สมุดไทยเล่มที่ ๖๒

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวพันพักตร์ยักษา
เห็นกระบี่หักกระบองแล้วโยนมา อสุรากริ้วโกรธพิโรธนัก
จึ่งตรัสสั่งพวกพหลพลมาร เร่งเข้ารอนราญหาญหัก
จับไอ้ลิงขาวบ่าวรามลักษมณ์ กูจะหักคอเคี้ยวเสียเดี๋ยวนี้ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พวกพหลพลยุทธ์ยักษี
ได้รับสั่งตั้งท่าเข้าราวี ต่อตีรบรับกับวานร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานชาญสมร
ผู้เดียวโรมรันประจัญกร ราญรอนสัประยุทธ์กุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ องอาจดั่งราชไกรสีห์ จับฝูงมฤคีผกผัน
ตีนถีบมือตบพัลวัน ฟอนฟันด้วยกำลังฤทธา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ฝ่ายพวกพลมารยักษา
กลัวนายไม่เสียดายชีวา ดากันหนุนเนื่องเข้าไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ตีรันฟันฟาดอุตลุด พุ่งซัดอาวุธน้อยใหญ่
ยิงธนูหน้าไม้ปืนไฟ หมายใจจะฆ่าให้วายปราณ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ
รบรุกบุกบันประจัญบาน โถมทะยานเข้ากลางโยธา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เหยียบบ่าคว้าเศียรกุมภัณฑ์ ผกผันเรี่ยวแรงแข็งกล้า
สี่กรรอนราญอสุรา หวดซ้ายป่ายขวาวุ่นไป
อันหมู่โยธีรี้พล จะเหลือแต่สักตนก็หาไม่
ตายกลาดดาษป่าพนาลัย ด้วยฤทธิไกรราวี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ท้าวสหัสเดชะยักษี
สิ้นรถสิ้นทศโยธี โกรธดั่งอัคคีบรรลัยกาล
จึ่งจับศรสิทธิ์ฤทธิรงค์ อันทรงเดชากล้าหาญ
พาดสายหมายมุ่งจะรอนราญ ขุนมารก็ผาดแผลงไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ มืดคลุ้มกลุ้มทั่วอากาศ เป็นศรเกลื่อนกลาดไม่นับได้
ต้องกายหนุมานชาญชัย เต็มไปทุกเส้นโลมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า
ต้องศรพญาอสุรา วานรไม่ระคายอินทรีย์
สี่กรถอนชักหักเล่น โลดเต้นเยาะเย้ยยักษี
แล้วเผ่นโผนไปด้วยฤทธี เข้าไล่ราวีกุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ โจนขึ้นเหยียบบ่าคว้าเศียร กลับกลอกผลัดเปลี่ยนเหียนหัน
ต่างแทงต่างรับต่างฟัน พัลวันป้องปัดไปมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ท้าวสหัสเดชะยักษา
สองพันกรแกว่งสาตรา อสุรารุกโรมโจมตี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เท้าซ้ายเหยียบเข่าวานร หวดด้วยคันศรยักษี
ต้องกายหนุมานหลายที ขุนกระบี่หันเหเซไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานทหารใหญ่
โกรธาตาแดงดั่งแสงไฟ แกว่งตรีเข้าไล่อสุรา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ชิงได้อาวุธทั้งสองพัน แทงฟันต้องกายยักษา
ถีบซ้ำกระหนํ่าด้วยบาทา อสุราไม่ทานฤทธี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ท้าวสหัสเดชะยักษี
เจ็บปวดยวดยิ่งพันทวี อสุรีหวาดหวั่นพรั่นใจ
สิ้นคิดสิ้นกำลังกายา สิ้นทั้งสาตราน้อยใหญ่
สิ้นพวกพหลพลไกร ไม่มีสิ่งใดจะต่อยุทธ์
นิ่งขึงตะลึงทั้งอินทรีย์ เสียดายชีวีเป็นที่สุด
ฉิฉะทหารมนุษย์ ฤทธิรุทรไม่มีใครเทียมทัน
แล้วคิดมานะขึ้นมา ด้วยกำลังพาลาโมหันธ์
ตัวกูก็ชายชาญฉกรรจ์ สุริย์วงศ์กุมภัณฑ์เลิศไกร
ตรีโลกเลื่องชื่อลือสิ้น จะย่อท้อไพรินกระไรได้
ถึงตายไม่เสียดายชีวาลัย ให้ปรากฏเกียรติไว้ในครั้งนี้
คิดพลางทางทำสิงหนาท องอาจดั่งพญาราชสีห์
โลดโผนโจนไปด้วยฤทธี เข้าง้างคีรีเป็นโกลา ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ เชิด

๏ บรรพตหักลงด้วยกำลัง เสียงดังดั่งเสียงฟ้าผ่า
สองพันกรก็ช้อนชูมา อสุราไล่ทิ้งวานร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานชาญสมร
รับรองป้องปัดทั้งสี่กร โถมเข้าราญรอนอสุรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ กวัดแกว่งตรีเพชรระเห็จหัน ฟอนฟันถีบแทงยักษี
ล้มลงยังพื้นปัถพี กระบี่เหยียบไว้กับบาทา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ แล้วจึ่งยอกรอภิวาทน์ พระสยมภูวนาถนาถา
หลับเนตรร่ายเวทอันศักดา นิมิตหางวานรทันใด ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๏ เดชะวิทยาอันเชี่ยวชาญ หางนั้นบันดาลยาวใหญ่
รวบรัดมัดอสุราไว้ ตลอดไปทั่วทั้งอินทรีย์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสองพันกรยักษี
แว้งวัดสลัดด้วยฤทธี หางกระบี่ไม่หลุดจากกายา
ยิ่งไหวทีไรก็รัดเข้า เจ็บปวดรวดเร้าเป็นหนักหนา
สุดฤทธิ์สุดคิดอสุรา ก็นั่งโศการำพัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

โอ้

๏ โอ้อนิจจาแก่ตัวกู เสียแรงรู้พระเวทรังสรรค์
เสียแรงเรืองฤทธิไกรดั่งไฟกัลป์ อาวุธครบครันสองพันกร
เชื้อชาติบุรุษอาชาชาญ แกล้วกล้าชำนาญในการศร
เลื่องชื่อลือเดชขจายจร ฤทธิรอนปราบได้ทั้งแดนไตร
ควรหรือหลงลมแก่ลิงป่า มาลวงเอาคทาไปได้
จนเสียตนเสียชีพชีวาลัย ใครเลยจะนับว่าดี
เป็นที่อัปยศอดสู แก่หมู่เทวาทุกราศี
ทั้งมนุษย์ครุฑานาคี ร่ำพลางอสุรีก็โศกา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า
หย่อนหางห่างกายอสุรา ก็เหาะมาในทางอัมพร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงน้อมเกล้าบังคมทูล นเรนทร์สูรสุริย์วงศ์ทรงศร
ซึ่งตัวข้าบาทวานร ไปต่อกรด้วยพญากุมภัณฑ์
บัดนี้ข้ามัดประจานไว้ ตัวมันยังไม่อาสัญ
ขอให้วานรทั้งนั้น พากันไปเยาะอสุรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์องค์นารายณ์เรืองศรี
ฟังลูกพระพายพาที ยินดีดั่งได้ฟากฟ้า
จึ่งมีพระราชโองการ สั่งหมู่ทหารซ้ายขวา
จงไปเยาะเย้ยอสุรา ให้สมนํ้าหน้าไอ้จังไร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น โยธาวานรน้อยใหญ่
รับสั่งพระตรีภูวไนย ดีใจก็พากันรีบจร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึ่งเห็นอสุรี อินทรีย์ใหญ่เท่าสิงขร
มีเศียรพันเศียรสองพันกร เขี้ยวขาวยาวงอนเพียงตา
หนุมานมัดไว้ด้วยหาง นั่งครางอยู่ริมชายป่า
แล้วแลเห็นนางอสุรา วิ่งวุ่นโศกาจาบัลย์
มีความชื่นชมโสมนัส ตบหัตถ์สำรวลสรวลสันต์
เหล่าพลกระบี่ก็ชวนกัน ไล่นางกำนัลวุ่นไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ฝูงนางอสุรีน้อยใหญ่
เห็นกระบี่ไล่มาก็ตกใจ นางในวิ่งปะทะปะกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ร้องตรีดหวีดหวาดอลหม่าน ล้มลุกคลุกคลานตัวสั่น
ลัดแลงแฝงพุ่มพนาวัน วิ่งแยกแตกกันไม่สมประดี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ฝ่ายหมู่โยธากระบี่ศรี
ไล่สกัดจับนางอสุรี อุตลุดอึงมี่เป็นโกลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บ้างฉวยบ่าฉวยผ้าฉวยมือ ยุดยื้อสำรวลสรวลร่า
ฉุดมาตรงพักตร์อสุรา วานรเยาะเย้ยกุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

เย้ย

๏ นี่หรือเจ้ากรุงปางตาล พี่น้องอวดหาญว่าแข็งขัน
มาช่วยจะเอารางวัล ทีนี้กุมภัณฑ์ได้สมคิด
เหวยไอ้ตัวโตโง่เปล่า ไม่รู้เท่าหนุมานแต่สักหนิด
อวดมือสองพันว่ามีฤทธิ์ จะสู้พระจักรกฤษณ์เลิศไกร
กูนี้ขอบคุณเอ็งหนักหนา อุตส่าห์พาเมียมาส่งให้
ในที่กันดารลำบากใจ หรือจะใคร่เอาเชื้อวานร
ว่าพลางไขว่คว้านางกำนัล ยิงฟันตะคอกหลอกหลอน
ลางลิงเข้ายุดฉุดกร ยื้อคร่าผ้าผ่อนไม่สมประดี
เหวยเหวยเฮ้ยอ้ายยักษ์เฒ่า ดูเราจะภิรมย์สมศรี
ว่าพลางจูบนางอสุรี ทำทีเยาะเย้ยไปมา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ กราวรำ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสหัสเดชะยักษา
เห็นวานรเย้ยหยามก็โกรธา ตาแดงดั่งแสงพระอาทิตย์
พันปากสำรากแผดร้อง เสียงสนั่นลั่นก้องถึงดุสิต
เหวยไอ้เดียรฉานปัจจามิตร อย่าพักอวดฤทธิ์ไอ้อัปรีย์
ร้องพลางผุดลุกกระทืบบาท ทำอำนาจจะไล่กระบี่ศรี
ยิ่งดิ้นยิ่งตรึงอินทรีย์ อสุรีขัดแค้นแน่นใจ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานทหารใหญ่
ครั้นหมู่โยธีกระบี่ไพร เยาะเย้ยไยไพอสุรา
เสร็จแล้วชักตรีฤทธิรุทร อาวุธสำหรับหัตถา
กวัดแกว่งสำแดงเดชา ตัดเกล้าเกศาอสุรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เศียรนั้นก็ขาดกระเด็นไป ด้วยฤทธิไกรกระบี่ศรี
ล้มลงกับพื้นปถพี สุดสิ้นชีวีวายปราณ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๏ ครั้นเสร็จซึ่งล้างกุมภัณฑ์ ลูกพระพายเทวัญใจหาญ
ก็พาวานรบริวาร มาเฝ้าพระอวตารผู้ศักดา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ จึ่งน้อมเศียรเกล้าบังคมทูล นเรนทร์สูรธิราชนาถา
อันสหัสเดชะอสุรา ข้าฆ่าสุดสิ้นชีวี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระนารายณ์ทรงสวัสดิ์รัศมี
ฟังลูกพระพายก็ยินดี จึ่งมีมธุรสพจมาน
มิเสียทีเป็นวงศ์เทเวศ เรืองเดชเลื่องชื่อลือหาญ
ใช้ไหนก็ได้ราชการ ปรีชาเชี่ยวชาญทุกสิ่งไป
กำลังฤทธิรอนขจรจบ ทั้งสามพิภพไม่เปรียบได้
ควรที่ต่างตาต่างใจ ในการรณรงค์ราวี
ตรัสแล้วกลับรถสุรกานต์ ให้เลิกทวยหาญกระบี่ศรี
โห่สนั่นครั่นครื้นธาตรี กลับไปยังที่พลับพลา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น ฝ่ายสารัณทูตยักษา
แอบดูอยู่เชิงบรรพตา เห็นพญาอุปราชบรรลัย
ทั้งเจ้ากรุงพระนครปางตาล หนุมานลวงฆ่าเสียได้
สิ้นทั้งพวกพลสกลไกร ตกใจก็รีบเข้าธานี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงน้อมเกล้ายังคมทูล ท้าวราพณาสูรยักษี
ว่ามูลพลัมอสุรี ไปต่อตีกับพระลักษมณ์อนุชา
จนสิ้นโยธาพลากร ภูธรม้วยชีพสังขาร์
ทั้งสหัสเดชะอสุรา ก็หลงมารยาหนุมาน
ผู้เดียวเคี่ยวฆ่าจนสิ้นพล พวกพหลโยธีทวยหาญ
แล้วมันจับตัวมัดประจาน ผลาญเสียให้สิ้นชีวี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวทศพักตร์ยักษี
ได้ฟังดั่งสายอสุนี มาฟอนฟาดอินทรีย์ขาดไป
กอดเข่านิ่งขึงตะลึงอยู่ เป็นครู่ไม่ออกปากได้
ชลเนตรคลอเนตรถอนใจ มีความอาลัยเป็นพ้นนัก
โอ้ว่าเสียดายพระเชษฐา เลื่องชื่อลือชาทั้งไตรจักร
กับมูลพลัมสหายรัก ก็ทรงศักดาเดชชัยชาญ
ควรหรือมาแพ้ฤทธิรุทร มนุษย์กับไอ้เดียรัจฉาน
ดั่งชายชั่วช้าสาธารณ์ ได้ความอัประมาณทั้งธาตรี
แต่แสนทุกข์แสนเทวษเป็นสุดคิด ร้อนจิตดั่งหนึ่งไฟจี่
จนพลบคํ่าสิ้นแสงพระรวี ก็เสด็จเข้าที่บรรทมใน ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ

ช้า

๏ เอนองค์ลงเหนือบรรจถรณ์ ยอกรก่ายพักตร์โหยไห้
โอ้ว่าทีนี้จะได้ใคร ที่จะออกชิงชัยด้วยไพริน
อันหมู่สุริย์วงศ์ในลงกา สหายร่วมชีวาก็ตายสิ้น
ฉิฉะมนุษย์เดินดิน มาดูหมิ่นกันได้ถึงเพียงนี้
แต่ผุดลุกผุดนั่งไม่ไสยาสน์ จนภาณุมาศเรืองรองส่องสี
จึ่งชำระสระสรงอินทรีย์ อสุรีออกท้องพระโรงคัล ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๏ ลดองค์ลงเหนือบัลลังก์รัตน์ ภายใต้เศวตฉัตรฉายฉัน
พร้อมหมู่อสุรกุมภัณฑ์ อภิวันท์เกลื่อนกลาดดาษดา
จึ่งมีพระราชบรรหาร แก่เสนามารยักษา
อันศึกมนุษย์ที่ยกมา แกล้วกล้าสามารถอาจใจ
แต่พระเชษฐาพันพักตร์ เรืองฤทธิ์สิทธิศักดิ์แผ่นดินไหว
กับมูลพลัมไปชิงชัย ก็พ่ายแพ้บรรลัยลงด้วยกัน
ตัวกูเป็นเจ้าอสุรี ยกพวกโยธีพลขันธ์
ออกไปรบรุกบุกบัน หักมันไม่ได้ดั่งจินดา
จะได้ผู้ใดที่องอาจ เรืองฤทธิ์อำนาจแกล้วกล้า
ไปหักหาญผลาญมันให้มรณา สิ้นทั้งโยธากระบี่ไพร ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนีธิบดีน้อยใหญ่
ได้ฟังบัญชาภูวไนย บังคมไหว้สนองพระโองการ
อันในสุริย์วงศ์พระองค์นี้ ที่มีปรีชากล้าหาญ
เห็นแต่แสงอาทิตย์ชัยชาญ ขุนมารเป็นราชโอรส
องค์พระอนุชาพญาขร มีแว่นฤทธิรอนดั่งเพลิงกรด
ของบรมพรหเมศในโสฬส กำหนดประสาทให้มา
มาตรแม้นถ้าส่องต้องใคร ก็บรรลัยสิ้นชีพสังขาร์
ขอให้ไปเชิญพระนัดดา มาฆ่าอริราชไพรี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์ยักษี
ได้ฟังมีความยินดี ดั่งได้มณีเทวัญ
ยี่สิบหัตถ์ตบเพลาฉาดฉาน สิบปากขุนมารสรวลสันต์
พักตร์ผ่องดั่งหนึ่งดวงจันทร์ จึ่งมีบัญชาตรัสไป
จริงแล้วหลานกูผู้มีฤทธิ์ ต่อว่าจึ่งคิดขึ้นได้
เหวยนนทการผู้ร่วมใจ เร่งไปหาหลานกูมา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งนนทการยักษา
ก้มเกล้ารับราชบัญชา บังคมลาออกจากพระโรงคัล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เหาะขึ้นยังพื้นอัมพร ด้วยกำลังฤทธิรอนแข็งขัน
ข้ามสมุทรดังพญาสุบรรณ กุมภัณฑ์ก็รีบระเห็จไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงโรมคัลบุรี นนทการผู้มีอัชฌาสัย
ลงจากอากาศด้วยว่องไว เข้าในนิเวศน์อสุรา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ น้อมเศียรประณตบทบงสุ์ องค์แสงอาทิตย์ยักษา
บัดนี้สมเด็จพระบิตุลา ให้ข้ามาเฝ้าบทมาลย์
ด้วยศึกทั้งสองมนุษย์นั้น ยังติดพันรบหนักหักหาญ
ผู้ใดออกไปต้านทาน ก็วายปราณด้วยมือไพรี
ทั้งองค์อินทรชิตเชษฐา พญามังกรกัณฐ์ยักษี
ยกพลโยธาออกต่อตี ก็สุดสิ้นชีวีลงด้วยกัน
เชิญเสด็จพระองค์ไปเฝ้า พระปิ่นเกล้าจอมภพรังสรรค์
จะปรึกษาสงครามล้างมัน ให้ทันรุ่งเช้าเวลา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น แสงอาทิตย์สิทธิศักดิ์ยักษา
แจ้งข่าวเร่าร้อนในอุรา ดั่งสายฟ้าฟาดต้องอินทรีย์
ความรักความเสียดายพี่ชายนัก ชลนัยน์นองพักตร์ยักษี
ตะลึงไปมิได้พาที อสุรีคั่งแค้นแน่นใจ
ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกระทืบบาท สำเนียงกัมปนาทหวาดไหว
เหม่เหม่มนุษย์กับลิงไพร ดีแล้วจะได้เห็นกัน
ว่าพลางสั่งจิตรไพรี พี่เลี้ยงผู้ร่วมชีวาสัญ
เร่งเกณฑ์อสุรกุมภัณฑ์ ให้ทันรุ่งแสงสุริยา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งจิตรไพรียักษา
ก้มเกล้ารับราชบัญชา ถวายบังคมลาแล้วออกไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ยานี

๏ เกณฑ์หมู่อสุรกุมภัณฑ์ เลือกล้วนลํ่าสันโตใหญ่
กองหนึ่งมือถือปืนไฟ สอดใส่เสื้อศึกพื้นแดง
หมู่หนึ่งใส่เสื้อเขียวขาบ กรนั้นถือดาบกวัดแกว่ง
หมู่หนึ่งมือถือทวนแทง ใส่เสื้อเครือแย่งพื้นดำ
หมู่หนึ่งสอดเสื้อสีหมอก เหน็บกริชกุมหอกปลอกคร่ำ
หมู่หนึ่งเสื้อสีดอกคำ ถือง้าวร่ายรำกรีดกราย
ขุนช้างขี่ช้างซับมัน กุมขอหยัดยันเฉิดฉาย
ขุนม้าขี่ม้าลำพองกาย ถือหอกซัดหมายปัจจามิตร
ขุนรถขี่ขับรถศึก พร้อมพรั่งคั่งคึกอกนิษฐ์
ต่างตนประกวดอวดฤทธิ์ ตั้งไปต่างทิศยาตรา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น องค์แสงอาทิตย์ยักษา
ครั้นรุ่งสางสว่างเวลา เสด็จมาสระสรงชลธาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ สนานกายสายสินธุวาเรศ จากฝักประทุมเมศหอมหวาน
สุคนธาธารกลิ่นสุมามาลย์ เสาวรสซาบซ่านอินทรีย์
สนับเพลาเชิงงอนช่องกระจก ภูษายกเป็นรูปราชสีห์
ชายไหวชายแครงเครือมณี เกราะเกล็ดนาคีประดับพลอย
ตาบทิศทับทรวงสังวาลศึก รัดองค์แก้วผลึกเฟื่องห้อย
ทองกรพาหุรัดจำหลักลอย เป็นรักร้อยรายดวงเนาวรัตน์
ทรงมหาธำมรงค์เรือนเก็จ ประดับเพชรถ้วนสิบนิ้วหัตถ์
มงกุฎแก้วกุณฑลดอกไม้ทัด จับศรแกว่งกวัดยืนยัน
งามองค์งามทรงกำลังหาญ ดั่งองค์พระกาลรังสรรค์
เสด็จย่างเยื้องจรจรัล มาขึ้นรถสุวรรณพรรณราย ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ รถเอยรถทรง กำกงแกมแก้วจำรัสฉาย
แอกงอนอ่อนระหงธงปลาย บัลลังก์ลายเลื่อมแสงเนาวรัตน์
เทียมด้วยสิงหราชผาดผยอง สารถีแกว่งตระบองยืนหยัด
ขับเฉื่อยเรื่อยเร็วดั่งลมพัด มยุรฉัตรชุมสายจามร
ธงทิวริ้วรายจนปลายเชือก ทนายเลือกถือปืนธนูศร
ปี่ฆ้องกลองชนะแตรงอน พลากรเยียดยัดอึงอล
โยธาโห่เร้าเอาฤกษ์ เอิกเกริกโลกากุลาหล
ผงคลีมืดคลุ้มพระสุริยน เร่งพลขับข้ามสมุทรไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ กราว

๏ ครั้นถึงลงกาธานี ให้หยุดโยธีทัพใหญ่
ลงจากรถแก้วแววไว ขึ้นไปเฝ้าองค์พระบิตุลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งน้อมเศียรประณตบทเรศ พระผู้พงศ์พรหเมศนาถา
ท่ามกลางอสุรเสนา คอยฟังบัญชาภูมี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า

๏ เมื่อนั้น ท้าวราพณาสูรยักษี
เห็นแสงอาทิตย์ก็ยินดี อสุรีส้วมกอดหลานรัก
เจ้าผู้ดวงใจนัยน์เนตร เลื่องชื่อลือเดชทั้งไตรจักร
สงครามครั้งนี้นี่หนักนัก จะคิดการหาญหักเห็นยากใจ
แต่งใครออกไปก็เสียที จะทานฝีมือมันนั้นไม่ได้
ญาติวงศ์พงศ์พันธุ์ก็บรรลัย จึ่งให้ไปหาเจ้ามา
หวังว่าจะได้พึ่งหลาน อันสามารถอาจหาญแกล้วกล้า
ตัวเจ้าจงยกโยธา เป็นทัพหน้าของลุงออกไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น แสงอาทิตย์ผู้มีอัชฌาสัย
ได้ฟังบรรหารภูวไนย บังคมไหว้สนองพระวาที
อันมนุษย์กับพวกพานรินทร์ มาดูหมิ่นไม่เกรงบทศรี
หลานนี้คิดแค้นแสนทวี ถึงมีฤทธีไม่กลัวกัน
ข้าบาทผู้เดียวจะอาสา เคี่ยวฆ่าให้ม้วยอาสัญ
พระองค์มงกุฎกุมภัณฑ์ อย่ายกพลขันธ์ออกไป
ให้เสียยศศักดิ์พรหเมศ อายฝูงเทเวศน้อยใหญ่
อันสองมนุษย์กับลิงไพร ไว้นักงานข้าจะต่อตี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์ยักษี
ได้ฟังหลานรักพาที อสุรีชื่นชมด้วยสมคิด
ลูบหน้าลูบหลังแล้วบัญชา เจ้าแก้วตาสืบสายโลหิต
มิเสียแรงที่พ่อมีฤทธิ์ ญาติมิตรจะได้พึ่งสืบไป
ว่าแล้วมีราชวาที สั่งมหาเสนีผู้ใหญ่
จงบอกวิเสทนอกใน ให้แต่งเครื่องต้นโอชา
พร้อมทั้งของคาวของหวาน เมรัยชัยบานกลั่นกล้า
ถวายแก่องค์พระนัดดา เลี้ยงทั้งโยธาด้วยกัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งเสนาคนขยัน
รับสั่งพญากุมภัณฑ์ ถวายบังคมคัลแล้วออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งสั่งนายเวรให้หมายบอก วิเสทในนอกซ้ายขวา
ให้แต่งเอมโอชโภชนา ตามพระบัญชาอสุรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ฝ่ายนางวิเสทยักษี
แจ้งหมายจ่ายของเป็นโกลี ตกแต่งตามที่ประกวดกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ฝ่ายวิเสทในก็ทานเทียบ เรียงเรียบเครื่องต้นจัดสรร
ของคาวของหวานครบครัน สารพันมีรสโอชา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ฝ่ายนางพนักงานซ้ายขวา
ยกเครื่องเนื่องตามกันมา ถวายองค์พญาอสุรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ เมื่อนั้น ท้าวทศพักตร์ยักษี
จึ่งชวนหลานรักร่วมชีวี เข้าที่เสวยสำราญใจ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายฝูงกำนัลน้อยใหญ่
อ่าองค์ทรงเครื่องอำไพ เข้าไปหมอบใช้พญามาร
ลางนางก็รินเหล้ากลั่น ใส่จอกสุวรรณฉายฉาน
คำรพจบหัตถ์เอางาน ถวายพระผู้ผ่านลงกา
ลางนางก็อยู่งานพัด แส้ปัดกวัดแกว่งซ้ายขวา
ทำชม้อยชม้ายชายตา ดูทีพญาอสุรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เซ่นเหล้า

สมิงทอง

๏ ฝ่ายนางบำเรอก็ขับครวญ น้ำนวลฉ่ำเฉื่อยเรื่อยรี่
โอดพันโหยหวนไปในที ดีดสีเสียงหวานประสานไป
บ้างตีรำมะนาท้าทับ ฉิ่งกรับขานขัดจังหวะให้
พร้อมเพราะเสนาะจับใจ บำเรอท่านไทกุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

พระทอง

๏ ฝ่ายนางระบำก็รำฟ้อน กรายกรใส่จริตบิดผัน
รายเรียงเคียงหน้าเสมอกัน ตลบหันแทรกเปลี่ยนไปมา
แล้วซัดสองกรอ่อนเคล้า เวียนเข้าใกล้องค์ยักษา
ทำทีชม้ายชายตา ย้ายไปเป็นท่าพัดชากลาย
แล้วตีวงเวียนเปลี่ยนกร กลับฟ้อนสีซอสามสาย
อรชรอ้อนแอ้นกรีดกราย รำถวายพญากุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เพลง

๏ บัดนั้น ฝ่ายนางวิเสทนอกคนขยัน
เสร็จแต่งเครื่องเลี้ยงครบครัน ก็หาบหามตามกันเข้ามา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๏ ตั้งไว้ในหน้าพระลาน ชัยบานช้างปิ้งกระทิงพล่า
หมูไก่วัวควายชุมพา เป็นแถวกลาดดาษดาเกลื่อนไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น พวกพลโยธาน้อยใหญ่
เห็นเครื่องเลี้ยงมาก็ดีใจ ไพร่นายนั่งล้อมทำที
บ้างดื่มสุรากินแกล้ม ยิ้มแย้มหัวร่อกันอึงมี่
โฉงเฉงทำเพลงไม่สมประดี ด่าตีทะเลาะเถียงกัน
บ้างรำเต้นเล่นหน้าคว้าไขว่ ไล่หยอกวิเสทสาวสรรค์
ยื้อยุดฉุดคร่าพัลวัน กุมภัณฑ์ยินดีปรีดา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เซ่นเหล้า

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายแสงอาทิตย์ยักษา
เสวยพลางทางทอดทัศนา ฝูงนางกัลยาระบำใน
ให้เพลิดเพลินจำเริญในรสรัก ขุนยักษ์ครวญคิดพิสมัย
ฟังเสียงสำเนียงก็จับใจ เคลิ้มไปไม่รู้อินทรีย์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวยี่สิบกรยักษี
เสร็จเสวยโภชนาสาลี จึ่งมีมธุรสพจมาน
ดูก่อนนัดดาผู้ร่วมรัก เรืองฤทธิ์สิทธิศักดิ์ห้าวหาญ
แม้นเสร็จศึกภัยบรรลัยลาญ จะบำเหน็จหลานให้ถึงใจ
อันส่วยสาอากรต่างประเทศ ในขอบเขตของลุงจะยกให้
แม้นมาตรปรารถนาสิ่งใด มิได้ขัดองค์พระนัดดา
ว่าแล้วก็เปลื้องสังวาลทรง ถอดธำมรงค์ที่หัตถ์ขวา
ของนี้แต่ครั้งพระอัยกา แก้วตาจงรับเอาไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น แสงอาทิตย์ผู้มีอัชฌาสัย
รับของประทานสำราญใจ บังคมไหว้สนองพระวาที
ตัวหลานกำพร้าบิตุเรศ หากได้พระเดชปกเกศี
สู้ตายไม่เสียดายแก่ชีวี จะขอล้างไพรีให้มรณา
ว่าแล้วประณตบทบงสุ์ ลาองค์พญายักษา
ลงจากปราสาทรัตนา มายังทัพชัยขุนมาร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึ่งนั่งเหนืออาสน์ อันโอภาสพรรณรายฉายฉาน
ตรัสสั่งพี่เลี้ยงผู้ชัยชาญ ให้ตรวจทหารกุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายจิตรไพรีคนขยัน
รับสั่งถวายบังคมคัล แล้วรีบจรจรัลออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ประถม

ยานี

๏ ตรวจหมู่จตุรงค์ทะนงศึก เลือกล้วนห้าวฮึกแกล้วกล้า
ขุนช้างผูกช้างชนะงา ใจทมิฬบิ่นบ้าบ่มมัน
ควาญหมอถือขอกวัดแกว่ง กำลังเรี่ยวแรงแข็งขัน
ขุนม้าผูกม้าชาญฉกรรจ์ พลาหกตัวขยันลำพองกาย
นายขี่มือถือทวนทอง เสื้อหมวกไหมกรองเฉิดฉาย
ขุนรถผูกรถสุพรรณพราย กงเหล็กกำลายอลงการ
สารถีมือถือเกาทัณฑ์ หยัดยันเงื้อง่าจะแผลงผลาญ
เทียมโตสิงห์เสือเผ่นทะยาน ฝีเท้าปานลมพาจร
ขุนพลตรวจเตรียมพลยุทธ์ ฤทธิรุทรเริงร่านชาญสมร
กวัดแกว่งอาวุธสำหรับกร คอยเสด็จบทจรอสุรี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น แสงอาทิตย์สุริย์วงศ์ยักษี
ครั้นเสร็จซึ่งเตรียมโยธี เสด็จมาเข้าที่สรงชล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ ชำระสระสนานสำราญกาย สุหร่ายแก้วโปรยปรายดั่งสายฝน
ลูบไล้เครื่องต้นเสาวคนธ์ ธารกลิ่นอุบลมาลี
สอดใส่สนับเพลาเชิงยก ก้านกระหนกเครือรูปคชสีห์
ภูษิตพื้นดำเครียวตระครี เชิงเป็นกินรีกรายกร
ชายแครงชายไหวปลายสะบัด ฉลององค์จำรัสประภัสสร
เกราะแก้ววิเชียรบวร รัดอกอรชรทับทิมพราย
ตาบทิศทับทรวงดวงกุดั่น สังวาลวัลย์มรกตสามสาย
ทองกรพาหุรัดจำหลักลาย ธำมรงค์เพชรพรายเรือนสุบรรณ
ทรงมหามงกุฎสำหรับศึก กรรเจียกแก้วผลึกมุกดาคั่น
จับศรฤทธิไกรดั่งไฟกัลป์ มาขึ้นรถสุวรรณอลงการ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ รถเอยราชรถทรง กำกงประดับมุกดาหาร
แอกงอนล้วนแล้วแก้วประพาฬ บัลลังก์โอฬารด้วยเนาวรัตน์
ชั้นลดเครือขดภาพคั่น เป็นสุบรรณจับนาคยืนหยัด
ถึงวิมานเทวาไม่เทียมทัด สารพัดคงทนแก่อาวุธ
เทียมด้วยราชสีห์ร้ายกาจ โผนผาดแผดเสียงอึงอุด
สารถีถือปืนแกว่งชุด ขับรุดวิ่งวางกลางพล
ประดับเครื่องอภิรุมชุมสาย พัดโบกโบกพรายโพยมหน
ปี่ฆ้องกลองชนะอึงอล ธงชายโบกบนเฉลิมชัย
โยธาโห่ร้องคะนองหาญ เสียงสะเทือนสะท้านแผ่นดินไหว
ผงคลีบดบังอโณทัย ตรงไปยังที่สนามรบ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ กราว

๏ ครั้นตกชายป่าพนาลี อสุรีแลเห็นอาสภ
เดียรดาษกลาดกลางแผ่นภพ กลิ่นอายตลบเข้ามา
จึ่งให้หยุดพหลพลไกร มั่นไว้ที่เชิงภูผา
โดยกระบวนพยุหยาตรา คอยท่ากองทัพวานร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ช้า

๏ เมื่อนั้น พระหริวงศ์ทรงศร
ไสยาสน์เหนืออาสน์อลงกรณ์ ในที่บรรจถรณ์อันโอฬาร
ดาวเดือนเลื่อนลับโพยมหน สุริยนจวนแจ้งแสงฉาน
พระพายชายพัดรำเพยพาน สุมามาลย์ส่งกลิ่นรวยมา
สกุณีเร่าร้องถวายเสียง สำเนียงเพรียกเพราะสนั่นป่า
เสนาะดั่งสังคีตเสภา ผ่านฟ้าสำราญพระทัยนัก ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ จึ่งเสด็จเข้าที่โสรจสรง ทรงเครื่องคู่องค์พญาจักร
จับพระแสงพรหมาสตร์ปราบยักษ์ แล้วผินพักตร์ออกหน้าพลับพลาชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ พร้อมทหารทั้งสองพระนคร เสนาวานรน้อยใหญ่
พอได้ยินสำเนียงเกรียงไกร หวั่นไหวเลื่อนลั่นปถพี
จึ่งมีพระราชบรรหาร ถามโหราจารย์ยักษี
อันทัพซึ่งยกมานี้ จะเป็นอสุรีในลงกา
หรือว่าสุริย์วงศ์พงศ์มิตร ที่สนิทของท้าวยักษา
ยกมาแต่ต่างพารา หรือว่าเป็นตัวทศกัณฐ์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พิเภกโหราคนขยัน
ได้ฟังพระองค์ทรงสุบรรณ บังคมคัลแล้วจับยามไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ ทั้งทศกาลแลตรีเนตร ก็แจ้งเหตุหาคลาดเคลื่อนไม่
จึ่งกราบทูลพระตรีภูวไนย อันทัพชัยที่ยกออกมา
คือแสงอาทิตย์ฤทธิรอน เป็นบุตรพญาขรยักษา
น้องมังกรกัณฐ์อสุรา หลานเจ้าลงกาพญามาร
มันมีแว่นแก้วเป็นอาวุธ ฤทธิรุทรยิ่งแสงพระสุริย์ฉาน
ส่องใครก็ม้วยบรรลัยลาญ พรหเมศประทานอสุรี
แต่เพื่อนไม่เอาลงมา ฝากท้าวธาดาเรืองศรี
แม้นการณรงค์สงครามมี จึ่งให้พี่เลี้ยงผู้ร่วมใจ
ชื่อจิตรไพรีขุนยักษ์ แหลมหลักปัญญาอัชฌาสัย
ขึ้นไปเอาแว่นเมื่อใด พรหมนั้นก็ให้ลงมา
พระองค์จงใช้องคต โอรสพาลีแกล้วกล้า
นิมิตให้เหมือนอสุรา ไปลวงท้าวธาดาธิบดี
เอาแว่นลงมาให้ได้ จึ่งค่อยชิงชัยด้วยยักษี
ตัวมันก็จะม้วยชีวี ด้วยฤทธีองค์พระทรงธรรม์ ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระกฤษณรักษ์รังสรรค์
ได้ฟังพิเภกกุมภัณฑ์ จึ่งมีบรรหารตรัสไป
ดูก่อนนัดดามัฆวาน ตัวท่านผู้มีอัชฌาสัย
จงจำแลงกายด้วยฤทธิไกร ให้เหมือนจิตรไพรี
ขึ้นไปลวงองค์พรหเมศ เอาแว่นวิเศษของยักษี
ว่าแล้วมีราชวาที สั่งพิเภกอสุรีโหรา
ท่านจงนิมิตบิดเบือน ให้เหมือนพี่เลี้ยงยักษา
องคตผู้มีศักดา จะได้เห็นกายากุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พิเภกสุริย์วงศ์รังสรรค์
รับสั่งพระองค์ทรงสุบรรณ นิมิตกายนั้นด้วยฤทธี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๏ บัดนั้น หลานท้าวหัสนัยน์เรืองศรี
พินิจพิศทั่วอินทรีย์ ขุนกระบี่จำได้ทั้งกายา
เสร็จแล้วยอกรอภิวาทน์ พระสยมภูวนาถนาถา
ผูกจิตสำรวมนัยนา วานรก็ร่ายพระเวทไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

๏ กลับเป็นพี่เลี้ยงแสงอาทิตย์ จะเพี้ยนผิดสักสิ่งก็หาไม่
บังคมลาพระตรีภูวไนย แกว่งตะบองเหาะไปด้วยฤทธี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงบรมพรหเมศ ยอกรเหนือเกศเกศี
ทูลท้าวธาดาธิบดี บัดนี้เกิดศึกในลงกา
แสงอาทิตย์ใช้ข้าขึ้นมาเฝ้า พระปิ่นเกล้าสามภพนาถา
ขอเอาแว่นแก้วอันศักดา ลงไปเข่นฆ่าปัจจามิตร
ให้สิ้นมนุษย์กับวานร ตามพรพระองค์ประกาศิต
อสุรีจะได้รอดชีวิต ทรงฤทธิ์จงโปรดปรานี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวธาดาเรืองศรี
ไม่แจ้งกลบุตรพาลี คิดว่าอสุรีใช้มา
จึ่งหยิบแว่นแก้วสุรกานต์ อันชัชวาลร้อนแรงแสงกล้า
จากพานทิพย์รัตน์อลงการ์ เอามาส่งให้ทันใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น องคตผู้มีอัชฌาสัย
รับเอาแว่นแก้วแววไว บังคมไหว้แล้วเหาะกลับมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นใกล้มรกตคีรี ก็เลื่อนลงจากที่เวหา
เคลื่อนคลายพระเวทอันศักดา กายาก็กลายเป็นวานร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๏ ขุนกระบี่จึ่งตรงเข้าไปเฝ้า พระปิ่นเกล้าสุริย์วงศ์ทรงศร
ถวายแว่นแก้วฤทธิรอน ต่อกรสมเด็จพระจักรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ