สมุดไทยเล่มที่ ๘๙

๏ เมื่อนั้น ท้าวจักรวรรดิยักษี
เห็นนางมณโฑก็ยินดี จึ่งมีพระราชบัญชา
ดูก่อนมเหสีสหายรัก ผู้ทรงลักษณ์เยาวยอดเสน่หา
อันซึ่งพระนครลงกา กับพิชัยพารามลิวัน
สองกรุงบำรุงสัจไม่เคลื่อนคลาด ดั่งแผ่นนพมาศฉายฉัน
ร่วมสุขร่วมทุกข์ด้วยกัน ร่วมชีพชีวันมาช้านาน
ปัจจามิตรมาติดพระนคร รบรุกราญรอนหักหาญ
พระสหายไม่ใช้เสนามาร ให้ไปแจ้งการด้วยอันใด
จนสิ้นสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์ พากันตายยับไม่นับได้
หากองค์โอรสยศไกร ลอบไปแจ้งเหตุจึ่งยกมา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางมณโฑผู้ยอดเสน่หา
ได้ฟังพระราชบัญชา โศกาสนองพระวาที
เมื่อศึกมาติดพระนคร แสนเทวษทุกข์ร้อนดั่งเพลิงจี่
ตั้งแต่รบร้าฆ่าตี มิได้ว่างเว้นสักคืนวัน
มิตรสหายญาติวงศ์ซึ่งทรงเดช ทั่วทุกนคเรศเขตขัณฑ์
ไกลใกล้ก็ให้ไปหากัน มาช่วยโรมรันปัจจามิตร
โยธาแต่ละทัพนับสนุทร ก็พ่ายแพ้มนุษย์ด้วยศรสิทธิ์
กรรมกั้นมิให้ทันคิด ถึงพระองค์ทรงฤทธิ์ผู้ศักดา
อันซึ่งไพนาสุริย์วงศ์ เอกองค์โอรสเสน่หา
ขอฝากไว้ใต้บาทา ผ่านฟ้าจงได้ปรานี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวจักรวรรดิยักษี
ฟังนางมณโฑเทวี มีความแสนโสมนัสนัก
ดั่งได้สมบัติพัสถาน ศฤงคารบริวารทั้งไตรจักร
พิศดูโอรสสหายรัก พญายักษ์มีราชบัญชา
บัดนี้ก็เสร็จการณรงค์ อันไพนาสุริย์วงศ์เสน่หา
จะให้ผ่านพิภพลงกา สืบวงศ์พรหมาธิบดี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ตรัสแล้วจึ่งมีประกาศิต สั่งปโรหิตทั้งสี่
จงหาศุภฤกษ์นาที ให้ต้องที่ชันษาพระกุมาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ขุนโหรผู้ปรีชาหาญ
ก้มเกล้ารับราชโองการ แล้วจับกระดานชนวนมา
จึ่งตั้งสมผุสพระจันทร์ คูณหารเดือนวันชันษา
สอบใส่ในดวงพระชะตา เสาร์มาเป็นสิบเอ็ดแก่ลัคน์
พระหัสเป็นศรีตกทวาร จะได้ผ่านสวรรยาอาณาจักร
เดือนหน้าราหูมาพัก พับลัคน์ในราศิมิน
อังคารถึงจันทร์จะต้องฆาฏ พระเคราะห์ใหญ่วิปลาสร้ายสิ้น
แม้นมาตรถึงองค์อมรินทร์ เป็นปิ่นฝูงเทพเทวา
ก็จะจุติไปจากสถาน ไม่ตั้งอยู่นานในยศถา
อันพญาพิเภกอสุรา จะคืนผ่านลงกาสืบไป
คิดแล้วกราบทูลทันที รุ่งขึ้นพรุ่งนี้ฤกษ์ใหญ่
ต้องตามพระกุมารชาญชัย ได้ทั้งชันษาชะตาเมือง
ครอบครองโภไคยไอศูรย์ จะเพิ่มพูนเกียรติยศลือเลื่อง
สมบัติพัสถานจะรุ่งเรือง ไพร่เมืองจะสุขสถาวร ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวจักรวรรดิชาญสมร
ได้ฟังโหราพยากรณ์ ภูธรชื่นชมยินดี
จึ่งมีพระราชบรรหาร สั่งเสนามารทั้งสี่
จงแต่งราชการพิธี ให้ต้องตามที่บูราณมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนีผู้มียศถา
ก้มเกล้ารับราชบัญชา ถวายบังคมลาแล้วออกไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ชมตลาด

๏ จึ่งจัดปราสาทราชฐาน กั้นฉากผูกม่านสองไข
เพดานห้อยพวงมาลัย พู่กลิ่นอำไพอรชร
พื้นล่างลาดพรมสุจหนี่ ทอดที่หนังราชไกรสร
พระเต้าวารีสีทันดร อลงกรณ์สังข์กลศรจนา
แว่นทองแว่นแก้วแพร้วพรรณ บายศรีเจ็ดชั้นซ้ายขวา
ทั้งเครื่องกกุธภัณฑ์อลังการ์ ปักมหาเศวตฉัตรโอฬาร
ตั้งที่มูรธาภิเษกสรง ตามวงศ์พรหเมศมหาศาล
แต่งเสร็จทั่วทุกพนักงาน โดยการพระราชพิธี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวจักรวรรดิยักษี
ครั้นแสงทองส่องฟ้าธาตรี ตื่นจากแท่นที่ไสยา
จึ่งสั่งไพนาสุริย์วงศ์ เอกองค์โอรสเสน่หา
ชำระสระสรงคงคา ให้ทันเวลาสถาวร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ไพนาสุริย์วงศ์ชาญสมร
น้อมเศียรรับสั่งพระบิดร บทจรเข้าที่สรงชล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

โทน

๏ พนักงานไขท่อปทุมทอง เป็นละอองโปรยปรายดั่งสายฝน
ทรงสุคันธารสเสาวคนธ์ ปรุงปนเรณูสุมามาลย์
สนับเพลาเชิงงอนช่องกระจก ภูษิตแย่งยกกระหนกก้าน
ชายแครงเครือหงส์อลงการ ชายไหวชัชวาลด้วยพลอยราย
ฉลององค์ริ้วตาดพื้นม่วง ทับทรวงมรกตฉานฉาย
ตาบทิศกุดั่นจำหลักลาย สังวาลเพชรสามสายพาหุรัด
ทองกรเป็นรูปภุชงค์ ธำมรงค์เรือนเก็จกาบสะบัด
ทรงมหามงกุฎดอกไม้ทัด กุณฑลแก้วจำรัสกรรเจียกจร
งามองค์งามศักดิ์งามศรี ท่วงทีดั่งราชไกรสร
ย่างเยื้องยุรยาตรนาดกร บทจรมายังพระบิดา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวจักรวรรดิยักษา
พิศดูนรลักษณ์พักตรา ไพนาสุริย์วงศ์อสุรี
งามศักดิ์งามศรีงามทรง คล้ายองค์อินทรชิตผู้พี่
ควรดำรงทรงภพธานี จะสืบศรีสุริย์วงศ์พรหมาน
ตรัสพลางก็พาพระโอรส บทจรจากแท่นมุกดาหาร
ทั้งนางมณโฑนงคราญ แสนสนมบริวารก็ตามมา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงพระมหาปราสาท กษัตริย์ราชสุริย์วงศ์พร้อมหน้า
ให้ขึ้นนั่งบัลลังก์อลงการ์ ใต้มหาเศวตฉัตรรูจี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ปโรหิตผู้เฒ่าทั้งสี่
โหราพฤฒาพญารี ชาวพ่อชีพราหมณาจารย์
จึ่งเอานํ้าสังข์นํ้ากลศ รดพระมูรธาภิเษกสนาน
แก่องค์พระราชกุมาร แล้วโอมอ่านพระเวทขึ้นพร้อมกัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

สระบุหร่ง

๏ ได้เอยได้ฤกษ์ โหราให้เบิกบายศรีขวัญ
จึ่งลั่นฆ้องชัยเป็นสำคัญ แตรสังข์เสียงสนั่นโกลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ปโรหิตผู้เฒ่าก็จุดเทียน ติดแว่นส่งเวียนไปเบื้องขวา
เสนีอำมาตย์มาตยา พระวงศาส่งรับกันเนื่องไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ร่าย

๏ ครั้นถ้วนคำรบเจ็ดรอบ โดยระบอบคัมภีร์พิธีไสย
พระโหรผู้เฒ่าจึ่งดับไฟ โบกควันตรงไปสามที
แล้วเอาจุณเจิมเฉลิมพักตร์ ให้จำเริญยศศักดิ์เรืองศรี
อำนวยอวยพรสวัสดี เสียงมี่อื้ออึงเป็นโกลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวจักรวรรดิยักษา
จึ่งมอบสมบัติสวรรยา เสนาไพร่ฟ้าประชากร
ให้แก่ไพนาสุริย์วงศ์ สืบพงศ์พรหมานชาญสมร
ชื่อท้าวทศพินฤทธิรอน โดยนามบิดรประกอบกัน
แล้วให้โอวาทด้วยคำหวาน เจ้าผู้จะผ่านไอศวรรย์
จงตั้งอยู่ในทางทศธรรม์ อย่ามีโมหันธ์ฉันทา
อันสุริย์วงศ์พงศาคณามิตร ห่างสนิทปลูกเลี้ยงให้ถ้วนหน้า
ข้าเฝ้าเหล่าหมู่มาตยา โยธาทวยหาญชาญชัย
ผู้ใดที่มีความชอบ จงประกอบยศศักดิ์รางวัลให้
บำรุงไพร่พลสกลไกร โดยในขนบบูราณกาล
ว่าแล้วประทานศรทรง ฤทธิรงค์ปราบได้ทุกสถาน
ชื่อว่าบรรลัยจักรวาล จงเอาไว้ผลาญไพรี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทศพินสิทธิศักดิ์ยักษี
คำนับรับศรด้วยยินดี แล้วกราบทูลด้วยปรีชาไว
ซึ่งพระองค์เมตตาการุญ พระคุณนั้นหาที่สุดไม่
จะขอเอาพระเดชปกเกศไป กว่าชีวาลัยจะวายปราณ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวจักรวรรดิใจหาญ
เสร็จมอบไอศูรย์ศฤงคาร พญามารเกษมเปรมปรีดิ์
จึ่งเสด็จย่างเยื้องยุรยาตร จากบัลลังก์อาสน์มณีศรี
พร้อมหมู่พหลมนตรี ไปยังที่อยู่กุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

โอ้

๏ เมื่อนั้น ท้าวทศคิริวงศ์รังสรรค์
ต้องจำลำบากมาหลายวัน กันแสงศัลย์นิ่งนึกตรึกไป
โอ้อนิจจาตัวกู มาเลี้ยงลูกศัตรูก็เป็นได้
สำคัญว่าบุตรสุดสายใจ รักใคร่ดั่งดวงนัยนา
เสียแรงรู้ประเสริฐเลิศชาย มาหลงตายด้วยความเสน่หา
แจ้งไปถึงไหนจะนินทา ทั้งไตรโลกาไม่ว่าดี
ทำไฉนจะทราบบาทบงสุ์ องค์พระหริรักษ์เรืองศรี
จะได้เข่นฆ่าราวี แก้แค้นไพรีให้ถึงใจ
อกเอ๋ยจะได้ใครนำสาร ไปแจ้งการข่าวทุกข์ของกูได้
รํ่าพลางโศกาอาลัย ชลนัยน์นองพักตร์อสุรา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายอสุรผัดยักษา
แต่กันแสงถึงองค์พระอัยกา ดั่งว่าจะสิ้นชีวัน
จึ่งคิดว่าไพนาสุริย์วงศ์ ได้ครองลงกาเขตขัณฑ์
กับกูก็เล่นมาด้วยกัน ตั้งแต่ชันษาจำเริญวัย
จะขึ้นไปขอโทษพระอัยกา ให้พ้นพันธนาในตรุใหญ่
คิดแล้วลงจากปราสาทชัย ตรงไปพระโรงรูจี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ แลเห็นไพนาสุริย์วงศ์ กับองค์จักรวรรดิยักษี
ออกหมู่มาตยาเสนี เสียงมี่บังคับราชการ
อาจองเดินตรงเข้าไป ด้วยใจสุรภาพแกล้วหาญ
นั่งลงตรงพักตร์พญามาร ไม่หมอบกรานไม่บังคมอสุรา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวจักรวรรดิยักษา
เห็นอสุรผัดขึ้นมา จึ่งมีบัญชาถามไป
ว่าไอ้เด็กน้อยนี้องอาจ เชื้อชาตินามวงศ์พงศ์ไหน
พักตราเป็นวานรไพร เหตุใดกายเป็นอสุรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทศพินสิทธิศักดิ์ยักษี
ได้ฟังพระราชวาที อัญชุลีสนองพระบัญชา
ไอ้นี้ลูกนางเบญกาย หลานชายพิเภกยักษา
ชื่ออสุรผัดกุมารา บิดานั้นเป็นวานร
มีนามคำแหงหนุมาน ยอดทหารพระรามทรงศร
พักตร์นั้นเหมือนฝ่ายบิดร กายกรเหมือนชนนีมัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวจักรวรรดิรังสรรค์
ได้ฟังขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แผดเสียงสนั่นเป็นโกลี
เหม่เหม่ไอ้ลูกลิงไพร มึงขึ้นมาไยที่นี่
กูจะสังหารเสียบัดนี้ ก็จะม้วยชีวีไม่พริบตา
หากเกรงตำหนิติฉิน ว่าลูกเท่าปีกริ้นก็เข่นฆ่า
ไสหัวลงไปอย่าอยู่ช้า กูไม่ขอดูหน้าไอ้สาธารณ์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อสุรผัดผู้ใจห้าวหาญ
ได้ฟังจักรวรรดิขุนมาร ดั่งตรีสุรกานต์มาแทงกรรณ
พิศดูเป็นครู่ไม่พริบตา กริ้วโกรธโกรธาตัวสั่น
ฮึดฮัดกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน มือคันจะใคร่เข้าราวี
แล้วให้คิดกลัวเกรงภัย จะถึงพระอัยกายักษี
ทั้งพระมารดรอัยกี อสุรีจะไม่ไว้ชีวา
ให้อัดอั้นตันทรวงแสนเทวษ ชลเนตรคลอเนตรซ้ายขวา
ทั้งอายทั้งแค้นแน่นอุรา ก็กลับมายังที่ปราสาทชัย ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงกราบบาทพระอัยกี ทั้งพระชนนีแล้วร้องไห้
สะอื้นพลางสะท้อนถอนใจ ก็เล่าไปแต่ต้นจนปลาย
อัปยศอดสูเป็นสุดคิด เจ็บจิตครั้งนี้ไม่รู้หาย
ตัวลูกก็ชาติอาชาชาย แม้นตายไม่เสียดายแก่ชีวา
ขอลาเบื้องบาทพระอัยกี ทั้งพระชนนีนาถา
ไปเที่ยวเสาะหาพระบิดา มาฆ่ามันให้วายปราณ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สองนางผู้ยอดสงสาร
ฟังอสุรผัดกุมาร โศกาแจ้งการรำพัน
ต่างองค์มีความอาลัยนัก กอดจูบลูบพักตร์แล้วรับขวัญ
เจ้าผู้ร่วมชีพชีวัน อย่าหุนหันคิดอ่านให้จงดี
ใช่ว่าองค์ท้าวจักรวรรดิ จะครอบครองสมบัติอยู่ที่นี่
ไม่ช้าก็จะเลิกโยธี คืนไปธานีขุนมาร
เจ้าจงไปหาบิตุเรศ ให้นำเอาเหตุข่าวสาร
ทูลองค์สมเด็จพระอวตาร แจ้งการทุกข์ร้อนอัยกา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อสุรผัดผู้ใจแกล้วกล้า
ฟังพระอัยกีมารดา อสุราเงือดงดสะกดใจ
แต่อาฆาตมาดหมายอยู่เป็นนิจ จะเว้นว่างห่างคิดก็หาไม่
รักษาตัวมิให้มีภัย อยู่ในปราสาทรูจี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวจักรวรรดิยักษี
อยู่ในลงกาธานี สิบห้าราตรีล่วงมา
จึ่งมีพระราชบรรหาร สั่งเสนามารยักษา
พรุ่งนี้จะกลับไปพารา จงเตรียมโยธาพลากร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายสุพินสันชาญสมร
รับสั่งพระองค์ทรงฤทธิรอน ชุลีกรแล้วรีบออกไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บอกกันทั่วทุกหมู่หมวด ตรวจเตรียมจตุรงค์พยุห์ใหญ่
ตั้งเป็นถ้องแถวลงไว้ โดยกระบวนทัพชัยที่ยกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า

๏ เมื่อนั้น ท้าวจักรวรรดิยักษา
ไสยาสน์เหนืออาสน์อันโอฬาร์ ในมหาปราสาทพรายพรรณ
จนล่วงปัจฉิมราตรี ไก่แก้วตีปีกกระพือขัน
ดุเหว่าเร้าเร่งพระสุริยัน จันทราลับเหลี่ยมคิรินทร
หมู่แมลงผึ้งภู่วู่ร้อง แสงทองจำรัสประภัสสร
เสียงประโคมดนตรีแตรงอน ก็ตื่นจากบรรจถรณ์อลงการ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ จึ่งชำระสระสรงทรงเครื่อง อร่ามเรืองด้วยดวงมุกดาหาร
ชวนองค์ทศพินกุมาร ออกพระโรงสุรกานต์พรายพรรณ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ลดองค์ลงเหนือบัลลังก์รัตน์ ภายใต้เศวตฉัตรฉายฉัน
พร้อมหมู่เสนากุมภัณฑ์ บังคมคัลเกลื่อนกลาดดาษดา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางมณโฑเสน่หา
แจ้งว่าจักรวรรดิอสุรา จะเลิกโยธากลับไป
จึ่งชวนนางท้าวเถ้าแก่ ชะแม่กำนัลน้อยใหญ่
ออกจากปราสาทอำไพ เสด็จไปเฝ้าองค์อสุรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงประณตบทบงสุ์ องค์ท้าวจักรวรรดิยักษี
นั่งใกล้โอรสร่วมชีวี คอยฟังวาทีอสุรา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวจักรวรรดิยักษา
เห็นนางมณโฑขึ้นมา จึ่งมีบัญชาอันสุนทร
เจ้าจงค่อยอยู่สำราญ เราจะลาเยาวมาลย์ไปก่อน
ทศพินซึ่งผ่านพระนคร จะเลี้ยงนิกรประชาชี
ยังอ่อนการในกิจกษัตรา ชันษาก็พึ่งจำเริญศรี
ตัวเจ้าก็เป็นชนนี ทั้งมีปรีชาว่องไว
จงช่วยบำรุงอย่าให้ผิด จากธรรม์ทศพิธไปได้
จึ่งจะภิญโญยศเลิศไกร สืบในสุริย์วงศ์พรหมาน
แม้นมีอริราชไพรี จงใช้เสนีไปแจ้งสาร
จึ่งจะยกมาช่วยรอนราญ ผลาญให้สิ้นชีพชีวัน
สั่งเสร็จเสด็จยุรยาตร จากอาสน์พรรณรายฉายฉัน
กรายกรย่างเยื้องจรจรัล มาทรงรถสุวรรณอำไพ ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ ให้เคลื่อนจตุรงค์โยธี แสนสุรเสนีน้อยใหญ่
ออกจากลงกากรุงไกร ไปยังมลิวันพารา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อสุรผัดผู้ใจแกล้วกล้า
ครั้นจักรวรรดิเลิกโยธา ออกจากลงกาบุรี
จึ่งน้อมเศียรเกล้าอภิวาทน์ กราบลงแทบบาทบทศรี
แห่งองค์สมเด็จพระชนนี แล้วมีวาจาถามไป
อันพระบิตุเรศของข้า สุริย์วงศ์กษัตรากรุงไหน
รูปทรงสรงสถานประการใด ทรงนามชื่อไรพระมารดร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางเบญกายดวงสมร
ส้วมสอดกอดลูกด้วยอาวรณ์ บังอรพลางแจ้งกิจจา
อันพ่อเจ้าผู้ปรีชาชาญ เป็นหลานพญาไวยวงศา
ผ่านกรุงขีดขินนครา พงศ์พระสุริยาเลิศไกร
โอรสพระพายฤทธิรอน นามกรหนุมานทหารใหญ่
ผิวผ่องขนเพชรอำไพ เขี้ยวแก้วมาลัยกุณฑล
หาวเป็นเดือนดาวออกจากโอษฐ์ ช่วงโชติจำรัสโพยมหน
ลาพระจักรกฤษณ์ฤทธิรณ ไปสร้างพรตบวชตนเป็นโยคี
อยู่ยังเขาแก้วมณฑป เจ้าไปก็จะพบฤๅษี
บอกแล้วอวยพรสวัสดี อย่ามีอันตรายภัยพาล ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อสุรผัดผู้ใจกล้าหาญ
ได้ฟังจะแจ้งทุกประการ สำคัญสัณฐานพระบิดร
จึ่งน้อมเกล้าลาบาทพระอัยกี ทั้งพระชนนีดวงสมร
ออกจากปราสาทอลงกรณ์ สำแดงฤทธิรอนเหาะไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ลอยลิ่วปลิวมาดั่งลมพาน ถึงสถานมณฑปเขาใหญ่
ลงจากอากาศด้วยว่องไว ก็เข้าไปยังที่กุฎี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ กราบลงแทบเบื้องบาทบงสุ์ ถามองค์พระมหาฤๅษี
ว่าหนุมานผู้ชาญฤทธี บวชอยู่ที่ใดพระสิทธา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระทิศไพอาจารย์ฌานกล้า
ได้ฟังอสูรกุมารา จึ่งมีวาจาตอบไป
อันซึ่งคำแหงหนุมาน บำเพ็ญฌานอยู่ยอดเขาใหญ่
ทรงศีลภาวนาบูชาไฟ โดยเพศวิสัยโยคี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หลานพระพายเทวัญเรืองศรี
ได้แจ้งแห่งคำพระบุนี ชุลีแล้วเหาะไปด้วยฤทธิ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ มาถึงเห็นองค์พระนักธรรม์ สร้างพรตพรหมจรรย์สำรวมจิต
กองกูณฑ์ช่วงโชติชวลิต สถิตหน้าบรรณศาลา
ไม่รู้ว่าเป็นบิตุเรศ ด้วยผิดสังเกตของยักษา
กราบลงแล้วถามกิจจา ว่าดาบสหนุมานอยู่แห่งใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ฤๅษีวายุบุตรทหารใหญ่
สมาธิภาวนาบูชาไฟ ได้ยินสำเนียงพาที
ลืมเนตรขึ้นเห็นกุมารา พักตรานั้นเป็นกระบี่ศรี
กายกรเป็นรูปอสุรี มีความฉงนสนเท่ห์นัก
แต่พินิจพิศดูอาการ ท่วงทีกล้าหาญแหลมหลัก
ลูกใครน้อยน้อยน่ารัก คิดแล้วจึ่งซักถามไป
ดูก่อนอสูรกุมารา วงศาบ้านเมืองอยู่ไหน
มีนามกรชื่อไร มาถามไยถึงศรีหนุมาน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อสุรผัดผู้ใจห้าวหาญ
ได้ฟังพระมหาอาจารย์ มัสการแล้วบอกไปทันที
ข้านี้มีนามอสุรผัด นัดดาพิเภกยักษี
นางเบญกายเป็นชนนี อยู่ในบุรีลงกา
หนุมานนั้นเป็นบิดร ทหารพระสี่กรนาถา
มีความทุกข์ร้อนจึ่งเสาะมา หวังว่าจะแจ้งเหตุการณ์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น วายุบุตรฤๅษีปรีชาหาญ
ได้ฟังโอรสพจมาน ยินดีปานได้สุราลัย
จึ่งว่าอนิจจาลูกรัก จะรู้จักบิดาก็หาไม่
เราคือหนุมานชาญชัย ซึ่งได้เกิดเกล้าของเจ้ามา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึ่งอสุรผัดยักษา
ได้ฟังกริ้วโกรธโกรธา ชักตระบองเงื้อง่ายืนยัน
ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกระทืบบาท สิงขรไหวหวาดเลื่อนลั่น
สองตาดั่งหนึ่งเพลิงกัลป์ กุมภัณฑ์จึ่งร้องประกาศไป
เหวยเหวยฤๅษีชีป่า อหังการ์กล่าวคำหยาบใหญ่
มุสาว่าเล่นไม่เกรงใจ กูจะฆ่าให้ม้วยชีวี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หนุมานซึ่งเป็นฤๅษี
เห็นลูกไม่เชื่อวาที กระบี่ถวิลจินดา
มิเสียทีเกิดเป็นโอรส ถือยศองอาจแกล้วกล้า
เพราะฉงนสนเท่ห์ในวิญญาณ์ ไม่เห็นว่ากูเป็นวานร
ยิ้มแล้วจึ่งกล่าวคำหวาน ดูก่อนกุมารชาญสมร
อันนางเบญกายบังอร มารดรเจ้าบอกประการใด
ตัวพ่อทรงพรตเป็นฤๅษี จะพาทีมุสานั้นหาไม่
เจ้าอย่ากริ้วโกรธวุ่นไป ว่าเรามิใช่บิดา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อสุรผัดผู้ใจแกล้วกล้า
ได้ฟังมธุรสวาจา อสุราถอยหลังยั้งคิด
อันองค์พระมหามุนี จะพาทีหมิ่นกูก็เห็นผิด
รักษาพรหมจรรย์อยู่เป็นนิจ คิดแล้วก็เล่าความไป
อันบิดาเราผู้เรืองเดช จะเป็นเพศมนุษย์นั้นหาไม่
คือพญาพานรินทร์เกรียงไกร ผิวผ่องอำไพทั้งอินทรีย์
แล้วมีมาลัยกุณฑล ขนเพชรเขี้ยวแก้วจำรัสศรี
แม้นอ้าโอษฐ์สำแดงฤทธี พระรวีเดือนดาวออกมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น หนุมานดาบสพรตกล้า
ฟังอสุรผัดแจ้งกิจจา ตบมือสรวลร่าแล้วร้องไป
คอยดูเถิดนะลูกรัก จักเหมือนคำแม่หรือหาไม่
ว่าแล้วสำแดงฤทธิไกร ถีบทะยานขึ้นไปยังอัมพร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เป็นกระบี่สี่พักตร์แปดหัตถ์ เขี้ยวแก้วจำรัสประภัสสร
กุณฑลมาลัยอลงกรณ์ ขนเพชรอรชรรูจี
ดาวเดือนดวงตะวันช่วงโชติ ออกมาจากโอษฐ์กระบี่ศรี
ส่องสว่างพ่างพื้นปัถพี แล้วลงมายังที่บรรพตา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อสุรผัดชาญชัยใจกล้า
เห็นพระบิตุรงค์ทรงฤทธา เป็นมหามหัศอัศจรรย์
มีความชื่นชมโสมนัส ดั่งได้สมบัติในสวรรค์
จึ่งก้มเกล้าคำรพอภิวันท์ กอดบาทรำพันทูลไป
พระองค์จงได้ปรานี ลูกนี้โทษผิดเป็นข้อใหญ่
ซึ่งว่าได้ทำให้เคืองใจ ขออภัยอย่ามีเวรา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ แล้วเล่าเรื่องความไปตามเหตุ ชลนัยน์คลอเนตรทั้งซ้ายขวา
ว่าองค์สมเด็จพระอัยกา กับไอ้ไพนาสุริย์วงศ์
พระทัยสำคัญว่าเป็นบุตร สุดสวาทรักใคร่ลุ่มหลง
มันกับพี่เลี้ยงนั้นไม่ตรง หนีลงไปเมืองมลิวัน
นำท้าวจักรวรรดิยักษา ยกมาเป็นกระบวนทัพขัน
กับพระอัยกาได้รบกัน มันจับไปจำใส่ตรุไว้
ทนเวทนาลำบากนัก ลูกจักเยี่ยมเยียนก็ไม่ได้
จักรวรรดิเข้าอยู่ยังเวียงชัย ที่ในปราสาทสุรกานต์
จึ่งให้ไพนาสุริย์วงศ์ ขึ้นครองลงการาชฐาน
ชื่อท้าวทศพินขุนมาร แล้วเลิกทวยหาญไปธานี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น คำแหงหนุมานฤๅษี
ได้ฟังคั่งแค้นแสนทวี ดั่งหนึ่งอัคคีมาจ่อใจ
เข่นเขี้ยวเคี้ยวกรามคำรามรน เหม่ไอ้ทรชนมันทำได้
ไม่เกรงกูผู้มีฤทธิไกร จะฆ่าให้บรรลัยไปด้วยกัน
ว่าพลางส้วมกอดลูกรัก พิศพักตร์ภิรมย์ชมขวัญ
แก้วตาพ่อร่วมชีวัน อย่าได้กันแสงโศกา
อันท้าวจักรวรรดิกับทศพิน มันจะพากันสิ้นสังขาร์
ด้วยเดชสมเด็จพระจักรา ผู้ปิ่นโลกาธาตรี
ว่าแล้วมัสการลาพรต จากเพศดาบสฤๅษี
เปลื้องเครื่องสำหรับโยคี วางไว้ในที่กุฎีไพร ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ ครั้นเสร็จสำแดงแผลงฤทธิ์ ทศทิศกัมปนาทหวาดไหว
พาองค์โอรสยศไกร เหาะไปขีดขินด้วยฤทธา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งประณตบทบงสุ์ ทูลองค์พญาไวยวงศา
ว่าบัดนี้อสุรผัดกุมารา โอรสของข้ามาแจ้งการ
ว่ากรุงลงกาธานี มีราชไพรีมาหักหาญ
อันท้าวทศคิริวงศ์พญามาร อ้ายสาธารณ์มันจับจำไว้
แม้นทราบบาทบงสุ์พระทรงศร เห็นจะได้ราญรอนเป็นศึกใหญ่
ข้าจึ่งลาพรตจากไพร มาทูลให้ทราบธุลี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พญาไวยวงศาเรืองศรี
ได้ฟังกริ้วโกรธดั่งอัคคี จึ่งมีสีหนาทวาจา
เหม่ไอ้ไพนาสุริย์วงศ์ กับพี่เลี้ยงอาจองหนักหนา
จะพากันบรรลัยไม่พริบตา สิ้นทั้งลงกามลิวัน
พรุ่งนี้เจ้าพาลูกชาย ไปทูลพระนารายณ์รังสรรค์
น้ากับท้าวมหาชมพูนั้น จะยกพวกพลขันธ์ตามไป
ว่าแล้วอุ้มองค์อสุรผัด เชยชมโสมนัสรักใคร่
จนเวลาสิ้นแสงอโณทัย ก็หลับไปในราษราตรี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายพระภุชพงศ์เรืองศรี
เฉลิมภพอยุธยาธานี เป็นที่ผาสุกทุกเวลา
ครั้นสิ้นแสงสีรวีวร จันทรจำรัสพระเวหา
ทรงกลดหมดเมฆเมฆา ดารารายรอบเป็นขอบคัน
พระพายชายกลิ่นสุมามาลย์ อันแบ่งบานในสระสวนขวัญ
จึ่งชวนองค์สีดาวิลาวัณย์ จรจรัลเข้าที่บรรทมใน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ กล่อม

ช้า

๏ พระฟังสังคีตดีดสี ดนตรีบำเรอเสียงใส
ปัจฉิมยามบรรทมหลับไป ภูวไนยจึ่งทรงพระสุบิน
ว่าเมฆตั้งบังแสงสุริยน มืดมนทั้งทิศทักษิณ
มีเทเวศชูดวงมณีนิล รัศมีดั่งทินกรพราย
ครั้นเข้ามาใกล้ก็อภิวันท์ เอาดวงแก้วนั้นชูถวาย
แล้วสาวไส้พระองค์ให้เรี่ยราย ออกจากพระกายยาวไป
วงกระหวัดรัดรอบจักรวาล จนถึงบาดาลต่ำใต้
ให้สะดุ้งตระหนกตกใจ ภูวไนยตื่นจากนิทรา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ พระตรึกไปในข้อความฝัน เห็นเป็นอัศจรรย์หนักหนา
คิดฉงนสนเท่ห์ในวิญญาณ์ ไม่รู้ว่าเหตุผลร้ายดี
ครั้นพระสุริยาเรื่อรอง แสงทองจำรัสรัศมี
สระสรงทรงเครื่องรูจี เสด็จออกยังที่พระโรงคัล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ลดองค์ลงเหนือบัลลังก์รัตน์ ภายใต้เศวตฉัตรฉายฉัน
เสนาข้าเฝ้าพร้อมกัน อภิวันท์เกลื่อนกลาดดาษไป
จึ่งตรัสแก้พระสุบินนิมิต แก่ปโรหิตผู้ใหญ่
คืนนี้เราฝันประหลาดใจ ก็เล่าไปแต่ต้นจนปลายมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ขุนโหรผู้มียศถา
รับสั่งแล้วพิจารณา ดูโดยตำราพยากรณ์
เห็นแจ้งประจักษ์ทั้งร้ายดี อัญชุลีทูลองค์พระทรงศร
ซึ่งฝันว่าเมฆตั้งในอัมพร เป็นกลุ่มก้อนดั่งหนึ่งเปลวควัน
มืดมัวข้างทิศทักษิณ บังสิ้นรังสีสุริย์ฉัน
จะเกิดการรณรงค์โรมรัน จะเสียเมืองขอบขัณฑเสมา
อันเทเวศถวายดวงมณี จะมีชายหนึ่งแกล้วกล้า
นำเอาโอรสกุมารา มาถวายบาทาพระภูวไนย
ข้อซึ่งสาวไส้พระองค์ วงรอบขอบจักรวาลใหญ่
จะปรากฏพระยศเกรียงไกร ขจรไปทั่วฟ้าบาดาล
แล้วจะได้เมืองขึ้นในเบื้องบาท ถวายสุวรรณมาศมุกดาหาร
แต่ว่าจะต้องโรมราญ พวกพาลจะแพ้ฤทธิรอน
อันขอบเขตซึ่งเสียจะได้คืน จะราบรื่นแสนสนุกกว่าแต่ก่อน
มั่นคงดั่งข้าพยากรณ์ จะรู้ข่าวแน่นอนในสามวัน ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์องค์นารายณ์รังสรรค์
ฟังโหรทำนายพร้อมกัน ทรงธรรม์นิ่งนึกตรึกไป
บรรดาท้าวพญาวานร ซึ่งครอบครองนครน้อยใหญ่
ล้วนเลื่องชื่อลือฤทธิ์เกรียงไกร ผู้ใดไม่อาจยํ่ายี
แต่พญาพิเภกอสุรา ซึ่งผ่านลงกาบุรีศรี
ฤทธานุภาพก็ไม่มี รู้แต่คัมภีร์โหราจารย์
ศัตรูหมู่พวกไพริน มันจึ่งดูหมิ่นฮึกหาญ
ยิ่งคิดก็ยิ่งรำคาญ ไม่ว่าราชการสิ่งใด ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายพญาอนุชิตทหารใหญ่
ครั้นดาวเดือนเลื่อนเลี้ยวลับไป อโณทัยส่องสว่างอัมพร
ตื่นจากที่ศรีไสยาสน์ ชวนโอรสราชชาญสมร
บังคมสุครีพฤทธิรอน เขจรเหาะไปอยุธยา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าไปเฝ้า ต่างตนน้อมเกล้าเกศา
กราบลงด้วยใจปรีดา หมอบอยู่เบื้องหน้าพระอวตาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรกฤษณ์ฤทธิ์ลํ้าสุริย์ฉาน
เห็นลูกพระพายชัยชาญ พากุมารเขามาก็ยินดี
จึ่งมีบัญชาประกาศิต ถามพญาอนุชิตกระบี่ศรี
ตัวท่านไปบวชเป็นโยคี มีเหตุสิ่งไรจึ่งกลับมา
อันกุมารน้อยนี้ประหลาดนัก ดวงพักตร์เป็นวานรป่า
ส่วนกายเป็นกายอสุรา เชื้อวงศ์พงศาของผู้ใด ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พญาอนุชิตทหารใหญ่
ได้ฟังบัญชาพระภูวไนย บังคมไหว้สนองพระโองการ
ซึ่งข้าลาบาทบงกช ไปทรงพรตในที่รโหฐาน
ไม่มีอันตรายภัยพาล เป็นสุขสำราญทุกราตรี
อันกุมารายุพาพักตร์ ลูกรักข้าบาทบทศรี
นางเบญกายเป็นชนนี มีนามอสุรผัดกุมารา
บัดนี้ลงกาพระนคร เกิดณรงค์ราญรอนเข่นฆ่า
ด้วยบุตรนางมณโฑกัลยา ชื่อไพนาสุริย์วงศ์กุมาร
กับวรณีสูรพี่เลี้ยงมัน ลอบไปมลิวันราชฐาน
พาท้าวจักรวรรดิใจพาล ยกพวกทหารมาชิงชัย
ท้าวทศคิริวงศ์ออกต่อตี เสียทีมันจับตัวได้
พันธนาใส่ตรุตรากไว้ จะให้สิ้นชีพชีวัน
จึ่งตั้งไพนาสุริย์วงศ์ ขึ้นดำรงลงกาเขตขัณฑ์
ชื่อว่าทศพินกุมภัณฑ์ แล้วเลิกพลขันธ์ไปธานี ฯ

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระกฤษณุรักษ์เรืองศรี
ได้ฟังกริ้วโกรธดั่งอัคคี จึ่งมีโองการตรัสไป
ความนี้จริงเหมือนหนึ่งนิมิต โหรทายจะผิดก็หาไม่
ดูดู๋เด็กน้อยเท่าแมงใย อาจใจเข้ากองเพลิงกัลป์
ทั้งไอ้จักรวรรดิขุนยักษ์ มันจักสิ้นชีพอาสัญ
จึ่งมาหักโหมโรมรัญ จับพิเภกเข้าพันธนาการ
ตรัสพลางสรรเสริญอสุรผัด นํ้าใจซื่อสัตย์กล้าหาญ
มาบอกความตามเหตุในเมืองมาร จึ่งแจ้งการว่าเกิดไพรี
วายุบุตรจงเร่งรีบไป ยังพิชัยขีดขินบุรีศรี
ทั้งชมพูนคราธานี ให้เกณฑ์โยธียกมา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานทหารกล้า
ก้มเกล้าสนองพระบัญชา อันพญาสุครีพฤทธิรอน
ตัวข้าได้พากุมาร ไปแจ้งการทั้งปวงให้ฟังก่อน
แต่รู้ก็ใช้วานร ไปเกณฑ์นิกรทุกธานี
พร้อมแล้วจะรีบยกมา ตามข้าผู้รองบทศรี
ยังกรุงทวาราวดี เฝ้าเบื้องธุลีบทมาลย์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรีผู้ปรีชาหาญ
ฟังลูกพระพายชัยชาญ ผ่านฟ้ายินดีเป็นพ้นไป
จึ่งมีพระราชบัญชา สั่งมหาเสนาผู้ใหญ่
ตัวท่านผู้ปรีชาไว จงไปไกยเกษธานี
หาองค์พระพรตพระสัตรุด นุชนาถของเราทั้งสองศรี
กูจะให้ไปปราบไพรี ยังราชธานีลงกา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนีผู้มียศถา
รับสั่งถวายบังคมลา มาขึ้นอาชาแล้วรีบไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงไกยเกษราชฐาน แสนสนุกโอฬารกว้างใหญ่
ลงจากมิ่งม้าอาชาไนย ไปยังพระโรงรูจี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ จึ่งน้อมเกล้าประณตบทบงสุ์ น้องพระหริวงศ์เรืองศรี
ทูลความตามราชวาที องค์พระจักรีใช้มา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตสุริย์วงศ์นาถา
ทั้งพระสัตรุดอนุชา แจ้งว่าลงกาพระนคร
เกิดพวกอริราชภัยพาล องค์พระอวตารทรงศร
จะให้เป็นจอมพลากร ไปสังหารราญรอนกุมภัณฑ์
มีความชื่นชมโสมนัส ดั่งได้สมบัติในสวรรค์
มิเสียทีฝูงเทพเทวัญ ประชุมกันเชิญไวกูณฐ์มา
ช่วยองค์สมเด็จพระหริรักษ์ ล้างเหล่าปรปักษ์ยักษา
ถึงตายไม่เสียดายชีวา จะรองเบื้องบาทาพระสี่กร
คิดแล้วพากันยุรยาตร จากอาสน์เนาวรัตน์ประภัสสร
พร้อมฝูงอนงค์บังอร บทจรโดยเสด็จจรลี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงประณตบทบงสุ์ องค์พระอัยกาเรืองศรี
ทูลว่าลงกาธานี มีเสี้ยนไพรีมาโรมรัน
องค์พระเชษฐาบัญชาการ จะให้หลานเป็นจอมพลขันธ์
ขอลาบาทบงสุ์พระทรงธรรม์ ไปล้างกุมภัณฑ์ในลงกา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวไกยเกษนาถา
ได้ฟังสองราชนัดดา แสนโสมนัสสาเป็นพ้นนัก
ครั้งนี้สองเจ้าจะไว้ยศ ปรากฏเกิยรติไปทั้งไตรจักร
คิดพลางส้วมกอดหลานรัก จูบพักตร์อำนวยอวยชัย
อันหมู่พาลาปัจจามิตร อย่ารอต่อฤทธิ์เจ้าได้
จงมีอานุภาพปราบไป ทั้งไตรโลกาธาตรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตพระสัตรุดเรืองศรี
ก้มเกล้ารับพรด้วยยินดี ถวายอัญชุลีแล้วกลับมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ลดองค์ลงเหนือบัลลังก์รัตน์ อันโอภาสจำรัสพระเวหา
แล้วมีพระราชบัญชา ตรัสสั่งเสนาผู้ปรีชาญ
จงเตรียมจตุรงค์พยุหบาตร แสนเสนามาตย์ทวยหาญ
กูจะไปเฝ้าองค์พระอวตาร ผู้ผ่านโลกาธาตรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งมหาเสนาทั้งสี่
ก้มเกล้ารับสั่งด้วยยินดี ถวายอัญชุลีแล้วออกไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ยานี

๏ เกณฑ์พลล้วนพวกอาจอง เป็นกระบวนจตุรงค์พยุห์ใหญ่
พลเท้าพื้นถือปืนไฟ ล้วนใส่เสื้อแดงยืนยัน
พลช้างใส่เสื้ออัตลัด ถือขอแกว่งกวัดดั่งจักรผัน
พลม้าใส่เสื้อสีจันทน์ ถือทวนสุวรรณกรีดกราย
พลรถใส่เสื้อชมพู กรกุมธนูประลองสาย
เตรียมทั้งรถแก้วแพรวพราย ตั้งรายตามราชรัถยา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระพรตพระสัตรุดนาถา
ครั้นรุ่งสางสว่างเวลา เสด็จมาสระสรงชลธาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

โทน

๏ สนานกายสายสินธุ์สุหร่ายมาศ สุคนธ์ธารบุปผชาติหอมหวาน
สนับเพลาเครือแก้วอลงการ ภูษาลายก้านสุพรรณพราย
ชายแครงชายไหวปลายสะบัด สังวาลวัลย์เนาวรัตน์สามสาย
ตาบทิศทับทรวงจำหลักลาย พาหุรัดนาคกลายทองกร
ต่างทรงธำมรงค์เรือนเก็จ มงกุฎพื้นพลอยเพชรประภัสสร
ห้อยพวงมาลัยกรรเจียกจร ดอกไม้ทัดอรชรอร่ามเรือง
งามองค์งามทรงเครื่องประดับ แวววับรัศมีฉวีเหลือง
จับศรขัดพระขรรค์ค่าเมือง ย่างเยื้องตามกันเสด็จมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงเกยแก้วแกมมาศ อันโอภาสจับพื้นพระเวหา
สองพระองค์ผู้ทรงศักดา เสด็จขึ้นรถาสุพรรณพราย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ รถเอยรถแก้ว วาวแววเนาวรัตน์จำรัสฉาย
ดุมวงกงปรุฉลุลาย งอนระหงทรงคล้ายเวไชยันต์
แท่นท้ายรายเทพนมกร นาคครุฑกินนรเคียงคั่น
เสาแก้วกาบบังกระจังบัน ห้ายอดเก้าชั้นเป็นหลั่นลด
เทียมอัศวราชสินธพ ฝีเท้าเลิศลบดั่งลมกรด
สารถีขี่ขับเคยพยศ เร่งรถกวัดแกว่งทวนทอง
ประดับเครื่องบังสูรย์มยุรฉัตร โดยขนัดหน้าหลังเป็นทิวถ้อง
ธงชายรายริ้วตามกอง แตรสังข์พาทย์ฆ้องเภรี
พลรถก็เร่งรัถา พลม้าขับม้าอึงมี่
ขุนพลเร่งพลเป็นโกลี โยธีขับแข่งกันรีบไป ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายพญาวานรน้อยใหญ่
บรรดาซึ่งรั้งเวียงชัย ได้แจ้งว่ากรุงลงกา
องค์ท้าวจักรวรรดิขุนมาร ยกพวกพลหาญมาเข่นฆ่า
ต่างตนต่างเกณฑ์โยธา ยกมาขีดขินพระบุรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ