คำตอบปัญหาของพระยาอินทรมนตรี (๓)

คำถามที่ ๔ คำว่า “ในหลวง” กับคำ “ในกรม” หมายความว่าอย่างไร

ตอบคำถามที่ ๔ ว่า คำ “ใน” นั้น หมายความตรงข้ามกับคำ “นอก” คำว่า “หลวง” นั้น โดยลำพังคำชั้นเดิมหมายความว่า “ใหญ่โต” ดูเหมือนตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า Great เป็นคุณศัพท์ Adjective สำหรับประกอบกับคำที่เป็นนามศัพท์ ยกตัวอย่างดัง “เขาหลวง” หมายความว่าภูเขาที่ใหญ่กว่าเพื่อน “บางหลวง” หมายความว่าคลองต้นที่ใหญ่ยาวยิ่งกว่าเพื่อน “เมืองหลวง” หมายความว่าเมืองใหญ่ที่เป็นราชธานี “วังหลวง” หมายความว่าวังที่เป็นใหญ่ (อันเป็นที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดิน) คำ “กรม” นั้น หมายความคนหมู่หนึ่งซึ่งจัดให้มีผู้บังคับบัญชาต่างหาก เช่น “กรมทหารมหาดเล็ก” “กรมช่างสิบหมู่” และ “กรมอาลักษณ์” เป็นต้น คล้ายกับคำ Department หรือ Regiment ในภาษาอังกฤษ แต่ไทยเรียกว่า “กรม” ทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน ถึงกระทรวงเสนาบดี แต่โบราณก็เรียกว่า “กรม” เช่น “กรมเมือง” “กรมวัง” “กรมคลัง” และ “กรมนา” เพิ่งเรียกว่า “กระทรวง” ในรัชกาลที่ ๕ แต่ที่เอาคำ “หลวง” ประกอบกับคำ “ใน” ใช้เป็นนามศัพท์ เรียก “พระเจ้าแผ่นดิน” และเอาคำ “กรม” ประกอบกับคำ “ใน” เป็นนามศัพท์เรียก “เจ้านาย” ซึ่งมีพระยศเป็นเจ้ากรมต่างหาก เคยเห็นแต่ในหนังสือแต่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้

มูลที่เกิดคำ “ในหลวง” และ “ในกรม” มีเงื่อนอยู่ในพงศาวดารพอจะคิดวินิจฉัยได้บ้าง จะกล่าวอธิบายคำ “ในหลวง” ก่อน ดูเหมือนมูลจะมาแต่วิธีปกครองของไทยตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เอาสกุล Family เป็นหน่วย เรียกว่า “ครัว” อันเป็นที่ทำอาหารมาเรียก ก็พอคิดเห็นได้ คงเป็นเพราะแต่ละสกุลมากบ้างน้อยบ้างเอาเป็นกำหนดยาก แต่สกุล ๑ คงต้องมีเรือนครัวไฟหลังหนึ่งสำหรับทำอาหารกินด้วยกัน จึงเอาครัวเป็นหน่วยด้วยประการฉะนี้ ก็การปกครองสกุลหรือครัว พ่อย่อมปกครองเป็นธรรมดา จึงเรียกผู้ปกครองขั้นต้นว่า “พ่อครัว” (คนภายหลังเอาคำพ่อครัวไปเรียกหัวหน้าพนักงานทำอาหาร Cook นั้นเป็นด้วยเข้าใจผิด) ต่อมาถึงขั้นที่ ๒ อาศัยเหตุที่สกุลต่างๆ อันตั้งบ้านเรือนอยู่ในท้องที่อันเดียวกัน มักเป็นญาติพี่น้องเกี่ยวดองกัน จึงให้พ่อครัวคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ปกครองสกุลทั้งหลายรวมกัน เรียกว่า “พ่อบ้าน” ต่อมาอีกขั้น ๑ หลายบ้านเช่นนั้นรวมกันเป็น “เมือง” มีกำหนดที่แผ่นดินเป็นอาณาเขตปกครองคั่นต้น เรียกผู้ปกครองว่า “พ่อเมือง” คงเป็นคนเกิดในเมืองนั้นเอง แต่เมืองชั้นนี้เป็นเมืองน้อย ต้องขึ้นต่อเมืองใหญ่ต่อขึ้นไป จึงเรียกกันว่า “เมืองขึ้น” ต่อขึ้นไปอีกชั้น ๑ ถึงเมืองใหญ่ จะเรียกว่า “เมืองออก” หรืออย่างไรไม่ทราบแน่ แต่พระเจ้าแผ่นดินให้มีผู้มาอยู่ปกครอง ผู้ปกครองนั้นเรียกว่า “ขุน” เช่น ขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด ได้บังคับบัญชาเหล่าเมืองน้อยเป็นที่เมืองขึ้น อย่างประเทศราชขึ้นต่อเมืองหลวง ต่อขึ้นไปก็ถึงเมืองหลวงที่พระเจ้าแผ่นดินปกครอง เดิมเรียกพระเจ้าแผ่นดินว่า “พ่อขุน” เช่น พ่อขุนรามคำแหง แต่สังเกตในศิลาจารึกสุโขทัย เรียกพระเจ้าแผ่นดินว่าพ่อขุน เพียงรัชกาลพระเจ้ารามคำแหง รัชกาลต่อมาจารึกเรียกพระเจ้าแผ่นดินว่า “พระญา” หรือคำอื่น หาเรียกว่า พ่อขุนไม่ เหตุใดจึงเลิกใช้คำพ่อขุน ก็ดูเหมือนจะพอคิดได้ ด้วยคำ พ่อขุน หมายความว่า “เป็นใหญ่ในสกุล” หรือถ้าว่าอีกอย่างหนึ่งเป็นแต่ไทยด้วยกัน เมื่อขยายราชอาณาเขตออกไปปกครองถึงบ้านเมืองของชนชาติอื่นๆ มีพระเกียรติยศสูงกว่าพ่อขุน น่าสันนิษฐานว่าจะใช้คำ “ขุนหลวง” หมายความเป็นขุนใหญ่กว่าขุนอื่นทุกชาติทุกภาษา คือ “ราชาธิราช” ก็เป็นได้ แต่ไม่พบใช้คำ “ขุนหลวง” ในจารึกสุโขทัย ก็ไม่กล้ายืนยันว่าคำนี้ จะเกิดขึ้นในสมัยสุโขทัย เพราะเหตุนั้น แต่เมื่อถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา คำที่คนพูดกันเรียกพระเจ้าแผ่นดินว่า “ขุนหลวง” ถ้าคำนั้นเกิดขึ้นสมัยสุโขทัย อาจจะเอาใช้ในกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาก เมื่อรวมเมืองเหนือกับเมืองใต้เข้าเป็นอันเดียวกันก็เปนได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เรียกพระเจ้าแผ่นดินว่า “ขุนหลวง” กันแพร่หลายมาจนตลอดสมัย เรียกพระเจ้าแผ่นดินที่ยังเสวยราชย์อยู่ว่า “ขุนหลวง” เรียกพระเจ้าแผ่นดินที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยเอาคำอื่นประกอบเข้าข้างท้ายให้รู้ว่าพระองค์ไหนเช่นเรียกว่า “ขุนหลวงเสือ” “ขุนหลวงท้ายสระ” “ขุนหลวงบรมโกศ” “ขุนหลวงหาวัด” และ “ขุนหลวงพระที่นั่งสุริยามรินทร” แม้พระเจ้ากรุงธนบุรีก็เรียกกันว่า “ขุนหลวงตาก” เป็นที่สุด

คำว่า “ขุนหลวง” นี้เป็นมูลที่ตัดเอาคำ “หลวง” ข้างท้ายไปประกอบ ใช้หมายความว่า เนื่องด้วยพระเจ้าแผ่นดิน เช่นว่า “คนหลวง” “ช้างหลวง” “เรือหลวง” หมายความว่า คน ช้าง และเรือ อันเป็นของขุนหลวง แล้วพูดลดคำ “ขุน” ให้คงเหลือ ๒ พยางค์ โดยสะดวกปาก เลยเกิดคำ “ของหลวง” หมายความสรรพสิ่งบรรดาซึ่งเป็นของพระเจ้าแผ่นดิน แล้วใช้เลยไปโดยไม่สังเกตความ ถึงเรียกพระเจ้าแผ่นดินว่า “ของหลวง” คำนี้มีอยู่ในตำรากระบวนเสด็จประพาส ซึ่งพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดให้ประชุมข้าราชการครั้งกรุงศรีอยุธยา ๒๐ คน ประชุมกันแต่งขึ้น (หอพระสมุดฯ พิมพ์ไว้ในหนังสือลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๑๙) ในตำรานั้นเรียกพระเจ้าแผ่นดินว่า “ของหลวง” เช่นว่า “ปลูกพลับพลารับเสด็จของหลวง” ดังนี้ เห็นจะใช้เรียกกันมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว คำว่า “ในหลวง” ก็อยู่ในคำพวกเดียวกัน เห็นจะมาแต่ “ในวังขุนหลวง” หรือ “ในกิจการของขุนหลวง” แล้วก็เลยเรียกหมายความต่อไปถึงพระองค์พระเจ้าแผ่นดินตามสะดวกปากว่า “ในหลวง” อย่างเดียวกับคำว่า “ของหลวง” แต่สังเกตเห็นใน “หนังสือลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๑๙” ซึ่งกล่าวมาแล้วอย่างหนึ่ง ที่ใช้คำเรียกพระเจ้าแผ่นดินว่า “ของหลวง” มีแต่ในตำราที่แต่งครั้งกรุงธนบุรี ถึงตำราที่แต่งในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ ใช้คำว่า “ในหลวง” ทั้งนั้น หาใช้คำของหลวงไม่ อาจจะเป็นเพราะสั่งให้เลิกใช้คำ “ของหลวง” และใช้คำ “ในหลวง” แทนเมื่อสมัยนั้นก็เป็นได้

อธิบายคำ “กรม” นั้นได้กล่าวมาแล้วว่า คือ คนหมู่หนึ่งซึ่งจัดให้มีผู้บังคับบัญชาต่างหาก และมีชื่อเรียกต่างๆ กัน จะขยายอธิบายต่อไป ลักษณะกรมนั้นเป็น ๒ ประเภทต่างกัน คือ กรมมีประจำอย่าง ๑ กรมมีชั่วคราวอย่าง ๑ กรมมีประจำนั้น เช่น กรมสรรพากรนอก และกรมสรรพากรใน หรือกรมช้าง กรมม้า เป็นต้น กรมประเภทนี้มีอยู่เสมอ ถ้าตัวเจ้ากรมว่างลงก็ตั้งผู้อื่นเป็นแทนต่อไป กรมมีชั่วคราวนั้น คือ กรมที่พระเจ้าแผ่นดิน โปรดให้ตั้งขึ้น สำหรับให้เจ้านายพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ทรงบังคับบัญชา มูลเหตุที่เกิดกรมประเภทนี้ปรากฏในพงศาวดารว่า แรกมีขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ด้วยมีเจ้าฟ้าหญิงเป็นขนิษฐาองค์ ๑ เจ้าฟ้าหญิงเป็นราชธิดาองค์ ๑ โปรดฯ ให้จัดคนตั้งกรมขึ้นใหม่กรมหนึ่ง เจ้ากรมเป็น “หลวงโยธาทิพ” ให้ขึ้นในสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอพระองค์นั้น คนทั้งหลายจึงเรียกเจ้าฟ้าหญิงพระองค์นั้นว่า “เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาทิพ” ส่วนเจ้าฟ้าราชธิดาก็โปรดให้ตั้งกรมพระราชทานเหมือนกัน เจ้ากรมมีชื่อว่า “หลวงโยธาเทพ” คนทั้งหลายก็เรียกพระราชธิดาพระองค์นั้นว่า “เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพ” แต่นั้นมาก็เลิกตั้งพระนามเจ้านายตามทำเนียบเก่า เช่น เป็น “พระราเมศวร” และ “พระบรมราชา” เป็นต้น หรือว่าอีกนัยหนึ่ง คือเปลี่ยนประเพณีที่เจ้านายที่ไปปกครองหัวเมืองให้มาปกครองกรมอยู่ในราชธานี การตั้งกรมเจ้านายจึงเป็นประเพณีสืบมาจนในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้ คำ “ในกรม” เดิมคงมีคำอื่นประกอบ เช่น “คนในกรมหลวงโยธาทิพ” หรือ “กิจการในกรมหลวงโยธาทิพ” เป็นต้น เห็นจะเกิดแต่คนในกรมนั้นเอง เรียกกันโดยสะดวกปากแต่ว่า “ในกรม” โดยไม่จำเป็นจะต้องออกชื่อ แล้วเรียกเลยไปถึงเจ้านายซึ่งทรงบังคับกรมนั้นว่า “เสด็จในกรม” อนุโลมตามคำที่เรียกพระเจ้าแผ่นดินว่า “ในหลวง” โดยเห็นว่าเชิดชูพระเกียรติยศ และเป็นการสะดวกปากด้วย ที่ว่ากรมเจ้านายเป็นกรมตั้งขึ้นชั่วคราวนั้น เพราะมีอยู่เพียงตลอดพระชนมายุของเจ้านายพระองค์นั้นเท่านั้น พอสิ้นพระชนม์แล้ว กรมนั้นก็เลิกผู้คนในกรมโอนไปเข้าในกรมประจำหมด เมื่อตั้งกรมพระราชทานเจ้านายองค์อื่น เป็นกรมตั้งขึ้นใหม่ เว้นแต่บริวารของพระมหาอุปราช ซึ่งเรียกรวมกันว่า “กรมพระราชวังบวรสถานมงคล” ถ้าพระมหาอุปราชว่าง มาสมทบรับราชการ “ของหลวง” หรือ “ในหลวง” ถ้าทรงตั้งพระมหาอุปราชขึ้นใหม่ก็ต้องกลับไปรับราชการอยู่ “ในกรม” พระราชวังบวรสถานมงคล

คำว่า ในหลวง และ ในกรม เห็นว่าจะเกิดขึ้นดังอธิบายที่กล่าวมา

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ