สมุดไทยเล่มที่ ๑๐๖

ช้า

๏ เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์องค์นารายณ์รังสรรค์
เห็นสองอนุชาร่วมชีวัน จึ่งมีบัญชาตรัสไป
บัดนี้เกิดเสี้ยนแผ่นดิน เสียงศิลป์กัมปนาทหวาดไหว
เหมือนครั้งเราลองศิลป์ชัย ได้ยินหรือไม่น้องรัก
เห็นจะมีพวกภัยพาล มารอนราญเสมาอาณาจักร
นิ่งไว้เหล่าไอ้ทรลักษณ์ จะฮึกฮักกำเริบอหังการ์
พี่ให้ชุมมุขมนตรี ปุโรหิตพราหมณ์ชีพร้อมหน้า
ปรึกษาให้แต่งอาชา แขวนราชสาราปล่อยไป
เจ้าทั้งสององค์ผู้ทรงฤทธิ์ กับพญาอนุชิตทหารใหญ่
จงสะกดตามรอยมโนมัย ไปโดยมรรคาพนาลี
แม้นใครอาจองทะนงหาญ จับม้าอุปการของเราขี่
ผู้นั้นคือเสี้ยนไพรี เจ้าพี่จงจับเอาตัวมา ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตพระสัตรุดกนิษฐา
ได้ฟังพระราชบัญชา กราบกับบาทาแล้วทูลไป
เมื่อเกิดมหัศอัศจรรย์ กรุงไกยเกษนั้นก็หวั่นไหว
ซึ่งจะให้ข้ายกพลไกร สะกดไปตามรอยพาชี
น้องนี้จะขอสนองบาท พระตรีภูวนาถเรืองศรี
ไปกว่าจะสิ้นชีวี มิให้เคืองธุลีบทมาลย์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรีผู้ปรีชาหาญ
ฟังสองอนุชาชัยชาญ ดั่งได้ผ่านสวรรค์ชั้นฟ้า
จึ่งประทานเกราะเพชรอันเพริศพราย พระอรรคตถวายเมื่อเดินป่า
ให้แก่พระพรตผู้ศักดา อันเกราะอินทราสุราลัย
ประทานให้องค์พระสัตรุด คุ้มเทพอาวุธทั้งปวงได้
ครั้นเสร็จอำนวยอวยชัย จงไปเป็นศรีสวัสดี
แล้วสั่งสุมันตันเสนา เร่งแต่งม้าผูกราชสารศรี
ปล่อยไปแต่ในวันนี้ ตามคำพราหมณ์ชีโหราจารย์ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองกษัตริย์ผู้ปรีชาหาญ
น้อมเศียรประณตบทมาลย์ รับเกราะสุรกานต์อันศักดา
ทั้งสองสุมันตันเสนามาตย์ ลาบาทพระนารายณ์นาถา
ออกจากพระโรงรัตนา มายังพลับพลาพร้อมกัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งให้ผูกม้าอุปการ เบาะอานล้วนเครื่องกุดั่น
งามดั่งสินธพเทวัญ ลอยมาแต่ชั้นดุษฎี
อาลักษณ์เชิญกล่องสุวรรณมาศ อันใส่พระราชสารศรี
สวมศอพญาพาชี ตามมีพระราชบัญชา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ปโรหิตผู้มียศถา
ทั้งหมู่อำมาตย์มาตยา ก็เวียนเทียนมิ่งม้าพร้อมกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ มโหรี

๏ ครั้นครบเจ็ดรอบก็เสี่ยงทาย ขอเดชพระนารายณ์รังสรรค์
เทวาอารักษ์ทั้งนั้น ช่วยดลใจกัณฐัศร์นี้ไป
ยังผู้ทะนงองอาจ ที่ทำโลกธาตุให้หวาดไหว
แม้นว่าผู้นั้นอยู่ทิศใด มโนมัยจงไปให้พบพาน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นเสร็จซึ่งเสี่ยงอัสดร ทินกรผ่องแผ้วฉายฉาน
เห็นเมฆเป็นรูปสองกุมาร ผ่านมาข้างทิศบูรพา
ปโรหิตจึ่งให้ลั่นฆ้อง โห่ร้องสนั่นทุกทิศา
ชาวพ่อชีพราหมณ์พฤฒา ก็ปล่อยอาชาตัวฉกรรจ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ฝ่ายม้าอุปการก็ร่านเริง แผดร้องลองเชิงผกผัน
เยื้องอกยกหน้าหยัดยัน ชันหูชูหางย่างไป
ดั่งพญาไกรสรสีหราช ทำอำนาจออกจากคูหาใหญ่
เผ่นโผนทักษิณเวียงชัย กำหนดได้สามรอบคณนา
เทวาดลจิตอัสดร บทจรเข้าในแนวป่า
เลาะลัดตัดตามมรรคา ตรงไปกาลวาตพนาสี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น พญาอนุชิตเรืองศรี
ครั้นปล่อยม้าออกจากธานี ขุนกระบี่สะกดรอยไป
ลัดแลงแฝงพุ่มพฤกษา หลีกเลาะมรคาป่าใหญ่
พอแลเห็นตัวแต่ไกล มิได้เข้าใกล้อัสดร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์ทรงศร
ครั้นพญาอนุชิตฤทธิรอน บทจรไปตามพาชี
จึ่งบัญชาชวนพระวรนุช ทรงเครื่องพิชัยยุทธ์จำรัสศรี
จับศรนาดกรจรลี มาขึ้นรถมณีพรรณราย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ รถเอยราชรถแก้ว แล้วด้วยเนาวรัตน์จำรัสฉาย
ดุมวงกงปรุฉลุลาย ธงชัยสามชายปักงอน
เทียมด้วยสินธพอาชาชาติ สามคู่ดูอาจดั่งไกรสร
พระอนุชานั่งหน้าประนมกร สารถีขับจรดั่งลมพัด
ประดับด้วยอภิรุมชุมสาย เครื่องสูงเรียงรายเป็นขนัด
เสียงประโคมฆ้องกลองก้องพนัส โยธาเยียดยัดอัดกัน
ดั่งสมุทรฟูมฟองนองคลื่น เสียงโห่เพียงพื้นแผ่นดินลั่น
เสือป่าแมวมองทั้งนั้น เลี้ยวลัดดัดดั้นตามไป
ข้ามธารผ่านทุ่งวุ้งเขา เดินโดยลำเนาป่าใหญ่
เร่งหมู่พหลพลไกร ไปตามมรคาพนาลี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายสองกุมารเรืองศรี
ไสยาสน์กับองค์พระชนนี ในที่ศาลาอารัญ
จนสุริโยภาสอากาศแผ้ว ไก่แก้วปรบปีกกระพือขัน
ก็ตื่นองค์สรงพักตร์วิไลวรรณ บังคมคัลกราบทูลพระมารดา
วันนี้ตัวลูกจะลาไป เที่ยวเก็บผลไม้ที่ในป่า
พอชายบ่ายแสงพระสุริยา จะกลับมาอารัญกุฎี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางสีดามารศรี
ฟังโอรสาพาที เทวีนิ่งขึงตะลึงคิด
ให้หวาดหวั่นพรั่นใจเป็นพ้นนัก ดั่งใครมาควักเอาดวงจิต
แล้วผลักลงในกองเพลิงพิษ ลามติดร้อนทั่วสรรพางค์
บังเกิดขนพองสยองเกศ ให้กระเหม่นพระเนตรทั้งสองข้าง
เห็นเป็นวิปริตประหลาดลาง รับขวัญลูกพลางแล้วตรัสไป
วันเจ้าทั้งสองลองศิลป์ ฟ้าดินกัมปนาทหวาดไหว
อกแม่ร้อนรุ่มดั่งสุมไฟ คิดอยู่ไม่วายเวลา
เกลือกว่ากษัตริย์สุริย์วงศ์ ที่เรืองฤทธิรงค์แกล้วกล้า
มีใจโมหันธ์ฉันทา จะมาจับไปทำโทษทัณฑ์
ไหนเลยแม่จะคงชีวี น่าที่จะม้วยอาสัญ
วันนี้อย่าไปอารัญ จอมขวัญจงฟังมารดร ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองพระกุมารชาญสมร
ฟังพระชนนีมีสุนทร โศกาทูลวอนรำพันไป
อันป่าแว่นแคว้นแดนนี้ ดั่งอยู่ริมกุฎีก็ว่าได้
แม้นเกิดศัตรูหมู่ภัย ลูกก็มีฤทธิไกรไม่เกรงกัน
พระชนนีอย่าได้ทุกข์ร้อน อาวรณ์วิโยคโศกศัลย์
พอชายบ่ายแสงพระสุริยัน จะพากันกลับมากุฎี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางสีดามารศรี
เห็นโอรสรํ่าโศกี เทวีสวมกอดแล้วถอนใจ
ยอกรขึ้นเช็ดชลเนตร แสนทุกข์เทวษละห้อยไห้
โลมลูบจูบพักตร์แล้วปลอบไป พ่อคือดวงใจของมารดา
อันการรณรงค์นี้ยากนัก ลูกรักแม่สุดเสน่หา
ตัวเจ้าทรงเยาวยุพา ยังมิเคยรบร้าฆ่าตี
เมื่อมิฟังแล้วจะขืนไป ก็ตามใจพ่อเถิดโฉมศรี
แต่กริ่งใจอยู่ด้วยลางมี พี่น้องจงระมัดระวังกัน
เจ้าไปอย่าอยู่ช้านัก ทรามรักแสนสุดเฉลิมขวัญ
แม้นพบศัตรูหมู่ไภยันต์ ให้มันพ่ายแพ้ฤทธิไกร ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองกุมารผู้มีอัชฌาสัย
รับพรแล้วจับศรชัย ไปยังที่อยู่พระอัยกา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ต่างองค์น้อมเศียรอภิวาทน์ แทบบาทยุคลทั้งซ้ายขวา
หลานทั้งสองนี้จะขอลา ไปเที่ยวเล่นป่าให้สำราญ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระฤๅษีผู้ปรีชาหาญ
ได้ฟังวาจาสองกุมาร จึ่งว่าหลานรักไปจงดี
แม้นมาตรมีปรปักษ์ มาหาญหักจะชิงชัยศรี
ให้พ่ายแพ้ศรสิทธิ์ฤทธี ไตรโลกอย่ามีใครต่อกร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองพระกุมารชาญสมร
ก้มเกล้าคำนับรับพร บทจรจากบรรณศาลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ชมดง

๏ เดินทางตามหว่างบรรพต เลี้ยวลดชมสัตว์ที่ในป่า
กาสรพาพวกเป็นหมู่มา พยัคฆาหมอบมองมฤคี
ฝูงกวางย่างเยื้องเล็มระบัด สิงห์นัดคะนองร้องมี่
เลียงผาเผ่นโผนโจนคีรี นางชะนีโหยไห้หากัน
ระมาดลาดเลี้ยวกินหนาม โตตามคู่วิ่งผกผัน
คชสารกระหึมเรียกมัน ฉมันเมียงเคียงคู่เป็นหมู่จร
กระต่ายโดดโลดโผนโจนวิ่ง คณาลิงเลียบไต่สิงขร
กิเลนลงเล่นสาคร ไกรสรจากถํ้าอำไพ
คชสีห์เยื้องกรายร่ายเริง โคคะนองลองเชิงขวิดไขว่
ยิ่งชมยิ่งเพลินจำเริญใจ ก็เที่ยวเล่นอยู่ในพนาลี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เพลง

๏ พระมงกุฎเหลือบเห็นอัสดร ประดับเครื่องอาภรณ์จำรัสศรี
หน้าดำกายขาวดั่งสำลี สี่เท้าปากแดงรจนา
เยื้องย่องทำนองเหมราช ดูงามประหลาดเป็นหนักหนา
จึ่งบอกพระลบอนุชา สัตว์นี้จะว่าชื่อใด
แต่เราพากันมาเที่ยวเล่น จะเคยพบเคยเห็นก็หาไม่
น่าจะเป็นสัตว์บ้านเขาเลี้ยงไว้ จึ่งผูกเครื่องอำไพดั่งนี้
อย่าเลยเราจักไล่สกัด จับได้จะผลัดกันขี่
เที่ยวเล่นในกลางพนาลี เห็นจะมีความสุขกว่าทุกวัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ว่าแล้วชักเอาเครือเขาได้ ถือต้นปลายไว้ให้มั่น
ขึงมาตรงหน้าม้านั้น ช่วยกันเลี้ยวไล่เป็นโกลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นว่าจับได้พาชี ต่างองค์ยินดีสำรวลร่า
จึ่งพินิจพิศดูไปมา จำเริญตาพริ้งพร้อมทั้งกาย
ผมอ่อนหางยาวเท้ารัด ยืนหยัดทรงเทริดเฉิดฉาย
ประดับเครื่องกุดั่นสุพรรณพราย รายด้วยเนาวรัตน์รูจี
พานหน้าช้องหางบังเหียน อานแก้ววิเชียรจำรัสศรี
สองหูห้อยภู่จามรี มีกล่องแก้วแขวนคอมา
ประหลาดใจอะไรจะใส่อยู่ แก้ดูเห็นลักษณ์อันเลขา
ในแผ่นสุวรรณรจนา พระเชษฐาก็อ่านทันใด ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ช้า

๏ ราชสารสมเด็จพระทรงครุฑ มงกุฎตรีภพลบสมัย
อันสถิตเกษียรสมุทรไท สุราลัยฤๅษีพร้อมกัน
จำเพาะพักตร์พระอิศโรราช ยังที่ไกรลาศสรวงสวรรค์
ประชุมเชิญมาล้างอาธรรม์ ที่มันเป็นเสี้ยนธาตรี
ให้ราบรื่นทั้งพื้นโลกา ผ่านกรุงอยุธยาบุรีศรี
ทรงนามพระรามจักรี ฤทธีเลิศลบภพไตร
ได้ยินสำเนียงกัมปนาท ทั่วทั้งโลกธาตุหวาดไหว
สงสัยในราชฤทัย จึ่งให้ปล่อยม้าที่นั่งมา
แม้นว่าผู้ใดไม่กระบถ คิดคดต่อนารายณ์นาถา
ธูปเทียนดอกไม้จงบูชา แก่พญาสินธพอุปการ
ถ้าใครจับขี่ร่วมอาสน์ จะพิฆาตชีวิตสังขาร
ให้สิ้นศัตรูหมู่พาล ผ่านฟ้าจะบำรุงปถพี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา

๏ ครั้นอ่านเสร็จสิ้นในสารา องค์พระเชษฐาเรืองศรี
จึ่งตรัสแก่พระลบร่วมชีวี สัตว์นี้เรียกม้าอาชาไนย
แต่สารนั้นว่าใครร่วมอาสน์ จะพิฆาตหาไว้ชีวิตไม่
กระบถทดโท่ไม่เข้าใจ จับได้จะขี่เล่นสำราญ
เจ้าของมาพบจะให้เขา แม้นชิงชัยเราจะสังหาร
ว่าแล้วเผ่นขึ้นอาชาชาญ งามปานสมเด็จพระจักรี
กรซ้ายนั้นจับสายถือ มือขวาแกว่งธนูศรศรี
พระอนุชาผู้ร่วมชีวี ก็จรลีตามอัสดรไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เพลง

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานทหารใหญ่
สะกดรอยพญาอาชาไนย แลไปเห็นสองพระกุมาร
องค์หนึ่งขี่ม้าองค์หนึ่งตาม งามงามองอาจกล้าหาญ
ถือธนูดูดั่งมัฆวาน ลงมาจากวิมานไพชยนต์
จะเป็นหน่อกษัตริย์กรุงใด มาเที่ยวเล่นไพรพนาสณฑ์
เหตุไรไม่มีรี้พล เป็นน่าฉงนในวิญญาณ์
แล้วจะเป็นกุมารทั้งสองนี้ สำแดงฤทธีกระมังหนา
จึ่งทะนงองอาจอหังการ์ มาจับขี่เล่นไม่กลัวใคร
แม้นกูจะสังหารชีวิต ทั้งสองจะต่อฤทธิ์ที่ไหนได้
อย่าเลยจะจับเอาตัวไป ถวายใต้เบื้องบาทพระอวตาร
คิดแล้วเดินแอบเข้ามา แฝงพฤกษาใหญ่ไพศาล
แผลงฤทธิ์เผ่นโผนโจนทะยาน เข้าจับสองกุมารทันที ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระมงกุฎสุริย์วงศ์เรืองศรี
เหลือบเห็นวานรมาราวี โกรธดั่งอัคคีบรรลัยกัลป์
พระหัตถ์กวัดแกว่งศรสิทธิ์ อันมีฤทธิ์ปราบได้ทั้งสรวงสวรรค์
หวดต้องกายาวานรนั้น ล้มดิ้นยันยันด้วยศักดา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ แล้วว่าดูก่อนน้องรัก ลิงนี้อัปลักษณ์เป็นหนักหนา
มาทำสาละวนไม่เข้ายา ตายสมน้ำหน้าอ้ายสาธารณ์
แต่หลากด้วยตัวของมันนี้ มีเครื่องประดับกายฉายฉาน
ผิดกับลิงไพรในดงดาน ฮึกหาญไม่กลัวบรรลัย
ดีร้ายมุลนายเขาใช้สอย สะกดรอยม้ามาในป่าใหญ่
ถึงกระนั้นเราไม่กลัวใคร ว่าแล้วขับม้าไปทันที ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี
ครั้นพระพายพัดต้องอินทรีย์ ก็ฟื้นสมประดีคืนมา
ก็รู้ว่าพี่น้องนี้ลองศิลป์ ฟ้าดินครรชิตทุกทิศา
อานุภาพเลิศลํ้าโลกา ตีกูปิ้มว่าจะวายปราณ
น้อยน้อยกระจ้อยเท่านี้ ศรศรีมีฤทธิ์กล้าหาญ
ยิ่งศรอินทรชิตขุนมาร ตีกูครั้งผลาญเอราวัณ
อย่าเลยจะแสร้งทำอุบาย กลายเป็นลิงป่าพนาสัณฑ์
เข้าชวนสนิทติดพัน ให้กุมารนั้นหลงระเริงใจ
แล้วจึ่งจะค่อยหักโหม โจมจับเอาตัวให้ได้
คิดแล้วอ่านเวทเกรียงไกร สำรวมใจนิมิตกายา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ ตระ

๏ เป็นวานรน้อยสีเทา เข้าหักเอาผลพฤกษา
เลาะลัดตัดผ่านมรคา ไปสกัดอยู่หน้าอาชาชาญ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงเดินด้อมเข้าไป ปราศรัยด้วยคำอ่อนหวาน
ข้ารักทั้งสองพระกุมาร จึ่งเก็บพฤกษาหารมาให้นี้ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระมงกุฎทรงสวัสดิ์รัศมี
คิดว่าลิงในพนาลี ยิ้มแล้วจึ่งมีวาจา
อันผลไม้ที่เอ็งให้ เอาไว้กินเถิดกระบี่ป่า
เมื่อกี้ลิงเผือกอหังการ์ มาทำหยาบช้าแก่กู
จึ่งหวดด้วยคันศรทรง ถูกกายล้มลงกลิ้งอยู่
อันมึงนี้น่าเอ็นดู รู้ฝากตัวประสาสัตว์ไพร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พญาอนุชิตทหารใหญ่
ได้ฟังพระกุมารชาญชัย จึ่งแกล้งใส่ไคล้เจรจา
อันวานรเผือกนั้นใจพาล เป็นลิงบ้านใช่เหล่าลิงป่า
จึ่งทำอาจองอหังการ์ ฆ่าเสียก็สาใจมัน
ว่าพลางทางเดินเข้าชิด ทอดสนิทเลียมหยอกแล้วสรวลสันต์
เห็นกุมารไม่รู้เท่าทัน ขบฟันเขม้นหมายใจ
คิดจะใคร่โจมโถมจับ แต่กระหยับตัวอยู่ไม่ทำได้
แล้วเผ่นโผนโจนทะยานด้วยว่องไว คว้าไขว่จะจับพระกุมาร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระมงกุฎวุฒิไกรใจหาญ
หวดด้วยคันศรอันชัยชาญ ถูกหนุมานล้มลงทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ อันรูปนิมิตก็กลับกลาย เป็นลูกพระพายเรืองศรี
พระลบกริ้วโกรธคืออัคคี เอาศรตีซํ้าเป็นหลายครา
พระมงกุฎยิ้มแล้วจึงตรัสไป เจ้าเห็นหรือไม่กนิษฐา
ไอ้ลิงนี้เมื่อกี้อหังการ์ ไม่กลัวฤทธามาจับเรา
ตีล้มกับที่ไม่หลาบจำ รื้อทำมารยามาอีกเล่า
จะไว้มันไยอ้ายหัวเบา เจ้าพี่ฆ่าเสียให้สาใจ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระลบผู้มีอัชฌาสัย
ได้ฟังจึ่งทูลสนองไป ฆ่าเสียเห็นใครไม่ล่วงรู้
ลิงนี้สิรู้นุ่งผ้า ชะรอยว่าเจ้าของจะมีอยู่
มัดปล่อยมันไปให้นายดู จึ่งจะได้อดสูด้วยกัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระมงกุฎสุริย์วงศ์รังสรรค์
ฟังพระอนุชาร่วมชีวัน ว่านั้นก็ต้องฤทัย
จึ่งลงจากหลังพาชี ชักเถาวัลลีมาได้
ช่วยกันผูกมัดด้วยขัดใจ ไพล่หลังเข้าไว้ทั้งสองกร
แล้วหักเอายางไม้มา สักหน้าลงเป็นอักษร
อธิษฐานซึ่งมัดวานร ถึงใครมีฤทธิรอนดั่งเพลิงพิษ
ตั้งแต่ตํ่าใต้บาดาล จนถึงวิมานอกนิษฐ์
ทั่วไปทั้งในทศทิศ จะชาญวิทย์เวทประการใด
มิใช่เจ้าของมาแก้มัด ตัดฟันอย่าให้ขาดได้
ต่อเป็นเจ้ามึงซึ่งเลี้ยงไว้ จึ่งให้แก้ได้ดั่งจินดา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ ครั้นเห็นฟื้นขึ้นก็ตีซ้ำ ไอ้ลิงกาลีชาติข้า
เร่งไปบอกพวกของมึงมา กูจะอยู่คอยท่าโรมรัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น วายุบุตรฤทธิแรงแข็งขัน
ต้องมัดรัดรึงผูกพัน ด้วยลัดดาวัลย์สองกุมาร
อัปยศอดสูเป็นสุดคิด ร้อนจิตดั่งหนึ่งเพลิงผลาญ
นิ่งขึงดะลึงอยู่ช้านาน พระพี่น้องประหารก็เดินไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ดันดึงด้วยกำลังสามารถ ลัดดาจะขาดก็หาไม่
ยิ่งรัดรึงมั่นกระสันไว้ จะทำอย่างไรไม่เคลื่อนคลา
ให้เจ็บป่วยชอกชํ้าไปทั้งกาย ดั่งจะวายชีวังสังขาร์
ถึงครั้งหักสวนอสุรา ในทวีปลงกาเมืองมาร
รณรงค์กับองค์อินทรชิต มันแผลงศรสิทธิ์มาสังหาร
ต้องกูล้มลงกับดินดาน แล้วให้หมู่มารพลไกร
จับเอาตัวไปผูกมัด รึงรัดด้วยพวนเหล็กใหญ่
สะบัดทีเดียวก็ขาดไป ครั้งนี้หลากใจด้วยเถาวัลย์
นิดหนึ่งสักเท่าสายพาน มามัดประจานไว้ได้มั่น
คิดพลางน้อยใจจาบัลย์ โซเซเดินดั้นกลับมา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นพบพหลพลไกร เห็นทหารน้อยใหญ่พร้อมหน้า
อัปยศเดินก้มพักตรา เข้ามาหน้ารถพระภูธร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทั้งสองน้องนารายณ์ทรงศร
รีบเร่งโยธาพลากร บทจรตามม้าอุปการ
มาโดยมรคาอารญ มิได้พักพวกพลทวยหาญ
ทอดพระเนตรเห็นศรีหนุมาน ต้องมัดประจานกลับมา
ต่างองค์ตระหนกตกใจ ลงจากพิชัยรัถา
แล้วมีพระราชบัญชา ถามพญาอนุชิตชาญฉกรรจ์
ตัวท่านสิเรืองฤทธี ทั่วทั้งธาตรีก็ไหวหวั่น
แต่ล้างอสุราอาธรรม์ โลหิตนั้นปานสมุทรไท
อันซึ่งซากศพพวกพาล เท่าเนินจักรวาลเขาใหญ่
ครั้งนี้นี่เป็นประการใด คือใครมัดมานะวานร ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานชาญสมร
ก้มหน้าทูลน้องพระสี่กร ภูธรจงทรงพระเมตตา
ตัวข้าลัดพงดงดาน ตามม้าอุปการไปในป่า
เห็นสองกุมารขี่อาชา จึ่งจู่โจมโถมมาเข้าราวี
เพื่อนรันด้วยคันศรทรง ถูกข้าสลบลงกับที่
ครั้นฟื้นคืนได้สมประดี ก็แปลงเป็นกระบี่พนาดร
ชวนเล่นเห็นสนิทแล้วจะจับ แต่กระหยับก็หวดด้วยคันศร
ดั่งสายสุนีบาตฟาดฟอน ร้อนเพียงจะวินาศขาดใจ
ครั้นแล้วก็มัดด้วยเถาวัลย์ ว่ากล่าวเย้ยหยันหยาบใหญ่
ให้เร่งมาบอกพระองค์ไป จะต่อฤทธิไกรด้วยผ่านฟ้า ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตพระสัตรุดกนิษฐา
ฟังขุนกระบี่ผู้ปรีชา โกรธาดั่งกาลอัคคี
เสด็จเข้าใกล้แล้วยื่นหัตถ์ แก้มัดพญากระบี่ศรี
ไม่เคลื่อนคลายออกจากอินทรีย์ ภูมีจึ่งทรงพระขรรค์ชัย
ช่วยกันเชือดตัดเป็นสามารถ เถาวัลย์จะขาดก็หาไม่
อัศจรรย์พลางทอดพระเนตรไป เห็นในอักษรจารึกมา
อ่านแจ้งแล้วบัญชาการ อ่านสารที่เขาสักหน้า
ถ้อยคำองอาจอหังการ์ หยาบช้าเป็นพ้นพันทวี
เราใช่เจ้าท่านไม่แก้ได้ จนใจอยู่แล้วกระบี่ศรี
จงเข้าไปเฝ้าพระจักรี ยังที่นิเวศน์อันโอฬาร ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พญาอนุชิตยอดทหาร
ทั้งอายทั้งแค้นพ้นประมาณ ปานดั่งจะแทรกพระสุธา
อนิจจาอกเอ๋ยครั้งนี้ จะเป็นที่อัปยศทั่วหน้า
จะเหาะไปก็อายแก่เทวา จะเดินพื้นพระสุธาก็อายคน
สุดที่ตัวกูจะซ่อนพักตร์ เวทนาเจ็บนักทุกขุมขน
ครั้นมิไปเฝ้าพระภุชพล ก็จะทนลำบากแสนทวี
คิดแล้วลาเบื้องบาทบงสุ์ องค์พระอนุชาสองศรี
เลี้ยวลัดตัดป่าพนาลี ไปยังบุรีอยุธยา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึ่งตรงเข้าไปเฝ้า พระนารายณ์เป็นเจ้านาถา
ซบพักตร์ลงกับพระบาทา มิได้ดูหน้าแสนยากร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น พระกฤษณุรักษ์ทรงศร
เสด็จเหนือแท่นแก้วบวร ภูธรเหลือบเห็นหนุมาน
ต้องมัดไพล่หลังเข้ามา ผ่านฟ้ากริ้วโกรธดั่งเพลิงผลาญ
จึ่งมีสีหนาทโองการ เหวยลูกพระพายชาญฉกรรจ์
ตัวนี้ศักดาวราฤทธิ์ ทั่วทั้งทศทิศก็ไหวหวั่น
แต่สหัสเดชะนั้น มีเศียรถึงพันเกรียงไกร
อาวุธครบสองพันกร ยังไม่ทานฤทธิรอนของตัวได้
ครั้งนี้ไปตามมโนมัย เหตุใดใครจับมัดมา
เชือกเล่าก็เถาลัดดาวัลย์ ให้ผูกมั่นมาได้ไม่อายหน้า
เสียทีที่มีศักดา ชั่วกว่าลิงป่าพนาลี
ตรัสพลางเหลือบเล็งเพ่งพิศ ลิขิตที่หน้ากระบี่ศรี
ก็รู้ว่าทำมาด้วยฤทธี ภูมียิ่งกริ้วโกรธนัก
กระทืบบาทผาดแผดสีหนาท เหวยใครอาจองทะนงศักดิ์
ไม่เกรงกูผู้องค์หริรักษ์ มันจักพากันวายปราณ
ตรัสพลางเหยียดยื่นพระหัตถ์ แก้มัดตามคำอธิษฐาน
ก็ลุ่ยหลุดจากกรหนุมาน ด้วยเดชพระอวตารผู้ศักดา ฯ

ฯ ๑๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ลูกพระพายผู้มียศถา
ยอกรกราบลงกับบาทา ก้มหน้าคิดแค้นแสนทวี
ถอนใจแล้วทูลบรรยาย แต่ต้นจนปลายถ้วนถี่
อันกุมารพี่น้องทั้งสองนี้ ศรศรีประเสริฐเลิศไกร
แต่ข้าเป็นข้าพระองค์ จะขายเบื้องบาทบงสุ์ก็หาไม่
ครั้งนี้โทษถึงบรรลัย ภูวไนยจงทรงพระเมตตา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกนาถา
ได้ฟังกริ้วโกรธา ดั่งโลกาเกิดไฟบรรลัยกาล
ดูดู๋ไอ้ลูกกะจิริด ทะนงจิตมาทำอวดหาญ
เหวยเหวยคำแหงหนุมาน ตัวท่านจงรีบกลับไป
บอกพระอนุชาทั้งสององค์ รณรงค์จับตัวมาให้ได้
จะทำให้สาแกน้ำใจ ไตรโลกจะไม่ดูเยี่ยงมัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น วายุบุตรฤทธิแรงแข็งขัน
รับสั่งพระองค์ทรงสุบรรณ บังคมคัลแล้วเหาะไปทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึ่งทูลเบื้องบาท พระอนุชาธิราชสองศรี
ว่าองค์สมเด็จพระจักรี ภูมีกริ้วโกรธดั่งเพลิงกาล
ให้เร่งโยธาพลากร รถรัตน์อัสดรทวยหาญ
ไปสัประยุทธ์รอนราญ จับสองกุมารนั้นมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตพระสัตรุดกนิษฐา
ได้แจ้งแห่งราชบัญชา ก็ให้กรีธาพลสกลไกร
สิ้นทั้งกองหน้ากองหลัง คับคั่งเพียงพื้นแผ่นดินไหว
หนุมานนั้นนำทัพไป ตามในแนวป่าอารัญ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระมงกุฎสุริย์วงศ์รังสรรค์
ขับม้าเที่ยวเล่นในไพรวัน ชมพรรณพฤกษาตระการ
แลไปเห็นกระบี่เผือกผู้ นำหมู่จตุรงค์ทวยหาญ
จึ่งบอกอนุชาชัยชาญ ไอ้ลิงสาธารณ์ที่มัดไว้
มันกลับนำพวกกองทัพ โยธาซ้อนซับไม่นับได้
ซึ่งขี่รถอยู่กลางพลไกร ชะรอยเป็นนายใหญ่ยกมา
มาเถิดจะต่อด้วยศรสิทธิ์ อันมีฤทธิไกรแกล้วกล้า
ว่าพลางลงจากอาชา ออกยืนขวางหน้าพลากร
พระหัตถ์กวัดแกว่งธนูทรง อาจองดั่งพญาไกรสร
ออกจากถํ้าแก้วอันบวร จะเผ่นจรเข้าจับมฤคี
จึ่งกล่าวมธุรสถามไป ไฉนพระองค์ทั้งสองศรี
จึ่งยกโยธามาดั่งนี้ มีประสงค์สิ่งใดจงบอกมา ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองกษัตริย์สุริย์วงศ์นาถา
ฟังพลางทางทอดทัศนา เห็นโฉมกุมาราวิลาวัณย์
ทั้งสองนวลละอองผ่องพักตร์ คล้ายพระหริรักษ์รังสรรค์
จะเป็นสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์ กษัตราเขตขัณฑ์บุรีใด
ออกมาร่ำเรียนวิชา พระสิทธาดาบสเป็นไฉน
พี่น้องเที่ยวอยู่ในไพร ไม่มีไพร่พลโยธี
น้อยน้อยกระจ้อยน่ารัก แหลมหลักรู้การศรศรี
ทั้งองอาจเจรจาพาที มิได้เกรงกูผู้ศักดา
คิดแล้วจึ่งมีบรรหาร เหวยสองกุมารใจกล้า
หน่อเนื้อนามกรแลพารา อยู่ไหนเจ้าว่าให้แจ้งใจ
มาขี่ม้าร่วมอาสน์พระจักรกฤษณ์ โดยจิตกำเริบหยาบใหญ่
แล้วมัดวายุบุตรวุฒิไกร ประจานไปไม่เกรงบทมาลย์
บัดนี้พระองค์ทรงพระโกรธ โปรดให้เรายกทวยหาญ
มาจับสองเจ้าผู้ใจพาล ไปถวายพระผู้ผ่านโลกา ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระมงกุฎวุฒิไกรใจกล้า
ได้ฟังจึ่งตอบวาจา มาถามนามวงศ์ด้วยอันใด
ตัวท่านเจรจานี้เกินนัก จะเกรงพักตร์กันบ้างก็หาไม่
อย่าคิดอาจองทะนงใจ ใช่ว่าจะกลัวฤทธี
ม้านี้ไม่มีใครเลี้ยงดู เที่ยวอยู่กลางป่าก็จับขี่
ฝ่ายไอ้ลิงเผือกมาราวี เราตีด้วยศรอันศักดา
ครั้งหนึ่งแล้วไม่หลาบจำ จึ่งทำให้สมน้ำหน้า
ปล่อยไปไม่ล้างชีวา จะว่าเราผิดด้วยอันใด
ท่านมิพินิจดูข้อความ มาวู่วามเจรจาหยาบใหญ่
ซึ่งว่าจะจับเอาตัวไป ตกใจเป็นพ้นพันทวี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตทรงสวัสดิ์รัศมี
ได้ฟังจึ่งตอบวาที ดูดู๋ว่านี้ด้วยพาลา
อันพระรามทรงทศธรรเมศ ลือเดชทั่วทุกทิศา
ไม่เห็นหรือที่คออาชา สารามีแจ้งเป็นสำคัญ
เราเมตตาจึ่งว่าแต่โดยดี ยังพาทีหยาบช้าโมหันธ์
ลูกเล็กเด็กน้อยเท่าแมงวัน จะพากันสิ้นชีพวายปราณ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระมงกุฎผู้ปรีชาหาญ
สรวลพลางทางตอบพจมาน ท่านอย่าอวดฤทธิ์ให้ตกใจ
อันในสารศรีที่บรรยาย ต้นปลายหาสมกันไม่
ปล่อยม้ามาพาลผิดใคร นี่หรืออยู่ในสัตยา
ถึงมาตรพระรามจักรี จะมีฤทธีแกล้วกล้า
ว่าเป็นองค์พระหริรักษ์จักรา อวตารมาล้างอาธรรม์
จะปราบได้แต่ไอ้หมู่มาร ที่หยาบช้าสาธารณโมหันธ์
กับท้าวพญาทั้งนั้น บรรดาไม่มีฤทธิไกร
อันเราพี่น้องทั้งสองรา จะเป็นข้าพระรามก็หาไม่
เห็นแต่เป็นเด็กจะจับไป ว่าได้ดั่งไม่มีฤทธี
เอ็นดูแต่หมู่ทวยหาญ จะพลอยบรรลัยลาญด้วยศรศรี
ท่านสองเราสองมาราวี ใครดีก็จะได้เห็นกัน ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์รังสรรค์
ฟังกุมารเจรจาดึงดัน โกรธดั่งเพลิงกัลป์บรรลัยกาล
เหม่เหม่ดูดู๋ไอ้ลูกน้อย ถ้อยคำหยาบช้ากล้าหาญ
มิได้เกรงกูผู้ชัยชาญ จะฆ่าให้วายปราณเสียบัดนี้
ว่าแล้วก็ขึ้นศรทรง สง่างามดั่งองค์โกสีย์
น้าวหน่วงด้วยกำลังฤทธี ภูมีผาดแผลงไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ มืดมนอนธการทั่วทิศ เสียงสนั่นครรชิตแผ่นดินไหว
ศรเป็นข่ายเพชรอันเกรียงไกร ล้อมไว้ทั้งสองกุมารา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระมงกุฎวุฒิไกรใจกล้า
เห็นข่ายเพชรล้อมรอบกายา ก็แผลงศรศักดาไปทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั่นครื้นทั้งหมื่นโลกธาตุ วิมานมาศสะเทือนทุกราศี
ข่ายเพชรแหลกยับเป็นธุลี ดั่งต้องอัคคีบรรลัยกัลป์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตฤทธิแรงแข็งขัน
เห็นกุมารผาดแผลงโรมรัน ข่ายเพชรนั้นขาดระยำไป
จึ่งชักพระแสงศรศาสตร์ อันมีอำนาจแผ่นดินไหว
พาดสายน้าวหน่วงว่องไว แผลงไปด้วยกำลังศักดา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ สำเนียงสนั่นครั่นครื้น เป็นนาคแน่นพื้นเวหา
พ่นพิษเลี้ยวไล่กุมารา ด้วยฤทธาน้องพระจักรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระมงกุฎทรงสวัสดิ์รัศมี
เห็นศรแผลงเป็นนาคี ก็สำแดงฤทธีเกรียงไกร
พระพี่น้องสำรวลสรวลสันต์ จะหวาดหวั่นพระทัยก็หาไม่
ต่างองค์จับศรแผลงไป หวั่นไหวโลกาฟ้าดิน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ กลับกลายไปเป็นพญาครุฑ ฉวยฉุดภุชงค์ไว้ได้สิ้น
ฉีกฉาบคาบเคี้ยวนาคินทร์ จิกกินเป็นภัสม์ธุลี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตพระสัตรุดเรืองศรี
เห็นกุมารแผลงศรมาราวี เห็นครุฑจิกนาคีหายไป
โกรธากวัดแกว่งศรศาตร์ กระทืบบาทสนั่นหวั่นไหว
ลงจากรถแก้วแววไว เข้าไล่หักโหมโรมรัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ สี่องค์ทรงฤทธิ์ชัยชาญ ต่างอาจต่างหาญแข็งขัน
ฝ่ายพี่ต่อพี่เข้าจับกัน น้องต่อน้องนั้นเข้าราวี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น สองกุมารทรงสวัสดิ์รัศมี
รับรองป้องกันประจัญตี ต่างหนีต่างไล่กันไปมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ พระมงกุฎจึ่งชักศรสิทธิ์ ด้วยกำลังฤทธิ์แกล้วกล้า
งามดั่งพระขันธ์กุมารา แผลงสนั่นลั่นฟ้าสุธาธาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ศรต้องสองกษัตริย์ตลอดองค์ ล้มลงปิ้มสิ้นสังขาร
แล้วเป็นบ่วงบาศไปรอนราญ มัดพวกพลหาญวุ่นไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ฝ่ายพลโยธาน้อยใหญ่
ซึ่งบ่วงบาศรึงรัดมัดไว้ ตกใจไม่เป็นสมประดี
ล้มลกคุกคลานสับสน ต่างตนตะเกียกตะกายหนี
กลิ้งกลาดดาษป่าพนาลี ร้องมี่อื้ออึงเป็นโกลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า
เห็นศรต้องสองกษัตรา มัดทั้งโยธาพลากร
ชิชะกุมารนี้สามารถ องอาจแกล้วกล้าชาญสมร
กูก็เป็นทหารฤทธิรอน องค์พระสี่กรอวตาร
มาตรแม้นถึงตายจะไว้ยศ ให้ปรากฏไปทั่วทุกสถาน
คิดแล้วยอกรมัสการ อ่านเวทนิมิตอินทรีย์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ ตระ

๏ แปดกรสี่พักตร์สำแดงเดช เท่าบรมพรหเมศเรืองศรี
โลดโผนโจนไปทันที เข้าราวีจับสองกุมารา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น สองกุมารชาญชัยใจกล้า
เห็นกระบี่สำแดงฤทธา โลดโผนโจนมาราญรอน
ต่างองค์ต่างเข้ารณรงค์ หวดลงด้วยคันธนูศร
ต้องกายหนุมานไม่ทานกร ล้มนอนสลบไปทันที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด โอด

๏ เมื่อนั้น ทั้งสองน้องนารายณ์เรืองศรี
ต้องศรไม่สิ้นชีวี ด้วยเกราะพระจักรีประทานมา
ดำรงกายขึ้นได้ทั้งสององค์ ฝ่ายพระพรตสุริย์วงศ์เชษฐา
จึ่งตรัสแก่พระอนุชา ถึงเราไปลงกามลิวัน
สังหารมารม้วยอกนิษฐ์ ทั่วทั้งทศทิศไหวหวั่น
แต่เด็กน้อยนี้น่าอัศจรรย์ พงศ์พันธุ์ใครหนอจึ่งเรืองชัย
หรือสามพระเป็นเจ้าให้กำเนิด เกิดมาล้างเราเป็นไฉน
ศรมันจึ่งมีฤทธิไกร ต้องเราตลอดไปทั้งกายา
เจ็บปวดชอกชํ้าพันทวี อับอายตรีโลกเป็นหนักหนา
ว่าแล้วจึ่งสองกษัตรา ก็ร่ายวิทยาอันเพริศพราย ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ ตระ

๏ ครั้นครบสามคาบก็ลูบลง ความเจ็บพระองค์ก็สูญหาย
ไม่มีบาดแผลกับกาย น้องนารายณ์ทอดทัศนาไป
เห็นพญาอนุชิตสิทธิศักดิ์ อันเป็นเอกอัครทหารใหญ่
นอนนิ่งดั่งสิ้นชีวาลัย พลไกรต้องมัดไม่สมประดี
สองพระองค์ทรงตั้งอธิษฐาน เดชะพระอวตารเรืองศรี
ไวกูณฐ์มาบำรุงธาตรี ขอให้ขุนกระบี่เป็นมา
อันเสนีรี้พลทั้งนั้น ให้เถาวัลย์หลุดจากหัตถา
ว่าแล้วทรงศรอันศักดา ผ่านฟ้าก็ผาดแผลงไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ บังเกิดเป็นวายุพัดพาน หนุมานก็ฟื้นกายได้
บ่วงบาศที่ต้องพลไกร ก็ลุ่ยหลุดออกไปทันที
ศรพระพรตนั้นต้องธนูทรง กระทบองค์พระมงกุฎเรืองศรี
ล้มลงกับพื้นปถพี ด้วยฤทธิน้องพระอวตาร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ
ขบฟันโลดโผนโจนทะยาน เขาจับกุมารด้วยศักดา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ฉวยคว้ารวบรัดได้พี่ น้องหนีเลี้ยวลัดเข้าในป่า
จึ่งพาพระมงกุฎมา ถวายสองกษัตราวิลาวัณย์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ