สมุดไทยเล่มที่ ๔๙

๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์ยักษี
ได้ฟังดั่งต้องอสุนี มีความฉงนสนเท่ห์ใจ
เหตุไฉนมนุษย์สาธารณ์ บรรลัยลาญแล้วเป็นขึ้นมาได้
เหวยเหวยมโหทรจงเร่งไป หาน้องร่วมใจกูขึ้นมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งมโหทรมารยักษา
รับสั่งถวายบังคมลา อสุราก็รีบจรลี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ประถม

๏ ครั้นถึงนบนิ้วอภิวาทน์ ทูลพญาอุปราชยักษี
ว่าข้าศึกนั้นรอดชีวี บัดนี้ให้เชิญเสด็จจร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พญากุมภกรรณชาญสมร
ได้ฟังวาจามโหทร ดั่งใครเอาศรมาเสียบใจ
นั่งนิ่งตะลึงรำพึงคิด ร้อนจิตผะผ่าวดั่งเพลิงไหม้
ลุกจากแท่นแก้วแววไว เสด็จไปเฝ้าองค์เจ้าลงกา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งน้อมเศียรเกล้าบังคม องค์พระบรมเชษฐา
ท่ามกลางอสูรเสนา คอยฟังบัญชาพญามาร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวยี่สิบกรใจหาญ
เห็นพระอนุชาชัยชาญ จึ่งมีโองการตรัสไป
ดูก่อนกุมภกรรณน้องรัก ผู้ทรงสิทธิศักดิ์แผ่นดินไหว
ตัวเจ้าบอกพี่ว่ามีชัย ฆ่ามนุษย์เสียได้แล้วกลับมา
บัดนี้ไพรีมีกำลัง ไม่ม้วยชีวังสังขาร์
ยกทัพกลับคืนเข้าพลับพลา แก้วตาจะคิดประการใด ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น กุมภกรรณผู้มีอัชฌาสัย
ได้ฟังบัญชาภูวไนย บังคมไหว้สนองพระวาที
อันหอกโมกขศักดิ์วราวุธ ฤทธิรุทรปราบได้ทุกราศี
ต้องใครไม่รอดชีวี ครั้งนี้น้องอัศจรรย์นัก
ชะรอยไอ้พิเภกทรชน บอกกลให้แก้โมกขศักดิ์
หาไม่ที่ไหนพระลักษมณ์ จักรอดชีวิตคืนไป
คิดคิดก็แค้นเหลือแค้น แน่นอกปิ้มเลือดตาไหล
อันมนุษย์กับวานรไพร จะฆ่าเสียให้ได้ด้วยความคิด
แต่น้องขอลาบทเรศ ไปร่ายเวทวิทยาพิธีกิจ
ทดนํ้าเหนือทัพปัจจามิตร ปิดเสียมิให้ไหลมา
ข้าศึกก็จะอดน้ำตาย ด้วยอุบายไม่พักเข่นฆ่า
พระองค์ผู้ทรงศักดา อย่าบัญชาให้แจ้งแก่โยธี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์ยักษี
ได้ฟังน้องรักก็ยินดี อสุรีสวมสอดกอดไว้
มิเสียทีเจ้ามีปรีชาชาญ ทั่วทั้งไตรดาลไม่หาได้
ทีนี้มนุษย์กับลิงไพร จะบรรลัยสิ้นพวกบรรดามา
อันหมู่ไพร่ฟ้าประชาชี ทีนี้จะบรมสุขา
ตัวเจ้าผู้ทรงศักดา แก้วตาของพี่จงรีบจร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พญากุมภกรรณชาญสมร
รับสั่งพระเชษฐาฤทธิรอน ชุลีกรออกจากพระโรงคัล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงเสด็จเหนืออาสน์ อันโอภาสพรรณรายฉายฉัน
จึ่งบัญชาสั่งนางกำนัล อันชื่อว่าคันธมาลี
กับสี่อนงค์ทรงลักษณ์ ที่ร่วมรักร่วมใจยักษี
ว่าเราจะไปตั้งพิธี ในที่ริมฝั่งคงคา
กำหนดเจ็ดคืนเจ็ดวัน เอ็งจงเก็บพรรณบุปผา
ไปส่งกูทุกเวลา อย่าบอกแก่ใครให้แจ้งการ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ สั่งแล้วสระสรงทรงเครื่อง อร่ามเรืองด้วยแก้วมุกดาหาร
จับกระบองเพชรรัตน์ชัชวาล เหาะทะยานไปโดยอัมพร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ กราว

๏ ครั้นถึงฟากฝั่งชลาลัย ซึ่งไหลไปมรกตสิงขร
มีต้นตร่างใหญ่ริมสาคร กิ่งใบอรชรจำเริญตา
ร่มรื่นพื้นราบดั่งหน้าแว่น ใต้ต้นมีแท่นแผ่นผา
ขึ้นนั่งบนบัลลังก์ศิลา หลับตาอ่านเวทสำรวมใจ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

๏ บัดเดี๋ยวกลับกายกลายเพศ เท่าบรมพรหเมศสูงใหญ่
อสุรีย่างเยื้องคลาไคล ลงไปยังท้องธารา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ทอดองค์นอนขวางกลางนํ้า บริกรรมพระเวทคาถา
จมอยู่ในท้องพระคงคา มิได้เห็นกายาอสุรี
น้ำท้นวนวังไม่หลั่งไหล ไปหน้าพลับพลาชัยศรี
เดชะด้วยฤทธิ์พิธี วารีแห้งสิ้นจนดินทราย ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

๏ บัดนั้น โยธาวานรทั้งหลาย
ครั้นแสงทองส่องพื้นโพยมพราย นายไพร่ก็ไปยังคงคา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ รุกร้น

๏ ก็ถึงที่ฟากฝั่งชลธี กระบี่จะลงล้างหน้า
เห็นน้ำแห้งถึงพื้นพสุธา วานรก็คิดอัศจรรย์
ต่างทุกข์ที่จะอดนํ้าตาย ไพร่นายตกใจตัวสั่น
หมู่ลิงวิ่งวนพัลวัน บ้างปรึกษากันอึงไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ ก็มิได้ล่วงรู้เหตุผล ทุกข์ทนทอดถอนใจใหญ่
เที่ยวดูตามท้องชลาลัย ไม่เห็นสิ่งใดก็กลับมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๏ ครั้นถึงลูกพระทินกร วานรกราบลงพร้อมหน้า
แจ้งว่าบัดนี้คงคา ที่ในมหาชลธาร
เคยได้อาศัยอาบกิน ทุกหมู่กบินทร์ทวยหาญ
เหือดแห้งไปสิ้นถึงดินดาน เกิดการวิบัติในนที ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น สุครีพผู้ชาญชัยศรี
ได้ฟังตกใจพ้นทวี พากระบี่เข้าไปยังพลับพลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งน้อมศิโรตม์บังคมทูล นเรนทร์สูรปิ่นภพนาถา
บัดนี้กระบี่โยธา ลงไปยังท่าชลาลัย
นํ้านั้นบันดาลแห้งสิ้น แต่วานรจะกินก็ไม่ได้
ข้าคิดเห็นผิดประหลาดใจ ไฉนมาเป็นดั่งนี้ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระตรีภูวนาถเรืองศรี
ได้ฟังตะลึงทั้งอินทรีย์ ภูมีฉงนสนเท่ห์นัก
จึ่งถามโหราคนขยัน อันพญากุมภกรรณสิทธิศักดิ์
วานนี้มีชัยแก่พระลักษมณ์ เหตุใดขุนยักษ์ไม่ยกมา
นํ้าในคงคาก็เหือดแห้ง เราคิดแคลงสงสัยหนักหนา
เหตุผลกลศึกอสุรา มันทำมารยาประการใด ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พิเภกผู้มีอัชฌาสัย
ได้ฟังพระองค์ทรงภพไตร บังคมไหว้สนองพจมาน
อันซึ่งพญากุมภกรรณ ไม่ยกพลขันธ์มาหักหาญ
ด้วยเพื่อนไปตั้งพิธีการ อ่านเวททดนํ้าในนที
หวังจะตัดต้นกลศึก ด้วยอุบายลํ้าลึกของยักษี
คงคาแห้งเหือดไปทั้งนี้ จะมิให้กระบี่อาบกิน
แม้นครบกำหนดเจ็ดวัน พวกพลเรานั้นจะตายสิ้น
พิธีเลิศลบฟ้าดิน อสุรินทร์เรียนต่อพรหมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์องค์นารายณ์นาถา
ได้ฟังพิเภกโหรา ผ่านฟ้าจึ่งตรัสถามไป
อันกุมภกรรณยักษี ไปทำพิธีอยู่ที่ไหน
เราจะคิดอ่านประการใด จึ่งจะได้ล้างพิธีมัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พิเภกสุริย์วงศ์รังสรรค์
ฟังราชบัญชาพระทรงธรรม์ บังคมคัลแล้วทูลสนองไป
อันที่ซึ่งตั้งพิธีการ ตัวข้าบทมาลย์หารู้ไม่
เว้นไว้แต่นางกำนัลใน ซึ่งร่วมจิตชิดใช้อสุรี
ขอให้หนุมานฤทธิรณ ไปซ้อนกลกุมภกรรณยักษี
แปลงกายให้เป็นสตรี เข้าปลอมพาทีด้วยกำนัล
ก็จะรู้ที่อยู่ขุนมาร ซึ่งไปอ่านพระเวทรังสรรค์
เร่งตามไปล้างพิธีมัน น้ำนั้นก็จะไหลลงมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรรัตน์แก้วนาถา
ได้ฟังพิเภกโหรา ผ่านฟ้ามีราชโองการ
ดูก่อนคำแหงวายุบุตร ท่านผู้ฤทธิรุทรกล้าหาญ
จงไปล้างพิธีขุนมาร ด้วยปรีชาชาญของวานร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งศรีหนุมานชาญสมร
รับสั่งพระนารายณ์ฤทธิรอน ชุลีกรแล้วคลานออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งนบนิ้วขึ้นถวายบังคม พระสยมภูวนาถนาถา
โอมอ่านพระเวทวิทยา วานรนิมิตอินทรีย์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๏ กายนั้นก็กลับเป็นเหยี่ยว เรี่ยวแรงดั่งราชปักษี
ถาบถาราร่อนด้วยฤทธี ไปวังอสุรีกุมภกรรณ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ แผละ

๏ เลื่อนลอยอยู่บนอากาศ ตรงปราสาทแก้วฉายฉัน
แลเห็นฝูงนางกำนัล สรวลสันต์เล่นอยู่ที่ชาลา
มีความชื่นชมด้วยสมคิด ในจิตแสนโสมนัสสา
จึ่งร่อนเวียนวงลงมา ริมมหาปราสาทรูจี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ คุกพาทย์

๏ แอบอยู่บังบานทวาเรศ ให้ลับเนตรกำนัลสาวศรี
จึ่งอ่านพระเวทด้วยฤทธี นิมิตอินทรีย์วานร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๏ กลับกลายเป็นนางกำนัล ผิวพรรณเป็นที่สโมสร
อ้อนแอ้นแน่งน้อยอรชร กรายกรดำเนินออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ นั่งลงกลางฝูงนางทั้งหลาย ทำสรวลสันต์ทักทายถ้วนหน้า
แล้วเสแสร้งแกล้งถามด้วยมารยา ตัวข้านี้คิดหลากใจ
อันองค์พญากุมภกรรณ จะออกไปโรมรันก็หาไม่
วันนี้เสด็จไปแห่งใด หรืออยู่ในปราสาทรูจี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นวลนางกำนัลสาวศรี
ได้ฟังจึ่งตอบวาที เจ้านี้ใช่การอย่าเจรจา
อันองค์มหาอุปราช ทรงธรรม์ธิราชนาถา
ไปตั้งพิธีกิจวิทยา ที่ในมหาคงคาลัย
นอนขวางอยู่กลางกระแสชล อ่านมนต์ทดน้ำมิให้ไหล
อันมนุษย์กับวานรไพร จะม้วยบรรลัยด้วยฤทธี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น หนุมานซึ่งเป็นสาวศรี
ได้ฟังคำนางอสุรี ทำเป็นยินดีแล้วตอบไป
ตัวข้าป่วยอยู่หลายวัน อนิจจาหาทันรู้ไม่
ทีนี้ไพรีจะบรรลัย เราจะได้เป็นสุขทุกเวลา
กลัวแต่พิเภกศัตรู จะล่วงรู้ในกลยักษา
บอกแก่พระลักษมณ์พระรามา ให้ล้างวิทยาพิธีกรรม์ ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นวลนางอสุรีสาวสรรค์
คิดว่าเป็นเพื่อนกำนัล ไม่สำคัญว่าพวกไพริน
ยิ้มแล้วก็กล่าววาจา อันคำเจ้าว่านี้ควรสิ้น
ถึงใครใครทั้งในแผ่นดิน จะล่วงได้ยินเราพาที
มาตรจะเที่ยวหาพญายักษ์ ไหนจักรู้แห่งตำแหน่งที่
เว้นแต่นางคันธมาลี กับสี่นางซึ่งเก็บดอกไม้ไป
ส่งพญาอสุรีทุกเวลา นอกนั้นใครหารู้ไม่
ถึงพิเภกผู้ปรีชาไว จะบอกไพรีได้อย่าสำคัญ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น หนุมานซึ่งเป็นสาวสรรค์
ครั้นแจ้งแห่งคำกำนัล รำพันบอกเล่าก็ปรีดา
จึ่งกล่าวอุบายเลี้ยวลวง ข้านี้ลืมพวงบุปผา
ว่าแล้วก็เดินออกมา จากฝูงอสุราอนงค์ใน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ ชุบ

๏ ครั้นไกลพระราชนิเวศน์ ลับเนตรหามีใครเห็นไม่
ขุนกระบี่ผู้ปรีชาไว สำรวมใจนิมิตอินทรีย์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๏ กลับกลายเป็นเหยี่ยวเรี่ยวแรง สองตาดั่งแสงมณีศรี
บินถาราร่อนด้วยฤทธี ตรงไปที่สวนมาลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ แผละ

๏ ราปีกหันเหียนเวียนวง โผลงจับกิ่งพฤกษา
คอยดูห้านางกัลยา จะออกมาเก็บดอกบุษบัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ฝ่ายคันธมาลีสาวสรรค์
กับสี่กัลยาวิลาวัณย์ ครั้นใกล้สายัณห์เวลา
ก็อาบน้ำทาแป้งแต่งตัว ใส่น้ำมันหวีหัวผัดหน้า
นวลละอองผ่องแผ้วจำเริญตา นุ่งห่มโอ่อ่าอรชร
จิ้มลิ้มพริ้มพร้อมทุกนางใน ใครเห็นเป็นที่สโมสร
แน่งน้อยดั่งเทพกินนร กรายกรไปสวนมาลี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เพลง

พระทอง

๏ ครั้นมาถึงที่อุทยาน เกษมศานต์ทั้งห้ามารศรี
สรวลระริกซิกแซ่ทุกนารี พาทีสัพยอกหยอกกัน
เที่ยวเก็บบุปผามาลาศ พุทธชาดสุกรมนมสวรรค์
ซ่อนกลิ่นพิกุลมะลิวัลย์ กรรณิการ์การะเกดประยงค์
กุหลาบคัดเค้าสาวหยุด ชาตบุษย์จำปามหาหงส์
ยี่สุ่นบุนนาคลินจง กาหลงลำดวนสารภี
เก็บพลางทางขับโอดครวญ โหยหวนฉ่ำเฉื่อยเรื่อยรี่
ชิงกันเด็ดดวงมาลี สาวศรีลดเลี้ยวเที่ยวไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เพลง

๏ บัดนั้น หนุมานซึ่งเป็นเหยี่ยวใหญ่
จับแอบอยู่กับกิ่งไทร แลไปเห็นนางกำนัล
รูปทรงส่งศรีวิไลลักษณ์ ผิวพักตร์เพียงอัปสรสวรรค์
ทั้งห้ากัลยาวิลาวัณย์ พากันเที่ยวเก็บมาลี
นางหนึ่งหยุดเลือกบุษบง ไกลฝูงอนงค์ทั้งสี่
พิศเพ่งเล็งทั่วทั้งอินทรีย์ ขุนกระบี่จำได้ทุกสิ่งอัน
มีความชื่นชมด้วยสมคิด หมายล้างชีวิตให้อาสัญ
ก็โผตรงลงจับนางกำนัล ด้วยกรงเล็บคีบคั้นพาไป ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ รวดเร็วดั่งลมเพชรหึง จะรู้ถึงสี่นางก็หาไม่
ขยี้เสียให้ม้วยบรรลัย ที่ในพ่างพื้นเมฆา
ครั้นเสร็จสำเร็จฆ่านาง กางปีกราร่อนบนเวหา
บินวงลงพื้นพสุธา ยังสวนมาลาอสุรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ คุกพาทย์

๏ ลัดแลงเข้าแฝงพุ่มไม้ ให้ลับตานางในทั้งสี่
กลับกลายจากเพศสกุณี ขุนกระบี่อ่านเวทนิมิตกาย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๏ เป็นรูปอนงค์แน่งน้อย แช่มช้อยอรชรเฉิดฉาย
เหมือนนางที่พาไปฆ่าตาย เดินกรายเก็บดอกไม้ไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ บัดนั้น สี่นางผู้มีอัชฌาสัย
สำคัญว่าเพื่อนร่วมใจ มิได้รู้กลวานร
นั่งลงลำดับมาลี ใส่พานมณีประภัสสร
พอชายบ่ายแสงทินกร ก็รีบจรไปตามมรคา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงริมฝั่งชลาลัย ที่ต้นตร่างใหญ่ใบหนา
นั่งลงริมแท่นศิลา วางพานบุปผามาลี
นบนิ้วประนมเหนือเกศ บูชาพระเวทยักษี
แสนโสมนัสสาทุกนารี ด้วยใจภักดีพญามาร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ
ปลอมมากับนางพนักงาน ทำเป็นวางพานจะบูชา
แลเห็นนํ้าท้นวนอยู่ ไม่ไหลไปบูรพทิศา
จึ่งพินิจพิศดูด้วยปรีชา ก็รู้ว่าพญากุมภกรรณ
ลงอยู่ในท้องสาคร วานรมีใจเกษมสันต์
ไหว้คุณพระอิศวรทรงธรรม์ ก็ร่ายพระเวทอันฤทธี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ ตระ

๏ บัดเดี๋ยวกายนั้นก็กลับกลาย เป็นลูกพระพายเรืองศรี
กุณฑลขนเพชรรูจี เขี้ยวแก้วมณีอลงกรณ์
ใหญ่เท่าบรมพรหมาน สูงตระหง่านดั่งพระเมรุสิงขร
ผาดแผลงสำแดงฤทธิรอน วานรกระทืบบาทา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น สี่นางกำนัลยักษา
แลเห็นกระบี่ผู้ศักดา ทำอานุภาพเกรียงไกร
ตกประหม่าหน้าซีดไม่มีขวัญ ตัวสั่นมิอาจจะดูได้
ร้องตรีดหวีดหวาดวิ่งไป ล้มลุกไม่เป็นสมประดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี
ผาดแผลงสำแดงฤทธี ขุนกระบี่แหวกนํ้าลงไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ จึ่งเห็นพญากุมภกรรณ นิมิตกายนั้นโตใหญ่
นอนขวางอยู่กลางชลาลัย ปิดวารีไว้ด้วยฤทธา
ฉวยชักตรีเพชรออกจากกาย ลูกพระพายกวัดแกว่งเงื้อง่า
โลดโผนโจนถีบอสุรา ด้วยกำลังกายาวานร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พญากุมภกรรณชาญสมร
เห็นกระบี่ผู้มีฤทธิรอน แหวกสาครตามมาราวี
กริ้วโกรธพิโรธดั่งเพลิงจุด ฉวยชักคทาวุธยักษี
ผุดลุกขึ้นจากนที เข้าไล่ต่อตีหนุมาน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ต่างแทงต่างรับกันสับสน สายชลเป็นระลอกกระฉอกฉาน
เสียงสนั่นครั่นครื้นถึงบาดาล ชลธารก็ไหลลงไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น คำแหงหนุมานทหารใหญ่
หลบหลีกรับรองว่องไว เลี้ยวไล่โจมจับกุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เหยียบเข่าน้าวเศียรเงื้อตรี ท่วงทีรวดเร็วดั่งจักรผัน
ต่างตีต่างแทงต่างฟัน พัลวันกลอกกลับไปมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น กุมภกรรณสิทธิศักดิ์ยักษา
กระทืบบาทผาดโผนโจนมา เข้าไล่เข่นฆ่าราวี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เผ่นขึ้นเหยียบบ่าวานร กรชิงตรีเพชรกระบี่ศรี
กลอกกลับจับกันเป็นที อสุรีตีต้องหนุมาน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ
กริ้วโกรธพิโรธดั่งเพลิงกาล โถมทะยานเข้าจับอสุรา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ โจนขึ้นเหยียบบ่ายืนหยัด ป้องปัดตระบองยักษา
แทงด้วยตรีเพชรอันศักดา ต้องกายพญากุมภัณฑ์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น น้องท้าวทศเศียรรังสรรค์
สุดฤทธิ์สุดคิดจะโรมรัน สุดที่จะประจัญด้วยวานร
นิ่งนึกถวิลจินดา ลิงนี้แกล้วกล้าชาญสมร
แม้นกูจะอยู่ต่อกร ถ้าแพ้ฤทธิรอนไอ้ทรลักษณ์
จะอายแก่เทวาในโสฬส อัปยศทั่วไปทั้งไตรจักร
เสียแรงเป็นวงศ์จตุรพักตร์ ทรงศักดาเดชมหึมา
คิดแล้วจึ่งองค์พญามาร มิได้รอนราญเข่นฆ่า
ก็เหาะขึ้นยังกลีบเมฆา หนีเข้าลงกาธานี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี
ครั้นเสร็จซึ่งล้างพิธี กุมภกรรณนั้นหนีกลับไป
จึ่งขึ้นจากฝั่งสาคร สำแดงฤทธิรอนแผ่นดินไหว
ถีบทะยานผ่านฟ้าด้วยว่องไว ตรงไปสุวรรณพลับพลา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงน้อมเศียรอภิวาทน์ ทูลพระภูวนาถนาถา
ตามซึ่งรณรงค์อสุรา จนยักษาหนีเข้าธานี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระกฤษณุรักษ์เรืองศรี
ฟังหลานพญาพาลี ยินดีดั่งได้โสฬส
จึ่งตรัสสรรเสริญศักดา ท่านผู้เรืองฤทธาดั่งเพลิงกรด
ควรที่เป็นวายุโอรส ใช้ไหนได้หมดเหมือนใจ
อันศัตรูหมู่พวกปัจจามิตร ทั่วทั้งทศทิศอย่าต่อได้
ตรัสแล้วย่างเยื้องคลาไคล เข้าในสุวรรณพลับพลา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายกุมภกรรณยักษา
ครั้นถึงพิชัยลงกา ก็ขึ้นมายังท้องพระโรงคัล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งน้อมเศียรถวายอภิวาทน์ พระเชษฐาธิราชรังสรรค์
สะท้อนถอนใจจาบัลย์ กุมภัณฑ์ก้มพักตร์ไม่พาที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวราพณาสูรยักษี
เห็นน้องท้าวผู้ร่วมชีวี ทำทีกิริยาประหลาดใจ
จึ่งมีบัญชาประกาศิต ดวงชีวิตของพี่เป็นไฉน
ตัวเจ้าสิลอบออกไป ตั้งพิธีในคงคา
ไม่ทันถึงเจ็ดทิวาวาร เกิดการสิ่งใดกนิษฐา
จึ่งรีบกลับคืนเข้ามา พักตราไม่เป็นสมประดี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระยากุมภกรรณยักษี
ได้ฟังพระราชวาที อสุรีอัดอั้นตันใจ
มิใคร่จะออกวาจา สนองพระบัญชาไปได้
จึ่งทูลว่าตัวข้านี้ลอบไป ตั้งพิธีในวาริน
เดชะด้วยวิทยามนต์ กระแสชลนั้นแห้งตลอดสิ้น
จนถึงภาคพื้นแผ่นดิน แต่จะชัดช้อนกินก็ไม่มี
หนุมานมันตามลงไป ชิงชัยถึงท้องวารีศรี
ทำลายให้เสียพิธี น้องนี้จึ่งกลับเข้ามา
ความอายความแค้นเป็นสุดคิด ดั่งชีวิตจะม้วยสังขาร์
พรุ่งนี้จะถวายบังคมลา ไปเข่นฆ่าแก้แค้นแทนมัน ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ทศพักตร์สุริย์วงศ์รังสรรค์
แจ้งว่าเสียกิจพิธีกรรม์ กุมภัณฑ์สลดระทดใจ
นิ่งขึงตะลึงรำพึงคิด ร้อนจิตเพียงพิษเพลิงไหม้
จึ่งมีบัญชาตรัสไป ซึ่งข้าศึกทำได้ดั่งนี้
ด้วยไอ้พิเภกทรชน บอกกลมนุษย์กระบี่ศรี
หาไม่ที่ไหนไพรี จะล่วงรู้ในพิธีการ
เสียแรงที่เกิดร่วมครรภ์ เลี้ยงมันดั่งเลี้ยงเดียรัจฉาน
ซึ่งเจ้าจะยกไปรอนราญ จงผลาญให้ม้วยมรณา
จึ่งจะไม่ได้เป็นไส้ศึก บอกการตื้นลึกไปภายหน้า
อันมนุษย์วานรที่ยกมา เห็นว่าจะม้วยชีวี ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พญากุมภกรรณยักษี
ฟังพระเชษฐาพาที ดั่งวารีทิพย์มาเจือใจ
มีความอิ่มเอิบกำเริบฤทธิ์ คืนคิดมานะขึ้นมาได้
บังคมลาออกจากพระโรงชัย ตรงไปปราสาทรัตนา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึ่งมีบรรหาร สั่งเสนามารยักษา
เร่งเตรียมจัตุรงค์โยธา ซึ่งแกล้วกล้าณรงค์ราวี
อีกทั้งรถทรงสำหรับศึก อันพันลึกเทียมด้วยราชสีห์
พรุ่งนี้จะยกโยธี ไปต่อตีมนุษย์วานร ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึ่งเสนามารชาญสมร
รับสั่งแล้วถวายชุลีกร ก็รีบบทจรออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ยานี

๏ จัดหมู่จัตุรงค์องอาจ เลือกล้วนสามารถแกล้วกล้า
ขุนช้างขี่ช้างชนะงา กุมของ้าวง่ากรีดกราย
ขุนม้าถือหอกกลอกกลับ ขี่ขับรวดเร็วเฉิดฉาย
ขุนรถขี่รถเรียงราย ล้วนถือทองปรายหยัดยัน
พลเท้าล้วนเหล่าคำแหง โตดำลํ่าแรงแข็งขัน
ถือคาบศิลารำพัน บ้างกุมเกาทัณฑ์ลูกยา
ต่างตนต่างอวดฤทธิรุทร กวัดแกว่งอาวุธเงื้อง่า
เตรียมทั้งรถทรงอลงการ์ คอยเสด็จพญาอสุรี ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น กุมภกรรณสิทธิศักดิ์ยักษี
ครั้นแสงจันทร์ส่องฟ้าธาตรี เสด็จเข้าสู่ที่ไสยา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า

๏ เอนองค์ลงเหนือบรรจถรณ์ ยอกรก่ายพักตร์ยักษา
นิ่งนึกถวิลจินดา ที่จะยกโยธาไปชิงชัย
แก้แค้นแทนหมู่ปัจจามิตร แล้วคิดทอดถอนใจใหญ่
ครั้งนี้มนุษย์กับลิงไพร ฤทธิไกรสามารถอาจนัก
ทั้งกำลังกายก็สามารถ ปรีชาฉลาดแหลมหลัก
แล้วได้พิเภกขุนยักษ์ ไปเป็นจักษุบอกการ
กูจึ่งเสียทีปัจจามิตร เสียคิดแก่ไอ้เดียรัจฉาน
หาไม่พระลักษมณ์จะวายปราณ ด้วยหอกสุรกานต์กูพุ่งไป
ให้คลุ้มคลั่งคั่งแค้นอารมณ์ จะบรรทมหลับก็หาไม่
จนรุ่งรางสร่างแสงอโณทัย เสด็จไปที่สรงคงคา ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ สุหร่ายแก้วโปรยปรายเป็นสายฝน ทรงสุคนธ์เฟื่องฟุ้งด้วยบุปผา
สอดใส่สนับเพลาอลงการ์ ภูษารูปกินรีรำ
ฉลององค์ทรงประพาสพระกรน้อย เกราะพลอยมรกตเขียวขำ
รัดอกรายบุษราคัม ประจำยามตาบทิศสังวาลวัลย์
เฟื่องห้อยพลอยแก้วมุกดาหาร ทับทรวงดวงประพาฬทับทิมคั่น
พาหุรัดทองกรมังกรพัน ธำมรงค์เรือนสุบรรณกางกร
ทรงกุณฑลเกล็ดเพชรรัตน์ กรรเจียกแก้วจำรัสประภัสสร
จับมหาธนูฤทธิรอน บทจรขึ้นรถสุรกานต์ ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

๏ จึ่งสั่งสารถีให้โบกธง เลิกหมู่จัตุรงค์ทวยหาญ
โดยกระบวนพยุหขุนมาร ออกจากพระทวารเวียงชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ กราว

๏ ครั้นมานอกราชนิเวศน์ ให้เกิดเหตุวิปริตลางใหญ่
ช้างม้าตื่นเต้นวุ่นไป บันดาลให้เห็นอัศจรรย์
ทั้งรถที่พญามารทรง กำกงไม่สะเทือนเลื่อนลั่น
ราชสีห์ซึ่งเทียมมาทั้งพัน หน้านั้นก็กลับเป็นหน้าลา
ผีภูตทั้งสี่สำแดงกาย เดินกรายผ่านทางขวางหน้า
กาแร้งบินว่อนร่อนมา ถาบถาโฉบลงที่ธงชัย
พิณพาทย์เภรีไม่มีเสียง สำเนียงพลโห่ดั่งร้องไห้
ธงทิวก็ไม่ปลิวสะบัดใบ โขมดไพรกู่ร้องเยือกเย็น
พญามารหวาดหวั่นพรั่นจิต ด้วยนิมิตประหลาดไม่เคยเห็น
สารพัดอุบัติมิได้เว้น จำเป็นรีบรถบทจร ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงให้หยุดจัตุรงค์ ประทับลงแทบเนินสิงขร
คอยทัพมนุษย์ฤทธิรอน จะยกพลนิกรออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระจักรรัตน์แก้วนาถา
ไสยาสน์เหนืออาสน์อลงการ์ ผ่านฟ้ารำพึงคะนึงคิด
ในการรณรงค์ชิงชัย มิได้นิทราหลับสนิท
จนจันทรอ่อนแสงชวลิต พระอาทิตย์อุทัยเรืองรอง
ดุเหว่าแว่วเพรียกเพราะเสนาะเสียง สำเนียงสกุณาขันก้อง
หมู่แมลงภู่วะวู่ร้อง เชยชาบละอองสุมาลี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ จึ่งชำระพระองค์ทรงเครื่อง อร่ามเรืองดั่งองค์โกสีย์
จับศรพรหมาสตร์ฤทธี ภูมีออกหน้าพลับพลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ พร้อมท้าวพญาพานร ชุลีกรเกลื่อนกลาดซ้ายขวา
พอได้ยินสำเนียงโกลา ผ่านฟ้าตรัสถามพิเภกไป
อันทัพซึ่งยกมาโรมรัน อสุรีกุมภกรรณหรือไฉน
หรือว่าอสูรตนใด ออกมาชิงชัยราวี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พญาพิเภกยักษี
ได้ฟังพระราชวาที ชุลีกรสนองพระบัญชา
อันทัพที่ยกออกมานั้น คือพญากุมภกรรณยักษา
วันนี้จะสิ้นชีวา ด้วยชะตาถึงฆาตลัคน์จันทร์
ขอเชิญเสด็จพระสี่กร ยกพวกพานรพลขันธ์
ออกไปสังหารกุมภัณฑ์ ให้มันสิ้นชีพชีวี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์องค์นารายณ์เรืองศรี
ได้ฟังพิเภกอสุรี ภูมีชื่นชมด้วยสมคิด
พักตร์ผ่องดั่งดวงจันทรา จึ่งมีบัญชาประกาศิต
ตรัสสั่งแก่ลูกพระอาทิตย์ ท่านผู้มีฤทธิ์ปรีชาญ
จงเร่งเกณฑ์แสนยากร พวกพลวานรทวยหาญ
เตรียมทั้งรถแก้วสุรกานต์ เราจะไปรอนราญอสูรี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พญาสุครีพกระบี่ศรี
รับสั่งสมเด็จพระจักรี ถวายอัญชุลีแล้วออกมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ยานี

๏ จัดเป็นอินทรีพยุหบาตร นิลราชเป็นเศียรปักษา
นิลเอกนิลขันเป็นสองตา ปากนั้นปิงคลาวานร
คอคือกระบี่ชมพูพาน คำแหงหนุมานเป็นหงอน
ปีกขวาองคตฤทธิรอน ปีกซ้ายเกสรทมาลา
เท้าซ้ายจัดนิลปาสัน ฝ่ายนิลปานันเป็นเท้าขวา
กายนั้นคือจอมโยธา หางคือพญานิลนนท์
จังเกียงเป็นเล็บสกุณี โยธีทั้งหลายเป็นลายขน
ล้วนถืออาวุธทุกตน ร่านรนลำพองคะนองฮึก
นายไพรล้วนมีศักดา แกล้วกล้าเหี้ยมหาญทะยานศึก
ฤทธิแรงแข็งขันพันลึก คึกคึกคอยเสด็จพระสี่กร ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระพงศ์จักรพรรดิทรงศร
จึ่งชวนพระลักษมณ์ฤทธิรอน บทจรไปสรงวาริน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๏ สองกษัตริย์ชำระสระสนาน สุคนธารเกสรขจรกลิ่น
สนับเพลารายพลอยโกมิน เชิงช่อนาคินทร์สังเวียนวง
ภูษาโกไสยต่างสี ยกเครือเจ็ดคลีกระหนกหงส์
ชายไหวชายแครงฉลององค์ ต่างทรงทับทรวงสังวาลวัลย์
ตาบทิศเฟื่องห้อยมณีช่วง พาหุรัดเพชรร่วงดวงกุดั่น
ทองกรฉลุแก้วมังกรพัน ธำมรงค์เรือนสุบรรณกางกร
ต่างทรงมงกุฎดอกไม้ทัด ขัดพระขรรค์เพชรรัตน์แล้วจับศร
งามดั่งสุริยันกับจันทร บทจรไปขึ้นรถทรง ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ บาทสกุณี

โทน

๏ รถเอยราชรถทิพย์ แอกงอนอ่อนลิบงามระหง
กำแก้วประกับประกอบกง ดุมวงแสงวามอร่ามพลอย
ภาพล้อมบัลลังก์กระจังลวด พนักอิงบังอวดกระหนกห้อย
จตุรมุขงามแม้นพิมานลอย บันช้อยห้อยฉัตรอรชร
เทียมด้วยสินธพเทพบุตร เริงร้อนฤทธิรุทรดั่งไกรสร
พระลักษมณ์นั่งหน้าประนมกร เครื่องสูงสลอนสลับกัน
มาตุลีสารถีเทวา ขับอาชาเผ่นดั่งจักรผัน
ผงคลีมืดคลุ้มชอุ่มควัน ปี่กลองสนั่นครั่นครึก
เสียงรถเสียงม้ากุลาหล เสียงพลโห่ร้องก้องกึก
ล้วนเหล่าลำพองคะนองฮึก ขับกันคึกคึกรีบจร ฯ

ฯ ๑๐ คำ ฯ กราวนอก

๏ ครั้นมาถึงที่สนามรบ พระตรีภพสุริย์วงศ์ทรงศร
ให้หยุดโยธาพลากร ดูกำลังฤทธิรอนอสุรี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ