สมุดไทยเล่มที่ ๗๖

๏ เมื่อนั้น พระมหาดาบสพรตกล้า
มิได้รู้กลมารยา เห็นกระบี่โศกาก็งวยไป
สำคัญสัญญาว่าจริง จะรู้เล่ห์ลมลิงก็หาไม่
ให้คิดเมตตาอาลัย แม้นมิพาไปบัดเดี๋ยวนี้
ด้วยสองวานรมันหนีมา จะอาสาพญายักษี
อันเจ้าลงกาธานี อสุรีก็สิ้นพงศ์พันธุ์
ต้องรณรงค์องค์เดียว ขับเคี่ยวปิ้มม้วยอาสัญ
ไอ้นี่ก็ตัวสำคัญ จะได้ช่วยกันชิงชัย
ฝ่ายกูผู้เป็นอาจารย์เล่า มิเอาภารธุระก็ไม่ได้
แม้นแจ้งไปถึงจะน้อยใจ ดั่งไม่รู้คุณพญามาร
จึ่งว่าดูราวานร มาร้องไห้อ้อนวอนบอกขาน
กูเห็นจริงแล้วทุกประการ อย่ารำคาญจะพาไปบัดนี้
ว่าพลางนุ่งผ้าคากรอง ครองสไบสำหรับฤๅษี
ฉวยได้ไม้เท้าพัชนี ออกจากกุฎีแล้วรีบมา ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ เสมอ

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานหาญกล้า
จึ่งทำเป็นกลมารยา วิ่งไปขวางหน้าพระนักพรต
มือขวายุดไม้เท้าง่าม มือซ้ายฉุดย่ามพระดาบส
ฝ่ายลูกพาลีมียศ คร่าเอารัดประคตลากไว้ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระมหาโคบุตรอาจารย์ใหญ่
เห็นวานรยุดคร่าวุ่นไป หลากใจจึ่งกล่าววาที
ตัวเอ็งทั้งสองสิทุกข์ร้อน มาร้องไห้อ้อนวอนกูฤๅษี
ให้พาไปถวายอสุรี กูนี้มีความเมตตา
เหตุใดจึ่งทำให้ช้าการ อลหม่านแย่งยุดฉุดคร่า
หรือเอ็งหวาดหวั่นวิญญาณ์ กลัวท้าวยักษาจะฆ่าตี
กูสิจะพาเข้าไปเฝ้า หรือไม่เชื่อเรากระบี่ศรี
แต่โทษหนักหนายิ่งกว่านี้ ยังขอชีวีไม่บรรลัย
อันกูกับท้าวทศกัณฐ์ สารพันจะว่ากล่าวได้
เอ็งจักทุกข์ร้อนด้วยอันใด มาจะรีบไปอย่าให้ช้า ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า
ได้ฟังจึ่งตอบวาจา ตัวข้าพึ่งบาทพระมุนี
ใช่ว่าจะเกรงโทษทัณฑ์ ของท้าวทศกัณฐ์ยักษี
แต่ความข้อหนึ่งนั้นมี ข้านี้วิตกเป็นพ้นไป
ด้วยพิเภกกราบทูลพระราม ท่ามกลางวานรน้อยใหญ่
ว่าพญายักษ์ถอดดวงใจ ฝากไว้แก่องค์พระสิทธา
จริงหรือเหมือนคำกุมภัณฑ์ ข้าคิดอัศจรรย์หนักหนา
ด้วยไม่เคยเห็นแต่ก่อนมา จึ่งถามพระมหามุนี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระโคบุตรฤๅษี
ได้ฟังวานรพาที มีความสะดุ้งหวั่นใจ
ดูดู๋พิเภกยักษา อนิจจาควรหรือเป็นได้
จะแกล้งฆ่าพี่ให้บรรลัย หมายสมบัติในเมืองมาร
ถึงมาตรจะพรางก็ไม่มิด ดั่งมือปิดพญาคชสาร
วานรรู้ก่อนมาช้านาน จำจะบอกขานตามสัจจา
ตริแล้วจึ่งตอบคำไป อันดวงใจของท้าวยักษา
เอามาฝากกูไว้แต่ไรมา จริงเหมือนวาจาอสุรี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี
ทำตกใจใส่กลพาที เอะกระไรกระนี้มีเป็นการ
พระรามทำศึกกับทศกัณฐ์ หมายมั่นปองปลงจงผลาญ
อันซึ่งชีวิตพญามาร หรือพระอาจารย์มิได้คิด
จึ่งเอาดวงใจท้าวยักษี ไว้ในกุฎีกระจิหริด
เกลือกจะใช้เสนีมีฤทธิ์ มาลักเอาดวงจิตนั้นไป
ดั่งหนึ่งพระมหานักธรรม์ แกล้งฆ่าทศกัณฐ์เสียได้
พระองค์ก็ทรงปรีชาไว เป็นไฉนไม่คิดข้อนี้ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโคบุตรมหาฤๅษี
ได้ฟังหนุมานพาที พระมุนีเห็นจริงทุกประการ
จึ่งว่าดูก่อนลิงน้อย ซึ่งถ้อยคำเอ็งว่าขาน
รอบคอบแหลมหลักปรีชาชาญ ควรเป็นลูกหลานเจ้าลงกา
ว่าแล้วจึ่งองค์พระนักสิทธ์ ผู้ทรงฤทธิ์ญาณฌานกล้า
ก็พาวานรทั้งสองรา กลับมาอรัญกุฎี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึ่งตรงเข้าไป หยิบเอาดวงใจยักษี
ถือไว้แล้วกล่าววาที นี่คือชีวิตทศกัณฐ์
อยู่ในศีลาประกับ แกล้งปรับให้ชิดสนิทมั่น
ทำพิธีเจ็ดเดือนเจ็ดวัน จิตนั้นจึ่งออกจากกายา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า
จึ่งว่าอันกรุงลงกา เป็นมหานคเรศธานี
ไฉนไม่ไว้ในเมืองเล่า จึ่งเอามาฝากพระฤๅษี
อันอยู่กลางป่าพนาลี เหตุนี้จะเป็นประการใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระโคบุตรอาจารย์ใหญ่
ได้ฟังจึ่งแจ้งความไป อันซึ่งดวงใจพญามาร
กับตัวจะไว้ให้ใกล้กัน ในเจ็ดชั้นปราสาทราชฐาน
จะคืนเข้ายังที่วิญญาณ ด้วยว่าชำนาญในกายา
อุปมาดั่งลูกนกน้อย อันคอยซึ่งแม่ปักษา
ครั้นแลเห็นตัวมารดา ก็จะวิ่งเข้าหาด้วยยินดี
เพราะเหตุฉะนี้แลวานร ท้าวยี่สิบกรยักษี
จึ่งไม่เอาไว้ในบุรี กลัวที่จะคืนเข้าไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานทหารใหญ่
ฟังพระโคบุตรวุฒิไกร ทั้งเห็นดวงใจกุมภัณฑ์
มีความชื่นชมโสมนัส ดั่งได้สมบัติในสวรรค์
ซึ่งกูอาสาพระทรงธรรม์ การนั้นจะเสร็จดั่งจินดา
ไม่พักลำบากยากใจ ที่จะได้ดวงจิตยักษา
อันพระมหาสิทธา หลงด้วยวาจาของกูนี้
คิดพลางประณตบทบงสุ์ แล้วว่าแก่องค์พระฤๅษี
นิมนต์รีบเข้ายังธานี ถวายข้านี้แก่ท่านไท ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระโคบุตรอาจารย์ใหญ่
ได้ฟังไม่สงสัยใจ ก็รีบไปตามแนวมรคา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า
ครั้นใกล้ทวารลงกา ทำตกใจฉุดผ้าคร่าไว้
เอะอะไรกระนี้พระนักธรรม์ พูดกันเมื่อกี้ช่างลืมได้
จะพาเอาดวงจิตเข้าไป ให้ใกล้พญาอสุรี
แม้นคืนเข้ากายดั่งเก่า จะทำกระไรเล่าพระฤๅษี
ถ้าพระรามแผลงศรต้องอินทรีย์ น่าที่จะสิ้นชีวา
จงส่งดวงใจให้องคต งดอยู่นอกเมืองจะดีกว่า
ต่อเมื่อพระมหาสิทธา ออกมาจึ่งค่อยเอาไป
จงพาแต่ข้าผู้พี่ชาย เข้าถวายวันนี้ให้ได้
แต่พอค่อยสร่างสว่างใจ พ้นภัยพระรามจักรี
อันซึ่งองคตอนุชา ไว้ข้าจะถวายกระบี่ศรี
แก่องค์พญาอสุรี พระมุนีจงได้โปรดปราน ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโคบุตรผู้ปรีชาหาญ
ได้ฟังคำแหงหนุมาน ว่าขานเห็นจริงไม่สงกา
จึ่งส่งดวงจิตทศพักตร์ มอบให้องคตรักษา
แล้วพาหนุมานรีบมา เข้าในทวาราเวียงชัย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ บัดนั้น ฝ่ายหมู่อสุรีน้อยใหญ่
ครั้นเห็นหนุมานก็ตกใจ ไม่เป็นสติสมประดี
ความกลัวปิ้มสิ้นชีวัน ตัวสั่นหน้าซีดคือผี
อุปมาดั่งฝูงมฤคี เห็นสีหราชผาดมา
บ้างก็อุ้มลูกจูงหลาน อลหม่านทั้งเมืองยักษา
ลางตนก็แบกภริยา บ้างอุ้มพ่อตาวิ่งไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ ร้องอึงคะนึงกุลาหล จะเหลียวหลังสักตนก็หาไม่
จนเหนื่อยหอบอ้าปากหายใจ ด้วยเห็นฤทธิไกรมาหลายที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี
จึ่งบอกแก่องค์พระมุนี บัดนี้อสุรีในลงกา
เห็นข้าเข้ามาก็ตกใจ วิ่งแยกแตกไปทุกทิศา
อันองคตอยู่นอกทวารา เกลือกว่ามันพบมิเป็นการ
ด้วยได้ทำผิดไว้แต่หลัง เมื่อครั้งพระรามให้สื่อสาร
ได้หยาบช้าแก่องค์พญามาร แล้วฆ่าทหารทั้งสี่ตาย
ข้าจะลาไปสั่งองคต ให้รู้กำหนดกฎหมาย
แม้นยักษาใครมาทักทาย ให้เบี่ยงบ่ายว่าโยมพระมุนี
เข้ามาหวังจะถวายตัว อสุราจะกลัวท้าวยักษี
แม้นว่าไม่บอกจะเสียที พระมุนีจงได้เมตตา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระดาบสพรตกล้า
ได้ฟังหนุมานเจรจา แสนโสมนัสสายิ่งนัก
จึ่งว่าเอ็งนี้มีปรีชาญ ว่าขานสิ่งใดก็แหลมหลัก
ควรเจ้าลงกาพญายักษ์ จะให้ยศถาศักดิ์สืบไป
แม้นว่าได้ใช้ขุนกระบี่ เห็นทีพระองค์จะรักใคร่
ว่าแล้วจึ่งขับทันใด จงเร่งไปบอกแก่องคต ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น หนุมานฤทธิไกรดั่งไฟกรด
จึ่งคิดว่าองค์พระนักพรต ปรากฏสักว่าเป็นอาจารย์
โง่เง่าไม่รู้เท่ากู ดูไปไม่เป็นแก่นสาร
คิดแล้วถวายมัสการ ทำวิ่งลนลานออกไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงซึ่งลูกพาลี ขุนกระบี่ผู้มีอัชฌาสัย
จึ่งร่ายพระเวทสำรวมใจ นิมิตศีลาใหม่ด้วยศักดา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๏ เสร็จแล้วก็ส่งให้องคต ว่าดวงใจทศพักตร์ยักษา
เจ้าจงเอาไปด้วยฤทธา ฝังไว้ยังท่าสมุทรไท
แล้วกลับมาคอยพระนักสิทธ์ เอาศีลานิมิตนี้เปลี่ยนให้
น้องรักจงรีบกลับไป รักษาดวงใจไว้ให้ดี
ถ้าเห็นเราเหาะขึ้นสามโยชน์ อ้าโอษฐ์เป็นเดือนจำรัสศรี
จงรีบเอาดวงใจอสุรี ไปส่งให้พี่อย่านาน
ว่าแล้วยอกรบังคม นบนิ้วประนมอธิษฐาน
ถึงพระพายบิดาชัยชาญ ขอประทานจงได้เมตตา
งดอยู่อย่าเพ่อพัดก่อน กว่าวานรจะเสร็จอาสา
ว่าแล้วก็กลับคืนมา ยังองค์พระมหานักธรรม์ ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ

๏ บัดนั้น องคตฤทธิแรงแข็งขัน
จึ่งเอาดวงใจทศกัณฐ์ เหาะระเห็จด้นดั้นเมฆไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ฝังไว้ริมเนินพระสมุทร สุดเขาอัญชันทิศใต้
เสร็จแล้วกลับมาด้วยว่องไว ตั้งใจคอยท่าพระมุนี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายพระโคบุตรฤๅษี
ครั้นเห็นหนุมานก็ยินดี จึงพากระบี่รีบมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ช้า

๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์ยักษา
เสด็จออกพระโรงรัตนา พญายักษ์ปรึกษาราชการ
ด้วยหมู่เสนาพฤฒามาตย์ อำมาตย์ปุโรหิตมหาศาล
เหลือบเห็นพระโคบุตรอาจารย์ พาหนุมานมาก็ตกใจ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ยี่สิบหัตถ์คว้าสรรพอาวุธ อุตลุดไม่นั่งอยู่ได้
ลุกจากแท่นแก้วแววไว แล้วร้องถามไปด้วยโกรธา
พามันมาไยพระมุนี ไอ้นี่หยาบคายหนักหนา
ครั้งหนึ่งมันเผาลงกา ฆ่ายักษาตายมากนัก
เมื่อทำพิธีในอุโมงค์ ก็ลงไปทำลายหาญหัก
แล้วฉุดคร่ามณโฑนงลักษณ์ องอาจฮึกฮักไม่เกรงใคร
อันหมู่อสูรกุมภัณฑ์ ตายเพราะมือมันไม่นับได้
เจ็บจิตเป็นสุดคิดไป จะฆ่าให้บรรลัยบัดนี้ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระโคบุตรมหาฤๅษี
เห็นทศกัณฐ์โกรธดั่งอัคคี ยิ้มแล้วจึ่งมีวาจา
พระองค์อย่าเพ่อโกรธก่อน อันวานรหนุมานทหารกล้า
ผิดกับพระลักษมณ์พระรามา ร้องไห้มาหากูอาจารย์
จะขอเป็นข้าพญายักษ์ กว่าจักสิ้นชีพสังขาร
จะอาสาออกไปรอนราญ ผลาญหมู่อริราชไพรี
แจ้งความแต่ต้นจนปลาย ถวายแก่พญายักษี
อันตัวของกูนี้เห็นดี จึ่งพากระบี่เข้ามา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวทศพักตร์ยักษา
ฟังพระมุนีก็ปรีดา ดั่งว่าได้อมฤตรส
นั่งลงยอกรอภิวาท อาราธนาพระดาบส
ให้สถิตเหนืออาสน์อันเรืองยศ แล้วมีพจนารถถามไป
ดูก่อนคำแหงหนุมาน ตัวท่านสิเป็นทหารใหญ่
ผิดกับพระรามด้วยอันใด จงว่าแต่จริงไปบัดนี้
ถึงมาตรเขาไม่เลี้ยงตัว อย่ากลัวกูจะเลี้ยงกระบี่ศรี
มิให้อายวานรโยธี จงภักดีต่อเราสืบไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น วายุบุตรผู้มีอัชฌาสัย
ฟังทศกัณฐ์ถามก็ดีใจ ทำร้องไห้ฟูมฟายน้ำตา
จึ่งว่าอันองค์พระราม ความจริงนั้นคุณก็หนักหนา
ครั้นจะยกโทษมาพรรณนา ไม่ควรที่ข้าจะพาที
แต่ความแค้นแสนสุดจะอดทน จำจะทูลยุบลบทศรี
ข้าทำสงครามมาทั้งนี้ จงรักภักดีเป็นพ้นไป
ถึงราชการที่ไหนหนัก แต่ผู้เดียวก็หักเสียได้
พระองค์ผู้ทรงภพไตร ย่อมแจ้งอยู่ใต้พระบาทา
บำเหน็จรางวัลก็ไม่มี ลางทีก็ทำโทษา
น้อยใจเป็นพ้นพรรณนา จึ่งหนีมาพึ่งบทมาลย์
แกล้งทูลบรรยายเป็นหลายข้อ ล้วนประดิษฐ์ติดต่อให้วิตถาร
แม้นพระองค์เลี้ยงข้าโปรดปราน เห็นวานรทหารจะหนีมา
จะเหลือแต่พระรามพระลักษมณ์ กับพิเภกสิทธิศักดิ์ยักษา
ทั้งสามจะกินแต่น้ำตา ข้าจะดูหน้าในครั้งนี้ ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวยี่สิบกรยักษี
ฟังวายุบุตรพาที ยินดีดั่งได้โสฬส
ด้วยสิ้นทหารชาญณรงค์ สุริย์วงศ์มิตรสหายก็ตายหมด
สงครามติดพันไม่เงือดงด ระทดใจดั่งว่ายทะเลวน
ครั้นพบพ่วงแพขอนไม้ พอจะอาศัยก็เสือกสน
ทั้งเห็นวานรมีฤทธิรน ทรหดอดทนแต่ต้นมา
ยิ้มแล้วจึ่งกล่าววาที เมื่อกระบี่มาทำอาสา
หักสวนเผาเมืองลงกา ฝ่ายเราก็ว่าจะเลี้ยงไว้
ตัวท่านไม่อยู่จะสู้ตาย กลับไปหานายจงได้
ยังปูนบำเหน็จสิ่งใด ที่ในความชอบของวานร ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานชาญสมร
ได้ฟังท้าวยี่สิบกร ทำถอนใจแล้วตอบบัญชา
ซึ่งข้ารักใคร่พระรามนั้น สำคัญว่าจะได้ยศถา
ผู้เดียวไม่คิดชีวา ด้วยว่าเธอนั้นยังเอ็นดู
ซึ่งพระองค์จะเลี้ยงข้านี้ จึ่งไม่ยินดีจะยอมอยู่
บัดนี้พิเภกเป็นศัตรู ยุยงภูธรทุกวันไป
พระรามฟังความแต่ข้างเดียว จะเหลียวหลังยั้งหยุดก็หาไม่
เท็จจริงผิดชอบประการใด มิได้ไถ่ถามให้เที่ยงธรรม์
ความแค้นเป็นแสนสาหส สุดคิดสุดอดจะทนกลั้น
ครั้งข้ามาเผาเมืองนั้น ได้รางวัลแต่ผ้าอาบนํ้า
ไม่มีสิ่งอื่นแต่ผืนเดียว ทั้งนุ่งทั้งเกี้ยวอยู่เช้าคํ่า
แสนเวทนาทารกรรม ชํ้าใจเป็นพ้นพรรณนา
อันสงครามเพียงนี้ไม่ยากนัก ข้าจักขอรับอาสา
ไปจับพระลักษมณ์พระรามมา ถวายเบื้องบาทาพระภูมี ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ท้าวราพณาสูรยักษี
ได้ฟังวานรพาที ยินดีเห็นจริงทุกสิ่งไป
จึ่งมีพระราชบรรหาร แก่เสนามารน้อยใหญ่
ทั้งกวีโหราปรีชาไว อันอยู่ในที่เฝ้าพร้อมกัน
บัดนี้หนุมานชาญณรงค์ หนีองค์พระรามรังสรรค์
ตั้งใจมาพึ่งเรานั้น โดยธรรม์สุจริตดั่งวาจา
หรือจะเป็นกลอุบาย ทั้งหลายจงเร่งปรึกษา
จะเลี้ยงไว้ในกรุงลงกา อสุราจะเห็นประการใด ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ปโรหิตเสนาน้อยใหญ่
ได้ฟังบัญชาภูวไนย บังคมไหว้แล้วปรึกษากัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เห็นพร้อมน้อมเศียรกราบทูล นเรนทร์สูรธิราชรังสรรค์
ซึ่งขุนกระบี่หนีมานั้น หมายมั่นจะพึ่งบาทา
ว่าผิดกับพระลักษมณ์พระราม ซักไซ้ไถ่ถามก็หนักหนา
ถ้อยคำยั่งยืนแต่ต้นมา เห็นไม่มารยาพาที
ทั้งหน้าตาอาการก็ทุกข์ร้อน จึ่งซุกซอนมาหาพระฤๅษี
วิงวอนว่ากล่าวด้วยภักดี ข้านี้ไม่แคลงแหนงใจ
ด้วยกระบี่หนีร้อนมาพึ่งเย็น เห็นพอจะเลี้ยงไว้ได้
พระองค์ผู้ปิ่นภพไตร จงทรงวินิจฉัยด้วยปรีชา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวทศเศียรยักษา
ฟังหมู่อำมาตย์ทูลมา อสุราชื่นชมด้วยสมคิด
ดั่งหนึ่งได้ทิพย์สมบัติ ในรัตนพิมานดุสิต
จึ่งเรียกหนุมานเข้ามาชิด พิศพักตร์แล้วกล่าววาที
พ่อจะเลี้ยงเจ้าเป็นโอรส ให้ปรากฏยศศักดิ์เฉลิมศรี
เหมือนองค์อินทรชิตอสุรี มิให้ราคีสิ่งใด
แล้วว่าแก่องค์พระอาจารย์ ซึ่งพาหนุมานเข้ามาให้
พระคุณล้ำลบภพไตร ใหญ่หลวงเป็นพ้นพรรณนา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโคบุตรผู้ทรงสิกขา
ได้ฟังจึ่งมีวาจา ดูก่อนพญาอสุรี
ซึ่งพระองค์ไม่ทำโทษกรณ์ ภูธรจะเลี้ยงกระบี่ศรี
ตัวกูมีความยินดี ที่จะได้ช่วยสงครามไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ ครั้นแล้วจึ่งสั่งหนุมาน กิจการจงเอาใจใส่
ต่างเนตรต่างกรรณภูวไนย อย่าให้เคืองใต้บาทา
ว่าพลางอำนวยอวยพร จงถาวรบรมสุขา
เสร็จแล้วลาองค์อสุรา ลงมาจากปราสาทรูจี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ บัดนั้น องคตหลานท้าวโกสีย์
แต่นั่งคอยพระมหามุนี อยู่ที่ประตูเวียงชัย
ครั้นแลเห็นองค์พระดาบส ยอกรประณตประนมไหว้
จึ่งเอาศีลานิมิตไว้ ส่งให้แก่องค์พระสิทธา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโคบุตรอาจารย์ฌานกล้า
มิได้รู้กลมารยา รับเอาศีลาที่วานร
จึ่งว่าดูราองคต จงงดท่าหนุมานที่นี่ก่อน
ว่าแล้วมาจากพระนคร บทจรไปยังกุฎี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ บัดนั้น ลูกพญาพาลีเรืองศรี
ครั้นเสร็จซึ่งส่งพระมุนี ขุนกระบี่ก็เหาะระเห็จไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ มาถึงเชิงเขาอัญชัน อันอยู่ริมเนินสมุทรใหญ่
รักษาดวงจิตที่ฝังไว้ ตั้งใจคอยดูหนุมาน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์ใจหาญ
เสด็จจากแท่นรัตน์ชัชวาล เข้าปราสาทสุรกานต์รูจี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ลดองค์ลงนั่งร่วมอาสน์ แทบใกล้อัครราชมเหสี
แล้วมีมธุรสวาที เจ้าพี่จะเล่าให้ฟัง
อันซึ่งสงครามรามลักษมณ์ ไม่หนักใจเหมือนแต่หลัง
ด้วยหนุมานผู้มีกำลัง บัดนี้หนีซังเข้ามา
บอกว่าผิดกันกับพระราม มีความแค้นเคืองหนักหนา
แต่ได้เห็นก็เป็นเมตตา ดั่งว่าอินทรชิตลูกเรา
พี่นี้มีความโสมนัส ถึงได้แก้วจักรพรรดิก็ไม่เท่า
เห็นกำลังไพรีจะบางเบา ด้วยเขี้ยวศึกมาเข้าข้างนี้ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางมณโฑมเหสี
ได้ฟังพระราชสามี ชุลีกรสนองพระบัญชา
อันซึ่งคำแหงหนุมาน พระรามรักปานพระเนตรขวา
ว่าความแค้นมีจึ่งหนีมา จะอยู่อาสาพระทรงฤทธิ์
ขึ้นชื่อว่าชาติไพรี จะพาทีซื่อตรงนั้นเห็นผิด
ซึ่งจะคบศัตรูเป็นมิตร ดั่งเอาอสรพิษมาเลี้ยงไว้
ข้าน้อยเห็นไม่มีประโยชน์ นานไปจะทำโทษให้
พระองค์ผู้ทรงภพไตร อย่าไว้พระทัยแก่ไพรี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวทศพักตร์ยักษี
ได้ฟังอัครราชเทวี พาทีเปรียบเทียบทัดทาน
สิบปากสำรวลสรวลสันต์ กุมภัณฑ์ตบหัตถ์ฉัดฉาน
แล้วมีพระราชโองการ เยาวมาลย์อย่ารังเกียจใจ
พี่ซักไซ้ไถ่ถามก็หนักหนา จนปรึกษาเสนาน้อยใหญ่
ทั้งพระโคบุตรวุฒิไกร ที่ไหนจะโง่ไปกว่าลิง
ดั่งหนึ่งจะแจ้งนํ้าใจคน สารพันด้นรู้ไปทุกสิ่ง
เธอมีจิตจงรักเราจริง ถ้ากริ่งอยู่แล้วไม่พามา
ซึ่งวานรจะทำโทษให้ ดวงใจอย่าคิดกังขา
ว่าแล้วยูรยาตรคลาดคลา ออกมายังท้องพระโรงคัล ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงนั่งเหนือบัลลังก์รัตน์ ภายใต้เศวตฉัตรฉายฉัน
พร้อมหมู่เสนากุมภัณฑ์ อภิวันท์เกลื่อนกลาดดาษไป
จึ่งมีพระราชบัญชา สั่งเปาวนาสูรผู้ใหญ่
จงบอกเจ้าพนักงานนอกใน กูจะให้สมโภชหนุมาน
จัดทั้งเครื่องต้นเครื่องทรง มงกุฎกุณฑลมุกดาหาร
ตาบประดับทับทรวงสังวาล ธำมรงค์สุรกานต์รูจี
แล้วมีบัญชาพจนารถ แก่โหราราชครูทั้งสี่
จงหาศุภฤกษ์นาที ให้ดีโดยยามเวลา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ขุนโหรทั้งสี่ยักษา
ก้มเกล้ารับราชบัญชา ก็ดูตามตำราคัมภีร์
ชำระฤกษ์กะหนกกะบัญชร ทั้งจันทร์จรตามจักรราศี
สอบใส่มหานาที คูณหารโดยที่เทียบกัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เสร็จแล้วจึ่งบังคมทูล นเรนทร์สูรธิราชรังสรรค์
พรุ่งนี้รุ่งสีรวีวรรณ พระจันทร์สถิตในมังกร
ได้ฤกษ์สองโมงหกบาท เทวราชประชุมสโมสร
จะจำเริญสิริสถาวร ภูธรจะชนะไพรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งเปาวนาสูรยักษี
ก้มเกล้ารับราชวาที ถวายอัญชุลีแล้วออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งหมายบอกไปทุกพนักงาน ทั้งทหารพลเรือนซ้ายขวา
ตามมีพระราชบัญชา ข้างหน้าข้างในพร้อมกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น จึ่งเจ้าพนักงานคนขยัน
แจ้งหมายกะเกณฑ์เป็นควัน จัดสรรอุตลุดวุ่นไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ชาววังก็จัดปราสาท ปูลาดพรมที่น้อยใหญ่
ผูกม่านกั้นฉากข้างใน อำไพพิจิตรอลงการ์
ฝ่ายนางวิเสทอสุรี ก็ตั้งบายศรีซ้ายขวา
เทียนทองติดแว่นรัตนา เสด็จตามบัญชากุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์รังสรรค์
ครั้นรุ่งแสงสีรวีวรรณ ทรงธรรม์ออกท้องพระโรงชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งมีพระราชวาที สั่งศรีหนุมานทหารใหญ่
ให้ชำระสระสนานสำราญใจ ในที่สิริอลงการ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น[1] วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ
รับสั่งทศเศียรขุนมาร ไปชำระสระสนานอินทรีย์
สนับเพลาภูษาเชิงยก เครือกระหนกเป็นรูปราชสีห์
สังวาลทับทรวงรูจี มงกุฎแก้วมณีชัชวาล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์ใจหาญ
จูงกรคำแหงหนุมาน ขึ้นแท่นสุรกานต์อลงการ์
ท่ามกลางเสนาพฤฒามาตย์ กวีราชสุริย์วงศ์ยักษา
พร้อมทั้งกำนัลกัลยา ในมหาปราสาทพรายพรรณ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

สระบุหร่ง

๏ ได้เอยได้ฤกษ์ โหราให้เบิกบายศรีขวัญ
จึ่งลั่นฆ้องชัยเป็นสำคัญ กาหลสนั่นดนตรี
ฝ่ายนางบำเรอก็ครวญขับ รำมะนาโทนทับอึงมี่
ปโรหิตเอาเทียนจุดอัคคี ติดที่แว่นแก้วรจนา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เวียนเอยเวียนเทียน ให้เวียนแต่ซ้ายมาขวา
ส่งรับลำดับกันมา ขานโห่โกลาสนั่นไป
ครั้นถ้วนคำรบเจ็ดรอบ ตามระบอบพิธีคัมภีร์ไสย
ปโรหิตจึ่งดับเทียนชัย โบกควันไปให้วานร
แล้วเอาจุณเจิมเฉลิมพักตร์ พญายักษ์ชื่นชมสโมสร
ราชครูเสนาพลากร ก็อวยพรให้ศรีหนุมาน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ท้าวราพณาสูรใจหาญ
ครั้นเสร็จมงคลพิธีการ พญามารจึ่งมีบัญชา
พ่อไร้โอรสยศยง จะสืบสุริย์วงศ์ไปภายหน้า
ได้เจ้ามาไว้ดั่งดวงตา บิดาจะเลี้ยงเป็นบุญธรรม์
สิ่งใดมิให้อนาทร จงถาวรเป็นสุขเกษมสันต์
จะได้พึ่งเจ้าผู้ชาญฉกรรจ์ โรมรันอริราชไพรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น คำแหงวายุบุตรกระบี่ศรี
ได้ฟังทศพักตร์พาที แสร้งทำยินดีปรีดา
แกล้งก้มกรานหมอบยอบตัว ดั่งคำรพเกรงกลัวหนักหนา
อยู่แต่ไกลองค์ออกมา วานรไม่ไหว้กุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์รังสรรค์
จึ่งสั่งหนุมานชาญฉกรรจ์ เจ้าผู้บุตรบุญธรรม์ของบิดร
จงไปอยู่ปราสาทสูรกานต์ ให้สำราญเป็นสุขสโมสร
กับฝูงสุรางคนิกร อันทรงลักษณ์อรชรจำเริญใจ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น วายุบุตรผู้มีอัชฌาสัย
รับสั่งพญามารชาญชัย ก็ไปยังปราสาทรัตนา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึ่งขึ้นบัลลังก์อาสน์ สำหรับราชสุริย์วงศ์ยักษา
โอฬารด้วยแก้วอลงการ์ ดั่งมหาวิมานรูจี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ชมตลาด

๏ บัดนั้น ฝ่ายนางกำนัลสาวศรี
สำหรับปราสาทรัตน์มณี แจ้งว่ากระบี่หนุมาน
มาอยู่ยังทิพย์ไพชยนต์ ต่างตนมีจิตเกษมศานต์
ก็แต่งทั่วนางพนักงาน จัดแจงเครื่องอานวุ่นไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ ตรวจเตรียมพร้อมเสร็จทุกกำนัล สารพันครบสิ่งหาขาดไม่
ก็พากันย่างเยื้องคลาไคล ขึ้นไปบำเรอวานร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงต่างตนน้อมเกล้า เฟี้ยมเฝ้าขุนกระบี่ชาญสมร
ในห้องปราสาทอลงกรณ์ ทำจริตกรีดงอนในที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

พัดชา

๏ ลางนางก็อยู่งานพัด โบกปัดให้องค์กระบี่ศรี
ฝ่ายนางพนักงานดนตรี ก็ขับร้องเรื่อยรี่ประสานกัน
รำมะนาท้าทับสลับเสียง สำเนียงดั่งหนึ่งเพลงสวรรค์
หวนโหยทุ้มเอกโอดพัน แจ้วเจื้อยสนั่นจับใจ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ มโหรี

๏ เมื่อนั้น คำแหงหนุมานทหารใหญ่
เห็นฝูงอนงค์กำนัลใน ทรงโฉมวิไลจำเริญตา
ทั้งฟังสุรเสียงสำเนียงขับ จับจิตเป็นที่เสน่หา
มีความประดิพัทธ์ปรีดา ในหมู่กัลยายุพาพาล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

โอ้โลม

๏ ลดลงจากที่บัลลังก์รัตน์ ด้วยความกำหนัดในสงสาร
สัพยอกหยอกเย้าเยาวมาลย์ เชยโฉมนงคราญทุกนารี
เพลิดเพลินไปในรสรัก ด้วยฝูงเยาวลักษณ์สาวศรี
แสนสุขแสนเกษมเปรมปรีดิ์ ในที่สิริไสยา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ กล่อม

๏ ครั้นเวลาล่วงปัจจุสมัย อโณทัยเยี่ยมยอดภูผา
ชำระสระสรงคงคา ประดับเครื่องรจนาพรายพรรณ
เสร็จแล้วลงจากปราสาท อันโอภาสพรรณรายฉายฉัน
ขึ้นเฝ้าองค์ท้าวทศกัณฐ์ ฝูงนางกำนัลก็ตามไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงพระโรงรูจี พร้อมหมู่เสนีน้อยใหญ่
นั่งหน้ามาตยาเสนาใน เฝ้าองค์ท่านไทเจ้าลงกา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวยี่สิบกรยักษา
ครั้นเห็นหนุมานขึ้นมา มีความปรีดาเป็นพ้นคิด
สิบพักตร์ผ่องเพียงดวงจันทร์ กุมภัณฑ์บัญชาประกาศิต
เจ้าผู้ทรงศักดาวราฤทธิ์ ดั่งดวงชีวิตของบิดร
ยังค่อยเป็นสุขเกษมสวัสดิ์ ที่ในห้องรัตน์ประภัสสร
ด้วยฝูงอนงค์บังอร ขับฟ้อนบำเรอประการใด
อันฝูงนักสนมกำนัล ทั้งนั้นยังไม่รู้อัชฌาสัย
ที่จะประกอบให้ชอบใจ สิ่งไรจงค่อยอัชฌา
ซึ่งเจ้ามิได้อัญชุลี ข้อนี้สงสัยเป็นหนักหนา
ผิดประเวณีบูราณมา อันนับว่าพ่อลูกกัน ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โอรสพระพายรังสรรค์
ได้ฟังพญากุมภัณฑ์ จึ่งบิดผันแก้ไขด้วยปรีชา
อันคุณพระองค์ทรงเดช ก็เหมือนบิตุเรศนาถา
ซึ่งได้เกิดเกล้าลูกมา นั้นยิ่งแผ่นฟ้าสุธาธาร
ที่ข้ามิได้บังคมนั้น เป็นมหันตโทษไพศาล
จะทูลให้แจ้งบทมาลย์ เมื่อไปเป็นทหารจักรี
มิได้ไหว้พระพายบิดาก่อน ก็ไม่ประนมกรบทศรี
ต่ออยู่มาหลายราตรี ได้อัญชุลีพระบิดา
ข้าจึ่งบังคมพระราม เป็นความจริงมิได้มุสา
แม้นว่าพระพายพัดมา ข้าได้วันทาแล้วเมื่อใด
จึ่งจะนบนิ้วขึ้นประนม น้อมเศียรบังคมพระองค์ได้
พระบิดาอย่าแหนงแคลงใจ จงให้อภัยแก่ลูกนี้ ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์ยักษี
ได้ฟังหนุมานพาที อสุรีไม่แจ้งกลลิง
จึ่งว่าดูก่อนลูกแก้ว เจ้าว่าชอบแล้วทุกสิ่ง
ประจักษ์ทักแท้แก่ใจจริง คุณใครจะยิ่งกว่าบิดา
ครั้งนี้อันตัวของเจ้า จะเป็นปิ่นเกล้ายักษา
ลูกรักผู้มีปรีชา จงตรึกตราที่จะล้างไพรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี
ได้ฟังทศพักตร์พาที ขุนกระบี่ทูลตอบให้ชอบใจ
อันศึกมนุษย์ทั้งสองคน จะพ้นมือข้าก็หาไม่
บัดนี้ขึ้นมาจะลาไป แม้นได้ท่วงทีของลูกยา
จะจับพระรามพระลักษมณ์ กับพิเภกอัปลักษณ์ยักษา
มาถวายสมเด็จพระบิดา มิให้เคืองบาทาเท่าธุลี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวราพณาสูรยักษี
ได้ฟังหนุมานพาที มิความยินดีเป็นพ้นนัก
ดั่งได้สมบัติพัสถาน อันโอฬารเลิศลํ้าในไตรจักร
สำรวลสรวลยิ้มทั้งสิบพักตร์ พญายักษ์จึ่งสั่งมโหทร
จงเตรียมจตุรงคโยธา อันแกล้วกล้าห้าวหาญชาญสมร
เหมือนทัพอินทรชิตฤทธิรอน ออกไปต่อกรด้วยไพรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น มโหทรเสนายักษี
รับสั่งพระองค์ทรงธรณี ถวายอัญชุลีแล้วออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ปฐม

ยานี

๏ เกณฑ์มารเป็นหมู่จตุรงค์ เลือกล้วนอาจองแกล้วกล้า
พลเท้าห่มเกราะอลงการ์ ถือปืนคาบศิลาหยัดยัน
พลม้าล้วนถือทวนแทง ขี่ขับเรี่ยวแรงแข็งขัน
พลช้างผูกช้างซับมัน พื้นชาติฉันทันต์งางอน
มารหมอถือของ้าวง่า แต่ละตัวแกล้วกล้าดั่งไกรสร
พลรถก็เทียมอัสดร มือถือโตมรทะยานยุทธ์
ตั้งตามตาริ้วราบเรียบ ดั่งระเบียบหมู่คลื่นในสมุทร
กวัดแกว่งสาตราวราวุธ อุตลุดเพียบพื้นปถพี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ท้าวทศพักตร์ยักษี
ครั้นเสร็จซึ่งจัดโยธี จึ่งมีพระราชบัญชา
กำชับสั่งนายจตุรงค์ จงเร่งระวังรักษา
แม้นลูกรักกูเป็นเหตุมา จะฆ่าให้สิ้นทั้งทัพชัย
ตรัสแล้วประทานพระแสงศร อำนวยอวยพรประสาทให้
ซึ่งจะไปปราบพวกภัย ดวงใจจงศรีสวัสดี
อันหมู่กระบินทร์อรินทร์ราช จงวินาศแพ้พ่ายกระจายหนี
ให้จับมนุษย์ได้ในวันนี้ ลูกรักพ่อศรีเมืองมาร ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น คำแหงวายุบุตรใจหาญ
รับศรกับพรพญามาร แล้วมาสนานอินทรีย์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ พนักงานก็ไขท่อทอง เป็นละอองต้องกายกระบี่ศรี
ลูบไล้สุคนธมาลี สนับเพลารูจีเชิงงอน
ภูษาพื้นทองท้องยก ก้านกระหนกรูปราชไกรสร
ชายแครงชายไหวอลงกรณ์ ฉลององค์อรชรฉลุลาย
ตาบทิศทับทรวงดวงประพาฬ สังวาลมรกตสามสาย
พาหุรัดทองกรมังกรกลาย ธำมรงค์เพชรรายเรือนสุบรรณ
ทรงมงกุฎแก้วปัทมราช กุณฑลนพมาศฉายฉัน
จับศรย่างเยื้องจรจัล จากปราสาทสุวรรณมาขึ้นรถ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ รถเอยรถศึก สามงอนพันลึกอลงกต
ธินั่งท้าวทศเศียรทรงยศ ชั้นลดบุษบกบัลลังก์ทอง
เทียมด้วยไกรสรสีหราช พันคู่ร้ายกาจเผ่นผยอง
สารถีขับแล่นลำพอง เครื่องสูงธงทองสลับกัน
แตรงอนแตรฝรั่งประสานเสียง สำเนียงฆ้องกลองบันลือลั่น
ทวยหาญโห่ก้องพนาวัน รีบเร่งพลขันธ์ดำเนินไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ กราว

๏ ครั้นถึงซึ่งที่สนามยุทธ์ วายุบุตรผู้มีอัชฌาสัย
จึ่งให้หยุดโยธาพลไกร ตั้งไว้ใกล้เชิงคีรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ