อธิบายเรื่องเมืองตะกั่วป่า ตอนที่ ๕

ตอนที่ ๕ ว่าด้วยเลิกวิธีเก็บภาษีผลประโยชน์

๑๖. วิธีเก็บภาษีผลประโยชน์ที่จัดขึ้นณเมืองระนอง เมืองตะกั่วป่า เมืองภูเกต และเมืองพังงา แม้สำเร็จประโยชน์ทั้ง ๓ อย่าง คือที่ได้เงินหลวงเพิ่มขึ้นมากอย่างหนึ่ง ที่ไม่มีผู้อื่นมาแทรกแซงในการปกครองบ้านเมืองอย่างหนึ่ง และได้กำไรแก่ผู้ว่าราชการเมืองเปนอันมากด้วยอีกอย่างหนึ่งก็ดี แต่ลักษณะที่มอบเหมาการทั้งปวงไว้ในตัวผู้ว่าราชการเมืองมีข้อขัดกันเอง เพราะฝ่ายหนึ่งให้ผู้ว่าราชการเมืองเปนพนักงานเก็บภาษีอากรจ่ายใช้ปกครองทำนุบำรุงบ้านเมือง และส่งเงินที่เหลือใช้เข้าท้องพระคลัง หรือถ้าว่าอีกอย่างหนึ่งเหมือนรัฐบาลเก็บภาษีอากรเอง แต่อีกฝ่ายหนึ่งเกณฑ์ให้ผู้ว่าราชการเมืองทำการที่กล่าวมานั้นด้วยทุนของตนเอง ทั้งต้องสัญญว่าจะส่งเงินหลวงเข้าท้องพระคลังปีละเท่านั้นๆ ถ้าขาดตกบกพร่องไปผู้ว่าราชการเมืองต้องรับใช้เหมือนเปนเจ้าภาษีผูกขาด ในชั้นแรกเวลาได้กำไรมากก็เห็นจะไม่มีใครคิดเห็นว่าวิธีที่จัดนั้นจะไม่เปนการยั่งยืนไปยืดยาว ต่อเมื่อผู้ว่าราชการเมืองเปลี่ยนตัวไปตามขัยวัย จึงปรากฎกรณีที่ต้องเปลี่ยนวิธีเก็บภาษีผลประโยชน์เปนอย่างอื่น อธิบายในเรื่องนี้กล่าวเปนรายเมืองจึงจะแจ่มแจ้ง จะพรรณนาเปนลำดับแต่เมืองที่มีผลประโยชน์ คือ

ก. เมืองภูเกต เปนที่มีแร่ดีบุกมากและอยู่ใกล้ตลาดขายดีบุกที่เมืองปีนังกว่าเมืองอื่น พระยาภูเกต (ทัต) จึงได้กำไรรวยกว่าใครๆ หมด ถึงสามารถเข้าไปสร้างบ้านเรือนที่พักเปนตึกรามโตใหญ่ที่ในจังหวัดธนบุรี อันตกเปนของคุณหญิงเลื่อมแล้วทอดมาถึงพระยามนตรี (เชียร บุนนาค) อยู่ในบัดนี้ แต่พระยาภูเกต (ทัต) เปนฉลาด เอากำไรส่วนมากไปสร้างตึกไว้ให้เช่าที่เมืองปีนังและเมืองสิงคโปร์หลายแห่ง ครั้นแก่ชะราลงเกิดโรคจักษุมืดจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เลื่อนขึ้นเป็นพระยาวิชิตสงคราม ตำแหน่งจางวาง และทรงตั้งบุตร์คนโตชื่อ “ลำดวน” เปนพระยาภูเกต โลหเกษตรารักษ์ แทน เมื่อพระยาวิชิตสงครามถึงอนิจกรรม ทรัพย์สมบัติเปนมรดกตกแยกกันไปเปน ๓ เจ้าของ คือ พระยาภูเกต (ลำดวน ดูเหมือนจะได้มากกว่าคนอื่น) คน ๑ คุณหญิงเลื่อม คน ๑ พระยามนตรีฯ (ชื่น) ซึ่งเปนลูกเขย คน ๑ พระยาภูเกต (ลำดวน) ต้องรับผิดชอบในการทำภาษีอากร แต่ไม่ฉลาดทั้งเปนคนเผอเรอสุรุ่ยสุร่าย ในไม่กี่ปีทรัพย์ที่ได้มรดกก็หมดและเงินหลวงก็คั่งค้างทับถมหนักขึ้น จนลงที่สุดต้องถูกถอด และต้องเอาบ้านเรือนทั้งของบิดาและของตัวเองตีใช้หนี้หลวง จึงได้ใช้บริเวณบ้านพระยาภูเกตเปนศาลารัฐบาล และที่พักข้าราชการต่อมา เมื่อไม่มีผู้ว่าราชการเมืองที่รับผูกภาษีได้อย่างพระยาภูเกต (ทัต) การปกครองเมืองภูเกตก็ตกมาอยู่ในหน้าที่ข้าหลวงซึ่งเคยเปนแต่พนักงานเร่งเรียกเงินมาแต่ก่อน จึงต้องแยกภาษีอากรให้ว่าประมูลผูกขาดเปนอย่างๆ ไปดังแต่ก่อน แต่การทำเหมืองใหญ่ก็ยังมีมากอยู่ เพราะพวกเถ้าแก่นายเหมืองชั้นแรกมามีเชื้อสายนายทุนรอน ตั้งภูมิลำเนาเปนชาวเมืองภูเกตรับมรดกทำเหมืองต่อมา ถึงกระนั้นการทำเหมืองไม่มีเงินทุนพอที่จะลงมากเหมือนเมื่อครั้งพระยาภูเกต (ทัต) จำนวนคนทำก็น้อยลง เลยเป็นเหตุให้เงินภาษีอากรลดลงด้วย

ข. เมืองระนองนั้น ผิดกับเมืองอื่นๆ ที่การปกครอง การเก็บภาษีกับทั้งการทำเหมือง รวมอยู่ในตัวพระยาระนอง (คอซูเจียง) แต่คนเดียวมาแต่เดิม พระยาระนอง (คอซูเจียง) เอาเงินกำไรไปตั้งห้างโกหงวนขึ้นที่เมืองปีนัง ใช้ทุนห้างโกหงวนทำการหาผลประโยชน์ทั้งที่เมืองระนอง เมืองหลังสวน และที่เมืองปีนัง เมื่อพระยาระนอง (คอซูเจียง) แก่ชะรา กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าราชการเมือง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนขึ้นเปนพระยาดำรงสุจริต มหิศรภักดี ตำแหน่งจางวางเมืองระนอง แล้วทรงตั้งพระยาศรีโลหภูมิพิภักษ์ (คอซิมก้อง) ซึ่งเปนบุตร์คนใหญ่ในเวลานั้นเปนพระยารัตนเศรษฐีผู้ว่าราชการเมืองระนองต่อมา เมื่อก่อนพระยาดำรงสุจริตฯ (คอซูเจียง) ถึงอนิจกรรม ได้ทำพินัยกรรม์แบ่งทรัพย์สมบัติเปนส่วนใหญ่ให้แก่บุตร์ ๔ คน คือ พระยารัตนเศรษฐี (คอซิมก้อง) ผู้ว่าราชการเมืองระนอง คน ๑ พระยาจรูญราชโภคากร (คอซิมเต็ก) ผู้ว่าราชการเมืองหลังสวน คน ๑ พระยาอัษฎงค์ฯ (คอซิมขิม) เมื่อยังเปนที่พระศรีโลหฯ ซึ่งเป็นผู้จัดการห้างโกหงวนอยู่ที่เมืองปีนัง คน ๑ พระยารัษฎานุประดิษฐ์ นายคอซิมบี้บุตร์คนเล็กยังไม่ได้มียศบันดาศักดิ์ในเวลานั้น คน ๑ แต่ในพินัยกรรม์สั่งไว้ว่าทรัพย์มรดกนั้น นอกจากที่ต้องจ่ายใช้เลี้ยงชีพ ให้คงใช้เปนทุนของห้างโกหงวนต่อไปอีก ๓๐ ปี แล้วจึงให้แบ่งกันไปเปนทรัพย์ของตน (มาแบ่งกันในสมัยเมื่อหม่อมฉันว่าการมหาดไทย เขาขอให้หม่อมฉันเปนประธานในการที่แบ่งนั้น จึงได้ทราบเรื่องเดิม) เพราะฉะนั้นการผูกภาษีอากรและการทำเหมืองแร่ที่เมืองระนอง เมืองหลังสวน จึงคงมาอย่างเดิม (เพราะไม่มีใครกล้าเข้าประมูล) อีกชั่วคนหนึ่ง ถึงกระนั้นทุนที่เอาไปจ่ายใช้ในการทำเหมืองก็ลดลงกว่าแต่ก่อน)

ค. เมืองตะกั่วป่าและเมืองพังงานั้น ผู้ว่าราชการเมืองเปนแต่ผู้ดีที่ได้รับความอบรมในตระกูลสูงมาแต่เดิม ไม่สันทัดการค้าขายได้แต่ไปชวนพวกพ่อค้าจีนให้มาทำการโดยเข้าหุ้นส่วนด้วย ได้กำไรก็ไม่สู้มาก ทั้งไม่รู้จักใช้กำไรหาผลประโยชน์เหมือนผู้ว่าราชการเมืองภูเกตและเมืองระนอง จึงเปนแต่มั่งมีกว่าผู้ว่าราชการเมืองอื่น ๆ โดยมาก ว่าส่วนเมืองตะกั่วป่า ปรากฎแต่ว่าพระยาเสนานุชิต (นุช) แจกจ่ายให้ปันเลี้ยงบุตร์ธิดาอย่างฟุ่มเฟือย ครั้นพระยาเสนานุชิต (นุช) ถึงอนิจกรรม บุตร์คนใหญ่ชื่อ “เอี่ยม” (จะเปนตำแหน่งอะไรอยู่ก่อน หม่อมฉันไม่ทราบ) ได้เปนที่ พระยาเสนานุชิต ผู้ว่าราชการเมืองต่อมา แต่พระยาเสนานุชิต (เอี่ยม หม่อมฉันได้รู้จักตัว) อยู่ข้างโง่เขลาและเปนคนเผอเรอชอบเล่นแต่การพนัน เขาเล่ากันว่าชอบยิงกะสุน ถ้าบ่าวคนไหนกล้าเข้าไปยืนเปนเป้าให้ยิง ยิงถูก ให้บำเหน็จทีละเหรียญ แต่เรื่องนี้จริงเท็จอยู่กับผู้เล่า ที่เล่ากันเปนแน่นอนนั้นว่าถ้าเข้าไปกรุงเทพฯ เมื่อใด มักไปท้าเล่นหมากรุกพนันกระดานละ ๕ บาทด้วยนึกว่าตัวแกเดินดี ข้างฝ่ายผู้อื่นเขาถือว่าเปน “ไอสกรีม” ไปเล่นหมากรุกเอาเงินเสียมาก ๆ ทุกคราว แต่อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่พระยาเสนานุชิต (นุช) ถึงอนิจกรรมแล้ว เมืองตะกั่วป่าก็ทรุดโทรมต้องแยกภาษีอากรออกให้มีผู้รับเก็บต่างๆกัน เหมือนอย่างที่เมืองภูเกต

ฆ. เรื่องเมืองพังงาสมัยนั้น เรียกได้ว่าเป็นเรื่องประวัติของคนคนเดียว คือ พระยาบริรักษ์ภูธร (ขำ) บุตรของพระยาไทรลูกเจ้าพระยานคร (น้อย) ซึ่งได้มาเปนผู้ว่าราชการเมืองพังงาคนแรก พระยาพังงา (ขำ) ดูเหมือนจะตั้งใจถ่ายแบบเจ้าพระยานคร น้อย ไปประพฤติคือซื่อตรง สิทธิขาดและอยู่ข้างดุร้าย ผู้คนพากันนับถือกลัวเกรงมาก พระยาสโมสรสรรพการ (ทัต) เมื่อยังหนุ่มพลัดออกไปอยู่กับพระยาพังงา (ขำ) คราวหนึ่ง มาเล่าเรื่องต่างๆ อันเปนอภินิหารของพระยาบริรักษ์ภูธร (ขำ) ให้ฟังหลายเรื่อง เช่นว่ามีเสือพลัดเข้ามาในเมืองพังงา พระยาบริรักษ์ภูธร (ขำ) เกณฑ์ราษฎรให้สานแผงไปล้อมจับเสือได้ทั้งเปน ไม่ต้องใช้เครื่องศาตราวุธ และเรื่องยิงจรเข้ พระยาพังงา (ขำ) ร้องว่า “ถูกแล้ว” ฝีพายก็ต้องกระโดดลงน้ำไปจับจรเข้ให้ทันที บางทีได้ขึ้นมาไม่มีแผลถูกยิงเลย อีกอย่างหนึ่งว่าชอบเลี้ยงสัตว์ต่างๆ ไม่เลือกว่าสัตว์อย่างไรเลี้ยงทั้งนั้น (ข้อนี้เปนความจริง หม่อมฉันทันได้ไปเห็นเอง) แต่เล่าวิตถารออกไปว่าถึงหัดไก่ไม่ให้ร้องกระต๊ากให้หนวกหู ถ้าไก่ตัวไหนร้องกระต๊ากเมื่อใดก็ให้จับไปเอาหัวจุ่มน้ำจนสำลักแล้วจึงปล่อยจนไก่เข็ด ยังมีเรื่องที่หม่อมฉันเคยได้ยินพระยาชลยุทธฯ เล่าว่าเมื่อครั้งพวกกุลีเปนจลาจลที่เมืองภูเกตนั้น ข้าหลวงเรียกเจ้าเมืองใกล้เคียงมาประชุมปรึกษาหาวิธีที่จะปราบปราม ข้าหลวงถามความเห็นพระยาบริรักษ์ภูธร (ขำ) ว่าจะเห็นควรทำอย่างไร พระยาบริรักษ์ภูธร (ขำ) ตอบว่าควรให้ตัดหัวพระยาภูเกตเสีย ข้าหลวงเกรงใจ ยักคำถามใหม่ว่าถ้ามีจลาจลเช่นนี้เกิดขึ้นในเมืองพังงา เจ้าคุณจะทำอย่างไร พระยาบริรักษ์ภูธรตอบว่าเหตุเช่นนี้จะเกิดขึ้นที่เมืองพังงาไม่ได้เป็นอันขาด ข้าหลวงเลยไม่ได้ความเห็นจากพระยาพังงา แต่มีเรื่องที่หม่อมฉันได้เห็นด้วยตาตนเองเรื่องหนึ่ง เมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จไปเมืองพังงาใน พ.ศ. ๒๔๓๔ เวลานั้นพระยาบริรักษ์ภูธร (ขำ) แก่ชะราแล้ว จักษุก็มืดมัวทั้งสองข้าง อุตส่าห์ออกมารับเสด็จถึงเรือพระที่นั่ง พอพระยาชลยุทธฯ เห็น ก็รีบลงไปรับพะยุงพระยาพังงาขึ้นมาจากเรือ ฝ่ายข้างพระยาพังงาก็กอดคอพระยาชลยุทธฯ เดินขึ้นบรรไดมา คนในเรือพระที่นั่งปลาดใจกันทั้งลำ ด้วยไม่เคยเห็นพระยาชลยุทธฯ นบนอบนับถือใคร เหมือนเช่นเคารพพระยาบริรักษ์ภูธร (ขำ) มูลเหตุเกิดแต่เมื่อแรกพระยาชลยุทธโยธินแรกเข้ารับราชการ ได้เปนนายเรือรบไปรักษาการที่เมืองภูเกต ไปคุ้นเคยกับพระยาบริรักษ์ฯ แต่ครั้งนั้น ก็เลยนับถือต่อมา เมื่อพระยาบริรักษ์ฯ ขึ้นมาถึงบนเรือพระที่นั่ง หม่อมฉันได้พูดจาสนทนาด้วยก็เห็นว่าเปนผู้มีอัชฌาศัยดีน่านับถือ แต่เมื่อหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตกมาขึ้นกระทรวงมหาดไทย พระยาบริรักษ์ภูธร (ขำ) ถึงอนิจกรรมเสียแล้ว หม่อมฉันออกไปตรวจราชการถึงเมืองพังงา ศพยังอยู่ที่เรือน จึงได้ไปเห็นโขลงสัตว์ต่างๆ ของพระยาบริรักษ์ภูธร (ขำ) ที่ยังเหลืออยู่ แต่สังเกตดูบ้านเรือนที่อยู่ก็เปนอย่างเรือนไทย ไม่ทำให้โอ่โถงอย่างใด เขาเล่ากันว่าไม่ใคร่เอาใจใส่ในการสะสมเงินทอง ก็จะเปนความจริง เมื่อหม่อมฉันไปครั้งนั้นเห็นเด็กชายคน ๑ อายุสัก ๑๐ ขวบ ว่าเปนบุตร์ของพระยาบริรักษ์ภูธร (ขำ) แต่เขากระซิบบอกว่าผู้อื่นเปนบิดา พระยาบริรักษ์ภูธรรับเพราะไม่มีบุตร์ เด็กคนนั้นต่อมาหายสูญไปไม่ได้ทำราชการ ดูเหมือนจะตายเสียแต่ก่อนเปนผู้ใหญ่จึงไม่ได้ยินชื่อเสียงต่อมา ว่าถึงการภาษีอากร เมื่อเลิกวิธีเก็บภาษีผลประโยชน์ที่เมืองภูเกตและเมืองตะกั่วป่าแล้ว ก็เลยเลิกที่เมืองพังงาตั้งแต่พระยาบริรักษ์ภูธร (ขำ) ยังอยู่ แต่พระยาบริรักษ์ฯ ก็เห็นจะไม่เสียใจ ด้วยไม่เปนผู้ที่เอาใจใส่ในเรื่องหาเงินทอง

๑๗. ตั้งแต่เลิกวิธีให้ผู้ว่าราชการเมืองผูกภาษีอากร เงินหลวงที่ได้จากหัวเมืองทั้ง ๔ ลดน้อยลงโดยลำดับ รัฐบาลจึงคิดการแก้ไขด้วยตั้งกรมราชโลหกิจ หรือที่เรียกกันเปนสามัญว่า “กรมแร่” หาฝรั่งผู้ชำนาญเข้ามาจัดการกรมนั้น ระเบียบการที่รัฐบาลอนุญาตให้ทำเหมืองแร่และเก็บผลประโยชน์จากเหมืองแร่ก็เริ่มแปรไปเปนอย่างฝรั่งแต่นั้นมา ส่วนการที่จะเร่งเรียกเงินภาษีอากรต่างๆ ก็ตั้งคนสำคัญ (คือพระยาทิพโกษา หมาโต โชติกเสถียร) ออกไปบัญชาการ ให้มีอำนาจบังคับบัญชาผู้ว่าราชการเมืองคล้ายกับสมุหเทศาภิบาล ซึ่งจัดเมื่อภายหลัง พระยาทิพโกษากวดขันการเร่งเงินหลวงได้มากขึ้นบ้าง แต่ไปเกิดการร้าวฉานกับผู้ว่าราชการหัวเมืองเหล่านั้นในส่วนตัว พาให้ลำบากถึงในราชการ เปนเช่นนั้นมาจนถึงสมัยเมื่อโปรดฯ ให้โอนหัวเมืองที่เคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมและกรมท่า มารวมอยู่ในบังคับและความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทยแต่กระทรวงเดียว เวลานั้นหม่อมฉันกำลังสาลวนจัดระเบียบการปกครองหัวเมืองมณฑลชั้นใน ทางมณฑลภูเกตก็ได้แต่พยายามรักษาบรรดาการที่ยังดีให้คงอยู่ และแก้ไขความขัดข้องฉะเพาะเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้าว่าฉะเพาะเมืองตะกั่วป่าและเมืองพังงา ตั้งแต่สิ้นพระยาเสนานุชิต (เอี่ยม) และพระยาบริรักษ์ภูธร (ขำ) แล้ว ผู้ว่าราชการเมืองก็หาคนที่ดีส่งไปจากกรุงเทพฯ ทั้ง ๒ เมือง มาตั้งต้นจัดการบำรุงหัวเมืองฝ่ายตะวันตกอีกครั้งหนึ่งในสมัยเมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งพระยารัษฎานุประดิษฐ์ (คอซิมบี้ ณระนอง) ผู้ว่าราชการเมืองตรังเปนสมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเกต ดังบรรยายที่จะกล่าวต่อไปในตอนหน้า.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ