวงสมร
ทูลว่าบัดนี้พระสี่กร ผู้ทรงฤทธิรอนดั่งเพลิงกาล
ให้พระพรตพระสัตรุดสององค์ เป็นจอมจตุรงค์ทวยหาญ
ยกพลข้ามพ้นชลธาร ตั้งสถานมรกตคีรี
ใช้วานรหนึ่งเข้ามา ให้หาทศพินยักษี
มันอหังการ์พาที ขุนกระบี่ตบต่อยแล้วกลับไป
อันเราแม่ลูกทั้งสาม จะมีความผิดก็หาไม่
จะพากันม้วยบรรลัย ทำไฉนจะพ้นจากตาย ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางสุวรรณกันยุมาโฉมฉาย
ได้ฟังทั้งสองลูกชาย สายสวาทจึ่งมีวาจา
อันซึ่งเจ้าว่านี้ดีนัก ลูกรักแม่ยอดเสน่หา
จงลอบออกจากลงกา ไปในเวลาราตรี
หาพญาอนุชิตชัยชาญ แถลงแจ้งการกระบี่ศรี
ให้พาขึ้นเฝ้าพระภูมี เรานี้จะพ้นโทษภัย ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองกุมารผู้มีอัชฌาสัย
ฟังมารดาว่าก็ต้องใจ บังคมไหว้กับเบื้องบาทา
ออกจากห้องแก้วแพรวพรรณ กุมภัณฑ์เหลียวซ้ายแลขวา
เห็นเงียบสงัดลับตา ก็พากันเหาะไปในราตรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงมรกตสิงขร เห็นพวกนิกรกระบี่ศรี
เป็นเหล่าเหล่านั่งยามตามอัคคี อสุรีก็ตรงเข้าไป
นั่งลงแล้วแจ้งข้อความ แก่ยามพวานนายกองใหญ่
เราออกมาจากเวียงชัย จะเฝ้าพระภูวไนยผู้ศักดา
อันพญาอนุชิตชัยชาญ ยอดทหารพระนารายณ์นาถา
อยู่ไหนจงได้เมตตา ช่วยพาไปให้พบบัดนี้ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งยามพวานกระบี่ศรี
ได้ฟังทั้งสองอสุรี ยินดีก็พากันเข้าไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงประณตบทบงสุ์ องค์พญาอนุชิตทหารใหญ่
แต่สองกุมารชาญชัย บังคมไหว้แล้วแจ้งกิจจา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ลูกพระพายผู้มียศถา
ได้ฟังยินดีปรีดา ก็พาไปเฝ้าน้องพระสี่กร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงน้อมเศียรบังคมทูล นเรนทร์สูรสุริย์วงศ์ทรงศร
ว่าโอรสอินทรชิตฤทธิรอน ลอบจรออกมาจากธานี
ผู้พี่ชื่อยามลิวัน น้องชื่อกันยุเวกยักษี
แจ้งว่าทศพินอสุรี พรุ่งนี้จะยกออกชิงชัย
ทั้งสองกุมารจะอาสา จับมาถวายให้จงได้
พระองค์ผู้ทรงฤทธิไกร ภูวไนยจงโปรดกุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์รังสรรค์
ฟังลูกพระพายเทวัญ ทรงธรรม์ยินดีปรีดา
ขอบใจทั้งสองสุริย์วงศ์ ซื่อตรงจงรักจะอาสา
เร่งกลับเข้าไปยังพารา อย่าให้สงการาคี
ช่วยกันระวังระไว เอาใจใส่พิเภกยักษี
เกลือกมันจักฆ่าร้าตี อย่าให้มีเหตุเภทพาล ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ทั้งสองอสุราใจหาญ
รับสั่งน้องพระอวตาร ชุลีลาเหาะทะยานเข้าลงกา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายทศพินยักษา
บรรทมเหนือแท่นไสยา ตรึกตราที่จะออกไปชิงชัย
อันตัวกูนี้ก็เยาว์นัก หาเคยหักณรงค์สงครามไม่
ครั้นจะใช้ให้เสนาไป ยังพิชัยมลิวันธานี
ทูลองค์สมเด็จพระบิตุราช ให้ทราบเบื้องบาทบทศรี
ทางไกลเห็นจะไม่ทันที ด้วยไพรีนั้นข้ามสมุทรมา
จำเป็นจะยกออกต่อยุทธ์ สัประยุทธ์กว่าจะสิ้นสังขาร์
ให้เป็นเกียรติไว้ในโลกา ไปกว่าจะสิ้นกัปกัลป์
แต่ผุดลุกผุดนั่งไม่ไสยาสน์ จนภาณุมาศเรื่อแรงแสงฉัน
เสด็จจากแท่นแก้วแพรวพรรณ จรจรัลไปสรงวาริน ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เข้าที่ชำระสระสนาน สุคนธ์ธารหอมฟุ้งจรุงกลิ่น
สนับเพลาเครือวงเป็นหงส์บิน ภูษารูปกินรีรำ
ชายไหวชายแครงก้านขด ประดับดวงมรกตเขียวขำ
ฉลององค์ผุดทองพื้นดำ เกราะเกล็ดปะวะหลํ่าสลับพลอย
รัดอกทับทรวงสะอิ้งแก้ว สังวาลวัลย์แสงแววดั่งหิ่งห้อย
ตาบทิศกุดั่นดวงลอย พาหุรัดรักร้อยทองกร
ธำมรงค์เพชรวาวเก้ายอด สอดสิบนิ้วหัตถ์ประภัสสร
มงกุฎแก้วกุณฑลกรรเจียกจร ดอกไม้ทัดอรชรด้วยโกมิน
ห้อยพวงสุวรรณมาลัย ขัดพระขรรค์ชัยแล้วทรงศิลป์
งามคล้ายอินทรชิตอสุรินทร์ ลินลามาเกยมณี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ยามลิวันกันยุเวกยักษี
จึ่งทูลทศพินอสุรี ซึ่งจะยกโยธีออกชิงชัย
ตัวข้าทั้งสองนี้คิดแค้น แสนเทวษปิ้มเลือดตาไหล
ด้วยมนุษย์อาจองทะนงใจ ฆ่าบิดาให้วายปราณ
ทั้งพระอัยกาฤทธิรงค์ สุริย์วงศ์สุดสิ้นสังขาร
ข้าจะขออาสาเข้ารอนราญ ผลาญพวกไพรีให้มรณา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทศพินสิทธิศักดิ์ยักษา
ได้ฟังดั่งอมฤตฟ้า ตบมือสรวลร่าด้วยยินดี
เจ้าก็เป็นโอรสยศยง พระเชษฐาฤทธิรงค์เรืองศรี
สุริย์วงศ์พรหเมศโมลี เรานี้จะร่วมชีวิตกัน
เจ้าจงเป็นปีกซ้ายขวา ตีประดาอย่ายั้งพลขันธ์
จับมนุษย์พี่น้องทั้งสองนั้น หั่นเสียให้ยับกับกร
ว่าแล้วขึ้นรถอลงการ ให้เลิกพลมารชาญสมร
ธงหน้าโบกนำพลากร บทจรออกจากพระบุรี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ รถเอยรถทรง กำกงแก้วประดับสลับสี
เรือนแปรกแอกอ่อนงอนมณี บุษบกตั้งที่บัลลังก์ลอย
สิงห์อัดแอบเรียงเคียงสลับ สุบรรณกางกรจับนาคห้อย
สี่มุขแสงพลามด้วยสีพลอย สูงลอยยอดเยี่ยมโพยมบน
เทียมไกรสรสีห์สี่พัน แผดลั่นเพียงลมพายุฝน
โลทันขับรีบเริงรน เครื่องสูงบังบนเมฆา
ธงทองรองชั้นธงฉาย ธงชัยสามชายนำหน้า
ปี่กลองก้องสนั่นเป็นโกลา โยธาเยียดยัดอัดไป
ไม่เริงรื่นขืนโห่เป็นหลั่นหลั่น จะพร้อมเพรียงเสียงกันก็หาไม่
ช้างม้าตื่นวุ่นทั้งทัพชัย รีบเร่งพลไกรดำเนินจร ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ ครั้นมาถึงที่สนามยุทธ์ ให้หยุดตั้งตามเชิงสิงขร
โดยกระบวนพยุห์ครุฑกางกร คอยทัพวานรจะยกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์นาถา
เสด็จออกสุวรรณพลับพลา งามสง่าดั่งองค์อมรินทร์
พร้อมด้วยท้าวพญาวานร ชมพูพระนครขีดขิน
หมอบเฝ้าเกลื่อนกลาดดาษดิน พอได้ยินสำเนียงเกรียงไกร
ก็รู้ว่าทศพินอสุรา ยกพลโยธาทัพใหญ่
จะมารณรงค์ชิงชัย ภูวไนยชื่นชมด้วยสมคิด ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ จึ่งมีมธุรสพจนารถ บัญชาประกาศประกาศิต
สั่งแก่โอรสพระอาทิตย์ ท่านผู้มีฤทธิ์ชัยชาญ
จงเตรียมโยธาพลากร ให้พร้อมวานรทวยหาญ
เราจะยกออกไปรอนราญ ผลาญอ้ายทศพินอสุรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระยาไวยวงศากระบี่ศรี
รับสั่งพระองค์ทรงฤทธี ถวายอัญชุลีแล้วออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ยานี

๏ ให้อสุรผัดกุมาร คุมพลทหารเป็นทัพหน้า
อันนิลพัทผู้ศักดา เป็นกองขันบัญชาวานร
ศรีชมพูพานชาญชาย เป็นเกียกกายนายพลประจญก่อน
กองหลวงน้องนารายณ์ฤทธิรอน เป็นจอมนิกรโยธี
ถัดมาตั้งให้ทวิพัท เป็นกองยุกกระบัตรกระบี่ศรี
ถัดนั้นวิสันตราวี กองหนุนโยธีทะลวงฟัน
กองหลังรั้งท้ายพลากร ตั้งซึ่งวานรนิลขัน
ปีกซ้ายปีกขวาครบกัน จัดสรรเสร็จสรรพเสนา
เสือป่าแมวมองกองนอก สามหอกเจ็ดหอกแกล้วกล้า
กวัดแกว่งอาวุธเป็นโกลา เริงร่าเพียบพื้นปถพี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น พระพรตพระสัตรุดเรืองศรี
ครั้นได้ศุภฤกษ์สวัสดี เสด็จมาเข้าที่สรงชล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

โทน

๏ สองกษัตริย์สระสนานสำราญกาย สุหร่ายแก้วโปรยปรายดั่งสายฝน
ทรงสุคนธารสเสาวคนธ์ ปรุงปนนพมาศชมพูนุท
ต่างสอดสนับเพลาเครือขด รายพลอยมรกตสลับบุษย์
ภูษาต่างสีเชิงครุฑ กรจับนาคยุดหยัดยัน
ชายไหวชายแครงกระหนกหงส์ ฉลององค์พื้นตาดสังเวียนคั่น
ตาบทิศทับทรวงสังวาลวัลย์ ทองกรกุดั่นพาหุรัด
ธำมรงค์เรือนเก็จเพชรเหลือง อร่ามเรืองรุ้งวาบกาบสะบัด
ต่างทรงมงกุฎดอกไม้ทัด กุณฑลแก้วจำรัสกรรเจียกจร
งามทรงงามองค์งามสง่า ขัดพระขรรค์ศักดาแล้วจับศร
ตามกันยุรยาตรนาดกร บทจรมาขึ้นพิชัยรถ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

โทน

๏ รถเอยรถทรง กำกงล้วนแก้วมรกต
แอกงอนอ่อนงามช้อยชด ชั้นลดช่อลอยด้วยพลอยราย
ภาพรอบพื้นเรียบระเบียบกัน บุษบกเสาบันบัวหงาย
ห้ายอดสูงเยี่ยมโพยมพราย กาบสอดแก้วลายกระจังบัง
เทียมสินธพสิบอาชาชาติ ขาวสะอ้านดูสะอาดดั่งสีสังข์
สารถีขับแล่นด้วยกำลัง พระสัตรุดนั่งหน้าประนมกร
เครื่องสูงครบสิ่งกระชิงรัตน์ ธงชายแถวฉัตรประภัสสร
ปี่กลองฆ้องขานแตรงอน เสียงสะท้อนสะเทือนพนาวัน
วานรโห่เร้าเอาฤกษ์ เอิกเกริกภพไตรไหวหวั่น
ผงคลีพัดคลุ้มชอุ่มควัน เร่งพวกพลขันธ์ยาตรา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงสมรภูมิชัย แลไปเห็นทัพยักษา
ตั้งแน่นตามแนวอรัญวา ผ่านฟ้าให้หยุดโยธี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ แล้วตรัสสั่งลูกวายุบุตร ท่านผู้ฤทธิรุทรเรืองศรี
จงเร่งกองหน้าเข้าราวี ตีทัพอสุรีให้แหลกลาญ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น อสุรผัดฤทธิไกรใจหาญ
ก้มเกล้ารับรสพจมาน น้องพระอวตารผู้ศักดา
ดีใจดั่งได้มณีรัตน์ ขององค์จักรพรรดินาถา
แล้วนำพหลโยธา ตรงมาหน้าทัพกุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นใกล้จึ่งทำสีหนาท กระทืบบาทสะเทือนเลื่อนลั่น
กวัดแกว่งอาวุธเป็นเพลิงกัลป์ แล้วร้องเย้ยหยันด้วยคำพาล
เหวยไอ้ไพนาสุริย์วงศ์ อ้างอวดฤทธิรงค์ว่าแกล้วหาญ
วันนี้ชีวิตจะวายปราณ อหังการเย่อหยิ่งมาชิงชัย
ไม่คิดดูกำลังกายก่อน แต่วานรตนเดียวไม่สู้ได้
เร่งไปมลิวันกรุงไกร บอกพ่อมึงให้มาราวี
สี่เศียรก็จะขาดด้วยแสงศร น้องพระสี่กรเรืองศรี
จะมิได้เมื่อยเท้าโยธี ที่จะยกไปตีมลิวัน
ถ้ามึงยังรักชีวิต จงทิ้งทางทุจริตโมหันธ์
เร่งไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ ก็จะรอดชีวันไม่วายปราณ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทศพินสุริย์วงศ์ใจหาญ
ได้ฟังกริ้วโกรธดั่งเพลิงกาล ขุนมารจึ่งร้องตอบไป
เหม่เหม่ดูดู๋อ้ายลูกลิง ถ้อยคำเย่อหยิ่งหยาบใหญ่
ยกย่องมนุษย์เท่าแมงใย คือใครจะเกรงฤทธา
ตัวกูก็เป็นวงศ์พรหเมศ เลื่องชื่อลือเดชทุกทิศา
ไม่เคยไหว้ใครแต่ไรมา เป็นมหาจรรโลงกุมภัณฑ์
อันพวกมึงเจ้ามึงซึ่งอวดหาญ กูผลาญก็จะม้วยอาสัญ
มิให้รอดถึงเมืองมลิวัน เอ็งอย่าโมหันธ์พาที ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น หลานพระพายผู้ชาญชัยศรี
ได้ฟังกริ้วโกรธดั่งอัคคี ชี้หน้าแล้วตอบด้วยคำพาล
มึงอย่ายกตนให้พ้นพักตร์ อวดศักดิ์สุริย์วงศ์ทะนงหาญ
อันองค์สมเด็จพระอวตาร เป็นเจ้าแก่หมู่มารทั้งลงกา
โปรดให้พระอัยกากู กับแม่เอ็งเป็นคู่เสน่หา
ตัวกูกับมึงพึ่งเกิดมา มิใช่ลูกข้าหรือว่าไร
อัยกาก็เป็นแต่พ่อเลี้ยง รักมึงเพียงลูกในไส้
พระคุณล้ำลบภพไตร ยังควรทำได้ถึงเพียงนี้
หัวมึงจะขาดไม่ทันรู้ ด้วยกรของกูผู้เรืองศรี
อย่าพักอ้างอวดว่าตัวดี เดี๋ยวนี้จะได้เห็นกัน ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทศพินสุริย์วงศ์รังสรรค์
ได้ฟังขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตัวสั่นแผดเสียงเกรียงไกร
เหวยเหวยอสุรหมู่มาร บรรดาทวยหาญน้อยใหญ่
เร่งเข้าตีทัพให้ยับไป จับไอ้อสุรผัดมาบัดนี้ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายหมู่ทวยหาญยักษี
ได้ฟังทศพินอสุรี ให้เข้าตีทัพวานร
ความกลัวดั่งหมู่มฤคชาติ เคยแพ้อำนาจไกรสร
ครั้นเห็นอสุรผัดฤทธิรอน หมู่นิกรโยธีก็ปรีดา
ทำเป็นกวัดแกว่งอาวุธ ดั่งจะเข้าสัประยุทธ์เข่นฆ่า
ขบฟันให้แล้วกลับหลังมา วิ่งเข้าในป่าพนาลี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น อสุรผัดผู้ชาญชัยศรี
เห็นพวกพหลโยธี วิ่งแยกแตกหนีพัลวัน
ตบมือสำรวลแล้วร้องเย้ย เหวยเจ้าลงกาเขตขัณฑ์
โยธานับสมุทรแน่นนันต์ พากันไปไหนไม่ราญรอน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทศพินกุมารชาญสมร
ยิ่งกริ้วโกรธพิโรธดั่งไฟฟอน แกว่งศรกระทืบบาทา
เหวยเหวยไอ้ลูกเดียรัจฉาน กูจะผลาญให้ม้วยสังขาร์
ว่าแล้วน้าวหน่วงด้วยศักดา อสุราก็ผาดแผลงไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เป็นศรร่อนอยู่ในอากาศ เกลื่อนกลาดไม่นับเล่มได้
ให้เสียงสำเนียงเกรียงไกร ล้อมไล่อสุรผัดเป็นโกลี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น หลานพระพายผู้ชาญชัยศรี
โลดโผนโจนไปด้วยฤทธี รวบศรอสุรีซึ่งแผลงมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ไว้ได้ในกำหัตถ์สิ้น อสุรินทร์สำรวลสรวลร่า
เหวยเหวยดูก่อนอ้ายพาลา นี่เป็นอาวุธของผู้ใด
กูพิศดูเอ็งเห็นครึ่งตัว จะมีเงาหัวก็หาไม่
ว่าพลางหักศรด้วยว่องไว ก็โยนไปให้ทันที
แล้วโจนขึ้นรถกุมภัณฑ์ ถีบถูกโลทันสารถี
รถทรงหักลงไม่สมประดี ไล่ตีทศพินอสุรา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ลูกท้าวทศพักตร์ยักษา
รับรองป้องปัดไปมา อสุราเผ่นโผนเข้าชิงชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ต่างตีต่างจับกันสับสน ต่างตนหาลดกรไม่
กลับกลอกเคล่าคล่องว่องไว ต่างหนีต่างไล่พัลวัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น อสุรผัดฤทธิแรงแข็งขัน
รบรุกคลุกคลีตีประจัญ ยืนยันโถมทะยานเข้าราญรอน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เท้าซ้ายนั้นเหยียบเข่าขวา มือคว้าชิงได้คันศร
ตีต้องลูกท้าวยี่สิบกร ล้มกับดินดอนด้วยฤทธี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น โอรสอินทรชิตสองศรี
หมายขยับจะจับอสุรี ได้ทีก็โผนโจนมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ผู้พี่นั้นจับแขนซ้าย น้องชายนั้นจับแขนขวา
ฝ่ายอสุรผัดผู้ศักดา โลดโผนโจนมาด้วยว่องไว
จับจิกเกศวรณีสูร ผู้ประยูรพี่เลี้ยงนั้นได้
ทั้งสามอสุรีก็ดีใจ พาเข้าไปถวายทันที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตทรงสวัสดิ์รัศมี
ครั้นมีชัยได้ราชไพรี ยินดีด้วยสมอารมณ์คิด
พักตร์ผ่องดั่งดวงจันทรา จึ่งมีบัญชาประกาศิต
ดูก่อนโอรสพระอาทิตย์ ท่านผู้มีฤทธิ์เกรียงไกร
อันไอ้ทศพินนี้คิดคด กับพี่เลี้ยงเป็นขบถโทษใหญ่
จงพันธนาให้มั่นไว้ จะได้ไถ่ถามเอาพวกพาล
ฝ่ายอสุรผัดฤทธิรงค์ จงเข้าไปลงการาชฐาน
กับโอรสอินทรชิตชัยชาญ ถอดพิเภกขุนมารออกมา
สั่งแล้วให้เลิกพลากร เสนาวานรซ้ายขวา
โห่สนั่นลั่นเลื่อนโลกา คืนไปพลับพลารูจี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น อสุรผัดผู้ชาญชัยศรี
กับยามลิวันอสุรี กันยุเวกผู้ปรีชาชาญ
ครั้นสองสมเด็จพระวรนุช เลิกพวกพลยุทธ์ทวยหาญ
ก็พาหมู่พหลพลมาร เข้ายังราชฐานลงกา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งตรงเข้าไป ตรุใหญ่ที่จำท้าวยักษา
กราบลงกับเบื้องบาทา องค์พระอัยกาแล้วโศกี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๏ ทูลว่าหลานนี้ไปเฝ้า พระนารายณ์เป็นเจ้าเรืองศรี
ให้พระพรตพระสัตรุดธิบดี เป็นจอมโยธีมาชิงชัย
จับตัวทั้งสองไอ้ทรยศ ซึ่งเป็นขบถนั้นได้
บัดนี้พระองค์ทรงฤทธิไกร ใช้ให้มาถอดพระอัยกา
ทูลแล้วก็เข้าปลดเปลื้อง ซึ่งเครื่องจำจองทั้งห้า
ออกสิ้นให้พ้นพันธนา องค์พระอัยกาธิบดี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวทศคิริวงศ์ยักษี
ครั้นเครื่องจำพ้นจากอินทรีย์ ด้วยเดชพระตรีภูวไนย
มีความชื่นชมเป็นพ้นคิด ดั่งเสียชีวิตแล้วเกิดใหม่
ก็ส้วมสอดกอดองค์นัดดาไว้ พ่อคือดวงใจนัยนา
ตาต้องทารกรรมตรำตราก แสนลำบากปิ้มสิ้นสังขาร์
หากได้เจ้าผู้ปรีชา หาไม่จะม้วยชีวัน
ครั้งเมื่อมหาบาลมาราวี เสียทีปิ้มชีพอาสัญ
หากว่าบิดาเจ้ามาทัน ช่วยตาโรมรันจึ่งมีชัย
พ่อลูกมีคุณแก่ตานัก ทั่วทั้งไตรจักรไม่เปรียบได้
ว่าแล้วพาหลานผู้ร่วมใจ ไปยังปราสาทชัยรัตนา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายเจ้าพนักงานพระภูษา
ปโรหิตชีพราหมณ์พฤฒา เสนาข้าเฝ้าบรรดามี
แจ้งว่าพระองค์ทรงนคเรศ เสด็จมานิเวศน์เฉลิมศรี
ต่างตนชื่นชมยินดี ก็วิ่งมาอึงมี่พร้อมกัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงน้อมเศียรบังคมบาท พระพงศ์พรหมธิราชรังสรรค์
อยู่ในที่ท้องพระโรงคัล แน่นนันต์เกลื่อนกลาดดาษดา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวทศคิริวงศ์ยักษา
จึ่งชำระสระสรงกายา ทรงเครื่องรัตนาอาภรณ์
แล้วจึ่งเสด็จลีลาศ จากปราสาทเนาวรัตน์ประภัสสร
พร้อมหมู่มาตยาพลากร บทจรออกจากธานี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงกองทัพพลับพลา แทบมหามรกตคิรีศรี
กับหลานรักผู้ร่วมชีวี ไปยังที่เฝ้าพระทรงธรรม์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ น้อมเศียรประณตบทบงสุ์ น้องพระหริวงศ์รังสรรค์
ท่ามกลางทหารชาญฉกรรจ์ กุมภัณฑ์คอยฟังพระบัญชา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์นาถา
ครั้นเห็นพิเภกออกมา ผ่านฟ้าชื่นชมยินดี
จึ่งมีบรรหารอันสุนทร ดูก่อนพญายักษี
ท่านเป็นโหราตัวดี ดั่งหนึ่งว่ามีทิพญาณ
รอบรู้ปัจจุบันอนาคต กำหนดด้วยปรีชาหาญ
ไกลใกล้เห็นสิ้นทุกประการ ในสุธาธารไม่เทียมทัน
เหตุไฉนจึ่งเลี้ยงไอ้ลูกงู ไม่รู้ว่าชีวาจะอาสัญ
หากว่าอสุรผัดกุมภัณฑ์ มันไปทูลแจ้งกิจจา
องค์พระหริวงศ์ทรงเดช โปรดเกศพญายักษา
ให้เราพี่น้องยกมา รณรงค์เคี่ยวฆ่าระงับภัย
อันทศพินอสุรี กับวรณีสูรก็จับได้
บัดนี้จำมั่นมันไว้ จะให้สืบสาวเอาพวกพาล ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พิเภกผู้ปรีชาหาญ
ยอกรสนองพจมาน น้องพระอวตารผู้ศักดา
ข้าบาทนี้เป็นคนหลง งวยงงด้วยความเสน่หา
สำคัญว่าบุตรในอุรา จึ่งเคืองบาทาพระทรงฤทธิ์
ให้ต้องกรีพวกพลพลากร ยกมาราญรอนนั้นโทษผิด
ใหญ่หลวงถึงสิ้นชีวิต หากพระจักรกฤษณ์ปรานี
จึ่งได้รอดชีพชีวา คงอยู่เป็นข้าบทศรี
พระคุณลํ้าฟ้าธาตรี ไม่มีสิ่งซึ่งจะเทียมทัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์รังสรรค์
ได้ฟังพญากุมภัณฑ์ จึ่งมีพระบัญชาการ
อันซึ่งสมเด็จพระเชษฐา ให้ยกโยธาทวยหาญ
มาปราบอสูรหมู่มาร ตามวงศ์อวตารเลิศไกร
ความเราแสนโสมนัสนัก ดั่งเอาแก้วพญาจักรมายื่นให้
มิได้คิดแก่ยากลำบากใจ จะไว้เกียรติไปชั่วกัลปา
ตรัสแล้วสั่งน้องพาลี จงเอาวรณีสูรยักษา
กับไอ้ทศพินอสุรา มาพิจารณาเอาพวกมัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุครีพลูกพระสุริย์ฉัน
รับสั่งพระพงศ์เทวัญ บังคมคัลรีบออกมาทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งสั่งวานรตำรวจใน ให้เอาทศพินยักษี
กับวรณีสูรอสุรี มาผูกเข้าที่หน้าพระลาน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ตำรวจลิงนายใหญ่ใจหาญ
ทั้งราชมัลนครบาล เอาตัวสองขุนมารเข้าคา
ผูกเท้าผูกเอวเฆี่ยนขับ บีบมือบีบกระหมับยักษา
ขันชะเนาะเคาะเตือนไปมา บ้างขู่บ้างด่าไม่อาลัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น วานรเสมียนนายใหญ่
ตั้งกระทู้ขู่ถามความใน เหวยไอ้ทศพินอสุรี
อันลงกาเป็นเชลยเบื้องบาท พระนารายณ์ธิราชเรืองศรี
ให้พิเภกกับมณโฑเทวี ขึ้นผ่านธานีสวรรยา
แต่ตัวของเอ็งยังไม่เกิด จนกำเนิดจำเริญใหญ่กล้า
เป็นไฉนจึ่งว่าใช่บิดา ข้อนี้รู้มาแต่แห่งใด
ซึ่งว่าจักรวรรดิเป็นสหาย ทศกัณฐ์ผู้ตายใครบอกให้
เอ็งจึ่งบังอาจไม่เกรงภัย ลอบไปนำทัพมารอนราญ
จับพิเภกใส่ตรุจำจอง ตัวขึ้นครองลงการาชฐาน
เสด็จมาให้หาจะถามการ มึงยังฮึกหาญเจรจา
อันพวกเพื่อนสมรู้ร่วมคิด อย่าปกปิดมากน้อยให้เร่งว่า
ถ้ามิบอกจะเฆี่ยนอสุรา ไปกว่าจะสิ้นชีวี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึ่งทศพินยักษี
เจ็บปวดรวดร้าวทั้งอินทรีย์ อสุรีก็ให้การไป
เดิมข้าเที่ยวเล่นสวนขวัญ วรณีสูรนั้นเป็นผู้ใหญ่
ทำร้องไห้หัวร่อไยไพ สงสัยไถ่ถามจึ่งบอกมา
ว่าบิดาข้าชื่อทศพักตร์ พิเภกเป็นน้องรักยักษา
จะใคร่ได้สมบัติในลงกา ไปพาศึกมาราวี
ฆ่าญาติวงศ์พงศ์พันธุ์ ทั้งท้าวทศกัณฐ์ยักษี
จึ่งได้ขึ้นผ่านธานี เป็นปิ่นอสุรีในเวียงชัย
ตัวข้าเกิดมาเป็นชาย ความแค้นความอายไม่อดได้
พี่เลี้ยงจึ่งนำเข้าไป ยังกรุงไกรมลิวันพารา
รู้กันแต่สองเป็นคู่คิด โดยสัจสุจริตไม่มุสา
โทษผิดชีวิตถึงมรณา ตามแต่เมตตาปรานี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายนายเสมียนกระบี่ศรี
จึ่งเอาคำทศพินอสุรี สอบวรณีสูรทันใด
บัดนี้เจ้าเอ็งซัดถึง ว่ามึงเป็นต้นเหตุใหญ่
ยุยงแนะนำทุกสิ่งไป จึ่งได้หน่ายแหนงแคลงกัน
จนถึงเกิดเข็ญเข่นฆ่า เพราะวาจามึงไอ้โมหันธ์
ผู้อื่นไม่มีติดพัน คิดกันกับเอ็งแต่เดิมที
ถามพลางให้เตือนกระทุ้งไม้ ยังจริงหรือไม่ไอ้ยักษี
จงเร่งให้การไปบัดนี้ หาไม่ชีวีจะมรณา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งวรณีสูรยักษา
ขบฟันกลั้นใจอยู่กับคา นิ่งเสียไม่ว่าประการใด
ครั้นต้องเคาะต้องเตือนเป็นหลายหน สุดกำลังที่จะทนทานได้
จึ่งร้องจริงแล้วทุกสิ่งไป ขอท่านจงไว้ชีวัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ลูกพระสุริยารังสรรค์
ได้ความทั้งสองกุมภัณฑ์ ก็พากันมาเฝ้าทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงประณตบทบงสุ์ น้องพระหริวงศ์เรืองศรี
ก็ทูลคำตามอสุรี ถ้วนถี่แต่ต้นความมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์นาถา
ได้ฟังลูกพระสุริยา จึ่งมีบัญชาไปทันใด
อันถ้อยคำทั้งสองอสุรี มันให้การนี้หาจริงไม่
ครั้นจะแคะไค้ไล่เลียงไป นัยจะถึงมณโฑแม่มัน
ความนี้จะยกให้องคต กับท้าวทศคิริวงศ์รังสรรค์
จงเร่งเอาสองกุมภัณฑ์ ไปตระเวนแล้วฟันเสียวันนี้ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สุครีพพิเภกยักษี
ก้มเกล้ารับราชวาที ถวายอัญชุลีแล้วออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๏ จึ่งให้อสุราพานรินทร์ คุมตัวทศพินยักษา
กับวรณีสูรอสุรา ไปทำตามบัญชาพระทรงธรรม์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น องครักษ์จักรนารายณ์แข็งขัน
รับคำนำสองกุมภัณฑ์ พากันเข้ายังเวียงชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เตียว

๏ ครั้นถึงตีฆ้องให้ร้องขาน ประจานไปตามถนนใหญ่
บ้างตีบ้างเตือนเนื่องไป มิได้เมตตาปรานี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทศพินสุริย์วงศ์ยักษี
กับพี่เลี้ยงผู้ร่วมชีวี สุดที่จะทนอาญา
ครั้นเจ็บก็จำร้องไป ใครใครอย่าดูเยี่ยงข้า
กระบถต่อเบื้องบาทา องค์พระจักราอวตาร
ไปนำทัพจักรวรรดิอสุรี มาตีเอาลงการาชฐาน
จับพญาพิเภกขุนมาร ใส่ตรุประจานจำไว้ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ชายหญิงชาวเมืองน้อยใหญ่
เห็นเขาพาทศพินตระเวนไป เลือดไหลหยดย้อยทั้งกายา
วิ่งวุ่นมาดูสับสน สองข้างแถวถนนซ้ายขวา
ที่รักก็ดูไม่เต็มตา แสนเวทนาเป็นสุดคิด
ที่ชังก็ว่าสาแก่ใจ ใครใช้ให้ทำความผิด
จะพาเราตายวายชีวิต สิ้นทั้งญาติมิตรบรรดามี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

โอ้

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายทศพินยักษี
เจ็บชํ้าลำบากแสนทวี กระบี่พาเที่ยวตระเวนไป
แลเห็นปราสาทพระมารดร ยอกรนบนิ้วประนมไหว้
ชลเนตรคลอเนตรถอนใจ อาลัยรำพันโศกา
โอ้ว่าสมเด็จพระแม่เจ้า ผู้บังเกิดเกล้าเกศา
บำรุงเลี้ยงลูกแต่เยาว์มา จนใหญ่กล้ามิให้อนาทร
พระคุณลํ้าฟ้าสุธาธาร ยิ่งสุเมรุจักรวาลสิงขร
ยังมิได้แทนคุณพระมารดร มาจำจรจากบาทอนาถนัก
อยู่หลังจะตั้งแต่โหยไห้ อาลัยถึงลูกเพียงอกหัก
จะแสนทุกข์แสนเทวษด้วยความรัก ชลนัยน์นองพักตร์ไม่วายวัน
บุญน้อยมิได้ฉลองบาท มาสุดสิ้นชีวาตม์อาสัญ
ดั่งเดือนดับลับสิ้นแสงจันทร์ นับวันจะเปลี่ยวเปล่าตา
นิจจาเอ๋ยพอได้กราบบทศรี พระชนนีหน่อยหนึ่งก็ไม่ว่า
ถึงตายก็ตามแต่เวรา รํ่าพลางโศกาแล้วเดินไป ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ พญาโศก

๏ บัดนั้น เพชฌฆาตวานรนายใหญ่
ครั้นตระเวนไปรอบเวียงชัย ก็ตัดเศียรเสียบไว้ริมทวาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น นางมณโฑผู้ยอดสงสาร
แจ้งว่าโอรสบรรลัยลาญ เยาวมาลย์ครวญครํ่ารำพัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

โอ้

๏ โอ้ว่าทศพินเจ้าแม่เอย ทรามเชยยอดรักเฉลิมขวัญ
เสียแรงอุ้มท้องประคองครรภ์ ถนอมเลี้ยงทุกวันจนใหญ่มา
พระบิดาสวรรคตแล้ว ได้เห็นหน้าลูกแก้วเสน่หา
ค่อยสบายคลายทุกข์ทุกเวลา อนิจจาควรหรือมาจำไกล
ทิ้งแม่ไว้แต่ผู้เดียว เปล่าเปลี่ยวดิ้นโดยโหยไห้
จะวิโยคโศกแสนอาลัย ตรอมใจถึงเจ้าไม่เว้นวัน
เหตุนี้เดิมทีก็ได้ห้าม ไม่ฟังความขืนคิดด้วยโมหันธ์
เชื่ออ้ายพี่เลี้ยงอาธรรม์ จึ่งต้องฟันเศียรเสียบไว้ดั่งนี้
เสียแรงเป็นวงศ์พรหเมศ เทวาเกรงเดชทุกราศี
เมื่ออินทรชิตพี่เจ้าไปต่อตี ก็สิ้นชีวีในเมฆา
มีผู้ไปรับเศียรไว้ มิให้ตกจากเวหา
นี่มาต้องประจานเวทนา ดั่งว่าชาติเชื้อจัณฑาล
ตั้งใจจะฝากผีเจ้า ขวัญข้าวแม่ยอดสงสาร
รํ่าพลางข้อนทรวงเยาวมาลย์ โศกาปานสิ้นชีวันฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ โอด

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ