วันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น

ตำหนักปลายเนีน คลองเตย

วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๔๗๘

กราบทูล สมเด็จกรมพระยาดำรง ทราบฝ่าพระบาท

เมื่อวันเสาร์ ที่ ๑๒ เดือนนี้ นายแก้วเชิญลายพระหัตถ์ไปส่ง ๒ ฉะบับ ลงวันที่ ๑๐ ฉะบับหนึ่ง ลงวันที่ ๑๑ ฉะบับหนึ่ง ขอประทานทูลสนองดังต่อไปนี้

ฟังพระดำรัสเล่าถึงศาลาลูกขุนใน ซึ่งพวกลูกขุนณศานหลวงมาอาศัยพิจารณาคดีนั้น รู้สึกคลื่นไส้อ้ายกองชานหมากนั้นเหลือกำลัง เขาก็นั่งทำกันไปได้ มันจะไม่เหม็นตระลบอบอวลไปหรือ จัดว่าเปนของประหลาดอันหนึ่ง เกล้ากระหม่อมไม่เคยโผล่ขึ้นไปดูเลย เปนแต่เดินผ่านไปผ่านมา เห็นคนนั่งบนพะนักศาลาห้อยท้าวออกมาข้างนอกก็มีข้างในก็มี ดูไม่มีกิริยาคารพอะไรกันเลย

เรื่องวัจจกุฏิ พระดำรัสที่ตรัสทักนั้นถูกต้องทุกประการ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์จะตอบได้ก็เท่าที่มีในพระบาลี เกล้ากระหม่อมจะลองถามพระที่ชำนาญในการธุดงค์ ที่แบกกลดเดินไปเที่ยวบูชาปูชนิยสถานทางไกลดู ว่าท่านสั่งสอนให้ปฏิบัติกันอย่างไร ในเรื่องถ่ายทุกข์ในป่าในทุ่ง ลางทีจะได้ความรู้มาเปนทางพิจารณาบ้าง

บริษัทเซอคัส “อิสาโก” เข้าไปเล่นในกรุงเทพฯ เกล้ากระหม่อมเคยทูลมาแล้ว เขากลับจากกรุงเทพฯ ไปนานแล้ว คงเตร็จเตร่ไปเที่ยวเล่นไหน ๆ ก่อน เพิ่งจะมาถึงปินัง หญิงโหลหญิงเป้าไปพิศวงอูฐกับม้าลายนั้นควรอยู่แล้วเพราะเธอไม่เคยเห็น มานึกถึงตัวว่าที่ขี้เกียจไม่ค่อยอยากดูอะไรนั้น เพราะอะไรก็เห็นมาเสียมากแล้ว เด็กๆ ชอบดูอะไรต่างๆ ก็เปนการเรียน เปนของจำเปนแท้ที่ทำให้ได้ความรู้

ละครพวกบาหลีนั้นน่าดู แต่มันเล่นเอาอย่างฝรั่งเสียก็หมดดี ไม่ได้เห็นพื้นเดิมจริงๆ เกล้ากระหม่อมคิดเห็นเปนแนใจที่สุด ว่าละครของไทยนั้นได้อย่างมาจากพวกชะวา

ฟังพระดำรัสเล่าถึงเจ๊กแห่เจ้าที่ปินัง ดูกร่อยกว่าที่เคยเห็นมาก่อนในกรุงเทพฯ มาก คงจะเปนด้วยความศรัทธามาลาของพวกจีนน้อยลง แต่ก็ประหลาดที่ในกรุงเทพฯ ห้ามแล้ว ที่ปินังยังไม่ห้าม เราศรีวิลัยกว่า

วินิจฉัยเรื่องประวัติโกศและหีบศพที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถาน ซึ่งโปรดประทานไปคราวนี้ พิจารณาข้อความที่ทรงวินิจฉัยก็ไม่มีข้อใดจะคัดค้าน สมควรจะเปนอย่างนั้น ไม่ชอบใจอยู่อย่างเดียวแต่ที่ตรัสเรียกชื่อโกศว่า “ โกศโถ” ตามที่เจ้าพนักงานเขาเรียกกัน แต่ที่จริงนั้นไม่ใช่โกศโถเลย เปนโกศชั้นสูงเสมอด้วยโกศทองต่าง ๆ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทรนี้ทีเดียว เจ้าพนักงานเห็นรูปกลมเหมือนโกศโถก็เรียกเอาว่าโกศโถ อันว่าโกศซึ่งได้ชื่อว่าโถนั้น เข้าใจว่าเพราะฝาเปนทรงปริกประดุจโถ แต่นี่ฝาเปนทรงมงกุฎ จะเปนโถอย่างไรได้ อยากให้เปลี่ยนคำเสียใหม่ให้ปรากฏว่าไม่หลงตามเจ้าพนักงาน คือในตอนต้นที่ว่า “ได้ขอโกศโถใบหนึ่ง” แก้เปน “ได้ขอโกศกลมยอดทรงมงกุฎใบ ๑” กับในตอนกลางที่ว่า “๑ วินิจฉัยโกศโถ โกศโถนับเปนโกศศักดิชั้นต่ำ- -” แก้เปน “๑ วินิจฉัยโกศกลมยอดทรงมงกุฎ ซึ่งเจ้าพนักงานกระทรวงวังเรียกว่าโกศโถ อันโกศโถนั้น เปนโกศศักดิชั้นต่ำ - -” และในตอนหลังที่ว่า “เห็นว่าโกศโถใบนี้เปนของสร้างเมื่อครั้งกรุงธนบุรี” แก้ตัดเอาคำว่า “โถ” ออกเสียเท่านั้น ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

ทีนี้จะกราบทูลเรื่องหีบลายมังกร เพื่อให้ทรงทราบความเห็นในทางฝีมือช่าง เห็นว่าหีบลายมังกรนั้น ผู้ผูกลายเปนคนคนเดียวกันกับที่ผูกลายพะนักพระแกลพระวิมานในวังหน้า และหอพระมณเฑียรธรรมในวัดพระศรีรัตนศาสดารามด้วย ใช่แต่เท่านั้น ยังเห็นว่าเปนคนเดียวกันกับที่ผูกลายมุกด์ตู้พระสมุด ซึ่งอยู่ในหอพระมณเฑียรธรรม กับทั้งบานประตูพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามนั้นด้วย ซึ่งเกล้ากระหม่อมตั้งสมญาว่า “ครูตู้มุกต์” เปนช่างวังหน้านั้นเปนแน่ แต่ก็มาทำงานในวังหลวงไว้มากมาย ใช่แต่สิ่งที่กราบทูลแล้วเท่านั้น ยังมีอื่นๆ อีกหลายอย่าง ดูเหมือนครั้งรัชชกาลที่ ๑ ข้าราชการวังหลวงกับวังหน้าจะมีความประนอมกันสนิท เรียกช่วยกันได้โดยง่าย

คำ “นัก” ที่เขมรใช้ ถ้านำชื่อคนสามัญ ใช้ “นัก” เปล่าๆ ถ้านำพระนามเจ้า ใช้ “นักองค์” หรือ “นักพระองค์” ก็มี

ในเวลาที่ทรงเขียนวินิจฉัยเรื่องโกศอยู่นี้ ทางกรุงเทพฯ ก็มีผู้เขียนเรื่องโกศลงหนังสือพิมพ์เหมือนกัน ได้ตัดส่งมาถวายทอดพระเนตรด้วยในครานี้แล้ว

เรื่อง เซอร์ ครอสบี พูดภาษาไทยในเมื่อถวายพระราชสาสน์ตั้งทูตนั้น ดูเปนฝ่าพระบาททรงรู้สึกเห็นเปนประหลาดมาก แต่ที่แท้การก็เปนไปตามที่ควรเปนเท่านั้นเอง แรกเขาเข้ามาก็สปีชเปนภาษาอังกฤษ เกล้ากระหม่อมตอบเปนภาษาไทย แล้วเขาก็ถวายพระราชสาสน์เปนการกระทำตามทางราชการโดยถูกต้องเสร็จเพียงเท่านั้นแล้ว ต่อนั้นไปก็เปนการทักทายปราศัยกันส่วนตัว ก็เคยพูดไทยกันมาแต่ครั้งเขายังเปนกงสุลอยู่ในนี้แล้ว จะทำอย่างอื่นให้ยากไปทำไมก็ลงคุยไทยกันเท่านั้น ซึ่งเปนการสดวกที่สุด

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ