สมุดไทยเล่มที่ ๒๙

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงนางมารอัศมูขี
นมยานเติบดำลํ่าพี อินทรีย์สูงสุดปลายตาล
เขี้ยวงอกออกโง้งเสมอกรรณ ซี่ฟันดั่งกรามช้างสาร
ตาปลิ้นลิ้นแลบเหลือกลาน ถิ่นฐานอยู่ในหิมวา
เคยจับโคถึกมฤคี อสุรีกินเล่นเป็นภักษา
จึ่งระเห็จเตร็จเตร่ตระเวนมา ตามในมรคาพนาดร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ กราว

๏ เหลือบไปเห็นพระหริวงศ์ พระหัตถ์นั้นทรงธนูศร
กับองค์พระลักษมณ์ฤทธิรอน ทั้งสองบทจรตามกัน
จะใคร่กินเล่นเป็นอาหาร นางมารชื่นเริงเกษมสันต์
ก็เข้าแอบพุ่มไม้ไพรวัน ตานั้นเขม้นคอยที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ คุกพาทย์

๏ เห็นสองพระองค์ทรงลักษณ์ ผิวพักตร์งามลํ้าโกสีย์
องค์หนึ่งเขียวขำทั้งอินทรีย์ ดั่งมณีมรกตรจนา
องค์น้อยนั้นผิวเหลืองอ่อน อรชรยั่วยวนเสน่หา
พิศโฉมสมเด็จพระรามา อสุราลืมแลดูพระลักษมณ์
ครั้นพิศอนุชาก็งวยงง ลืมแลดูองค์พระทรงจักร
ยิ่งพิศยิ่งเพลินจำเริญรัก นางยักษ์พ่างเพียงจะขาดใจ
ราคร้อนรึงรุมดั่งเพลิงพิษ ครวญคิดในความพิสมัย
สุดรักในรสกำหนัดใน ฤทัยเดือดดิ้นแดยัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ อย่าเลยจะลอบไปอุ้มองค์ พระแน่งน้อยสุริย์วงศ์รังสรรค์
ก็ออกจากพุ่มไม้ไพรวัน ขบฟันโลดโผนโจนไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ด้วยเดชศักดาวราฤทธิ์ ทศทิศลั่นเลื่อนสะเทือนไหว
มืดมิดปิดดวงอโณทัย คลุ้มไปทั้งพื้นพสุธา
ฉวยคว้าได้องค์พระลักษมณ์ นางยักษ์แสนโสมนัสสา
กอดจูบลูบไล้ทั้งกายา ก็อุ้มพาเหาะไปทันที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระกฤษณุรักษ์เรืองศรี
เห็นมืดคลุ้มชอุ่มธาตรี เสียงมี่ดั่งวายุพัดพาน
เหลียวมาไม่เห็นน้องรัก เร่าร้อนอกนักดั่งเพลิงผลาญ
ก็ขึ้นศรฤทธิไกรชัยชาญ ชักพาลจันทร์แผลงไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เสียงสนั่นครั่นครื้นอากาศ พสุธากัมปนาทหวาดไหว
แสงสว่างพ่างพื้นนภาลัย ภูวไนยเที่ยวหาอนุชา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายองค์พระลักษมณ์กนิษฐา
ครั้นเห็นแสงศรพระจักรา สว่างมาก็ได้สมประดี
จึ่งแจ้งพระทัยว่านางยักษ์ ลอบลักพระองค์เหาะหนี
กริ้วโกรธพิโรธดั่งอัคคี ก็ร่ายเวทอันมีฤทธา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

๏ เดชะพระมนต์เชี่ยวชาญ นางมารก็สิ้นกำลังกล้า
ตกลงมาจากเมฆา พระอนุชาเหยียบอกลงไว้
ชักพระขรรค์บั่นกรทั้งสองขาด อสุรีไม่อาจต่อได้
โบยรันด้วยคันธนูชัย ยับไปทั่วทั้งอินทรีย์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น นางอัศมูขียักษี
ความเจ็บความกลัวแสนทวี โศกีร้องขอชีวัน
ผุดลุกขึ้นวิ่งหนีไป เลือดไหลหน้าซีดตัวสั่น
หนามไหน่เกี่ยวยับดั่งสับฟัน ด้นดั้นไปในหิมวา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกนาถา
เที่ยวเลาะเสาะตามมรคา ก็พบพระอนุชาร่วมชีวี
มีความชื่นชมโสมนัส ดั่งได้สมบัติโกสีย์
สวมสอดกอดไว้แล้วพาที เป็นไฉนฉะนี้นะเจ้าลักษมณ์
เดินตามกันมาแล้วหายไป พี่ร้องไห้เที่ยวหาเพียงอกหัก
เหตุผลสิ่งใดประหลาดนัก น้องรักจึ่งพลัดพี่มา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระลักษมณ์สุริย์วงศ์กนิษฐา
น้อมเศียรกราบลงกับบาทา ชลนาคลอเนตรแล้วทูลไป
น้องโดยเสด็จพระภุชพล จะทันรู้ตนก็หาไม่
มืดมิดปิดแสงอโณทัย ยักขินีจังไรใจพาล
รวบรัดได้แล้วพาจร โดยทางอัมพรไพศาล
ต่อสว่างแสงศรพระอวตาร ช้านานจึ่งได้สมประดี
ระลึกคุณพระองค์แล้วร่ายเวท ก็บันดาลเสื่อมเดชยักษี
ตกลงยังพื้นปัถพี จะประหารชีวีให้มรณา
มันร้องขอโทษวิงวอน ข้าจึ่งตัดกรซ้ายขวา
ตีไล่เข้าในอรัญวา ก็กลับมาพบเบื้องบทมาลย์ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรีผู้ปรีชาหาญ
ได้ฟังน้องท้าวเล่าอาการ ผ่านฟ้ามีราชวาที
นี่หากว่าเจ้าผู้ศักดา จึ่งไม่แพ้ฤทธายักษี
ผู้อื่นก็จะม้วยชีวี ด้วยอี่กาลีทรลักษณ์
พ่อจงจำเริญสถาวร ขจรเดชทั่วไปทั้งไตรจักร
ปราบพวกศัตรูหมู่ยักษ์ เป็นที่พำนักแก่โลกา
ตรัสแล้วก็พาพระนุชนาถ ยุรยาตรโดยแถวแนวป่า
งามดั่งสุริยันกับจันทรา สององค์เสด็จมาตามกัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

โทน

๏ เดินพลางพลางชมรุกขชาติ งอกงามดาดาษหลายหลั่น
ดอกดวงพวงผลปนกัน ทรงคันธรสกำจร
แมลงผึ้งเชยซาบอาบกลิ่น บินเคล้าเสาวคนธเกสร
หอมตลบอบไปในดงดอน ภูธรคำนึงถึงเทวี
หอมกลิ่นเหมือนกลิ่นสไบทรง ขององค์สีดามารศรี
นางแย้มเหมือนเจ้าแย้มพาที สีเสียดเหมือนเจ้าเสียดพี่บรรทม
ช้องนางนางคลี่สยายช้อง เหมือนน้องคลี่คลายสยายผม
สุกรมเหมือนอกพี่เกรียมกรม ระทมทุกข์ทุกข์ถึงไม่รู้วาย
กาหลงเหมือนพี่หลงตามกวาง กลับมาหานางพระน้องหาย
คิดพลางกำสรดระทดกาย ฟูมฟายชลเนตรถึงเทวี
ปรับทุกข์กันพลางทางเดินมา กับพระอนุชาเรืองศรี
แต่ร้อนแรมมาหลายราตรี ถึงที่ป่ากัทลีวัน ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ เชิด

ยานี

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงพฤกษเทวาในไพรสัณฑ์
สถิตเหนือวิมานพรายพรรณ ครั้นเห็นทั้งสองกษัตรา
ก็รู้ว่านารายณ์อวตาร มาปราบพวกพาลยักษา
บัดนี้ทศกัณฐ์อสุรา มันลักสีดาพาไป
พระองค์เสด็จมาตาม จะก่อสงครามศึกใหญ่
ยักษาอาธรรม์จะบรรลัย ไตรโลกจะได้สถาวร
อย่าเลยจะให้พระทรงจักร สำนักหยุดอยู่ที่นี้ก่อน
จะได้โยธาวานร ตามไปราญรอนอสุรี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ คิดแล้วจึ่งสำแดงเดช ด้วยฤทธิ์เทเวศร์เรืองศรี
บันดาลให้องค์พระจักรี หิวโหยอินทรีย์ลำบากกาย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกทั้งหลาย
เสด็จยุรยาตรนาดกราย พระกายต้องเดชเทวัญ
มิอาจดำเนินเดินตรง ให้อ่อนองค์อ่อนใจไหวหวั่น
ทินกรร้อนดั่งเพลิงกัลป์ สารพันจะยากลำบากใจ
จึ่งเหลือบแลเห็นต้นหว้า ร่มรื่นมรคาสูงใหญ่
ก็อุตส่าห์ย่างเยื้องเข้าไป หยุดพักอาศัยระงับร้อน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

ช้า

๏ พระพายชายพัดมาเฉื่อยเฉื่อย ค่อยสบายคลายเหนื่อยที่หิวอ่อน
จึ่งมีวาจาอันสุนทร ดูกรอนุชาวิลาวัณย์
วันนี้ตัวพี่ไม่สบาย จะเอนกายให้ค่อยเกษมสันต์
พอชายบ่ายแสงสุริยัน จึ่งจะพากันจรลี
จะขอพาดเศียรลงเหนือตัก น้องรักจงนั่งระวังพี่
ตรัสแล้วสมเด็จพระจักรี ภูมีเอนองค์ลงนิทรา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ ตระ

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงหนุมานฤทธิแรงแข็งกล้า
ออกจากพิธีจรรยา ก็เที่ยวไปในป่าพนาดร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ จึ่งเห็นทั้งสองสุริย์วงศ์ พระหัตถ์นั้นทรงธนูศร
องค์นั่งผิวพรรณอรชร เหลืองอ่อนดั่งหนึ่งทองทา
องค์นอนผิวเขียวขำสด อลงกตดั่งนิลวัตถา
ทรงลักษณ์เลิศโลกโลกา งามลํ้าเทวาทั้งสององค์
ยิ่งพิศยิ่งเพลินจำเริญเนตร ยิ่งกำหนดสังเกตก็ยิ่งหลง
น่าจะเป็นกษัตริย์สุริย์วงศ์ ไฉนมาเดินดงประหลาดนัก
ครั้นว่าตัวกูจะร้องถาม เกรงความด้วยไม่รู้จัก
จำจะอุบายทายทัก จะได้ผูกรักสืบไป
คิดแล้วยอกรอภิวาทน์ พระจอมไกรลาสเขาใหญ่
โอมอ่านอาคมสำรวมใจ โดยไสยเวทชาญฉกรรจ์ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ ตระ

๏ ก็กลับเป็นวานรน้อย กระจ้อยร่อยโลดโจนโผนผัน
ร่ายไม้ไต่ตามเครือวัลย์ มาที่ทรงธรรม์นิทรา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นตรงองค์พระสี่กร วานรรูดใบพฤกษา
ห่มกิ่งแล้วโปรยลงมา ให้ต้องกายาพระภูมี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ รัว

๏ เมื่อนั้น พระลักษมณ์ทรงสวัสดิ์รัศมี
เห็นใบไม้ตกต้องพระจักรี มีแต่รูดใหม่ปรายมา
ให้คิดฉงนสนเท่ห์ใจ จึ่งแลขึ้นไปบนพฤกษา
เห็นกระบี่องอาจอหังการ์ แอบค่าคบไม้ใบบัง
เผือกผู้ดูงามบริสุทธิ์ ขาวผ่องผาดผุดดั่งสีสังข์
ครั้นจะขับสำเนียงเสียงดัง ก็ระวังบรรทมพระจักรี
จึ่งยกพระหัตถ์ขึ้นโบก กระโชกแต่พอจะให้หนี
แต่พระขับไล่เป็นหลายที กระบี่ไม่ไปดั่งจินดา
ซ้ำรูดใบไม้ปรายลง ต้ององค์พระบรมเชษฐา
จึ่งจับเอาคันธนูมา หน่วงน้าวเงื้อง่ากระหยับกร ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น คำแหงหนุมานชาญสมร
เห็นพระองค์เงื้อธนูจะราญรอน วานรโจนลงไปทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ฉวยชิงเอาคันธนูทรง ขององค์พระลักษมณ์เรืองศรี
ได้ด้วยกำลังก็ยินดี หนีขึ้นต้นไม้ว่องไว ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ จึ่งเอาธนูนั้นน้าวเล่น โลดเต้นตามกิ่งน้อยใหญ่
กวัดแกว่งล้อหลอกวุ่นไป ไยไพยักคิ้วหลิ่วตา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายองค์พระลักษมณ์กนิษฐา
เห็นกระบี่นั้นทำอหังการ์ โกรธาดั่งหนึ่งเพลิงกัลป์
ดูดู๋วานรกระจิริด ไม่รู้ว่าชีวิตจะอาสัญ
ทำทะนงองอาจบุกบัน ชิงเอาคันศรของกูไป
จนใจด้วยบรรทมหลับอยู่ จึ่งฉวยธนูไปได้
หาไม่ตัวมันจะบรรลัย ประหลาดใจก็ปลุกนิทรา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกนาถา
ครั้นฟื้นตื่นจากไสยา ผ่านฟ้ามีราชวาที
สุริยันบ่ายแล้วหรือไฉน ดวงใจจึ่งปลุกบรรทมพี่
หรือเหตุสิ่งใดบังเกิดมี ที่ในหิมวาพนาวัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระลักษมณ์สุริย์วงศ์รังสรรค์
น้อมเศียรทูลองค์พระทรงธรรม์ ว่าลิงฉกรรจ์พนาดร
มันรูดใบไม้ปรายลง แกล้งให้ต้ององค์พระทรงศร
น้องนี้ค่อยขับด้วยกร วานรยิ่งทำอหังการ์
ครั้นจะตวาดให้มันหนี ก็เกรงพระจักรีนาถา
จะตื่นจากที่ไสยา จึ่งจับศรเงื้อง่าให้ตกใจ
มันกลับโลดโผนโจนลง ชิงคันศรทรงไปได้
กวัดแกว่งเยาะเย้ยไยไพ จนใจจึ่งปลุกบทมาลย์ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรีผู้ปรีชาหาญ
ได้ฟังอนุชาแจ้งการ ผ่านฟ้าก็ทอดทัศนา
เห็นวานรน้อยเผือกผู้ เต้นอยู่บนกิ่งพฤกษา
กลับมีพระทัยเมตตา จึ่งบัญชาตรัสแก่พระลักษมณ์
อันว่าวานรตัวนี้ ดูทีอาจองทะนงศักดิ์
มีกุณฑลขนเพชรประหลาดนัก น่ารักเขี้ยวแก้วมาลัย
ท่วงทีมิใช่ลิงป่า พระอนุชาเห็นยังหรือหาไม่
ชะรอยจะมีฤทธิไกร มันจึ่งทำได้ถึงเพียงนี้ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระลักษมณ์ทรงสวัสดิ์รัศมี
ได้ฟังบัญชาพระจักรี ยอกรชุลีแล้วแลไป
พินิจพิศทั่วทั้งกายา จะเห็นประหลาดตาก็หาไม่
ให้คิดฉงนสนเท่ห์ใจ บังคมไหว้สนองพจมาน
ข้าดูทั่วกายกระบี่ศรี ไม่เห็นมีเขี้ยวแก้วฉายฉาน
ทั้งกุณฑลขนเพชรชัชวาล เหมือนบัญชาการพระสี่กร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น คำแหงหนุมานชาญสมร
ได้ฟังพจนารถพระภูธร เหมือนคำมารดรสั่งมา
ถ้าผู้ใดเห็นลักขณะกาย ท่านนั้นคือนารายณ์นาถา
อวตารมาผลาญอสุรา ให้อยู่เป็นข้าพระจักรี
ตัวกูจะลงไปเฝ้า พระปิ่นเกล้าสามภพเรืองศรี
จะได้เป็นเอกอัครโยธี ล้างหมู่อสุรีพวกพาล
คิดแล้วจึ่งลูกพระพาย แย้มยิ้มพริ้มพรายเกษมศานต์
กลับกลายเป็นศรีหนุมาน ร่ายไม้ปีนทะยานลงมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึ่งถวายธนูทรง แก่พระภุชพงศ์นาถา
แล้วกราบกับเบื้องบาทา ด้วยใจปรีดาสถาวร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระนารายณ์สุริย์วงศ์ทรงศร
รับศิลป์จากมือวานร ภูธรชื่นชมยินดี
จึ่งมีพระราชบัญชา ดูราพานรินทร์เรืองศรี
อันตัวของท่านผู้ฤทธี มีนามกรชื่อใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น วายุบุตรผู้มีอัชฌาสัย
น้อมเศียรแล้วกราบทูลไป ข้านี้ได้ชื่อหนุมาน
พระพายนั้นเป็นบิตุเรศ เรืองเดชศักดากล้าหาญ
อันนางสวาหะนงคราญ ท่านนั้นเป็นองค์มารดร
สั่งว่าใครเห็นมาลัย เขี้ยวแก้วอำไพประภัสสร
กุณฑลขนเพชรอลงกรณ์ ของข้าวานรผู้ฤทธี
ท่านนั้นคือองค์พระทรงนาค เสด็จจากเกษียรวารีศรี
ลงมาบำรุงธาตรี ให้ข้านี้อยู่รองบาทา
ซึ่งเสด็จมาแต่สององค์ ดั้นดัดลัดดงพงป่า
ไม่มีรี้พลโยธา ผ่านฟ้าจะไปแห่งใด
เมื่อแรกได้พบเบื้องบาท ข้าเห็นประหลาดก็สงสัย
ซึ่งทำเหลือเกินให้เคืองใจ จงได้โปรดเกล้าวานร ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระกฤษณุรักษ์ทรงศร
ฟังวายุบุตรว่าวอน ภูธรมีราชบัญชา
เดิมเรารับสัตย์พระบิตุรงค์ สามองค์มาบวชอยู่ในป่า
แทบฝั่งแม่นํ้าโคทา อุตส่าห์บำเพ็ญพรหมจรรย์
ไอ้ทศเศียรขุนยักษ์ อัปลักษณ์หยาบช้าโมหันธ์
ลักนางสีดาวิลาวัณย์ อันเป็นอัครราชเทวี
พาไปยังกรุงลงกา จะตามล้างเคี่ยวฆ่ายักษี
แก้แค้นแทนมันจนถึงที ให้สิ้นวงศ์อสุรีสาธารณ์ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ
ได้ฟังบัญชาพระอวตาร กราบกับบทมาลย์แล้วทูลไป
ซึ่งจะเสด็จแต่สององค์ ไม่มีจัตุรงค์หาควรไม่
อันทวีปลงกากรุงไกร หนทางนั้นไกลกันดารนัก
ฝ่ายทศกัณฐ์อสุรี มันก็มีฤทธีแหลมหลัก
โคตรวงศ์พงศ์พันธุ์ของขุนยักษ์ พรักพร้อมโยธาพลากร
แต่ละตนล้วนมีฤทธิรุทร นับด้วยสมุทรไม่หยุดหย่อน
ขอพระจักรกฤษณ์ฤทธิรอน ภูธรจงชุมโยธี
ให้ควรแก่การรณรงค์ จึ่งไปล้างโคตรวงศ์ยักษี
บัดนี้น้าข้าผู้หนึ่งมี ชื่อกระบี่สุครีพผู้ศักดา
เป็นน้องพาลีอันมีฤทธิ์ ผิดกันพี่ขับมาอยู่ป่า
จะไปหามาเฝ้าพระบาทา เห็นว่าจะได้โยธี
อันวานรในขีดขินนั้น ล้วนวงศ์เทวัญเรืองศรี
จุติมาคอยพระจักรี ตามพระศุลีบัญชาการ ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระจักรีผู้ปรีชาหาญ
ได้ฟังคำแหงหนุมาน ผ่านฟ้าจึ่งมีบัญชา
ท่านจะไปหาสุครีพ ก็รีบไปเถิดจะคอยท่า
จงเร่งพาน้าชายมา จะได้ปรึกษาสงครามกัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หนุมานฤทธิแรงแข็งขัน
รับสั่งแล้วถวายบังคมคัล เหาะขึ้นยังชั้นอัมพร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ รีบเร่งเร็วมาด้วยกำลัง ถึงที่อมตังสิงขร
เข้าหาสุครีพฤทธิรอน ชุลีกรแล้วแจ้งกิจจา
บัดนี้พระนารายณ์อวตาร ลงมาสังหารยักษา
สององค์พี่น้องเสด็จมา ตามนางสีดาเทวี
ใช้ข้ามาหาพระน้าเจ้า ไปเฝ้าเบื้องบาทบทศรี
เสด็จอยู่ยังป่ากัทลี ไม่มีพวกพลบริวาร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สุครีพฤทธิไกรใจหาญ
ฟังความออกนามพระอวตาร ให้บันดาลสยองพองโลมา
ดีใจดั่งได้มณีรัตน์ ขององค์จักรพรรดินาถา
ออกจากอมตังบรรพตา ก็พากันเหาะมาด้วยฤทธี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงต่างถวายอภิวาทน์ แทบบาทพระนารายณ์เรืองศรี
ด้วยความชื่นชมยินดี คอยฟังวาทีพระสี่กร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น พระจักรแก้วสุริย์วงศ์ทรงศร
ครั้นเห็นพญาวานร จึ่งมีสุนทรวาจา
ดูราโอรสพระอาทิตย์ ผู้มีฤทธิแรงแข็งกล้า
เป็นไฉนไม่อยู่ในพารา มาเที่ยวอยู่ป่าอนาถนัก ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ลูกพระอาทิตย์สิทธิศักดิ์
ฟังรสพจนารถพระหริรักษ์ ยอกรเพียงพักตร์แล้วทูลไป
เดิมเหตุทรพีกับพี่ข้า รบกันในคูหาใหญ่
สั่งว่าเจ็ดวันไม่มีชัย ให้สมถมถ้ำคีรี
ครั้นถึงกำหนดไม่เห็นกลับ ก็ทำตามบังคับกระบี่ศรี
โทษข้าจะผิดก็ไม่มี พาลีกริ้วโกรธดั่งไฟกัลป์
ขับจากขีดขินพารา จึ่งมาทนเทวษอยู่ไพรสัณฑ์
ขอพระหริวงศ์ทรงธรรม์ จงล้างชีวันวานร
ข้าจึ่งจะคุมพวกพล กระบี่ฤทธิรณชาญสมร
มาถวายเบื้องบาทภูธร ยกไปราญรอนอสุรี
แล้วจะอาสาพระทรงจักร ไปตัดเศียรทศพักตร์ยักษี
มาถวายใต้เบื้องธุลี ภูมีจงทรงพระเมตตา ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระหริวงศ์องค์นารายณ์นาถา
ได้ฟังจึ่งมีบัญชา อันคำซึ่งว่านี้ผิดไป
ตัวท่านพี่น้องหากผิดกัน จะให้ล้างชีวันกระไรได้
จะเป็นที่ติเตียนไยไพ ทั้งในชั้นฟ้าธาตรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พญาสุครีพกระบี่ศรี
ได้ฟังบัญชาพระจักรี ชุลีกรสนองพจมาน
ถึงจะฆ่าพาลีให้มรณา ก็ไม่มีนินทาว่าขาน
ด้วยทำผิดติดตัวมาช้านาน แต่กาลครั้งดึกดำบรรพ์
เมื่อพระอิศโรโลเกศ ให้ประชุมเทเวศร์ในสรวงสวรรค์
แล้วเอานาคาผูกพัน พร้อมกันฉุดพระเมรุคีรี
จนสิ้นฤทธิ์สิ้นแรงเทวราช เมรุมาศไม่ไหวจากที่
ข้าจึ่งอาสาพระศุลี เทวัญฤๅษีก็แจ้งใจ
ทำด้วยซื่อตรงจงรัก ฉุดชักพระเมรุขึ้นได้
องค์พระเป็นเจ้าภพไตร มีพระทัยเมตตาสถาวร
จึ่งเอาผอบแก้วแววฟ้า ใส่นางดาราดวงสมร
ฝากพญาพาลีฤทธิรอน ประทานข้าวานรเป็นรางวัล
พระนารายณ์ก็ได้ทัดทูล นเรนทร์สูรอิศเรศรังสรรค์
ฝ่ายพญาพาลีใจฉกรรจ์ เพื่อนนั้นทำสัตย์สาบาน
ว่าแม้นมิตรงต่อน้องชาย ให้ศรพระนารายณ์สังหาร
ขุนกระบี่เสียสัตย์ปฏิญาณ ทำการทุจริตให้ผิดธรรม์
พระองค์ไวกูณฐ์ปางนี้ ควรฆ่าพาลีให้อาสัญ
ตามที่โทษผิดติดพัน ทรงธรรม์จงทราบบาทา ฯ

ฯ ๑๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกนาถา
ได้ฟังรำลึกตรึกตรา ผ่านฟ้าก็แจ้งประจักษ์ใจ
จึ่งว่าดูก่อนกระบี่ศรี คำท่านว่านี้เราคิดได้
ซึ่งจะสังหารให้บรรลัย ทำไฉนจะพบวานร
จงไปเย้ยเยาะจำเพาะหน้า ให้โกรธามาชิงชัยก่อน
จึ่งจะแผลงผลาญราญรอน ด้วยศรให้สิ้นชีวี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พญาสุครีพกระบี่ศรี
ได้ฟังบรรหารพระจักรี ชุลีกรสนองพระบัญชา
อันซึ่งพาลีฤทธิรอน ได้พรพระอิศวรนาถา
มาตรแม้นใครต่อฤทธา เสียกำลังกายากึ่งตน
กุมภัณฑ์คันธรรพเทเวศร์ ก็เกรงเดชขจรทุกแห่งหน
ซึ่งจะไปต้านต่อรอผจญ ข้ากลัวเป็นพ้นความคิด ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระหริรักษ์จักรกฤษณ์
ได้ฟังโอรสพระอาทิตย์ ทรงฤทธิ์ถวิลจินดา
ขุนกระบี่นี้คิดย่อท้อ ไม่อาจหาญต้านต่อเชษฐา
จำกูจะสำแดงฤทธา ให้ปรากฏแก่ตาประจักษ์ใจ
คิดแล้วบัญชาประกาศิต ถึงพี่ท่านมีฤทธิ์ไม่ฆ่าได้
เราจะรดน้ำสรงศรไป ให้กันภัยพญาพาลี
ตรัสพลางยืนขึ้นเหนืออาสน์ งามดั่งเทวราชโกสีย์
ชี้หัตถ์ไปชั้นดุษฎี ภูมีสำแดงฤทธิรอน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ สาธุการ

๏ พระองค์นั้นบันดาลกลับกลาย เป็นรูปพระนารายณ์ทรงศร
รัศมีสีนิลอรชร สี่กรถือเทพสาตรา
กวัดแกว่งสำแดงกำลังหาญ จับศรชัยชาญเงื้อง่า
แผลงไปในพื้นนภา เสียงสนั่นลั่นฟ้าธาตรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ศรเป็นดาวเดือนทินกร เลื่อนลอยอัมพรจำรัสศรี
ส่องสว่างพ่างพื้นพนาลี รัศมีพรรณรายพรายพรรณ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สุครีพฤทธิแรงแข็งขัน
ทั้งวายุบุตรชาญฉกรรจ์ เห็นพระทรงธรรม์สี่กร
กลับไปเป็นรูปนารายณ์ พระกายนั้นเลื่อมประภัสสร
ยิ่งพิศยิ่งงามอรชร ทั้งสองวานรก็ยินดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี
ถวายบังคมคัลอัญชุลี ขุนกระบี่จึ่งกราบทูลไป
ซึ่งน้าต่อน้าจะรบกัน ข้าจะอยู่นั้นหาควรไม่
จะขอลาบาทภูวไนย ไปให้ไกลกายไกลตา
ทูลแล้วประณตบทบงสุ์ ลาสองสุริย์วงศ์นาถา
กับพญาสุครีพผู้ศักดา ก็เหาะมาที่อยู่พานร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ลูกพระอาทิตย์ชาญสมร
ทูลว่าขอเชิญพระสี่กร บทจรไปล้างพาลี
ข้าจะนำเบื้องบาทบงสุ์ ตรงไปขีดขินบุรีศรี
ครั้งนี้จะรอดชีวี ด้วยเดชภูมีอันศักดา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรรัตน์แก้วนาถา
ได้ฟังโอรสพระสุริยา ก็ชวนพระอนุชาบทจร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ สองกษัตริย์เสด็จยุรยาตร งามวิลาสดั่งราชไกรสร
เดินดัดลัดป่าพนาดร พานรนำเสด็จจรลี
ข้ามทุ่งวุ้งเวิ้งเชิงเขา ลำเนาห้วยธารคีรีศรี
มิได้หยุดพักสักนาที ภูมีรีบเร่งเสด็จไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น สุครีพผู้มีอัชฌาสัย
ครั้นใกล้ขีดขินกรุงไกร บังคมไหว้แล้วทูลพระสี่กร
ขอเชิญเสด็จเข้าหยุดพัก สำนักร่มไทรที่นี่ก่อน
ตัวข้าจะลาบทจร ไปเยาะเย้ยพานรให้ออกมา
พระองค์จงคอยสังหาร ผลาญให้สิ้นชีพสังขาร์
ตามซึ่งเพื่อนเสียสัตยา ต่อเจ้าโลกาธาตรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระกฤษณุรักษ์เรืองศรี
ก็เสด็จย่างเยื้องจรลี เข้าไปยังที่ร่มไทร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ร่าย

๏ พระพายชายพัดมาอ่อนอ่อน ภูธรหยุดนั่งอาศัย
เอานํ้าโสรจสรงศรชัย รดให้สุครีพผู้ศักดา
แล้วตรัสอำนวยอวยพร จะไปต่อฤทธิรอนด้วยเชษฐา
ถึงพาลีถือเทพสาตรา จะเข่นฆ่าอย่าต้องอินทรีย์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พญาสุครีพกระบี่ศรี
ได้น้ำศรกับพรพระจักรี ยินดีดั่งได้โสฬส
ซึ่งเกรงกลัวพญาพานรินทร์ ก็เสื่อมสิ้นคลี่คลายหายหมด
จึ่งน้อมเศียรยอกรขึ้นประณต ลาสองทรงยศแล้วเหาะไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงลอยอยู่ตรงปราสาท ร้องประกาศสนั่นหวั่นไหว
เหวยเหวยลูกท้าวหัสนัยน์ เหตุใดไม่อยู่ในสัจธรรม์
ตัวเป็นผู้ใหญ่มิได้คิด ทำการทุจริตโมหันธ์
อันนางดาราดวงจันทร์ พระอิศวรรางวัลกูมา
ข่มเหงเอาไว้เชยชม ร่วมรสภิรมย์เสน่หา
ครั้งนั้นก็เสียสัตยา แล้วยังไม่สาแก่นํ้าใจ
เราเป็นน้องสืบสายโลหิต จะมีความผิดก็หาไม่
มิได้เมตตาอาลัย ขับไล่เสียจากธานี
ครั้งนี้ถึงที่กำหนดมา ไม่รอดชีวากระบี่ศรี
มึงดีเร่งออกมาต่อตี กูจะผลาญชีวีให้วายปราณ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ลูกท้าวหัสนัยน์ใจหาญ
ได้ฟังสุครีพกล่าวประจาน ให้เดือดดาลดั่งไฟประลัยกัลป์
ผุดลุกขึ้นร้องตวาด เหม่ไอ้อุบาทว์โมหันธ์
กูคิดว่ามึงร่วมครรภ์ จึ่งไม่ฆ่าฟันให้บรรลัย
ขับเสียจากราชธานี ยังมาพาทีดั่งนี้ได้
กูจะตัดเศียรเกล้าเสียบไว้ ให้สาแก่ใจไอ้พาลา
ว่าพลางฉวยชักพระแสงขรรค์ ขบฟันกวัดแกว่งเงื้อง่า
กระทืบบาทสนั่นลั่นฟ้า จะเหาะขึ้นเข่นฆ่าราวี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางแก้วดารามารศรี
ตกใจกอดบาทพระสามี เทวีทูลห้ามพิไรวอน
พระองค์ก็ทรงพระปัญญา หยุดยั้งตรึกตราดูก่อน
อันพญาสุครีพฤทธิรอน หรือจะอาจต่อกรพระทรงฤทธิ์
ความกลัวใต้เบื้องบาทบงสุ์ กลับมารณรงค์นี้เห็นผิด
น่าที่จะมีผู้ร่วมคิด จิตจึ่งกำเริบอหังการ์
ข้าบาทนี้เห็นประหลาดนัก ซึ่งจักหุนหันออกมาเข่นฆ่า
เสียทีจะเสียพระเดชา อายแก่ไพร่ฟ้าประชากร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พญาพาลีชาญสมร
ได้ฟังอัครราชบังอร จึ่งมีสุนทรวาที
ทำไมกับไอ้ทรชน จะฮึกฮักผจญกับพี่
ถึงผู้อื่นจะช่วยราวี ก็ไม่เกรงฤทธีของมัน
โกฏิแสนแน่นนับสมุทรมา จะฆ่าให้ม้วยอาสัญ
มันหยาบคายให้อายแก่เทวัญ จะเงือดงดอดกลั้นก็สุดใจ
เจ้าอย่าประหวั่นพรั่นจิต ไหนจะต้านทานฤทธิ์พี่ได้
ว่าแล้วเหาะทะยานผ่านไป ชิงชัยด้วยองค์อนุชา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น สุครีพฤทธิไกรใจกล้า
รับรอต่อต้านถอยมา แกล้งลวงพญาพาลี
ครั้นว่าใกล้องค์พระทรงครุฑ ก็กลับเข้าต่อยุทธ์ไม่ถอยหนี
สองกล้าต่อกล้าราวี ถ้อยทีไม่ลดงดกร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระจักรแก้วสุริย์วงศ์ทรงศร
เห็นสองพญาพานร ราญรอนสัประยุทธ์พัลวัน
ต่างกล้าต่อแข็งเข้าโจมจับ กลอกกลับว่องไวดั่งจักรผัน
เพ่งพิศดูไปมิใคร่ทัน จะสำคัญพี่น้องก็แคลงใจ
แต่ทรงศรเงื้อง่าขึ้นหลายที เป็นไม่รู้ที่จะลั่นได้
ให้ฉงนสนเท่ห์ฤทัย ภูวไนยเขม้นไม่วางตา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ลูกท้าวมัฆวานหาญกล้า
ถีบโถมโจมไล่อนุชา ด้วยกำลังฤทธาว่องไว
ได้ทีแล้วเงื้องดอยู่ คิดความเอ็นดูไม่ฆ่าได้
จึ่งจับสุครีพนั้นขว้างไป ยังเนินไศลจักรวาล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นมีชัยในการรณรงค์ วานรผู้ทรงกำลังหาญ
ก็เหาะระเห็จเตร็จทะยาน มาปราสาทสุรกานต์อลงการ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น สุครีพฤทธิไกรใจกล้า
ตกถูกจักรวาลบรรพตา ไม่เจ็บชํ้ากายาวานร
ด้วยอำนาจพรพระหริวงศ์ กับทั้งนํ้าสรงพระแสงศร
กริ้วโกรธพิโรธดั่งไฟฟอน ก็เขจรกลับมาทันที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงยืนร้องหยาบหยาม ดูกรพระรามฤๅษี
ท่านนี้เป็นคนไม่ดี แกล้งมาพาทีลวงกัน
ให้เราไปต่อด้วยเชษฐา ปิ้มว่าชีวาจะอาสัญ
เป็นชีไม่มีสัจธรรม์ โมหันธ์ชั่วช้าสามานย์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกทุกสถาน
ฟังสุครีพกล่าวอหังการ ฮึกหาญไม่เกรงพระเดชา
มิได้ถือคำพานร ดั่งบิดรกับโอรสา
จึ่งมีสุนทรวาจา ใช่ว่าเราแกล้งพาที
ล่อลวงให้ไปชิงชัย อย่าน้อยใจเลยกระบี่ศรี
ตัวท่านกับพญาพาลี ท่วงทีรูปทรงก็คล้ายกัน
แต่เราชักศรขึ้นพาดสาย เงื้อง่ามุ่งหมายจะคอยลั่น
ดูไปไม่ได้สำคัญ ที่จะล้างชีวันพานร
ตรัสพลางฉีกชายภูษาทรง ส่งให้สุครีพชาญสมร
จงผูกข้อหัตถาไปราญรอน เราจะได้วางศรไม่แคลงใจ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สุครีพผู้มีอัชฌาสัย
ได้ฟังบัญชาภูวไนย บังคมไหว้ด้วยความยินดี
ทูลว่าพระองค์จงได้โปรด อดโทษข้าบาทกระบี่ศรี
ซึ่งประมาทหยาบช้าพาที ภูมีจงทรงพระเมตตา
ทูลแล้วเอาผ้าทรงนั้น ผูกพันกับกรเบื้องขวา
ก้มเกล้าดุษฎีชุลีลา เหาะมาด้วยกำลังพานรินทร์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึ่งร้องลงไป เป็นไฉนเจ้ากรุงขีดขิน
รบกันหวั่นไหวฟ้าดิน ไม่ทันสิ้นแสงสุริยัน
ช่างหนีมาได้ไม่อดสู ดูดั่งชายช้าโมหันธ์
เขาคือพระกาลชาญฉกรรจ์ จะมาเอาชีวันไปบัดนี้ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ลูกท้าวหัสนัยน์เรืองศรี
ได้ฟังกริ้วโกรธดั่งอัคคี ชักพระขรรค์อันมีฤทธา
กวัดแกว่งกระทืบบาทผาดเสียง สำเนียงดั่งหนึ่งฟ้าผ่า
ถีบทะยานผ่านขึ้นในเมฆา ด้วยกำลังศักดาวราวุธ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เผ่นโผนโจนจ้วงทะลวงจับ ว่องไวกลอกกลับสัประยุทธ์
กรหนึ่งกวัดแกว่งอาวุธ ทิ่มแทงแย้งยุทธ์รอนราญ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น สุครีพฤทธิไกรใจหาญ
ต่อตีด้วยปรีชาชาญ ต้านทานถอยมามิให้ชิด
ล่อลวงด้วยกลรณรงค์ จนมาใกล้องค์พระจักรกฤษณ์
ก็ผาดโผนทะยานเข้าต้านฤทธิ์ เสียงสนั่นทั่วทิศโพยมบน
ต่างหาญต่างกล้าราวี ต่างตีต่างรับสับสน
ถ้อยทีถ้อยมีฤทธิรณ ต่างตนรบชิดติดพัน
ดั่งองค์พระอิศวรเจ้าโลกา กับพระจักรารังสรรค์
ทั้งสองประลองฤทธิ์กัน แทงฟันไม่งดลดกร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระนารายณ์สุริย์วงศ์ทรงศร
เหลือบแลขึ้นไปบนอัมพร เห็นสองพานรต่อตี
ก็จำสำคัญสุครีพได้ ภูวไนยจึ่งทรงศรศรี
น้าวหน่วงหมายทรวงพาลี ได้ทีแผลงไปด้วยฤทธา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๏ เมื่อนั้น ลูกท้าวหัสนัยน์ใจกล้า
เห็นศรตรวยตรงเข้ามา ฉวยคว้าไว้ได้ด้วยว่องไว
แลไปในพื้นปัถพี ยังที่บริเวณพระไทรใหญ่
เห็นดาบสนั้นถือธนูชัย ขัดใจก็เหาะลงมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึ่งร้องประกาศ เหวยชาติโยคีชีป่า
เอ็งสิสร้างพรตภาวนา เหตุใดมาทำดั่งนี้
เราโกรธกันรบกันพี่น้อง ใช่การของสองฤๅษี
มาพลอยเข่นฆ่าราวี ทำดีแล้วหรือไอ้ชีไพร
เราสองพี่น้องร่วมครรภ์ จะพิโรธโกรธกันไปถึงไหน
อหังการมาผลาญชีวาลัย กูผิดสิ่งใดให้ว่ามา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกนาถา
ได้ฟังจึ่งมีบัญชา ดูกรพญาพาลี
เราคือนารายณ์อวตาร ลงมาสังหารยักษี
ชื่อว่าพระรามจักรี ไม่มีอิจฉาอาธรรม์
ตัวท่านจงคิดถึงความหลัง เมื่อครั้งพระอิศวรรังสรรค์
ประทานนางดาราวิลาวัณย์ ให้น้องร่วมครรภ์ของวานร
ท่านรับมาแล้วสาบานถวาย ถ้ามิให้ให้ตายด้วยแสงศร
เราจึ่งสังหารราญรอน ตามที่โทษกรณ์ท่านมีไว้
ศรชัยจึ่งไปต้องอก จะยกโทษเรากระไรได้
ตรัสแล้วสำแดงฤทธิไกร มืดไปทั่วทิศอัมพร ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ ตระ

๏ พระสิริวิลาสก็กลับกลาย เป็นรูปนารายณ์ทรงศร
ถือเทพอาวุธสี่กร สีนิลอรชรทั้งอินทรีย์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ สาธุการ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ