วันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น

หัวหิน

วันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๔๗๘

กราบทูล สมเด็จกรมพระยาดำรง ทราบฝ่าพระบาท

ลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๑๙ เดือนนี้ โปรดประทานรายงานเล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่าตอนที่ ๒ ไปพร้อมด้วยรูปฉายาลักษณ์อีก ๓ แผ่น ได้รับประทานแล้ว เปนพระเดชพระคุณล้นเกล้า

ตามพระดำรัสอธิบายเรื่องอ่าวเมืองภูเก็ต ปรากฏว่าการอนุญาตให้บริษัทขุดแร่ในอ่าวนั้น ได้ทำมาแต่ครั้งพระยารัษฎานุประดิษฐเปนสมุหเทศาภิบาลอยู่ และพระยารัษฎานุประดิษฐได้ใส่ใจที่จะแก้ไขให้อ่าวกลับดีขึ้นแล้ว ดั่งนั้นก็ต้องโทษเอาว่าเพราะพระยารัษฎาถึงอนิจกรรมเสีย การจึงไม่เปนผลสำเร็จให้เปนความสดวกอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น

รายงานเรื่องเที่ยวเมืองพะม่าตอนที่ ๒ นี้ อ่านได้ความรู้แปลก ๆ มาก

เรื่องละครในเมืองพะม่า ได้ความว่าถอดแบบอย่างเอาไปจากเมืองไทย นึกดูรู้สึกว่าการฟ้อนรำของพะม่า เขามีรำบำเรอในห้องเรือนด้วย ไม่ต้องมีเรื่อง อย่างมีระบำเมื่อเลี้ยงสหัสเดชะ ซึ่งปรากฏในหนังสือเรื่องรามเกียรดิของเรา เปนไปตามทางประเพณีอินเดีย ซึ่งเรียกว่า “นัจจะ” เราเรียก “ระบำ” แต่เราไม่ได้ทำกันเช่นนั้นเลย ตามที่ฝ่าพระบาททรงสืบได้ว่าการเล่นละครที่เปนเรื่อง พะม่าได้แบบไปจากไทย ดูสมเปนว่าแต่ก่อนพะม่ามีแต่ระบำไม่มีละคร คิดดูการรำที่ไม่มีเรื่องต้องเกิดก่อน การรำประกอบเรื่องต้องเกิดทีหลังเมื่อมีความคิดกว้างออกไปแล้ว

ฟังพระดำรัสเล่าถึงความรุ่งเรืองเมืองร่างกุ้ง ซึ่งขยายตัวใหญ่ออกไปมากนั้นเปนน่าพิศวง มีหลายข้อที่กระทบกระเทือนใจ เช่นว่ามีสวนเลี้ยงสัตว์ ทำให้นึกอิจฉาว่าทำไมเขามีได้เรามีไม่ได้ เหตุใดเกล้ากระหม่อมจึงต้องการให้มีสวนเลี้ยงสัตว์ควรจะทูลอธิบาย คือเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าตรัสสั่งให้เขียนรูปลงสมุดพระราชนิทนธ์ “ธรรมาธรรมสงคราม” คิดจะเขียนรูปเทพอธรรมทรงรถเทียมหมี ด้วยเปนสัตวร้ายสีดำสมแก่อธรรม แต่จะเขียนเดาไปก็เกรงจะไม่เหมือนหมี ทีแรกก็พลิกดูตำราสัตวซึ่งฝรั่งเขาทำขึ้นไว้ รูปหมีที่มีในนั้นมันเป็นหมีฝรั่งไปหมด ไม่เหมือนที่เคยเห็นในเมืองเรา จึงพยายามที่จะหาตัวจริงดู เขาบอกข่าวว่าที่วัดจักรวรรดิมี พระท่านเลี้ยงไว้ วิ่งไปดูถูกจำหน่ายว่าให้เขาไปเสียแล้ว ถามถึงที่อยู่ผู้ที่รับไปท่านก็บอกให้ ตามรอยไปดูก็เหลือแต่หนัง แปลว่ามันตายเสียแล้วเขาลอกเอาหนังไว้ สืบต่อไปได้ความว่าของพระศลัยเวทยวิสิษฐ (หมอสาย) มี วิ่งไปขอดูเปนลูกหมีที่ยังอ่อน ดูเอาเปนอย่างไม่ได้ ตกลงต้องเขียนเดาไปตามบุญตามกรรม จึงนึกว่านี่ถ้าเรามีสวนเลี้ยงสัตว์แล้ว จะไม่ต้องรับความยากลำบากเลย อีกข้อหนึ่งซึ่งตรัสเล่าถึงทะเลสาบมหาราช เกิดฉุกใจได้คิดขึ้นมาว่า “สาบ” คำนี้จะเปนชื่อโดยฉะเพาะของทะเลที่เสียมราษฎร์เท่านั้นดอกกระมัง เพราะเรามีเรียกกัน “ทะเลหญ้า” “ทะเลตม” “ทะเลมหาราช” คำ “ทะเล” จะหมายความว่ากว้างเท่านั้นดอกกระมัง อีกข้อหนึ่งซึ่งตรัสว่าน้ำในแม่น้ำร่างกุ้งขุ่นไม่มีที่ไหนเสมอ แล้วฝรั่งเขาทูลถวายว่าแม่น้ำแยงเจ๋ขุ่นเหมือนกัน นี่เปนได้ความรู้เติมขึ้น ได้ยินข่าวมาบ่อย ๆ ว่าทำนบแม่น้ำแยงเจ๋พัง น้ำท่วมบ้านเมืองทำให้คนตายมาก ๆ ในเหตุนั้นได้เห็นหนังสือฝรั่งเขาว่า แต่ก่อนนี้ขึ้นไปสักสามสิบปีแม่น้ำแยงเจ๋ก็ไม่มีภัยอย่างนั้น แต่ภายหลังแม่น้ำตื้นขึ้น ร่องน้ำไม่พอรับจำนวนน้ำซึ่งมีมาน้ำจึงท่วมล้นตาหลิ่ง ต้องก่อทำนบเหนือตาหลิ่งเพื่อกันไม่ให้น้ำท่วมบ้านเมือง ทำไมความเปลี่ยนแปลงแห่งแม่น้ำนั้นจึงเปนไปเร็วนัก ก็มาได้ความรู้ที่ตรัสเล่าคราวนี้ ว่าแม่น้ำนั้นน้ำขุ่นมาก คือน้ำพาเอาดินมาถมท้องแม่น้ำลงปีละมาก ๆ จึงตื้นขึ้นเร็ว อีกข้อหนึ่งซึ่งปรากฏตามพระดำรัสเล่า ว่าพระสุเลเจดีย์นั้นปิดทองทั้งองค์ นี่ก็เปนความรู้ใหม่ที่แสดงความเจริญูรุ่งเรืองขึ้น เมื่อเกล้ากระหม่อมไปพระเจดีย์องค์นั้นยังเปนปูนขาว

เห็นรูปพระเกศธาตุซึ่งมีจากคลุม รู้สึกสงสารหลาน ๆ ที่ตามเสด็จเพื่อจะได้เห็นอะไร ๆ แต่ก็ชวดเห็นสิ่งสำคัญอันควรจะได้เห็นไปอย่างหนึ่ง ฝ่าพระบาทนั้นไม่เปนไร เพราะได้เคยทอดพระเนตรเห็นแล้ว ในรูปนั้นเองก็ให้ความรู้แก่เกล้ากระหม่อมผู้ไม่ได้ตามเสด็จด้วยหน่อยหนึ่ง ตรงที่ฉัตรยอดพระธาตุ เขารัดชั้นฉัตรตอนปลายเข้าไปเล็กมาก ทำยอดฉัตรส่งใหญ่ออกไปกว่าฉัตรชั้นยอดเสียอีก ทำให้แลดูทั้งทรงเปนสองลอนที่เปนมงกุฎ ฉลาดอยู่มาก ไทยไม่เคยทำ ขอรับไว้เปนกรรมสิทธิ ถ้าสบเหมาะก็จะทำบ้าง รูปที่บรรจุพระศพพระนางสุปยาลัต เหมือนพวกกู่เจ้า ๆ ที่เชียงใหม่ พิจารณาดูทรงดูบากชั้นเห็นติดจะเลว เสียใจที่ความรู้ช่างพะม่าเรียวลงไปมาก รูปพระเจ้าสีปอกับพระนางสุปยาลัตทรงเครื่องต้น เคยเห็นมาทีหนึ่งแล้ว อยู่ข้างจะรุงรัง

ขอประทานทูลกล่าวโทษซองลายพระหัตถ์ซึ่งได้รับคราวนี้ มีรอยยับเยินเปื้อนเปรอะ ซ้ำหัวซองข้างหนึ่งก็เปนรอยเปิด พนักงานไปรษณีย์ปิดตราไว้และจดบันทึกว่า เมื่อส่งนั้นเปียกน้ำ และหัวซองข้างหนึ่งก็เปิด อันนี้เปนเหตุเกิดที่ปินัง ไม่ใช่ในเมืองไทย ได้ถวายซองนั้นมาทอดพระเนตรด้วยแล้ว เพื่อจะได้ทรงไต่สวนและกำชับอย่าให้เปนเช่นนั้นอีก แม้จะไม่มีภัยก็เปนการที่ไม่สมควรจะให้เปน

กระหายคอยฟังตรัสเล่าถึงโบราณสถานในเมืองพุกาม มีอานันทเจดีย์ เปนต้น จำได้ว่าเจดียฐานอันนั้น ได้เคยเห็นแบบที่ฝรั่งเขาถ่ายอย่างเขียนมาทีหนึ่งแล้ว มีรูปตั้งรูปตัดและแผนผังพร้อม จำได้ฐานภายใต้นั้นมีช่องอุมงค์ลดเลี้ยว มีกระไดขึ้นไปได้เปนชั้น ๆ แต่ท่วงทีสมจะมืดแจ๊กเหม็นขี้ค้างคาวอู้ ถ้าเปนเช่นนั้นก็หมดดี สิ้นอยากที่จะเข้าไปเดิมชม ยังเมืองสารเขตก็กระหายจะใคร่ฟังอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เพราะตรัสว่าเก่ากว่าเมืองพุกามขึ้นไปอีก

รูปที่ทรงถ่ายด้วยทูลกระหม่อมชาย ซึ่งทรงพระเมตตาโปรดประทานเข้าไปนั้น นอกจากได้ดูแล้วเบิกบานใจที่ได้เห็น “พร้อมพี่พร้อมน้อง” แล้ว ยังดีอีกโสดหนึ่งที่มีรูปหม่อมสัมพันธ์ติดอยู่ในนั้นด้วยได้รู้จัก เพราะเปนผู้ที่เกล้ากระหม่อมยังไม่เคยเห็นตัวมาเลย

ข่าวที่หนังสือพิมพ์ฉะบับหนึ่ง ลงว่าฝ่าพระบาทจะยกทัพเกรี่ยงเข้าไปตีกรุงเทพฯ นั้น หนังสือพิมพ์ต่าง ๆ พากันค้านแซ่ว่าผูกข่าวอกุศลขึ้นลวงโลก หนังสือพิมพ์ฉะบับหนึ่งพูดน่าฟัง มีความว่าจะเอาเกรี่ยงซึ่งมีแต่หน้าไม้แหลนหลาวเข้ามารบกับปืนกลรถเกราะเรือบิน จะเปนไปได้แลหรือ เห็นจะไม่มีใครโง่พอที่จะไปชวนเอาเกรี่ยงเข้ามารบ แม้หากว่าจะมีเกรี่ยงมันก็คงไม่มา หนังสือพิมพ์อีกฉบับหนึ่งเดาว่า จะเปนอุบายทำข่าวให้คนตื่นกันเซงแซ่ทั่วไป โดยประสงค์ว่าพอนำหนังเรื่องเกรี่ยงออกฉาย คนจะได้พากันไปดูมาก ๆ เปนเอดเวไตส์ชนิดหนึ่งซึ่งมีแรงกว่าโฆษณาโดยทางปกติกระมัง เขาก็คิดลดเลี้ยวกันไปหนักหนา ผู้ที่จะเชื่อว่าเปนความจริงเห็นจะไม่มีเลย

ที่หัวหินเวลานี้อากาศดีสบายกว่าในกรุงเทพ ฯ มาก เกล้ากระหม่อมออกมากับลูกหญิง ๓ คน และหลานหญิงอีก ๓ คน ทั้งพระงั่วก็พลอยตามออกมาด้วย แม่โตไม่ได้มา เพราะว่าติดธุระต่าง ๆ พัวพันอยู่ทางบ้าน เดิมคิดว่าออกมาจะได้ความรำคาญด้วยคนจอแจ เพราะเปนฤดูที่คนออกมาเที่ยวกัน แต่เปล่า ไม่มีใคร เงียบดี เขาว่าคนคอยดูงานปีใหม่แลงานกาชาดในกรุงเทพ ฯ ก่อน สิ้นงานนั้นแล้วจึงจะเฮกันออกมา

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ