วันที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ น

ตำหนักปลายเนิน คลองเตย

วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๔๘๐

กราบทูล สมเด็จกรมพระยาดำรง ฯ ทราบฝ่าพระบาท

ลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๗ ตุลาคม ได้รับแล้วตามเวลาที่เคยมา หนังสือของเกล้ากระหม่อมประจำเวรก่อนก็ได้เขียนถวายมา ที่ไม่ได้ทรงรับก็เป็นเวลาคราวเดียวกับที่เกล้ากระหม่อมไม่ได้รับลายพระหัตถ์ของฝ่าพระบาทเหมือนกัน แต่ไม่หาย หากได้รับช้าไปเท่านั้น หนังสือของเกล้ากระหม่อมก็หวังว่าคงไม่หาย ป่านนี้คงได้ทรงรับแล้ว น่าจะเหตุขัดข้องอะไรทางกรมไปรษณีย์ที่ทำให้ล่าช้าไปสักอย่างหนึ่ง

ในกรุงเทพฯ ฝนตกชุกจริง แต่เกล้ากระหม่อมไม่เจ็บไม่ไข้ ที่มีพระทัยเป็นห่วงถึงกลัวจะเจ็บไปนั้น เป็นพระเดชพระคุณอย่างยิ่ง

เรื่องพุทธคยาซึ่งตรัสเล่าประทานต่อไปนั้นสนุก ทั้งได้ความรู้อีกมากด้วย ตามที่ตรัสเล่าถึงวัดพราหมณ์ มีชื่อว่า “คยาศิระ” นั้น ทำให้นึกถึงสวดมนต์ซึ่งมีคำว่า “คยาสีเส” คือเขาให้ชื่อตามตำบล เหตุด้วยตำบลนั้นตั้งอยู่ที่หัวแม่น้ำคยา การห้ามไม่ให้เข้าวิหารนั้นน่าสงสาร เป็นลักษณะอย่างเดียวกันกับคนหวงวิชา แปลว่าตัวเองคิดไม่ได้ ถ้าไม่หวงไว้ก็หมดสิ้นคนนับถือ

ธรรมปาละเกล้ากระหม่อมก็รู้จัก เคยเข้าไปกรุงเทพฯ เข้าหากรมหมื่นวิวิธ กรมหมื่นวิวิธทรงสนับสนุน พาเข้าไปแสดงปาฐกถาที่หอพระสมุดวชิรญาณ เมื่อครั้งยังตั้งอยู่ที่หอสหทัยสมาคม ข้อความในปาฐกถาก็อย่างเดียวกับที่ตรัสเล่า คือจะเผยแผ่พระพุทธศาสนา จะตั้งสถานีกลางที่พุทธคยา ความมุ่งหมายจะชวนไทยเข้าสมาคมต่อสู้พวกมหันต หรือจะเรี่ยไรเอาเงินซื้อพุทธคยาอย่างไรก็ลืมเสียแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลอะไรกลับไป ฟังเสียงพวกที่ไปฟังปาฐกถาเห็นกันว่าข้อที่คิดแผ่พระศาสนานั้นดี แต่ข้อที่พยายามจะเอาพุทธคยาเป็นสถานีกลางนั้นหัวเราะเยาะกัน ว่าจะตั้งที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปรบรากับพวกมหันตชิงเอาพุทธคยา

ต่อมาทำหนังสือรายเดือนออก ดูเหมือนให้ชื่อว่า “มหาโพธิโซซิเอตี” หรืออะไรคล้ายอย่างนั้น ข้อขำอยู่ที่ตราหน้าสมุด พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงตรัสเรียกว่า “ตราลูกมะเขก” สำหรับหัวเราะกันเล่น มีลักษณะอย่างนั้นจริงๆ เป็นรูปคนแต่งตัวแบบกษัตริย์อินเดียอย่างเก่า เห็นเพียงไหล่อยู่ในวงกลม แล้วทำไมมีมือกำงอยกขึ้นไปเสมอหัวด้วยก็ไม่ทราบ จะเป็นรูปอะไรถ่ายมาแต่ไหนหรือคิดขึ้นใหม่ ไม่ได้อ่านเรื่องของเขา

เรื่องเจ๊กบอยค้อตญี่ปุ่นที่ปีนัง ฟังน่าตื่นใจอยู่ การดำเนินไปหนักมือมาก แล้วยังจะมีที่อื่นอีก ตลอดจนฝรั่ง เห็นหนังสือพิมพ์ลงว่า ลุกขึ้นเต้นกันหลายประเทศ ต่างก็คิดจะบอยค้อตกัน

จะทูลรายงานเรื่องแม่ซื้อ ซึ่งเขียนกันที่หลังยันต์ท้าวเวสวัณแขวนเปลเด็ก ทราบนานแล้วว่าหัวเปลี่ยนตามวันเกิดเด็ก แต่เห็นที่ไหนก็ที่นั่นหัวเป็นม้าอย่างเดียว เข้าใจได้ว่าช่างเขียนไม่รู้อะไร ได้แบบมาอันหนึ่งก็เขียนตามไป แต่การเปลี่ยนหัวนั้นเกล้ากระหม่อมก็ไม่ทราบเหมือนกัน ว่าวันไรหัวเป็นอะไร ตั้งใจว่าจะหาตำราเรียนแต่แล้วก็ชาๆ ไป จนกระทั่งได้มาเฝ้าฝ่าพระบาทที่ปีนัง ได้ฟังตรัสถึงแม่ซื้อ พาให้ใจกระตือรือร้นขึ้น ครั้นกลับถึงกรุงเทพฯ ไปที่หอสมุด จึ่งขอเขาดูตำราแม่ซื้อ เขาหยิบตำรายันต์มาให้ดู ซึ่งในนั้นมียันต์ท้าวเวสวัณพร้อมด้วยยันต์แม่ซื้อประจำหลัง พอพลิกดูก็เข้าใจทันที เปลี่ยนหัวตามสัตว์พาหนะของเทวดาสัตเคราะห์ คือวันอาทิตย์ แม่ซื้อหัวเป็นราชสีห์ วันจันทร์หัวเป็นม้า วันอังคารหัวเป็นควาย ฯลฯ ขอบรอบตัวแม่ซื้อเขียนคาถาเทวธรรม

ในคราวเดียวกันนั้น พระยาอนุมานเอาสมุดไตรภูมิเขมรมาอวดว่ามหาเยาว์ให้หอสมุด เป็นสมุดขาวกว้าง เก่าคร่ำคร่า นึกว่าจะสำคัญ ครั้นเปิดดู เห็นในนั้นเขียนรูประบายสี มีหนังสือขอมกำกับ ฝีมือเขียนรูปเลวเต็มที ไม่น่าชมอะไร สำเนารูปก็เขียนจะอย่างเดียวกันกับไตรภูมิ ฉบับกรุงธนบุรี มีเขาพระสุเมรุและอื่น ๆ เท่าที่จำได้เหมือนกัน ออกจะเสียใจ

และในคราวเดียวกันนั้น พระยาอนุมานได้ให้หนังสือมาอ่านเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือที่แกแต่งร่วมมือกับนาคประทีปตามเคย ทำขึ้นเพื่อแจกงานศพนางสาวสัมพันธ์ ซึ่งเป็นคู่หมั้นกับลูกชายของแก ให้ชื่อเรื่องว่า “อสูรกับยักษ์ผิดกันอย่างไร” ในนั้นกล่าวถึงกำเนิดต่างๆ ตั้งแต่เทวดาลงไป ข้อจับใจในหนังสือนั้นที่แกกล่าวโทษว่า เทวดาเป็นพวกโกง อสูรเป็นพวกซื่อ ทั้งสองพวกเป็นพี่น้องกัน พวกเทวดาเกิดแต่นางอทิติ อสูรเกิดแต่นางทิติ เป็นชายาพระพรหมกัศยปด้วยกัน เทวดากับอสูรร่วมบิดาเดียวกัน เมืองสวรรค์แต่เดิมก็เป็นของพวกอสูร พวกเทวดามอมเหล้า (น้ำโสม) แก่อสูร พอเมามายก็จับอสูรพุ่งลงไปบาดาล แย่งเอาสวรรค์เสีย พวกอสูรจึงเคืองหนักยกมารบกันทุกปี ซึ่งเรียกว่า “เทวาสุรสงคราม” แล้วแกยังให้ตัวอย่างเรื่องอื่นอีก เช่นเรื่องเทวดากับอสูรช่วยกันกวนน้ำอมฤต ครั้นได้มาเทวดาก็เอาเสียฝ่ายเดียว ยังเรื่องพระอินทร์ฉุดคร่าพาเอานางสุชาดาลูกสาวไพจิตราสูรไปเป็นเมียเสียอีก ทำให้เห็นปรากฏว่าเทวดาโกงจริงๆ นึกน้อยใจที่ว่าเรื่องเหล่านี้ก็ได้ทราบมาก่อนแล้วทั้งนั้น แต่ไม่คิดเฉลียวใจเห็นเลย ว่าเทวดาเป็นพวกโกงอย่างแกว่า

ได้เขียนหนังสือสั่งมาให้หญิงพิลัยกราบทูล เรื่ององค์บุษบันประชวรหนัก หนักใจที่หมอว่าพิษพระบังคนเบาเข้าพระโลหิต ทำให้มีพระอาการเชื่อมซึมไป แต่ต่อมาก็กลับฟื้นดีขึ้น น่ากลัวหมอจะเข้าใจผิด จะเป็นด้วยเมายาอัสปิรินก็ได้ เธอมีอาการปวดอะไรต่ออะไร แก้ด้วยเสวยยาอัสปิรินมานานแล้ว จนจะเรียกว่าติดก็ได้ คราวที่ไม่มีพระสติครั้งนี้ อาจเสวยมากไปก็เป็นได้ แต่อย่างไรก็ดี กำลังพระกายนั้นอ่อนเพลียมาก

งานจะมีวันที่ ๑๙ และที่ ๒๐ สมเด็จพระพันวัสสาจะทรงบำเพ็ญพระกุศล ถวายทูลกระหม่อม ในวันพระราชสมภพและวันสวรรคตที่พระที่นั่งนงคราญ อย่างเดียวกับที่ทำถวายในพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงคราวที่แล้วมา กับวันที่ ๒๓ ในราชการจะมีงานที่ระลึกแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ตามเคย ได้ถวายกำหนดการงานนั้นมา เพื่อทราบฝ่าพระบาทกับหนังสือนี้แล้ว.

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ