วันที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น

ตำหนักปลายเนีน คลองเตย

วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๔๗๘

กราบทูล สมเด็จกรมพระยาดำรง ทราบฝ่าพระบาท

ได้รับประทานลายพระหัดถ์ ลงวันที่ ๒๑ เดือนนี้ ขอประทานทูลสนองในลางข้อ

เรื่องนครปฐม มีข้อที่จะกราบทูลค้านอยู่ข้อเดียว ที่ทรงสันนิษฐานว่าการก่อพระปรางค์เปนยอดพระปฐมเจดีย์ คงเปนยุคที่เขมรเข้าปกครองระหว่าง พ.ศ. ๑๖๐๐ ถึง ๑๙๐๐ นั้น เห็นด้วยเกล้าว่าจะแก่เกินไป เพราะสังเกตรูปปรางค์ไม่บอกว่าเก่าถึงเช่นนั้น จริงอยู่ พระปรางค์เปนของเขมรคิด แล้วไทยจำอย่างทำต่อมา ลักษณที่ทำนั้นเปลี่ยนแปลงมาเปนชั้น ๆ ส่อให้เห็นอายุในตัวเอง เกล้ากระหม่อมได้กำหนดใจแบ่งไว้เปนสามชั้น ชั้นที่ ๑ คือ ปรางค์เขมร คิดทำดัดแปลงขึ้นจากปราสาทไม้ คือเรือนชั้น ซึ่งมีลักษณอย่างเดียวกับถะของจีน ในชั้นหนึ่งย่อมมีเสามีฝามีบัญชร มีหลังคาประดับด้วยนาคปักบรรพแถลงซ้อนกันขึ้นไป แต่หมดนั้นมีลักษณเปนทรงอ้วนสั้น ถ้าจะเปรียบกับงาช้างเนียมปรางค์เขมรก็เปนเนียมเอก คือมีงาดุจจาวมะพร้าว ชั้นที่ ๒ ไทยโบราณจำมาทำบ้าง นิสสัยไทยชอบทรงสูงผอม จึงไขทรงขึ้นไปประดุจดอกเข้าโภช แต่ก็คงยังแบ่งเปนชั้น มีฝามีบัญชรมีหลังคาอยู่ตามเดิม ถ้าจะเปรียบกับงาช้างเนียมก็เปนเนียมโท คือมีงาดุจหัวปลี ชั้นที่ ๓ ไทยชั้นหลังทำต่อมา หมดความรู้เสียแล้วว่าปรางค์คืออะไร ทำตามบุญตามกรรมเหมือนเอาดุ้นแสมมาซุ่มปลาย แล้วขวั้นเปนปล้อง ๆ ในระยะปล้องเซาะเปนกลีบขนุนเปนจบ ปรางค์ยอดพระปฐมเจดีย์สังเกตเห็นว่าจะเปนปรางค์ชั้นที่ ๓ หาใช่ชั้นที่ ๑ รุ่นเขมรไม่

ชื่อเมืองสะเทิม เขียนหนังสือฝรั่งเป็น Thathon อ่านตามชอบใจใกล้ไปทาง ท่าทอง

อันชื่อว่าประวัติหรือจดหมายเหตุอะไรนั้นเต็มที ในการที่อิตาลีจะรบกับอบิสสิเนียคราวนี้ หนังสือพิมพ์ไทย ๆ เขาจึงแปลเรื่องอิตาลีกับอบิสสิเนียรบกันเมื่อคราวก่อนมาลงให้อ่าน เพราะอยากรู้เรื่องจึงได้อ่าน เรื่องที่ลงหนแรกแต่ล้วนว่าอิตาลีโกงทั้งนั้น ที่ลงหนหลังว่าอบิสสิเนียโกงทั้งนั้น เราก็ไม่รู้อะไรเลย จะฟังว่าจริงอย่างไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น

ข่าวเปลี่ยนกงสุลสยามที่ปินัง ตามที่ตรัสเล่าไปทำให้ได้ความรู้ดีมากว่านายยิ้มเปนลูกมิสเตอเชริฟ และเปนน้องหลวงอดุลยเดช

ต่อไปนี้จะกราบทูลไขความเก่า ในเรื่องจีนถือสี ด้วยได้พบกับพระเจนจีนอักษร สอบถามได้ถ้อยคำว่าดังนี้

สีสำหรับพระเจ้าแผ่นดิน เดิมถือเอาสีเหลืองตั้งแต่ก่อนพุทธศักราชมาแล้ว ครั้นมาถึงแผ่นดินฮั่น พระเจ้าฮั่นโกโจให้เปลี่ยนเอาสีม่วงเปนสีสำหรับพระเจ้าแผ่นดิน แต่ไม่คงเปนธรรมเนียมไปได้นานเท่าใด ภายหลังต่อมาก็กลับถือสีเหลืองเปนสีของพระเจ้าแผ่นดินตามเดิม

เมื่อครั้งพระเจนออกไปเมืองจีนในแผ่นดินไต้เชง ได้ทราบประกอบกับได้เห็น สีเหลืองนั้นถือเปนสีของพระเจ้าแผ่นดิน เจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่นั้นใส่เสื้อสีแดง ขุนนางผู้น้อยใช้เสื้อสีน้ำเงิน ส่วนราษฎรนั้นใช้เสื้อสีต่าง ๆ แต่หลบสีเหลืองสีแดง ใส่เสื้อสีน้ำเงินกันเปนพื้น ลางทีก็มีสีแสดสีเขียวบ้างแต่ไม่มาก

ราษฎรทั่วไปถือว่าสีแดงเปนสีมงคล สีเทาเปนสีอวมงคล

โดยนัยนี้ก็พอสันนิษฐานได้ ว่าที่จีนเมืองเราปิดกระดาษแดงกันในยามปีใหม่ก็เพื่อให้เกิดสิริมงคล เมื่อมีการตายปิดกระดาษสีน้ำเงินก็แปลว่าเปนงานธรรมดา ไม่ใช่งานมงคลเท่านั้น ไม่ใช่ไว้ทุกข์ เครื่องกงเต๊กนั้นสอบถามไม่ได้ความ ตามที่ตรัสเล่าว่าทางปินังเขาไม่ใช้สีแดง ก็เห็นจะหลบไปเพื่อแสดงว่าไม่ใช่งานมงคลเท่านั้น ได้ยินใครเคยพูดว่าพระจีนใส่เสื้อสีเทาแต่ลืมสอบถามพระเจนไป

ได้ตัดประกาศขายหนังสือมาถวาย เพื่อให้ทรงทราบไว้ว่าในเวลานี้มีคนใส่ใจกันในปัญหาเรื่องธรรมยุติมหานิกาย ประกอบความอันได้กราบทูลมาเมื่อก่อนนี้

เจ้านายหลายพระองค์เสด็จออกมา ที่ปินังเห็นจะชุลมุนกันมาก

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ