วันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ ดร

บ้านซินนามอน ปีนัง

วันที่ ๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๘๐

ทูล สมเด็จกรมพระนริศฯ

หม่อมฉันเขียนจดหมายฉบับนี้ในเวลาออกจะรำคาญใจด้วยเมื่อคราวเมล์มาจากกรุงเทพฯ ณ วันอาทิตย์ที่ ๓ ตุลาคม นี้ หามีลายพระหัตถ์เวรส่งมาตามเคยไม่ ได้ยินว่าในกรุงเทพฯ ฝนตกชุก เกรงว่าจะไม่ทรงสบายด้วยอากาศชื้น แต่หวังใจว่าจะไม่ถึงประชวร และหวังว่าเมื่อจดหมายนี้ไปถึงจะทรงสบายดีแล้ว

จะทูลเรื่องพุทธคยาเป็นอนุสนธิกับจดหมายฉบับสัปดาหะก่อนต่อไป วัดมหาโพธิ์ที่พุทธคยานั้นอยู่ห่างจากตัวเมืองคยาไป ๗ ไมล์ ในระหว่างนั้นมีเจดียสถานของพวกถือศาสนาพราหมณ์แห่ง ๑ เรียกว่า “คยาศิระ” มีเรื่องตำนานว่าพระวิษณุตัดศีรษะยักษ์ร้ายตนหนึ่งที่ตรงนั้น แล้วสาปศพยักษ์ให้กลายเป็นศิลา มีรอย “วิษณุบาท” เหยียบอกยักษ์ปรากฏอยู่เป็นสำคัญ พวกฮินดูจึงสร้างวัดมีวิหารครอบศิลาตัวยักษ์นั้น และพากันไปทำพิธีตีข้าวบิณฑ์ที่วัดคยาศิระเสมอทุกปี หม่อมฉันได้แวะไปดู แต่เข้าไปได้เพียงประตูวิหารเหมือนวัดฮินดูแห่งอื่นๆ เห็นศิลาที่ว่าตัวยักษ์เป็นศิลาดำเหยียดยาวอยู่กลางวิหาร คล้ายกับพระแท่นดงรังของเรา จะเข้าไปดูถึงรอยวิษณุบาทไม่ได้ แต่เขาจำลองรูปเป็นแผ่นโลหะไว้ขายสัปปุรุษ ขนาดพระบาทโตกว่ารอยตีนมนุษย์ไม่มากนัก เมื่อรัฐบาลอังกฤษปฏิสังขรณ์พระเจดีย์ใหญ่ที่วัดมหาโพธิ์พุทธคยาแล้ว พวกฮินดูเกิดนับถือพระพุทธรูปโบราณ ที่ตั้งเป็นประธานอยู่ในคูหาวิหารพระเจดีย์นั้น ว่าเป็นรูปพระวิษณุปางพุทธาวตาร ก็เลยพากันไปบูชาเป็นงานประจำปี ต่อกับงานพิธีตีข้าวบิณฑ์ที่วัดคยาศิระสืบมา แต่เลยเอาชาดเขียนที่ตรงอุณาโลมพระพุทธรูปเป็นเครื่องหมายว่าเป็นพระวิษณุด้วย เมื่อไปคราวนั้นหม่อมฉันบอกเจ้าพระยาเทเวศว่าเรากลับไปคุยได้ว่าเป็นไทยพวกแรกที่ไปบูชาทั้งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และที่ประทานปฐมเทศนา เพราะเมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จไปได้ทรงบูชาแต่ที่พระพุทธเจ้าประทานปฐมเทศนาแห่งเดียว ครั้นไปถึงวัดพุทธคยาพอย่างเข้าประตูคูหาวิหารก็ใจหาย ด้วยเห็นผ้ากราบพระสงฆ์ปักตรางานหลวงแขวนห้อยอยู่ผืนหนึ่ง เข้าไปพิจารณาดู มีหนังสือเขียนไว้ว่า “พระสังกันตเนตรได้มาบูชา” พระสังกันตเนตรนั้นเมื่อไปยังเป็นสมุห์เนตร อยู่วัดไหนหม่อมฉันลืมเสียแล้ว (แต่ต่อมาได้เป็นราชาคณะที่พระสมุหมุนี ครองวัดเครือวัลย์) ต้องหันกลับมาบอกเจ้าพระยาเทเวศว่า เราคุยไม่ได้เสียแล้ว เพราะยังมีผู้อื่นเขาได้มาก่อนพวกเรา

เมื่อหม่อมฉันกลับจากพุทธคยาถึงเมืองกาลกัตตา มีชายหนุ่มเป็นชาวลังกาคนหนึ่งชื่อ “ธรรมปาละ” กับพม่าอีกคนหนึ่ง (ชื่อไรลืมไปแล้ว) พากันมาหาหม่อมฉัน บอกว่าพวกเขาคิดจะกลับตั้งพระพุทธศาสนาขึ้นในอินเดียอีก เขาเชื่อว่าหม่อมฉันคงจะเห็นชอบด้วยจึงมาหา หม่อมฉันก็อนุโมทนาแล้วถามเขาต่อไปว่าจะทำอย่างไร เขาตอบว่าคิดจะเอาวัดมหาโพธิ์พุทธคยาตั้งเป็นสถานีแรก และตั้งสมาคมชักชวนพุทธศาสนิกชนทั่วทุกประเทศให้ร่วมใจช่วยกันจัดการสอนพระพุทธศาสนาให้แพร่หลายต่อออกไปในอินเดีย เขาขอให้หม่อมฉันเป็นผู้ชักนำชาวสยามให้เข้าสมาคมนั้น และขอให้ช่วยแก้ไขความขัดข้องของเขาซึ่งยังมีอยู่อย่างหนึ่ง ด้วยวัดพุทธคยานั้นอยู่ในเขตที่ดินของพวกพราหมณ์มหันตอันเป็นมิจฉาทิฐิ ได้ลองว่ากล่าวจะขอเฉพาะที่วัดมหาโพธิ์เป็นของพุทธศาสนิกชน พวกพราหมณ์มหันตไม่ยอม อยากให้หม่อมฉันช่วยพูดจากับลอร์ดแลนสดาวน์ ซึ่งเป็นอุปราชอินเดียในเวลานั้น ให้รัฐบาลอินเดียช่วยสงเคราะห์ให้สมประสงค์ หม่อมฉันตอบว่า หม่อมฉันเป็นแขกเมืองต่างประเทศ จะรับเอาการในพื้นเมืองไปพูดจาดูหาสมควรไม่ ก็เป็นระงับกันไป เมื่อหม่อมฉันกลับมาแล้ว ทางโน้นเขาตั้งสมาคมขึ้น ขนานนามว่า “มหาโพธิ์สมาคม” โดยหมายจะตั้งสถานีที่วัดมหาโพธิ์พุทธคยาดังกล่าวมา ถึงฟ้องเรียกเอาวัดพุทธคยาจากปกครองของพวกมหันต แต่ความแพ้พวกมหันต พวกมหาโพธิ์สมาคมจึงต้องไปหาที่แห่งอื่นตั้งสถานี ไปได้ที่ในเขตวัดมฤคทายวันที่พระพุทธเจ้าประทานปฐมเทศนา ณ เมืองพาราณสี (เห็นจะเป็นด้วยรัฐบาลสงเคราะห์) จึงไปตั้งสถานี ณ ที่นั้นแล้วเลยสร้างวัดขึ้นใหม่ ขนานนามว่าวัด “มูลคันธกุฎี” ที่มีรูปปรากฏอยู่ในสมุดที่กล่าวข้างต้น ต่อมาภายหลังพวกมหาโพธิ์สมาคมปรองดองกับพวกพราหมณ์มหันต ได้รับอนุญาตให้สร้างศาลาอาศัยสำหรับพุทธศาสนิกชนที่ในเขตวัดมหาโพธิ์พุทธคยา ควรสรรเสริญว่าพวกมหาโพธิ์สมาคมได้อุตส่าห์พากเพียรมาจนเดี๋ยวนี้ พวกพุทธศาสนิกชนสามารถจะไปเที่ยวบูชาพระในอินเดียได้สะดวกกว่าแต่ก่อนมาก แต่ที่ควรชมอย่างยิ่งนั้นคือนายธรรมปาละ ที่ได้เอาเป็นธุระทำการตามความคิดมาแต่เริ่มแรก จนที่สุดเมื่อสร้างวัดมูลคันธกุฎีสำเร็จแล้ว ตัวเองออกบวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดนั้นจนถึงมรณภาพ

ข่าวทางปีนังในเวลานี้ เนื่องด้วยเรื่องญี่ปุ่นตีเมืองจีนทั้งนั้น แต่มีเรื่องแปลกๆ น่าจะทูลเล่าได้หลายเรื่อง เรื่องที่ ๑ เมื่อแรกเกิดรบกัน พวกพ่อค้าจีนทั้งที่ปีนัง สิงคโปร์และสหรัฐมลายูเรี่ยไรกันส่งเงินไปช่วยรัฐบาลจีน ออกเงินคนละมากๆ มีจีนนายธนาคารคนหนึ่งเป็นมหาเศรษฐีอยู่ในปีนังนี้ มิใคร่มีใครชอบและสงสัยกันว่าลอบไปเข้าไปเป็นสับเยกญี่ปุ่นมาแต่ก่อน เมื่อเรี่ยไรเงินช่วยรัฐบาลจีนคราวนี้ มหาเศรษฐีคนนั้นส่งเงินไปเข้าเรี่ยไรแต่เพียง ๑๐,๐๖๐ เหรียญ น้อยกว่าเพื่อนพ่อค้าคนอื่นๆ พวกจีนที่เป็นกรรมการเรี่ยไรให้คืนเงิน และสั่งมาว่าให้ไปส่งแก่กงสุลญี่ปุ่นเถิด กรณีนั้นก็เกิดเป็นเรื่องโจษกันขึ้น มหาเศรษฐีคนนั้นเดือดร้อนถึงต้องลงหนังสือพิมพ์ปฏิญาณว่าตนยังถือสัญชาติเป็นจีน และส่งหนังสือเดินทาง ซึ่งได้โดยขอจากกงสุลจีนที่ปีนังครั้งไปบรัสตาคีที่เกาะสุมาตรา ให้ทำรูปฉายลงในหนังสือพิมพ์ให้เห็นปรากฏเป็นหลักฐาน หม่อมฉันถามชาวปีนังที่คุ้นกับหม่อมฉันคนหนึ่งถึงเรื่องมหาเศรษฐีคนนั้น เขาเล่าเรื่องประวัติให้ฟังว่า เดิมเป็นคนจนมีแต่ตัวมาจากเมืองจีนสัก ๕๐ ปีแล้ว ในสมัยนั้นจีนจึงยังไว้ผมเปีย มารับจ้างเป็นไซ่ฮู่โกนหัวและถักผมเปียเป็นอาชีพ ครั้นถึงสมัยเมื่อจีนเลิกไว้ผมเปียไม่มีทางทำมาหากิน เศรษฐีคนหนึ่งเคยคุ้นกันมาแต่ก่อนได้ภรรยาน้อยจึงเช่าตึกแถวห้องหนึ่งให้ภรรยาน้อยอยู่ชั้นบน ชวนไซ่ฮู่คนนั้นให้ไปตั้งร้านขายของที่ห้องชั้นล่างเป็นเพื่อนภรรยาน้อย (นัยว่าดูเหมือนจะให้ทุนค้าขายด้วย) ตั้งแต่ไซ่ฮู่คนนั้นไปตั้งร้านค้าขาย ก็สบโชคดีทำอะไรได้กำไรมากเสมอจนเป็นมหาเศรษฐี แต่เปลี่ยนอัธยาศัยกลายเป็นคนขี้เหนียว ชอบแต่จะเอาเปรียบผู้อื่น เขายกเรื่องนินทาว่า เมื่อเศรษฐีคนที่ได้อุปการะประสบความข้นจนในภายหลังก็ไม่ช่วยเหลืออย่างใด และเล่าต่อไปว่า ครั้งหนึ่งมหาเศรษฐีคนนั้นไปที่วัดจีนแห่งหนึ่ง หลวงจีนบอกบุญขอให้ช่วยปฏิสังขรณ์วัด มหาเศรษฐีไม่ยอมออกเงิน แต่พูดจาหรือทำกิริยาอย่างไรจนหลวงจีนโกรธยกเงื้อไม้จะตี มีชายชาววัดคนหนึ่งเข้าขวางแก้เอามหาเศรษฐีออกมาได้ มหาเศรษฐียกคุณขอบใจสั่งให้ไปหาที่บ้าน ชาววัดคนนั้นนึกว่าคงจะได้บำเหน็จรางวัล ครั้นถึงวันนัดจึงว่าเช่ารถให้ไปส่งที่บ้านมหาเศรษฐีเป็นค่าจ้าง ๖๐ เซ็นต์ ไปถึงมหาเศรษฐีก็ยิ้มแย้มทักทายปราศัย และให้เอาขนมกับน้ำชาออกมาเลี้ยง พอเลี้ยงเสร็จแล้วถามว่ามาอย่างไร ชายชาววัดบอกว่ามารถจ้าง มหาเศรษฐีลุกเข้าไปไขกำปั่นเงิน ขณะนั้นชายชาววัดกระหยิ่มใจว่าคงจะได้เงินรางวัลเป็นบำเหน็จความชอบ แต่มหาเศรษฐีหยิบเอามาให้เพียง ๕๐ เซ็นต์ บอกว่าจะได้เช่ารถกลับบ้าน ตกลงเป็นชาววัดคนนั้นกลับขาดทุน ๑๐ เซ็นต์ เรื่องนี้เห็นจะเป็นนิทาน แต่ก็พอเป็นอุทาหรณ์ให้เห็นว่ามหาเศรษฐีนั้นมีคนมีความเกลียดชังอยู่แล้ว

เรื่องที่ ๒ เวลานี้จีนที่นี่เริ่ม “บอยค๊อต” สินค้าญี่ปุ่น คือไม่ซื้อ ไม่ขาย ไม่ขนของ และไม่สงเคราะห์คนญี่ปุ่นอย่างหนึ่งอย่างใด ว่าแต่กรณีที่ได้ยิน มีเรือใบลำหนึ่งขนซากเครื่องเหล็กมาแต่เกาะสุมาตรา จะส่งลงเรือของญี่ปุ่น พวกจีนกุลีไม่ยอมขน อีกเรื่องหนึ่งห้างขายของญี่ปุ่นที่ใหญ่กว่าเพื่อนในปีนัง (คือที่คุณโตกับหญิงอี่เคยไป) ต้องเลิกเพราะเจ้าของตึกเป็นจีนบอกเลิกสัญญาแต่ร้านญี่ปุ่นที่เจ้าของตึกเป็นแขกไม่ถูกไล่ อีกเรื่องหนึ่งได้ยินว่าพวกจีนจะไม่ซื้ออย่างหนึ่งอย่างใดจากร้านแขก หรือชนชาติอื่นที่รับขายของญี่ปุ่น เช้าวันพุธที่ ๒๙ กันยายนนี้ เจ้าของร้านทองเอก (Tong Aik) เป็นจีนร้านใหญ่แห่งหนึ่งโฆษณาในหนังสือพิมพ์ว่า ร้านของเขาจะไม่ขายของญี่ปุ่นเลย การบอยค้อตญี่ปุ่นกำลังเดินอยู่ จะไปถึงไหนต่อไปยังทราบไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้ยังไม่ถึงตีรันร้ายแรง

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ