อธิบายเรื่องเมืองตะกั่วป่า ตอนที่ ๒

ตอนที่ ๒ ว่าด้วยประวัติเมืองตะกั่วป่า

๖. เรื่องเมืองตะกั่วป่ามีปัญหาเปนข้อต้น ว่าเพราะเหตุใดจึงเรียกชื่อว่า “ตะกั่วป่า” คำเปนภาษาไทยส่อว่าไทยขนานนามนั้นเมื่อได้ปกครอง (ภายหลัง พ.ศ. ๑๘๐๐) แต่เอาอะไรเปนนิมิตรที่ให้เรียกว่าเมืองตะกั่วป่า จะว่าเพราะเปนทำเลที่มีตะกั่วอยู่ในป่ามาก คู่กับเมืองตะกั่วทุ่งอันมีตะกั่วในท้องทุ่งมากหรือ ก็เห็นว่ามิใช่ ถ้าหมายความเช่นนั้นคงเรียกว่า “เมืองป่าตะกั่ว เมืองทุ่งตะกั่ว” ตามไวยากรณ์ภาษาไทย อีกประการหนึ่งแร่โลหธาตุอันมีมากในท้องที่ก็เปนแร่ดีบุก มิใช่ตะกั่ว เพราะเหตุนั้นในประกาศเทวดา พิธีตรุสรัชชกาลที่ ๔ (ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ หรือมิฉะนั้นก็คงได้ทรงตรวจทาน) จึงใช้คำภาษามคธเรียกชื่อเมืองตะกั่วป่าว่า “ตีปุกะวัน” เรียกชื่อเมืองตะกั่วทุ่งว่า “ตีปุกังคณะ” จะว่าไทยในสมัยเมื่อขนานนามเมืองไม่รู้ว่าดีบุกกับตะกั่วเปนโลห ๒ อย่างต่างกัน ดูก็ใช่เหตุ เพราะฉะนั้น น่าจะเอานิมิตรอื่นมาตั้งชื่อเมืองตะกั่วป่า ข้อนี้พระสารสาสนพลขัน (เจรินี) ว่าพบในหนังสือภูมิศาสตร์ปะโตเลมีแต่งเมื่อราว พ.ศ. ๘๐๐ พรรณนาชื่อเมืองทางแหลมมลายูนี้ ว่ามีเมืองหนึ่งชื่อ “ตะโกละ” (Takola) เปนที่ค้าขาย (Mart) พระสารสาสน ฯ ตีความว่าน่าจะเปนเมืองตะกั่วป่านี่เอง เมื่อมาคิดพิเคราะห์ดูในเวลานี้ก็เห็นชอบกล ด้วยมีเค้าเงื่อนอยู่หลายอย่างคือ

ก. ที่เมืองตะกั่วป่า มีโบราณวัตถุสถานอยู่เปนสำคัญว่าเคยเปนสถานีของชาวอินเดียแห่ง ๑

ข. พิเคราะห์ในแผนที่ ส่อให้เห็นว่าที่ตรงเมืองตะกั่วป่าคงเปนสถานีที่เรือแล่นข้ามอ่าวเบงคอลไปมา ในระหว่างเมืองอินเดียฝ่ายใต้กับแหลมมลายู

ค. มิสเตอร สก๊อต ซึ่งเคยเปนเจ้ากรมราชโลหกิจแต่ก่อน เคยบอกหม่อมฉันว่าไปตรวจแร่ในเกาะที่ปากน้ำตะกั่วป่าครั้งหนึ่ง (เห็นจะเปนเกาะคอเขา ที่ดอกเตอร์ เวลส์ พบทรากเทวสถานของชาวอินเดียนั้นเอง) ขุดพบทองคำทรายจมกระจายอยู่ในใต้ดินมาก พิเคราะห์ดูเห็นว่ามิใช่แร่ในท้องที่นั้นเอง เพราะไม่มีสัญญาอย่างไรตามทางวิชชาวิทยาศาสตร์ว่ามีเทือกแร่ทองณเมืองตะกั่วป่า แกสันนิษฐานว่าที่ตรงนั้น เดิมคงจะเปนสถานีที่ตั้งค้าขายแต่ดึกดำบรรพ์ ทองคำทรายนั้นเปนสินค้าซื้อหามาจากที่อื่น เมื่อเอามาพักไว้เผอิญประจวบเกิดเหตุเช่นข้าศึกหรือโจรปล้นเผาบ้านเรือนไหม้หมด ทองคำทรายจึงเลยจมดินอยู่ตรงนั้น

ตามที่ว่ามา ความสันนิษฐานเรื่องเมืองตะกั่วป่าของพระสารสาสน์พลขัน ดูมีมูลอยู่บ้าง บางทีเมืองตะกั่วป่าจะมีชื่อซึ่งเสียงเรียกคล้าย ๆ กับตะกั่วป่าอยู่ก่อน เมื่อไทยลงไปปกครองเรียกชื่อนั้นแปร่งมาตามสำเนียงไทย จึงกลายเปน “ตะกั่วป่า” ตามสดวกปาก ก็เลยเรียกตามกันสืบมา

๗. ในทำเนียบ (ศักดินา) หัวเมือง ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาไม่มีชื่อเมืองตะกั่วป่า เพราะเหตุนั้นรู้ได้ว่าเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยา เมืองตะกั่วป่า เปนแต่เมืองขึ้นของหัวเมืองใหญ่เมืองใดเมืองหนึ่ง หัวเมืองใหญ่ที่ไทยปกครองในแหลมมลายู มีชื่ออยู่ในทำเนียบสมัยนั้น ๕ เมือง นับแต่เหนือลงไปใต้ คือ

๑. เมืองตะนาวศรี เปนเมืองชั้นโท (แต่ตกไปเปนของพะม่าเสียเมื่อครั้งเสียพระนครศรีอยุธยา หาได้กลับมาอีกไม่)

๒. เมืองชุมพร เปนเมืองชั้นตรี

๓. เมืองไชยา เปนเมืองชั้นตรี

๔. เมืองนครศรีธรรมราช เปนเมืองชั้นเอก

๕. เมืองพัทลุง เปนเมืองชั้นตรี

มีเค้าเงื่อนที่จะสันนิษฐานว่าหัวเมืองทั้ง ๕ นี้ เมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยา อาณาเขตต์ตกทะเลทั้งสองฝ่ายทุกเมือง ด้วยยังเปนอย่างนั้นอยู่จนในสมัยกรุงรัตนโกสินทรก็หลายเมือง เช่นเมืองระนองและเมืองกระ แต่ก่อนก็เปนเมืองขึ้นของเมืองชุมพร เมืองสงขลา เมืองกระบี่และเมืองตรัง ก็เปนเมืองขึ้นของเมืองนครศรีธรรมราช เมืองปะเหลียน (ซึ่งภายหลังลดลงเปนอำเภอ) ก็เปนเมืองขึ้นของเมืองพัทลุง เมืองปราณ เมืองกุย และเมืองคลองวาฬ (ซึ่งย้ายขึ้นไปตั้งที่เกาะหลักและขนานนามว่า เมืองประจวบคีรีขัณฑ์เมื่อภายหลัง) และบางตะพานซึ่งตั้งเปนเมืองกำเนิดนพคุณ เดิมก็เห็นจะอยู่ในอาณาเขตต์ของเมืองตะนาวศรี แต่เมื่อพะม่าได้เมืองตะนาวศรีไปไม่สามารถจะปกครองข้ามเขาบรรทัดมาได้ ตามชายทะเลตอนนั้น จึงเปนหัวเมืองอย่างร่องแร่งมาจนจัดมณฑลในรัชชกาลที่ ๕ กรุงรัตนโกสินทร ส่วนเมืองตะกั่วป่า เมืองตะกั่วทุ่ง และเมืองถลางนั้น น่าสันนิษฐานว่าเดิมเห็นจะเปนเมืองขึ้นของเมืองไชยา

๘. เรื่องประวัติของเมืองตะกั่วป่าในสมัยกรุงรัตนโกสินทรนี้ เริ่มปรากฏแต่ในรัชชกาลที่ ๑ ด้วยเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๘ พะม่ายกกองทัพ (คราวศึกลาดหญ้า) มาตีเมืองไทย ๕ ทาง ครั้งนั้นทางปักษ์ใต้พะม่าตีได้เมืองชุมพร เมืองไชยา และเมืองนครศรีธรรมราช ทางฝ่ายตะวันตกเมืองตะกั่วป่าและเมืองตะกั่วทุ่งก็เสียแก่พะม่า ถูกพะม่าริบทรัพย์จับผู้คนไปเปนเชลยบ้านเมืองยับเยิน แต่เมืองถลางต่อสู้พะม่ารักษาเมืองไว้ได้ เมื่อเสร็จสงครามคราวนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรด ฯ ให้เจ้าพระยาสุรินทราชา (จันทร์ ผู้เปนต้นสกุล จันทโรจนวงศ) ลงไปสำเร็จราชการหัวเมืองฝ่ายตะวันตก (ทำนองเดียวกับเปนสมุหเทศาภิบาล) อยู่ที่เมืองถลางทำนุบำรุงเมืองทางฝ่ายตะวันตก จึงให้โอนเมืองตะกั่วป่าและเมืองอื่นๆ จนต่อแดนเมืองกระบี่ของนครศรีธรรมราช ไปขึ้นเมืองถลางแต่นั้นมา แต่เมื่อเจ้าพระยาสุรินทราชาถึงอสัญญกรรมแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีใครออกไปแทน ต่อมาพอขึ้นรัชชกาลที่ ๒ พะม่าก็ยกกองทัพมาตีหัวเมืองไทยในแหลมมลายูอีกเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๒ ครั้งนี้พะม่าจู่มาหมายแต่จะปล้นทรัพย์จับเชลย ทางปักษ์ใต้ พะม่าตีได้เมืองชุมพรเมืองเดียว กองทัพไทยลงไปทัน แต่ทางฝ่ายทะเลตะวันตก เสียเมืองตะกั่วป่าเมืองตะกั่วทุ่งและเมืองถลางแล้วกองทัพไทยจึงลงไปถึง บ้านเมืองยับเยินอีกครั้งหนึ่งเห็นจะถึงเปนเมืองร้างทั้ง ๓ เมือง ด้วยปรากฏว่าให้รวบรวมคนที่หนีพะม่ารอดได้ไปรวมกันที่ปากน้ำพังงา เปนมูลเหตุที่จะตั้งเมืองพังงาเมื่อภายหลัง เมื่อเสร็จศึกพะม่าครั้งนั้นแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระราชดำริว่า เจ้าพระยานคร ฯ (พัฒน) แก่ชะรา จึงโปรดฯ ให้เลื่อนเปนเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี แล้วทรงตั้งพระบริรักษ์ภูเบศร์ (น้อย) ซึ่งมีความชอบในการรบพะม่าครั้งนั้นขึ้นเปนพระยานครศรีธรรมราช ต่อมาได้เปนเจ้าพระยานคร ฯ ในรัชชกาลที่ ๓ เจ้าพระยานคร ฯ (น้อย เปนโอรสลับของพระเจ้ากรุงธนบุรี) ปกครองบ้านเมืองเข้มแข็งกว่าเจ้าเมืองแต่ก่อน ถึง พ.ศ. ๒๓๖๓ พะม่าเตรียมจะมาตีเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้พะม่าชวนพระเจ้าแผ่นดินญวน ด้วยทราบว่าเปนอริกับไทยทางเมืองเขมร และชวนเจ้าพระยาไทร (ปะแงรัน) ด้วยทราบว่าเปนอริกับเจ้าพระยานคร ฯ ให้ยกกองทัพญวนและกองทัพมลายู มาระดมตีเมืองไทยด้วยกันกับพะม่าเปน ๓ ทางพร้อมกัน ญวนไม่รับ แต่เจ้าพระยาไทรรับจะช่วยพะม่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงดำรัสสั่งให้เจ้าพระยานคร ฯ ยกกองทัพลงไปตีเมืองไทรเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๔ เมื่อตีได้เมืองไทรแล้วให้ไทยลงไปปกครอง ทรงตั้งพระภักดีบริรักษ์ (แสง) บุตร์ของเจ้าพระยานคร ฯ คน ๑ เปนพระยาไทร (สันนิษฐานว่าเห็นจะมีราชทินนามว่า “พระยาบริรักษ์ภูธร”) และทรงตั้งบุตร์เจ้าพระยานคร ฯ อีกคน ๑ ชื่อ นุช เปนที่พระเสนานุชิตปลัดเมืองไทร แต่การที่ไทยลงไปปกครองเมืองไทรเกิดลำบาก เพราะพลเมืองเปนมลายู และอังกฤษที่เมืองปีนังเปนใจอุดหนุนพวกเจ้าพระยาไทร เกิดขบถตีเมืองไทรได้ในรัชชกาลที่ ๓ ถึงต้องยกกองทัพลงไปปราบถึง ๒ ครั้ง ครั้งหลัง (คือที่หลวงอุดมสมบัติเขียนจดหมาย) ประจวบเวลาเจ้าพระยานคร (น้อย) ถึงอสัญญกรรม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่าถ้าให้ไทยลงไปปกครองอีกก็คงไม่เรียบร้อยได้ จึงเอาวิธีที่เคยแก้ไขทางเมืองปัตตานีเมื่อรัชชกาลที่ ๑ มาจัดที่เมืองไทรเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๓ คือให้แยกอาณาเขตต์เมืองไทรเดิมออกเปน ๔ เมือง แล้วทรงตั้งพวกมลายูที่มีความสวามิภักดิ์เปนเจ้าเมือง เปนอิสสระแก่กัน เนื่องต่อการที่จัดครั้งนั้นทรงพระราชดำริจะบำรุงหัวเมืองทางฝ่ายตะวันตกที่ยับเยินให้คืนดีด้วย จึงตั้งเมืองพังงา เมืองตะกั่วทุ่ง และเมืองตะกั่วป่า เปนหัวเมืองขึ้นกรุงเทพ ฯ โปรด ฯ ให้พระยาไทร (แสง) เปนผู้ว่าราชการเมืองพังงา ให้พระเสนานุชิตปลัดเมืองไทรเลื่อนขึ้นเปนพระยา ฯ ผู้ว่าราชการเมืองตะกั่วป่า เมืองตะกั่วทุ่งนั้นทราบแต่ว่าผู้ที่ได้เปนพระยาตะกั่วทุ่งชื่อถิน ส่วนเมืองถลางซึ่งเปนหัวเมืองขึ้นกรุงเทพ ฯ มาแต่รัชชกาลที่ ๑ แล้ว แต่มาร้างเมื่อพะม่าตีครั้งหลังนั้น (มีพงศาวดารแต่ไม่มีฉะบับที่นี่ ว่าตามที่จำได้) ให้แบ่งชาวเมืองถลางที่หนีไปอยู่เมืองพังงากลับไปตั้งเมืองถลางขึ้นอีก แต่ตั้งเมืองใหม่ทางด้านตะวันออกของเกาะ เพราะเห็นว่าเมืองเดิมอยู่ทางหน้านอกรักษายาก หัวเมืองชายทะเลตะวันตกมีสิริด้วยเปนที่มีแร่ดีบุกมาก เมื่อพะม่าเสียเมืองมอญข้างฝ่ายใต้ไปแก่อังกฤษจะมาตีเมืองไทยไม่ได้อีกแล้ว ก็มีคนไปตั้งขุดและค้าแร่ดีบุกตามหัวเมืองเหล่านั้นมากขึ้นเปนลำดับมา ถึงรัชชกาลที่ ๔ โปรด ฯ ให้ตั้งเมืองกาญจนดิษฐ์ซึ่งเปนเมืองขึ้นของเมืองนครศรีธรรมราชมาแต่ก่อน กับเมืองกระและเมืองระนองซึ่งเปนเมืองขึ้นของเมืองชุมพร ทั้งเมืองภูเกตซึ่งเปนเมืองขึ้นของเมืองถลาง เปนหัวเมืองขึ้นกรุงเทพ ฯ ทั้ง ๔ เมือง ต่อมาในรัชชกาลที่ ๕ โปรด ฯ ให้ตั้งเมืองหลังสวนซึ่งเปนเมืองขึ้นของเมืองชุมพร กับเมืองกระบี่ และเมืองตรัง ซึ่งเปนเมืองขึ้นของเมืองนครศรีธรรมราชเปนหัวเมืองขึ้นกรุงเทพ ฯ เพิ่มขึ้นอีก ๓ เมือง เรื่องตั้งหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตก ยุติเพียงเท่านี้.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ