วันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๐ ดร

บ้านซินนามอน ปีนัง

วันที่ ๑๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๘๐

ทูล สมเด็จกรมพระนริศฯ

หม่อมฉันได้รับลายพระหัตถ์ฉบับลงวันที่ ๑๑ กันยายน กับรูปฉายหลังคามณฑปพระพุทธบาทที่ทำใหม่ประทานมาให้ดูนั้นแล้ว ขอบพระหฤทัยมาก

หลังคามณฑปนั้น เมื่อได้เห็นรูปทรงดีกว่าคาดก็คลายใจ เป็นอันสิ้นวิตก ถวายรูปคืนมากับจดหมายนี้

ที่พระเจนจีนอักษรปรารภจะมาหาหม่อมฉันนั้น ฝ่ายหม่อมฉันก็คิดถึงแกมากเหมือนกัน

ที่ปีนังเวลานี้พวกชาวเมืองหวาดหวั่นถึงการสงครามญี่ปุ่นรบกับจีนหนักขึ้น ชั้นแรกเกิดรบกันขึ้นพวกจีนเมืองสิงคโปร์ สหปลีรัฐมลายูตลอดมาจนปีนัง เรี่ยไรเงินส่งไปช่วยจีนดูเหมือนจะได้เงินตั้งล้านแต่เขาเรี่ยไรกันเฉพาะพวกจีน ต่อมาพวกจีนบอกบุญถึงชาวต่างประเทศขอเครื่องนุ่งห่มที่เก่าและชำรุดไม่ใช้แล้ว เพื่อจะส่งไปให้ท่านพวกราษฎรที่ต้องทิ้งภูมิลำเนาหนีภัยไปทนระกำลำบากอยู่ ณ ที่ต่างๆ หม่อมฉันออกศรัทธาด้วยสงสารคนพวกนั้น ได้ชวนพวกในบ้านเลือกเครื่องนุ่งห่มที่ไม่ใช้แล้วส่งไปให้ทานบ้าง ต่อมาเมื่อสักสี่ห้าวันนี้นายพลแม่ทัพอังกฤษที่เมืองสิงคโปร์ มาเมืองปีนัง เรียกพวกทหารสมัคร Volunteer สำหรับเมืองออกซ้อมรบรักษาเกาะก็เป็นเหตุให้เกิดหวาดหวั่นกันต่อออกไปว่าญี่ปุ่นอาจจะเกิดรบกับอังกฤษด้วย ถ้าเช่นนั้นเมืองสิงคโปร์และปีนังก็จะเข้าเป็นสมรภูมิ อาจจะถูกข้าศึกยิงหรือทิ้งลูกระเบิด ถึงหลวงชีที่โรงเรียน Convent แต่งคำขอคุ้มครองของพระเป็นเจ้าแจกนักเรียน (ดังสำเนาที่หม่อมฉันคัดส่งมาถวาย) สั่งให้สวดวันละ ๔ หนทุกคน พวกหลานของหม่อมฉันก็ได้มา ขันอยู่ที่เป็นเด็กชั้นใหญ่เช่นหลานดำลูกพระองค์อลงกฏ หลานแมวลูกชายเติมกับหญิงแก้ว ได้มาก็เฉยๆ แต่หลานน้อยลูกชายแถมกับหญิงบันดาลนั้นแกยังเล็ก พอได้มาในวันนั้นก็สวดตามหลวงชีสั่ง พวกป้าถามว่านับถือพระเยซูหรือ บอกว่าเปล่า แต่เขาบอกว่าป้องกันภัยได้ก็สวดไปอย่างนั้น หม่อมฉันต้องสั่งทั้ง ๓ คน ว่าถ้าหลวงชีหรือใครถามว่าสวดหรือเปล่า ให้ตอบว่าจะสวดก็ผิดกับศาสนาที่ถืออยู่ ถ้าเขาไม่ถามก็ให้นิ่งเสีย และอย่าติเตียนหรืออวดดีแก่เพื่อนนักเรียนที่เขาสวดเป็นอันขาด ส่วนหลานน้อยนั้นถ้ายังหวาดหวั่นไม่หาย หม่อมฉันสั่งให้คนเลี้ยงให้สอนให้สวดยันทุน

เมื่อคิดดูถึงการรบพุ่งกันอย่างทุกวันนี้ออกสลดใจ ด้วยดูเป็นนัดกันทิ้งศีลสัจธรรมทุกอย่างหมด หนังสือสัญญา Treaty และกฎหมายนานาประเทศ International Law ก็ไม่เป็นประโยชน์อันใดเสียแล้ว หวนคิดดูโดยทางโบราณคดี

(๑) ชั้นเดิมรบพุ่งกันด้วยความแกล้วกล้าสามารถ เช่นชนช้างหรือแต่งทหารมีฝีมือออกสู้กันตัวต่อตัว ข้อนี้มีกล่าวในหนังสือเรื่องหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นในหนังสือราชาธิราช ว่ามอญแรกได้ปืนใหญ่ยิงกระสุนปืนเข้าไปตกในค่ายพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง ทอดพระเนตรเห็นเสียพระหฤทัยถึงน้ำพระเนตรตก ตรัสว่าแต่ก่อนมาการรบพุ่งเป็น (กีฬา) เครื่องสำราญพระราชหฤทัยของพระมหากษัตริย์ ด้วยได้ทอดพระเนตรฝีมือทแกล้วทหารในเวลาชิงชัยกัน มามีเครื่องประหารกันได้แต่ไกลเช่นนี้ที่ไหนจะได้ชมฝีมือทหารต่อไป

(๒) ต่อมาถึงสมัยมีปืนแล้วการรบพุ่งก็ยังเป็นแต่ในระหว่างบุคคลที่พอใจเป็นทหารสำหรับรบพุ่ง ผู้อื่นที่ไม่ใช่ทหารก็ไม่ต้องรบพุ่ง

(๓) ต่อมาถึงสมัยเมื่อชาติต่างๆ บังคับชายพลเมือง ไม่เลือกว่าจะสมัครหรือไม่สมัคร เข้าเป็นทหารชั่วคราวทั่วหน้า เช่นเยอรมันกับฝรั่งเศสรบกันเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๓ ก็รบกันแต่พวกที่ต้องเกณฑ์เป็นทหาร พวกที่ไม่ถูกเกณฑ์หาต้องรบไม่

(๔) ต่อมาอีกชั้นหนึ่ง ถึงคราวมหาสงครามเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗ แม้พวกที่ไม่ถูกเกณฑ์เป็นทหารก็ถูกเกณฑ์ให้ช่วยรบด้วยประการอย่างอื่น เช่นทำเครื่องยุทธภัณฑ์เป็นต้น ชาวเมืองต้องเดือดร้อนไปทั่วหน้า

(๕) มาถึงญี่ปุ่นรบกับจีนครั้งนี้ ยังร้ายหนักขึ้นไปด้วยใช้ลูกระเบิดทิ้งจากเครื่องบิน ทำอันตรายแก่ชาวเมืองทั้งชายหญิงเด็กผู้ใหญ่อันมิได้เกี่ยวข้องแก่การรบ ต้องล้มตายมากกว่า คนเหล่านั้นไม่มีอันใดจะป้องกันอันตราย ได้แต่พากันหนี ก็ไปประสบภัยอย่างอื่น คือโรคภัยและทุพภิกขภัยเป็นต้น แม้จะรอดชีวิตได้ก็ต้องทนทารกรรมลำบากอย่างสาหัส คิดดูน่าทุเรศยิ่งนัก ถ้าเลื่อนไปอีกชั้นหนึ่งก็เห็นจะถึงทิ้งลูกระเบิดมีไอพิษเพิ่มขึ้น แต่ถ้าใช้ยาพิษอย่างแรงบางทีก็จะดีขึ้น เพราะทำให้ตายสิ้นทุกข์ร้อนเสียในทันทีทันใด ไม่ต้องถูกทารกรรมลำบากต่อไป อยากถามว่านี่มนุษย์เรามันจะเลวลงไปได้อีกสักเท่าไหน

หม่อมฉันมีเรื่องที่จะทูลในจดหมายประจำสัปดาหะนี้อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อสักสี่ห้าวันนี้ มีฝรั่งที่อยู่เชียงใหม่และคุ้นเคยชอบพอกับหม่อมฉันมาแต่ก่อนคนหนึ่ง ผ่านมาทางนี้แวะมาหาหม่อมฉัน เมื่อสนทนากันถึงโบราณสถานในมณฑลพายัพ ด้วยแกเป็นคนชอบโบราณคดีเหมือนกันกับหม่อมฉัน แกบอกว่าพระศรีวิชัยกำลังจะปฏิวังขรณ์วัดเจดีย์เจ็ดยอดที่เมืองเชียงใหม่ หม่อมฉันได้ยินก็ตกใจ ด้วยเคยทราบอยู่แก่ใจว่าพระศรีวิชัยชอบทำการปฏิสังขรณ์ แต่ปฏิสังขรณ์ที่ไหนเป็นอดแก้ของเดิมไม่ได้ ใครห้ามก็ไม่ฟังได้ทำของโบราณนั้นเสียรูปโฉมมาหลายแห่งแล้ว จะนิ่งเสียก็สงสาร จึงมีจดหมายเป็นส่วนตัวไปถึงหลวงบริบาลบุริภัณฑ์ฉบับหนึ่ง ดังสำเนาที่ส่งมาถวายกับจดหมายนี้ จะต้องรอฟังตอบของหลวงบริบาลฯ ก่อนจึงจะทราบว่าสำเร็จประโยชน์หรือไม่

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ