วันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น

ตำหนักปลายเนีน คลองเตย

วันที่ ๗ มีนาคม ๒๔๗๘

กราบทูล สมเด็จกรมพระยาดำรง ทราบฝ่าพระบาท

ลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ โปรดประทานไปกับรูปฉายาลักษณ์ ๕ รูปได้รับประทานแล้ว เปนพระเดชพระคุณล้นเกล้า จะกราบทูลสนองข้อความในลายพระหัตถ์นั้นตามที่จับใจ

เรื่องการทำศพ คิดว่าคงทำเปลี่ยนแปลงมาตามความคิดที่จำเริญขึ้น เปนลำดับ ดังนี้

ชั้นที่ ๑ ทิ้งศพ

ชั้นที่ ๒ ฝังศพ

ชั้นที่ ๓ เผาศพทิ้งอังคาร มีโคนต้นโพธิ์เปนต้น

ชั้นที่ ๔ เผาศพฝังอังคาร

ชั้นที่ ๕ เผาศพลอยอังคาร

ทุกอย่างยังคงมีปฏิบัติกันอยู่จนทุกวันนี้ วิธีทิ้งศพพวกแขกฟาซียังทำอยู่ ไม่ว่าศพเศรษฐีคหบดีอะไรก็ทิ้งทั้งนั้น วิธีฝังเปนอย่างปกติด้วยจะไม่ให้อุจาด วิธีเผาเพื่อจะย่นย่อให้เล็กลง แล้วเอาอังคารไปทิ้งหรือไปฝังก็ตามแนวที่ทำแก่ศพมาก่อน ส่วนวิธีลอยอังคารเห็นจะเปนใหม่ที่สุด ทำเมื่อพระอิศวรเกิดขึ้นในโลกแล้ว เขาว่าแม่น้ำคงคาตอนหน้าเมืองพาราณสีนั้น เปนที่คดค้อมจนเห็นน้ำไหลขึ้นไปทางทิศเหนือ จึงทิ้งอังคารลงในน้ำเพื่อให้ไหลขึ้นไปถึงป่าหิมพานต์ซึ่งเปนที่อยู่พระอิศวร ผู้ตายจะได้พบกับพระอิศวร ขอได้ทรงสังเกตว่า ประเพณีของเราที่เอาพระอังคารไปลอยที่หน้าวัดปทุมคงคานั้น ยึดเอาคำคงคาเพื่อให้ได้แก่แม่น้ำคงคาตามคติพราหมณ์ดอกกระมัง

เรื่องพระศพพระเจ้าแผ่นดินพะม่านั้น เกล้ากระหม่อมเคยได้ยินกรมหมื่นวิวิธตรัสเล่าว่า การสวรรคตของพระเจ้าแผ่นดินนั้นต้องปกปิดหนัก ด้วยจะต้องมีการแย่งชิงราชสมบัติแก่กัน พอสวรรคตแล้วก็เผาพระศพเสียในปราสาทราชมณเทียรนั้นเอง เอาเตาสูบเข้าไปตั้งเผา ต่อแต่นั้นไปเจ้านายองค์ใดรู้ข่าวก่อนก็เปนได้ช่องก่อนที่จะเข้ายึดเอาราชสมบัติ ไม่มีธรรมเนียมที่พระเจ้าแผ่นดินจะทรงมอบราชสมบัติให้แก่ผู้ใด มีทางดำเนินอยู่แต่ว่าพระเจ้าแผ่นดินมีพระประสงค์จะให้เจ้านายองค์ใดได้ครองราชสมบัติต่อไป ก็โปรดตั้งให้ไปครองเมืองใหญ่ซึ่งมีไพร่พลมาก จะได้เปนกำลังยกเข้ามาช่วงชิงเอาราชสมบัติได้ แต่กรมหมื่นวิวิธจะได้ทรงทราบข้อความทั้งนี้มาแต่ไหนก็ไม่ทราบ เมื่อเกล้ากระหม่อมได้ฟังก็ยังเท่ากับแมวตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่มีใจผูกพันธ์ที่จะทูลซักถาม แต่กรมหมื่นวิวิธนั้นได้ทรงคบกับพะม่ามาก จนถึงตรัสภาษาพะม่าได้ ข้อความที่ตรัสเล่านั้นเข้าเค้าประเพณีเมืองพะม่าอยู่มาก แต่การลอบเผาพระศพในปราสาทนั้นถ้าจะมีจริง ก็จะมีได้ในครั้งใดครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ประเพณีที่จะพึงทำเช่นนั้นเสมอไป หวังว่าฝ่าพระบาทได้ทรงตรวจค้นพงศาวดารพะม่ามามาก คงจะทรงวินิจฉัยได้

เรื่องพระเจดีย์ “เจ้าพี่น้องสร้าง” ที่เมืองตองอูนั้น ยังอร้าอร่ามอยู่จะเปนของสมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถหรือมิใช่ จะต้องได้เห็นรูปฉายาลักษณ์ก่อนจึงจะประกอบความเห็นถวาย ฟังแต่ชื่อจะถือเอาเปนแน่ยังไม่ได้

เรื่องสร้างพระมุเตา ตามความคิดที่จะทำองค์ใหม่ครอบองค์เก่าอย่างพระปฐมเจดีย์นั้น ยังแลไม่เห็นทางสำเร็จ ข้อ ๑ ถึงว่าจะทำด้วยคองกรีตอันเปนของบางก็ดี แต่ว่าเปนของโตใหญ่ย่อมจะต้องมีน้ำหนักอยู่มากจะทำขึ้นบนอากาศไม่ได้ต้องมีราก การทำรากใหม่นั้นไม่ใช่ของเล่นอันจะทำได้ง่ายๆ ข้อ ๒ จะทำครอบพระเจดีย์เก่านั้น จะเปนพระเจดีย์ที่ใหญ่กว่าเก่าอีกมาก พระเจดีย์เก่าเข้าใจว่าสำเร็จขึ้นได้ด้วยอำนาจพระเจ้าแผ่นดิน คือสำเร็จด้วยการทอดน้ำมัน ไม่ใช่สำเร็จด้วยเงิน เวลานี้จะต้องสำเร็จด้วยเงิน จะเรี่ยรายได้พอใช้หรือ ยังสงสัยมาก แต่ความสงสัยนี้ก็คิดปรับกับเมืองไทย ถ้าเปนในเมืองไทยแล้วไม่สำเร็จแน่ แต่ในเมืองพะม่าจะอย่างไรไม่ทราบ เพราะผิดกัน ในเมืองพะม่ามีคนศรัทธามาลามาก ตามที่ได้เคยเห็นมา บรรดาพระธาตุอันใหญ่ในเมืองพะม่าแห่งใดก็ดี ย่อมมีคนขึ้นนมัสการไม่ขาด ตั้งแต่เช้าจนค่ำจะได้ยินเสียงระฆังเสมอ และจะขึ้นไปบนองค์พระธาตุเมื่อใดก็จะได้เห็นเทียนกำลังติดไฟปักราวอยู่เสมอ ทั้งได้ฟังตรัสเล่าว่าบรรดาพระเจดีย์โดยมาก ย่อมประดับประดาด้วยไฟฟ้า ซึ่งมีเครื่องโดยจำเพาะสำหรับใช้ในพระเจดีย์องค์นั้น นั่นก็เกิดแต่มีคนศรัทธา ซึ่งจะหาทุนสร้างและตามไฟอยู่ได้เสมอ ลางทีจะหาเงินเรี่ยรายพอทำพระมุเตาให้ใหญ่กว่าเก่าได้กระมัง แต่ความคิดของเกล้ากระหม่อมเห็นว่า ถ้ารากเก่าไม่เปนอันตราย คือไม่มีทรุดมีแยก เปนแต่องค์พระธาตุพังลงมาเพราะความกระเทือนเท่านั้นแล้ว ทำเสิมขึ้นตามรูปเก่าจะเปนดีกว่า เพราะว่าจะเปลืองเงินน้อย ส่วนความมั่นคงนั้นไม่ต้องสงสัย ของเก่าอยู่ได้ของใหม่ก็ต้องอยู่ได้เหมือนกัน จะดีขึ้นเสียอีก ที่เดี๋ยวนี้ทำกลวงบางได้ ไม่ให้น้ำหนักบนรากเก่ามากเท่าถึงของเก่า เปนเหตุจะให้ยืนยงยิ่งกว่าเก่าไปอีก

เรื่องพระเจดีย์สุเล ได้ฟังตรัสเล่าว่ามีการปลูกกุฎีวิหารขึ้นบังองค์พระเจดีย์เสียมากนั้น ให้นึกฉุนทีเดียว เดิมเขาทำไว้ในกลางถนนสี่แพร่งสำหรับคนผ่านไปมาจะได้มีจิตต์รำลึกถึงพระพุทธเจ้า ไม่ใช่วัด จำได้แต่ก่อนมีแต่คดที่มุม คล้ายพระเจดีย์วัดบวรนิเวศ ที่มาเกิดมีการสร้างกุฎีวิหารใหม่แปลว่าพระสงฆ์บุกรุกเข้าไปถือเอาเปนของสงฆ์เสียแล้ว อย่างเช่นพระมหาธาตุที่นครศรีธรรมราช เดิมก็เปนของกลางสำหรับบ้านเมือง แต่เดี๋ยวนี้ก็มีพระสงฆ์เข้าไปถือเอาเปนวัดไปเสียแล้ว เรื่องปลูกสร้างอะไรที่ไม่มีความคิด เกล้ากระหม่อมรู้สึกเหมือนหัวจะแตก จะทูลถวายเพื่อเปนตัวอย่าง เช่นวัดปทุมวัน แต่ก่อนขี่รถผ่านไปข้างวัด รู้สึกใจคอเบิกบาน เพราะเห็นงามจับใจ ริมถนนมีกำแพงคองกรีตโปร่ง ซึ่งทูลกระหม่อมติ๋วทรงพระศรัทธาสร้างถวาย ถัดเข้าไปเปนสวน แล้วถึงกำแพงวัดอย่างเตี้ยๆ ภายในกำแพงวัดเห็นโบสถ์พระเจดีย์ วิหาร โผล่ขึ้นเรียงเปนแถวงามน่าชม แต่เดี๋ยวนี้ระหว่างรั้วกับกำแพงวัดซึ่งเปนที่สวน เกิดมีโรงเรียนประชาบาล ทำเปนเรือนฝาไม้หลังคามุงกระเบื้องอย่างเจ๊กๆ ปลูกขึ้น และมีโรงสังกสีอย่างที่เคยเรียกกันว่าโรงกุดังขึ้นด้วย ซ้ำมีกระต๊อบเล็ก ๆ ซึ่งดูเหมือนจะเปนเว็จอีกด้วย บังทัศนวิสัยเสียหมดดี แล้วยังเมื่อสักเดือนหนึ่งมานี้เอง นายเฟโรจีมาร้องแรกแหกกระแชงว่าพระปรางวัดแจ้งเสียเสียแล้ว มีระทาวิทยุทำขึ้นใกล้กันสูงแข่งเคียงพระปรางดูหมดดี ระทาวิทยุนี้ กรมทหารเรือทำขึ้นในพระราชวังเดิมกรุงธนบุรี การที่จะทำอะไรที่ไหนอย่างไรนั้น เคยทราบทางฝรั่งเศสเขามีเจ้าหน้าที่ตรวจบังคับให้เปนไปโดยสมควร ได้ทราบเมื่อไปเที่ยวนครวัด เจ้าของโฮเตลบ่นว่าจะทำโฮเตลสูงหลายชั้นให้อยู่สบายก็ไม่ได้ รัฐบาลบังคับให้ทำชั้นเดียว ว่าจะได้คลุมอยู่ในหมู่ไม้ ไม่เห็นเด่นขึ้นแข่งกับปราสาทนครวัด เกล้ากระหม่อมก็โมทนา เห็นว่าเขาบังคับถูกดีที่สุด

เรื่องสมเด็จพระวชิรญาณวงศออกมาเที่ยว เกล้ากระหม่อมตั้งใจจะทูลมาเหมือนกัน แต่แล้วลืมเสีย กำหนดการของท่านจะไปเมืองอินเดีย เมืองลังกา เมืองพะม่า ดีมาก ในการที่สมเด็จพระวชิรญาณวงศทูลลาเที่ยวนั้น พวกหนังสือพิมพ์ฟังไม่ศัพทจับเอาไปกระเดียด ลงหนังสือพิมพ์ว่าสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ทูลลาสึก พระงั่วเห็นเข้าตกใจพาหนังสือพิมพ์ไปหาสมเด็จ สมเด็จว่าประหลาด ตัวท่านเองยังไม่เคยนึกสักทีเดียว แล้วเลยสรรพยอกพระงั่วว่า ถ้าท่านจะสึกจริง ๆ พระงั่วจะทำอย่างไร

ดูรูปอานันทเจดีย์เมืองพุกาม ซึ่งทรงพระเมตตาประทานไปรู้สึกพิศวงในใจมาก เห็นยังดีบริบูรณอยู่หมด ไม่สมกับที่เมืองพุกามร้างมา ๘๐๐ ปี จะเปนของที่ได้ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่หรืออย่างไร ยังรอฟังพระดำรัสตรัสเล่าชี้แจงอยู่ รูปพระเจดีย์ก็เห็นแปลกอยู่มาก จะว่าเหมือนพระเจดีย์โพธิคยาก็ไม่ใช่ การซ้อนชั้นก็ทำแปลก ที่ฐานทำประหนึ่งเปนพระระเบียงซ้อน ๆ กันขึ้นไป ในเมืองพุกามเวลานี้เห็นจะไม่เปนเมืองร้างแล้ว

รูปพระเจดีย์สุเล เห็นเข้าชื่นใจตามเคย งามจริงๆ แต่ก็ฉุนที่อ้ายโรงโกโรโกเตอะไรบังเสียเปนอันมาก

รูปพระมุเตาเห็นเข้าใจโบ๋

พระรูปฝ่าพระบาท เห็นเข้าทำให้ระลึกถึงเปนอันมาก

ไปหาองค์หญิงอาทร เธอเอารูปต่างๆ ซึ่งได้จากเมืองชะวาออกมาอวด ดูรูปพระบวรพุทโธ เห็นพระเจดีย์องค์กลางเปนแบบหนึ่ง ผิดกันกับองค์ที่ล้อมอยู่เปนอันมาก ทำให้แน่ใจยิ่งขึ้น ว่าตามที่ถวายความเห็นมาแต่ก่อนว่าพระเจดีย์องค์นั้นจะได้สร้างขึ้นก่อนบนยอดเขา เห็นจะไม่ผิด

ควรจะทูลให้ทรงทราบข้อหนึ่งแต่ยังไม่ได้ทูล คือว่าการถวายอติเรกนั้นต้องอั้นประตูตามแบบ ด้วยยังไม่ได้ทำการบรมราชาภิเษก ฉะนั้นในทางราชการพระท่านใช้สวด “โสอตฺถลทฺโธ” แทนที่ถวายอติเรก จะเปนความคิดของใครไม่ทราบ ตั้งใจว่าจะถามสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ แต่ยังไม่ได้พบกับท่าน

กรมพระกำแพงเพชรเข้าไปถึงกรุงเทพฯ วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ เวลาเช้า เย็นเธอไปหาเกล้ากระหม่อมบอกว่าพักอยู่โฮเตลโตรโกเดโร ค่ำเธอก็ไปรับพระศพสมเด็จหญิงน้อย รุ่งขึ้นวันที่ ๒๙ เธอก็เข้าไปในงานพระราชกุศลทักษิณานุปทานครั้นวันที่ ๑ มีนาคม ในการพระราชพิธีรัชมงคลเธอหายไป วันที่ ๒ เกล้ากระหม่อมไปเยี่ยมเธอที่โฮเตลโตรโกเดโร ได้ความว่าไปเสียแล้ว เร็วจริง

องค์หญิงเหมเสด็จไปอยู่กับองค์หญิงอาทร วันนี้ทั้งสององค์เสด็จจะมาเสวยขนมเบื้องที่บ้านคลองเตย หญิงอี่จะเปนผู้ละเลงถวาย ได้เจ้านายเสด็จกลับเข้าไปเพิ่มเติมในกรุงเทพฯ อีกก็ค่อยครึกครื้นขึ้น

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ