สมุดไทยเล่มที่ ๕

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงฝูงเทวาทุกราศี
ครั้นยามวสันต์ก็ยินดี เป็นที่สนุกสำราญ
ชวนกันออกเล่นนักขัตฤกษ์ เอิกเกริกทั่วเทวสถาน
ประชุมพร้อมเพรียงกันทุกพิมาน เล่นการมโหรสพเป็นโกลา ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ

สระบุหร่ง

๏ จึงจับระบำรำร่าย ทอดกรกรีดกรายทั้งซ้ายขวา
รำเรียงเคียงชิดเข้ามา เลียมลอดสอดคว้าทุกนาง
แล้วกลับร่ายรำทำที แทรกเปลี่ยนเสียดสีมิให้ห่าง
ยั่วเย้าเคล้าคลอกั้นกาง พลางแนมแกมกลปนมา
ฉวยฉุดยุดนางเบื้องซ้าย ย้ายเป็นหยอกนางข้างขวา
รื่นเริงบันเทิงทุกเทวา ด้วยฝูงนางฟ้าวิลาวัณย์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

พระทอง

๏ เมื่อนั้น นางเทพธิดาสาวสวรรค์
รำรอล่อไว้ไม่ติดพัน เกษมสันต์ชําเลืองแลไป
ครั้นเทวัญเข้าชิดก็บิดหนี ร่ายรำทำทีมิให้ใกล้
หลีกเลี้ยวตีวงเวียนไป นัยน์เนตรชม้อยคอยที
ครั้นเทพบุตรฉุดคร่า นางฟ้าป้องปัดสลัดหนี
แสนสนุกสุขเกษมเปรมปรีดิ์ ทุกเทพนารีเทวา ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ เพลง

ร่าย

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายพระอรชุนแกล้วกล้า
แจ้งว่าเทพบุตรนางฟ้า ชวนกันมาเล่นก็ยินดี
อ่าองค์ทรงเครื่องอาภรณ์ กรจับพระขรรค์เรืองศรี
ออกจากวิมานรัตน์มณี เหาะมาที่ประชุมเทวัญ ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ กลม

๏ เที่ยวดูฝูงเทพเทวา กับหมู่นางฟ้าในสรวงสวรรค์
สุขเกษมเปรมใจไปด้วยกัน ที่ในสวรรค์ชั้นฟ้า ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายนางมณีเมขลา
อยู่ในวิมานรัตนา สำหรับรักษาสมุทรไท
เคยไปประชุมด้วยเทวัญ เป็นนิจนิรันดร์หาขาดไม่
ครั้นถึงฤดูกำหนดไว้ อรไทชื่นชมยินดี
จึงแต่งองค์ทรงเครื่องอลงกรณ์ งามงอนจํารัสรัศมี
มือถือดวงแก้วมณี เทวีก็ออกจากวิมาน ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ เชิดฉิ่ง

๏ ลงมาจากกลีบเมฆา เล่นด้วยนางฟ้าเกษมศานต์
เรื่อยร้องโอดพันบรรเลงลาน นงคราญรำร่ายไปมา ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เพลง

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงรามสูรยักษา
อาศัยในกลีบเมฆา เป็นที่ผาสุกสำราญ
มีศรขวานเพชรเป็นอาวุธ ฤทธิรุทรหยาบช้ากล้าหาญ
ทั้งหกสวรรค์ชั้นบาดาล เกรงเดชขุนมารไม่ทานกร
เพื่อนยิ่งอิ่มเอิบกําเริบหนัก ทรงศักดิ์ดั่งหนี่งไกรสร
อ่าองค์ทรงเครื่องอาภรณ์ จับขวานฤทธิรอนแล้วเหาะมา ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ เชิด

๏ รวดเร็วดั่งหนึ่งลมพัด เฉวียนฉวัดไปในเวหา
เยี่ยมออกจากกลีบเมฆา อสุราเห็นแก้วแววไว
ซึ่งนางเมขลาโยนเล่น ยิ่งเห็นยิ่งชอบอัชฌาสัย
ยิ่งพิศยิ่งติดต้องใจ จะใคร่ได้ซึ่งดวงจินดา
หมายเขม้นเข่นเขี้ยวจะราญรอน กรกุมขวานเพชรเงื้อง่า
เผ่นโผนโจนไปในเมฆา ไล่นางเมขลาด้วยฤทธี ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น เทวานางฟ้าทุกราศี
แลเห็นรามสูรอสุรี มาไล่ราวีก็ตกใจ
หน้าซีดตัวสั่นขวัญหาย วุ่นวายไม่สมประดีได้
เสียงมี่อื้ออึงคะนึงไป สุราลัยวิ่งพะปะกัน ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ เชิด

๏ นางฟ้าอุ้มจูงเทวบุตร อุตลุดไปทั้งสรวงสวรรค์
อันฉิ่งกรับทับโทนทั้งนั้น สารพันแตกสิ้นไม่สมประดี ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เชิด

๏ อันเทพบุตรกับนางฟ้า ไม่อาจดูหน้ายักษี
ความกลัวดั่งจะสิ้นชีวี หนีไปยังทิพวิมาน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น รามสูรฤทธิไกรใจหาญ
เห็นเทวัญนางฟ้ายุพาน วิ่งหนีลนลานวุ่นไป
ยังแต่โฉมนางเมขลา เข้าแอบเมฆากลีบใหญ่
อสุราสำแดงฤทธิไกร โลดโผนโจนไล่ราวี ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น นวลนางเมขลามารศรี
เลี้ยวล่อรามสูรอสุรี กรโยนมณีจินดา
ทำทีประหนึ่งจะให้แก้ว กลอกแสงพรายแพร้วบนหัตถา
ครั้นรามสูรไล่เลี้ยวมา กัลยารำล่ออสุรี
นางแกล้งเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน เวียนไปตามจักรราศี
มือหนึ่งชูแก้วมณี ทำทีเยาะเย้ยอสุรา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๏ บัดนั้น จึ่งรามสูรยักษา
ครั้นแสงแก้วแวววับจับตา อสุรากริ้วโกรธคือไฟ
เหม่เหม่เมขลานารี กูจะล้างชีวีเสียให้ได้
กวัดแกว่งขวานเพชรดั่งเปลวไฟ ก็ขว้างไปด้วยกำลังฤทธิ์ ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ

๏ มิได้ต้องกายกัลยา ยักษาเดือดดาลทะยานจิต
โลดไล่พัลวันกระชั้นชิด ตามติดคว้าไขว่เยาวมาลย์ ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เชิด

๏ มาพบพระอรชุนเทเวศร์ เรืองเดชศักดากล้าหาญ
มือถือพระขรรค์สุรกานต์ เหาะผ่านหน้ามาก็ขัดใจ
ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันทําอำนาจ ผาดเสียงสนั่นหวั่นไหว
แล้วร้องตวาดประภาษไป ว่าเหวยผู้ใดอหังการ์
นามกรเป็นไฉนจึ่งอาจอง ทะนงใจเหาะทะยานผ่านหน้า
ตัวกูผู้ทรงศักดา ชื่อว่ารามสูรอสุรี
ปราบไปได้ทั่วไตรจักร สุรารักษ์เกรงฤทธิ์ทุกราศี
มึงไม่รู้จักกองอัคคี วันนี้จะม้วยชีวัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระอรชุนฤทธิแรงแข็งขัน
ได้ฟังกริ้วโกรธดังไฟกัลป์ ตัวสั่นร้องตอบวาจา
อันนามกรของเราหรือ ชื่อว่าอรชุนแกล้วกล้า
เหาะมาโดยทางเมฆา ใช่ว่าเหยียบเศียรขุนมาร
อันตัวของมึงนี้เป็นไฉน มาอวดฤทธิไกรกล้าหาญ
กูนี้ก็นับว่าชายชาญ ลือสะท้านทั่วทั้งแดนไตร
ทศกัณฐ์สิบเศียรยี่สิบหัตถ์ กูยังจับมัดเอามาได้
ตัวเอ็งสองมือจะชิงชัย ที่ไหนจะรอดชีวี ฯ

ฯ ๘ คํา ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น รามสูรสิทธิศักดิ์ยักษี
ฟังพระอรชุนพาที โกรธดั่งอัคคีไหม้ฟ้า
กรกุมขวานเพชรกวัดแกว่ง ตาแดงเขม้นเข่นฆ่า
สำแดงแผลงฤทธิ์มหึมา ยักษาเข้าไล่รอนราญ ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น องค์พระอรชุนใจหาญ
รับรองป้องกันประจัญบาน เผ่นทะยานเข้าต่อกุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ

๏ กรซ้ายจับเศียรอสุรา กรขวาเงือดเงื้อพระขรรค์
กลอกกลับสัประยุทธ์พัลวัน เสียงสนั่นครั่นครื้นเมฆา ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เชิด

๏ บัดนั้น จึ่งรามสูรยักษา
ประจัญกรรอนราญเทวา โจนขึ้นเหยียบบ่าด้วยฤทธี ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ

๏ ฉวยจับชฎาง่าขวาน จะสังหารด้วยกำลังยักษี
พระอรชุนเรืองฤทธิ์ราวี ก็สลัดอสุรีเสียทัน
แล้วโจนขึ้นเหยียบไหล่ยักษา กรขวาก็ฟาดด้วยพระขรรค์
รามสูรรับรองป้องกัน แล้วหันสลัดกระเด็นไป
พระอรชุนก็พลัดจากบ่า ยักษาจับบาททั้งสองได้
ฟาดเข้ากับเหลี่ยมเมรุไกร หวั่นไหวทั้งไตรโลกา ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ เชิด

๏ อันเขาพระสุเมรุก็เอนทรุด ด้วยฤทธิรุทรแกล้วกล้า
องค์พระอรชุนเทวา ก็ม้วยมรณาทันที ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ โอด

๏ ครั้นว่าชนะแก่สงคราม มีความชื่นชมเกษมศรี
แกว่งขวานปานแสงอสุนี เหาะไปที่อยู่ด้วยว่องไว ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เชิด

ช้า

๏ เมื่อนั้น พระจอมไกรลาสเขาใหญ่
เห็นพระเมรุเอนเอียงลงไป ตกใจตะลึงทั้งกายา ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ

ร่าย

๏ จึ่งมีบัญชาประกาศิต ส่งจิตุบทแกล้วกล้า
จงป่าวฝูงเทพเทวา คนธรรพ์ครุฑานาคินทร์
กับสองพญาพานร ซึ่งผ่านนครขีดขิน
ทั้งนักสิทธ์วิทยาอสุรินทร์ บอกมาให้สิ้นทั้งธาตรี ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ

๏ บัดนั้น จิตุบทเทวัญเรืองศรี
ก้มเกล้ารับสั่งพระศุลี สำแดงฤทธีแล้วเหาะไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ป่าวร้องทั่วสวรรค์ชั้นฟ้า พสุธาบาดาลต่ำใต้
ทั้งกรุงขีดขินเวียงชัย ตามในบัญชาพระศุลี ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น เทวัญทุกชั้นราศี
นักสิทธ์วิทยานาคี อันมีในขอบจักรวาล
ทั้งพญากากาศศักดา สุครีพอนุชาใจหาญ
ต่างองค์ระเห็จเหาะทะยาน ไปสถานไกรลาสคีรี ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงก็ชวนกันขึ้นเฝ้า พระเป็นเจ้าสามภพเรืองศรี
น้อมเศียรถวายอัญชุลี ด้วยความยินดีปรีดา ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ

ช้า

๏ เมื่อนั้น พระศุลีตรีภพนาถา
ครั้นเห็นเทวบุตรครุฑา ถ้วนหน้ามาพร้อมประชุมกัน
ทั้งพญาพานรลูกอินทร์ ขุนกบินทร์บุตรพระสุริย์ฉัน
จึงเสด็จย่างเยื้องจรจรัล เทวาทั้งนั้นก็ตามไป ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ รุกร้น

๏ ครั้นถึงให้เอานาคฟั่น เป็นพวนพันยอดพระเมรุใหญ่
นักสิทธ์วิทยาสุราลัย ให้เข้ายุดนาคพร้อมกัน
ครั้นได้ศุภฤกษ์สวัสดี โกสีย์เป่าสังข์บันลือลั่น
เทวาชักฉุดพัลวัน โห่สนั่นกึกก้องทั้งแดนไตร ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ เชิด

๏ อันพระสุเมรุที่เอนทรุด จะลากฉุดเท่าไรก็ไม่ไหว
ฦาสิทธิ์วิทยาสุราลัย อ่อนใจสิ้นกำลังกายา ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น สุครีพฤทธิแรงแข็งกล้า
เห็นพระสุเมรุไม่คืนตรงมา ก้มเกล้าวันทาแล้วทูลไป
อันพระสุเมรุซึ่งเอนทรุด ข้าจะอาสาฉุดขึ้นให้ได้
พระองค์ผู้ทรงภพไตร อย่าร้อนใต้เบื้องบาทา
ทูลแล้วลูกพระทินกร ผู้มีฤทธิรอนแกล้วกล้า
เร่งให้เทพบุตรครุฑา ฉุดพวนนาคากระชากไป
จึ่งเอานิ้วชี้นั้นจี้ลง ตรงสะดือนาคาพวนใหญ่
สะดุ้งพดขนดเข้าทันใด พระเมรุก็ไหวเขยื้อนมา ฯ

ฯ ๘ คํา ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ลูกท้าวมัฆวานหาญกล้า
เห็นพระเมรุเขยื้อนเคลื่อนคลา ด้วยปรีชาสุครีพชาญฉกรรจ์
มีความชื่นชมโสมนัส ดั่งได้สมบัติในสรวงสวรรค์
สำแดงแผลงฤทธิ์ยืนยัน เข้าดันด้วยบ่าพานร ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ เชิด

๏ อันเขาพระเมรุคีรี ก็ตรงคงที่เหมือนดั่งก่อน
บรรดาฝูงเทพนิกร โห่สะท้อนสะเทือนโลกา ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น เทวินทร์อินทร์พรหมพร้อมหน้า
คนธรรพ์คนธรรพครุฑา ฦาสิทธิ์วิทยาทั้งแดนไตร
เห็นเขาพระสุเมรุซึ่งเอนลง คืนตรงขี้นดั่งเก่าได้
ต่างสำรวลสรวลสันต์สบายใจ ก็เข้าไปบังคมพระศุลี ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ เจรจา

ช้า

๏ เมื่อนั้น พระสยมภูวนาถเรืองศรี
แสนโสมนัสยินดี จึงมีเทวราชโองการ
ประกาศิตสรรเสริญปรีชา ลูกพระสุริยาใจหาญ
ตัวท่านแกล้วกล้าปรีชาญ ควรสถานอุปราชพานรินทร์
อันพญากากาศกระบี่ศรี ไม่เสียทีเป็นเจ้าขีดขิน
ไว้ยศปรากฏในแผ่นดิน จงภิญโญภาพสถาวร ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น จึ่งสองพานรินทร์ชาญสมร
คนธรรพ์ครุฑาวิชาธร ฝูงเทพนิกรทั้งแดนไตร
ต่างองค์ถวายบังคมลา องค์พระอิศราเป็นใหญ่
เหาะระเห็จเตร็ดฟ้าด้วยว่องไว กลับไปที่อยู่ภิรมยา ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระสยมภูวนาถนาถา
ครั้นเสร็จการพระเมรุก็กลับมา ยังมหาไกรลาสคีรี ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น พญากากาศเรืองศรี
ครั้นแสงทองส่องฟ้าธาตรี ก็เข้าที่สระสรงคงคา
แต่งองค์ทรงเครื่องอาภรณ์ กรจับพระขรรค์คมกล้า
เหาะทะยานผ่านขึ้นยังเมฆา ไปมหาไกรลาสคีรี ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงสถานเทวราช ยอกรอภิวาทเหนือเกศี
องค์พระอิศโรโมลี อยู่ที่ท่ามกลางเทวา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า

๏ เมื่อนั้น พระอิศวรบรมนาถา
เห็นพญากากาศขึ้นมา มีความปรีดาแล้วตรัสไป
ดูก่อนลูกอินทร์ผู้องอาจ พี่น้องฉลาดทำการใหญ่
ความชอบล้ำลบภพไตร จะปูนบำเหน็จในบัดนี้
อันองค์พญากากาศ ชื่อพาลีธิราชเรืองศรี
ประทานทั้งตรีเพชรฤทธี แม้นมีไพรีมาต่อกร
ให้แพ้ท่านผู้วงศ์สุรารักษ์ ดั่งพยัคฆ์สู้พญาไกรสร
กำลังน้อยถอยจากฤทธิรอน ไปเพิ่มแรงวานรอีกกึ่งกาย
แล้วเอาผอบแก้วแววฟ้า ใส่นางดาราโฉมฉาย
เราฝากไปให้แก่น้องชาย อันสืบสายสุริย์วงศ์กันมา ฯ

ฯ ๑๐ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระนารายณ์นาถา
ยอกรสนองพระบัญชา ผ่านฟ้าจะฝากนางไป
ให้แก่สุครีพกระบี่ศรี ข้านี้หาเห็นด้วยไม่
ดั่งหนึ่งภุมรากับมาลัย ย่อมเป็นวิสัยแต่ไรมา
อันธรรมชาติแมลงภู่ อยู่ใกล้เรณูบุปผา
หรือจะไม่คลึงรสบุษบา จะฝากไข่แก่กาก็ผิดไป
แล้วพญาสุครีพอนุชา จะไม่ได้ดาราพิสมัย
พระองค์มงกุฎสุราลัย ภูวไนยจงถวิลจินดา ฯ

ฯ ๘ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น พญาพาลีใจกล้า
ฟังพระนารายณ์กล่าววาจา ก้มเกล้าวันทาแล้วทูลไป
ซึ่งพระองค์ผู้ทรงฤทธา มีความกังขาสงสัย
จะขอถวายสัตย์สาบานไว้ ในใต้เบื้องบาทเจ้าโลกา
แม้นข้ามิให้แก่น้อง เอาไว้ร่วมห้องเสน่หา
ขอให้ศรศักดิ์พระจักรา ผลาญชีวิตข้าวานร ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น พระปิ่นไกรลาสสิงขร
ทั้งองค์พระนารายณ์สี่กร ภูธรได้ฟังพาลี
ถวายความสัตย์ถึงชีวิต พระทรงฤทธิ์ทั้งสองเกษมศรี
จึงส่งผอบแก้วมณี ให้แก่กระบี่ฤทธิไกร ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น พาลีผู้มีอัชฌาสัย
ก้มเกล้ารับผอบอำไพ เหาะไปขีดขินธานี ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เชิด

ร่าย

๏ ครั้นถึงจึงขึ้นบนแท่นแก้ว เปิดผอบเพริศแพร้วแสงศรี
เห็นโฉมดาราเทวี งามล้ำนารีในเมืองอินทร์ ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ

ชมโฉม

๏ พิศพักตร์พักตร์ผ่องดั่งดวงจันทร์ พิศขนงดั่งคันธนูศิลป์
พิศเนตรดั่งเนตรมฤคิน พิศทนต์ดั่งนิลเรียบราย
พิศโอษฐ์โอษฐ์เอี่ยมดั่งจะแย้ม พิศนาสิกแฉล้มเฉิดฉาย
พิศปรางดั่งปรางทองพราย พิศกรรณกรรณคล้ายบุษบง
พิศถันดั่งดวงปทุมมาศ พิศคอวิลาสดั่งคอหงส์
พิศกรดั่งงวงคชาพงศ์ พิศทรงงามทรงจําเริญตา
ยิ่งพิศยิ่งพิศวาสกลุ้ม ให้คลั่งคลุ้มคลุ้มความเสน่หา
ลืมคิดคิดถึงอนุชา ลืมสัตย์สัจจาที่สาบาน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น นางดาราเยาวยอดสงสาร
ออกจากผอบแก้วสุรกานต์ เยาวมาลย์เห็นพญาพาลี
ให้คิดขวยเขินสะเทินใจ อรไทถอยถดขยดหนี
แล้วประนมก้มเกล้าดุษณี เทวีผินพักตร์ไม่เจรจา ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ

ชาตรี

๏ เจ้าเอยเจ้าพี่ มารศรีเยาวยอดเสน่หา
แสนรักสุดรักวนิดา ดั่งว่าดวงเนตรดวงชีวี
พี่จะตั้งเจ้าไว้ให้เป็นเอก ในเศวกฉัตรเฉลิมศรี
เป็นปิ่นสนมนารี มิให้มีราคีเคืองคาย
ว่าพลางทางถดเข้าชิด จุมพิตพิศวาสโฉมฉาย
สองกรกรลูบโลมกาย สายสวาทจงได้ปรานี ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ

ร่าย

๏ พระเอยพระองค์ พระจงโปรดเกศเกศี
อะไรมาทําดั่งนี้ ล่วงคําพระศุลีบัญชา
พระจงคืนคิดดูก่อน อย่าอาวรณ์ด้วยความเสน่หา
ตัวน้องนี้สิประทานมา ให้พญาสุครีพฤทธิรอน
จงคิดถึงสัตย์ปฏิญาณ ที่สาบานไว้ต่อพระทรงศร
หนึ่งนางสนมอันอรชร ของภูธรล้วนกัลยาณี ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ

โอ้โลม

๏ ดวงเอยดวงสมร เจ้างามงอนจำเริญใจพี่
อันถ้อยคำที่เจ้าร่ำพาที ใช่กี้ใช่การจะเจรจา
แม้นพระเป็นเจ้าจะเจาะจง ประทานองค์เยาวยอดเสน่หา
แก่พญาสุครีพอนุชา จะให้มาดั่งนี้ก็ผิดไป
ตัวพี่มีชอบในเบื้องบาท จึงประสาทเจ้าเป็นบำเหน็จให้
สาวสวรรค์ขวัญฟ้ายาใจ จะพะวงสงสัยไปไยมี
ว่าพลางก็ทางไขว่คว้า อนิจจาเจ้าไม่เห็นอกพี่
ความรักเป็นพ้นพันทวี มารศรีจงได้เมตตา ฯ

ฯ ๘ คํา ฯ

๏ ทรงเอยทรงเดช พระไม่โปรดเกศเกศา
เป็นไฉนมาไล่ไขว่คว้า น่าเวทนาในน้ำใจ
ว่าพลางสลัดปัดกร หยิกข่วนควักค้อนแล้วผลักไส
นี่หรือว่าเมตตาอาลัย ช่างมาทําได้ถึงเพียงนี้ ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ

๏ สุดเอยสุดสวาท นุชนาฏนิ่มเนื้อมารศรี
เจ้าดวงดอกฟ้าจงปรานี อย่าให้พี่นี้แสนเวทนา
ว่าพลางอิงแอบแนบน้อง เชยมณฑาทองทั้งซ้ายขวา
ชมเนตรชมปรางกัลยา เสน่หารุมรึงฤทัย
วายุพัดพานต้องท้องสมุทร กระฉอกฉานดาลผุดเป็นคลื่นใหญ่
มัจฉาชื่นบานสำราญใจ ที่ในสายสินธุสาคร ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ กล่อม

๏ เมื่อนั้น นางแก้วดาราดวงสมร
ได้ร่วมรสพาลีฤทธิรอน บังอรยินดีปรีดา
แรกเริ่มแรกรู้รสรัก เยาวลักษณ์เพลิดเพลินเสน่หา
ลืมองค์สมเด็จเจ้าโลกา ลืมพระอุมาวิลาวัณย์
ลืมอายลืมองค์บังอร ลืมเพื่อนอัปสรสาวสวรรค์
ลืมทั้งลูกพระสุริยัน กัลยาเกษมเปรมปรีดิ์ ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ

ช้า

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายท้าวอัชบาลเรืองศรี
ผ่านกรุงอยุธยาธานี ด้วยองค์อัครเทวีวิไลวรรณ
ทรงนามชื่อเทพอัปสร อรชรดั่งนางในสวรรค์
ประดับด้วยพระสนมกำนัล ถ้วนหมื่นหกพันยุพาพาล
ท้าวมีพระราชโอรส ปรากฏดั่งดวงสุริย์ฉาน
ชื่อเจ้าทศรถกุมาร ผ่านฟ้าแสนพิศวาสนัก
ถนอมเลี้ยงดั่งดวงนัยน์เนตร หวังเฉลิมโลเกศอาณาจักร
ให้ถาวรสืบวงศ์หริรักษ์ เป็นปิ่นปักกรุงศรีอยุธยา
อันกษัตริย์ทุกประเทศเขตขัณฑ์ ย่อมถวายสุวรรณบุปผา
ลูกค้าวาณิชนานา ก็เข้ามาถวายบรรณาการ
แก้วกองในท้องพระสมุทร ก็ผุดตามระลอกกระฉอกฉาน
ด้วยบุญญานุภาพพระกุมาร แสนสนุกสำราญทั้งธานี ฯ

ฯ ๑๒ คํา ฯ

ร่าย

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงพระอตันตาฤาษี
องค์พระวชิรามุนี พระวิสูตผู้มีตบะฌาณ
ทั้งพระมหาโรมสิงค์ ล้วนยิ่งในพรหมวิหาร
แต่ผนวชบวชมาช้านาน ประมาณได้สามหมื่นปี
อยู่ยังหิมพานต์บรรพต สร้างพรตอดจิตทั้งสี่
เชี่ยวชาญการกิจพิธี กุฎีนั้นเรียงเคียงกัน ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ

๏ มีนางโคนมห้าร้อย ปละปล่อยอยู่ในไพรสัณฑ์
ครั้นเช้าก็เข้ามาทุกวัน ยังบรรณศาลาพระนักพรต ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ

๏ หยดนมลงไว้ในอ่างแก้ว เสร็จแล้วก็เที่ยวไปหมด
ถึงเวลาฉันโครส พระดาบสก็ชวนกันมา ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เสมอ

๏ สี่องค์นั่งเป็นอันดับกัน ฉันนมเหนืออาสน์แผ่นผา
ให้ทานนางกบเป็นอัตรา ด้วยความเมตตาปรานี ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ ตระ

๏ ครั้นเสร็จบริโภคโครส องค์พระดาบสทั้งสี่
ได้กระเช้าคานขอจรลี ออกไปสู่ที่หิมวา ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น นางอนงค์นาคีเสน่หา
เป็นบุตรพญากาลนาคา กัลยารัญจวนป่วนใจ
ให้กำหนัดในรสราคนัก นงลักษณ์สุดที่จะกลั้นได้
อยู่ในบาดาลดั่งกลางไฟ ไม่มีความสุขสักราตรี
จะใคร่ไปยังมนุษย์โลก ให้คลายโศกเร่าร้อนฤดีศรี
ก็ชำแรกแทรกพื้นปัถพี ขึ้นมายังที่หิมพานต์ ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ

๏ ครั้นถึงเนินทรายชายสมุทร หยุดอยู่ในที่รโหฐาน
ยิ่งคิดเดือดร้อนรำคาญ เยาวมาลย์ก็แปลงกายา ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ ตระ

๏ บัดเดี๋ยวเป็นนางสาวน้อย แช่มช้อยดั่งเทพเลขา
กรายกรนวยนาดยาตรา เที่ยวมาโดยทางพนาลัย
ลดเลี้ยวตามแนวแถวธาร ห้วยละหานหิมวาป่าใหญ่
นัยน์เนตรแลลอดสอดไป ด้วยใจจะแสวงหาชาย ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ ชมชาย

๏ มิได้พบมนุษย์เทวา นึกมาไม่สมอารมณ์หมาย
เพลิงราคร้อนรุ่มกลุ้มกาย โฉมฉายเหลือบแลแปรไป
จึงเห็นงูดินตัวผู้ เลื้อยอยู่ที่ริมทางใหญ่
สุดที่จะกลั้นกำหนัดไว้ ดีใจก็คืนเป็นนาคา ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ รัว

๏ เข้าร่วมรสภิรมย์ชมชิด ด้วยงูดินสนิทเสน่หา
เกี้ยวกระหวัดรัดรึงตรึงตรา อยู่ที่ในป่าพนาลี ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ คุกพาทย์

๏ เมื่อนั้น พระมหาดาบสทั้งสี่
เที่ยวมาเห็นนางนาคี ยินดีกรีฑาด้วยงูดิน
จึงหยุดยืนอยู่ดูไป หลากใจนิ่งนึกตรึกถวิล
เหตุไรวิสัยนาคินทร์ มายินดีด้วยชาติอันต่ำพงศ์
ไม่คิดสงวนศักดิ์รักตัว กลั้วกาให้เสียเผ่าหงส์
เสียดายตระกูลประยูรวงศ์ มาหลงคบชู้ที่กลางทาง
คิดแล้วเอาไม้เท้าเคาะ เบาะลงที่ตรงขนดหาง
เห็นกระสันพันกันไม่ละวาง จึงเคาะซ้ำลงกลางกายา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น นางอนงค์นาคีเสน่หา
ตกใจคลายขนดออกมา ลืมตาเห็นสี่พระมุนี
ให้คิดอัปยศอดอาย ดั่งกายจะละลายลงกับที่
ก็ชำแรกแทรกพื้นปัถพี หนีไปพิภพบาดาล ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น สี่พระองค์ทรงพรหมวิหาร
เห็นนาคีหนีแทรกสุธาธาร ก็กลับมายังสถานกุฎี ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น นางอนงค์นาคาโฉมศรี
ครั้นถึงพิภพนาคี เทวีคิดแค้นพระสิทธา
ฤๅษีทั้งสี่นี้เจ้ากรรม ทำให้ได้อายหนักหนา
แม้นแจ้งถึงองค์พระบิดา จะม้วยด้วยอาญาภูวไนย
ถ้าว่าดาบสนี้มิตาย กูจะพ้นความอายก็หาไม่
จำจะฆ่าเสียให้บรรลัย คิดแล้วขึ้นไปยังกุฎี ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงศาลาอาศรม เห็นอ่างน้ำนมพระฤาษี
คายพิษลงไว้ทันที เสร็จแล้วเทวีกลับไป ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เชิด

๏ บัดนั้น นางกบผู้มีอัชฌาสัย
เห็นนาคาพ่นพิษลงไว้ ตกใจก็ถวิลจินดา
เป็นไฉนนางนาคนี้ใจบาป หยาบคายทุจริตอิจฉา
จะฆ่าชีวิตพระสิทธา อันมีเมตตาตบะญาณ
ตัวกูได้พึ่งพระนักสิทธ์ เลี้ยงชีวิตเป็นสุขเกษมศานต์
พระคุณใหญ่ล้นพ้นประมาณ แจ้งการแล้วจะนิ่งก็ไม่ดี
ดั่งหนึ่งไม่มีกตัญญู รู้คุณพระมหาฤาษี
อย่าเลยจะเอาชีวี ตายแทนผู้มีพระคุณไป
เดชะความสัตย์อันล้ำเลิศ ให้เกิดเป็นมนุษย์ในชาติใหม่
คิดแล้วโจนลงด้วยว่องไว ก็ขาดใจด้วยพิษนาคา ฯ

ฯ ๑๐ คํา ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น สี่พระดาบสพรตกล้า
ครั้นรุ่งรางสร่างแสงพระสุริยา ออกจากศาลาพร้อมกัน ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เสมอ

๏ มาถึงพื้นแผ่นศิลาลาด ขึ้นนั่งยังอาสน์ที่เคยฉัน
เห็นมณฑกตกม้วยชีวัน พระนักธรรม์ก็คิดรังเกียจไป
กบนี้มันชาติเดียรฉาน โลภอาหารล้นพ้นวิสัย
แต่ให้ยังไม่หนำใจ ลงกินในอ่างจนวายชนม์
แม้นจะไม่ช่วยชีวิต จะเสียเมตตาจิตจำเริญผล
คิดแล้วฤาษีทั้งสี่ตน คีบขึ้นเป่ามนต์ก็เป็นมา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ แล้วว่าอีกบนี้สาธารณ์ เอ็งโลภอาหารหนักหนา
กูเลี้ยงให้กินทุกเวลา ใช่ว่าอดอยากเมื่อไรมี ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ

๏ บัดนั้น นางกบนบบาทพระฤๅษี
บอกว่าข้าม้วยชีวี เหตุด้วยนาคีมาพ่นพิษ
ลงไว้ในอ่างน้ำนม ข้าปรารมภ์ถึงองค์พระนักสิทธ์
กลัวว่าจะม้วยชีวิต จึ่งคิดแทนคุณพระมุนี ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น พระมหาดาบสทั้งสี่
ได้ฟังมณฑกพาที ยินดีแล้วปรึกษากัน
ชะรอยนางนาคีซึ่งทุจริต มาคายพิษจะให้เราอาสัญ
นางกบสู้เสียชีวัน หาไม่เรานั้นจะบรรลัย
อยาเลยจะชุบขึ้นเป็นหญิง จะจัดสิ่งที่งามประสมใส่
ให้สิ้นโฉมนางฟ้าสุราลัย เลิศล้ำกว่าไตรโลกา
ว่าแล้วตั้งกูณฑ์พิธี อาหุดีเพลิงแรงแสงกล้า
ศรเหลืองเรืองโรจน์โชติฟ้า พระดาบสเข้านั่งทั้งสี่ทิศ
โอมอ่านคาถามหาเวท อันวิเศษสำหรับกระลากิจ
เอากบใส่กองเพลิงชวลิต แล้วชุบด้วยฤทธิ์พระนักธรรม์ ฯ

ฯ ๑๐ คํา ฯ ตระ

๏ เดชะพระเวทสิทธิศักดิ์ พระวิษณุรักษ์รังสรรค์
เกิดเป็นกัลยาวิลาวัณย์ งามวิจิตรพิศพรรณขวัญตา ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ

๏ งามพักตร์ยิ่งชั้นมหาราช งามวิลาสล้ำนางในดึงสา
งามเนตรยิ่งเนตรในยามา งามนาสิกล้ำในดุษฏี
งามโอษฐ์งามกรรณงามปราง ยิ่งนางในนิมาราศี
งามเกศยิ่งเกศกัลยาณี อันมีในชั้นนิรมิต
ทั้งหกห้องฟ้าไม่หาได้ ด้วยทรงลักษณ์วิไลไพจิตร
ใครเห็นเป็นที่เพ่งพิศ ทั้งไตรภพจบทิศไม่เทียมทัน ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ เจรจา

๏ พระดาบสจึ่งดับกองเพลิง ซึ่งเถกิงอาหุดีเสกสรรค์
แล้วพากัลยาวิลาวัณย์ มายังอารัญกุฎี ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เสมอ

๏ จึ่งให้นามตามชาตินงคราญ ชื่อมณโฑเยาวมาลย์มารศรี
พระนักสิทธ์พิศโฉมนางเทวี มีลักษณ์เลิศล้ำกัลยา
จึ่งปรึกษากันทั้งสี่องค์ นางนี้รูปทรงดั่งเลขา
ควรจักถวายเจ้าโลกา ทั้งจะพ้นนินทาราคี
ครั้นว่าเห็นพร้อมประนอมกัน องค์พระนักธรรม์ทั้งสี่
ก็พานางมณโฑเทวี ออกจากกุฎีเหาะไป ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงไกรลาสบรรพต พระดาบสจึ่งแจ้งแถลงไข
แก่พระองค์ผู้ทรงภพไตร โดยนัยแต่ต้นความมา
ขอถวายนงลักษณ์อัคเรศ แก่พระปิ่นโลเกศนาถา
เป็นข้าใช้ใต้เบื้องบาทา ไปกว่าจะสิ้นชีวี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระอิศราเรืองศรี
ได้ฟังทั้งสี่พระมุนี ยินดีก็รับเอานางไว้ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระฤๅษีผู้มีอัชฌาสัย
ครั้นเสร็จถวายอรไท ก็ลาไปยังบรรณศาลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระสยมภูวญาณนาถา
จึ่งผินพักตร์ต่อองค์พระอุมา แล้วมีบัญชาตรัสไป
อันนางมณโฑนงลักษณ์ นักสิทธ์ทั้งสี่เอามาให้
เจ้าจงเมตตาเลี้ยงไว้ เป็นข้าช่วงใช้ของเทวี ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น องค์พระอุมาโฉมศรี
รับเทวบัญชาพระสามี ก็พามาไว้ที่กัลยา ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เพลง

๏ เมื่อนั้น นวลนางมณโฑเสน่หา
ตั้งแต่อยู่ด้วยพระอุมา มีความผาสุกสถาวร
ใช้ชิดสนิทในเบื้องบาท ไม่ขัดเคืองอัครราชดวงสมร
บำเรอเป็นนิจนิรันดร ต่างเนตรต่างกรอรไท ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ

๏ เมื่อนั้น พระอุมาเยาวยอดพิสมัย
เห็นนางมณโฑทรามวัย มีใจจงรักภักดี
องค์อัครชายาเทวราช พิศวาสในนางโฉมศรี
บอกพระเวทตบะกิจพิธี ให้แก่เทวีทุกเวลา ฯ

ฯ ๔ คํา ฯ เจรจา

ช้า

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงพญากาลนาคแกล้วกล้า
อยู่ยังต่ำใต้พสุธา ในมหาพิภพบาดาล
คิดแค้นสหมลิวัน มาตั้งเขตขัณฑ์ราชฐาน
กุมภัณฑ์นี้เป็นพวกพาล ไว้นานจะเกิดชิงชัย
จำกูจะยกพลากร ไปหักหาญราญรอนเสียจงได้
อย่าให้มันกำเริบใจ ตูหมิ่นฤทธิไกรนาคี ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ

๏ คิดแล้วจึ่งมีบัญชา สั่งนาคเสนาทั้งสี่
ให้เตรียมภุชงค์โยธี กูจะยกไปตีเมืองมาร ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งเสนานาคใจหาญ
รับสั่งพระองค์ทรงบาดาล ชุลีลาแล้วคลานออกไป ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เสมอ

ยานี

๏ เกณฑ์หมู่นาคีโยธา เลือกล้วนแกล้วกล้าศึกใหญ่
เข้ากองกระบวนทัพชัย แล้วสั่งให้แปลงอินทรีย์
เหล่าหนึ่งตัวเป็นคนธรรพ์ หน้านั้นเป็นหน้าคชสีห์
เหล่าหนึ่งหน้าเป็นยักขินี ตัวเป็นนาคีฤทธิรอน
เหล่าหนึ่งตัวเป็นเหรา หน้านั้นเป็นหน้าไกรสร
เหล่าหนึ่งตัวเป็นวานร หน้าเป็นมังกรขบฟัน
เหล่าหนึ่งกายเป็นผีโป่ง หน้าเป็นเสือโคร่งแข็งขัน
มือถืออาวุธครบครัน เตรียมกันคอยเสด็จยาตรา ฯ

ฯ ๘ คํา ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พญากาลนาคแกล้วกล้า
เสด็จจากบัลลังก์อลังการ์ มาเข้าที่สรงสาคร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ ปทุมแก้วโปรยปรายดั่งสายฝน ทรงสุคนธ์ธารทิพย์เกสร
สอดใส่สนับเพลาเชิงงอน อุทุมพรภูษาพื้นแดง
ชายแครงชายไหวประดับพลอย ฉลององค์อย่างน้อยเครือแย่ง
ตาบทิศทับทรวงลายแทง สังวาลเพชรลูกแดงชิงดวง
พาหุรัดทองกรมังกรเกี้ยว ธํามรงค์พลอยเขียวรุ้งร่วง
มงกุฎแก้วสุรกานต์ดอกไม้พวง ห้อยห่วงกุณฑลกรรเจียกจร
จับพระแสงขรรค์แก้วแววฟ้า งามสง่าดั่งพญาไกรสร
เสด็จจากแท่นทิพย์อลงกรณ์ บทจรขึ้นรถสุรกานต์ ฯ

ฯ ๘ คํา ฯ เสมอ

โทน

๏ รถเอยรถนิมิต ชวลิตดั่งรถสุริย์ฉาน
กงกำล้วนแล้วแก้วประพาฬ ดุมเพลาชัชวาลด้วยเนาวรัตน์
แปรกแอกอ่อนงอนระหง ธงทิวริ้วรายปลายสะบัด
เทียมเหราเร็วดั่งลมพัด เครื่องสูงทิวฉัตรธงชัย
เสียงฆ้องกลองประโคมโครมครึก เสียงทหารโห่ฮึกแผ่นดินไหว
เร่งรถเร่งพลสกลไกร ตรงไปพิภพเมืองมาร ฯ

ฯ ๖ คํา ฯ กราว

๏ ครั้นมาถึงแดนอสุรี จึ่งสั่งโยธีทวยหาญ
ให้เร่งหักโหมโรมราญ ตีด่านจับพวกไพรินมา ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ

๏ บัดนั้น โยธานาคีแกล้วกล้า
รับสั่งต้อนกันเป็นโกลา หักด่านอสุราเข้าไป ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เชิด

๏ บัดนั้น กุมภัณฑ์นายด่านผู้ใหญ่
เห็นทัพนาคราชอาจใจ ไล่ตีชาวด่านเข้ามา
กริ้วโกรธพิโรธคือไฟกัลป์ ขบฟันเขม้นเข่นฆ่า
ก็ไล่พวกพลอสุรา เข้าต่อฤทธานาคี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ต่างฟันต่างแทงแย้งยุทธ์ อุตลุดโห่ร้องอึงมี่
ต่างหาญต่างกล้าราวี ถ้อยทีไม่ละลดกัน ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายพลนาคาแข็งขัน
เข้าไล่หักโหมโรมรัน กุมภัณฑ์แตกกระจายไป ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ

๏ บัดนั้น ยักษาชาวด่านน้อยใหญ่
สุดฤทธิ์สุดคิดจะชิงชัย ก็หนีเข้าในพระบุรี ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงประณตบทบงสุ์ ทูลองค์พญายักษี
บัดนี้มีทัพนาคี ยกตีหักด่านเข้ามา ฯ

ฯ ๒ คํา ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ