วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น

ตำหนักปลายเนีน คลองเตย

วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๔๗๘

กราบทูล สมเด็จกรมพระยาดำรง ทราบฝ่าพระบาท

ขอสนองลายพระหัตถ์ ซึ่งทูลผัดมาเมื่อคราวเมล์วันที่ ๑๔ ต่อไป

เกล้ากระหม่อมขอบใจมิสเตอร์แบกษเตอร์เปนอันมาก ที่แม้จะไปแล้วก็ยังอาลัยระลึกถึงเกล้ากระหม่อม อุตส่าห์มากราบทูลสั่งไว้

เรื่องอากาศ เกล้ากระหม่อมรู้สึกว่าหน้าฝนเปนเลวกว่าทุกหน้าหมด หน้าร้อนแม้จะร้อนหนัก ก็ยังมีลมโชยมาให้ชื่นใจ หายใจก็คล่อง หน้าฝนถ้าว่าได้ลงอัดฝนแล้วร้อนอัดลมไม่มีเลย หายใจก็ไม่ออก พอฝนตกก็หนาวชื้นแฉะไม่สบายอีก ผิดกว่าหน้าหนาว ซึ่งแม้จะหนาวกว่ามากก็หนาวแห้ง หายใจคล่อง สนมเขาเรียกเดือน ๔ เดือน ๕ ว่า “หน้าเผา” เรียกเดือน ๖ เดือน ๗ ว่า “หน้าเพาะ” คือไปเที่ยวมัดเพาะไว้เผาในเดือน ๔ เดือน ๕ ซึ่งจะมาถึงคราวหน้า นี่เปนทางพิสูจน์ว่าคนตายกันในระหว่างเดือน ๖ เดือน ๗ ซึ่งเปนฤดูไม่ดีมาก นึกว่าที่ปินังจะดีกว่าที่กรุงเทพ ฯ แต่ได้ฟังตรัสก็เปนอันเข้าใจได้ว่าคล้ายคลึงกัน

บัญหาเรื่องพระนาม “ธรรมราชา” แห่งเมืองสุโขทัยนั้น เกล้ากระหม่อมไม่มีความรู้ หรือไม่มีใจใฝ่ที่จะรู้พอที่จะกราบทูลอะไรได้ อย่างไรก็ดี เห็นว่าการนับที่ ๑ ที่ ๒ นั้นคนภายหลังนับ โดยเหตุที่พระนามซ้ำกันหลายองค์ เรียกแต่พระนามเปล่าไม่สามารถจะเข้าใจกันได้ว่าองค์ไหน จึงต้องเหน็บเลขที่เข้าด้วยก็เมื่อเข้าใจกันทั่วไปแล้ว ว่าพระนามไหนที่เท่าไรเปนพระเจ้าแผ่นดินองค์นั้น ถึงจะมารู้สึกภายหลังว่าลงเลขผิดไปก็ไม่ควรเปลี่ยน เพราะจะทำให้ยุ่งเกิดความเข้าใจผิดกันขึ้นไม่มีประมาณ

ฝ่าพระบาทตรัสแปลพระนาม “ธรรมราชา” ว่าเปนพระนามพระพุทธเจ้าทำให้เกิดสดุ้งใจรู้สึกต่อไป ว่าที่เอาพระนามพระพุทธเจ้ามาถวายเปนพระนามพระเจ้าแผ่นดินนั้น ไม่ใช่มีแต่ธรรมราชาพระนามเดียว “สรรเพชญ์” “โลกนาถ” ก็เปนพระนามพระพุทธเจ้าเหมือนกัน เมื่อคิดหาเหตุว่าทำไมจึงทำดังนั้น หรือจะหลงก็เห็นว่าไม่หลง เพราะมีคำออกพระนามว่า “พระพุทธเจ้าอยู่หัว” และมีคำกราบบังคมทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้า” ซ้ำยังมีคำเรียกพระราชโอรสรัชทายาทว่า “สมเด็จหน่อพุทธเจ้า” อีกด้วย ประกอบให้เห็นว่า ถือกันว่าพระเจ้าแผ่นดินเปนองค์พระพุทธเจ้าทีเดียว เมื่อคิดดูว่าที่ถือดังนั้นมูลมาแต่ไหน ก็เห็นว่ามาได้ทางเดียวแต่ถือว่า พระเจ้าแผ่นดินนั้นเปนองค์บรมโพธิสัตว์ อันจะได้ตรัสเปนพระพุทธในภายหน้า เสด็จจุติลงมาเสวยพระชาติเปนพระมหากษัตริย์ ฝันว่าได้เห็นหนังสืออะไรจำหน่ายไม่ตก มีคำเปนทำนองว่า “—สมเด็จพระมหากษัตริย์ อันจะได้ตรัสเปนพระพุทธในภายภาคหน้า”

เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้นก็นึกเลยไปถึงพระนามพระมหากษัตริย์ทั้งหลายเท่าที่นึกได้ โดยไม่ได้สอบหนังสือก็เห็นว่าจะมาสามทาง

๑ มาทางพราหมณ์เขาตั้งถวายทางหนึ่ง เอานามเทวดามาถวายบ้าง เช่น “อินทรราชา” เปนต้น เอานามวีรกษัตริย์ในอินเดียมาตั้งถวายบ้าง เช่น “ราม” เปนต้น

๒ มาทางพระสงฆ์หรือราชบัณฑิตยในพระพุทธศาสนาตั้งถวายทางหนึ่ง อาศัยหลักทางพระพุทธศาสนา ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น

๓ มาทางอาศัยเหตุในพื้นเมืองเองอีกทางหนึ่ง เช่นพระนาม “ทรงธรรม” “ปราสาททอง” เปนต้น

พระนามทุกพระนาม อาจคิดกันขึ้นในเมืองเองก็มี จะจำอย่างมาแต่เมืองใกล้เคียงก็มี เช่นพระนามธรรมราชา ฝ่าพระบาทประทานตัวอย่างพระนามเจ้านายในเมืองพะม่า ไปด้วยกับกฎมณเฑียรบาลพะม่า มีพระนามธรรมราชาทุกองค์ เกล้ากระหม่อมยังได้ทักมาถวาย ว่าเหมือนกันกับทางสุโขทัย และเมื่อเกล้ากระหม่อมไปเมืองพะม่า พระพะม่าปราสัยว่า พระเจ้าปราสาททองทรงพระสำราญอยู่หรือ ทำให้รู้สึกว่า คำพระเจ้าประสาททองนั้น ทางพะม่าเขาหมายถึงพระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์ไป เช่นลาวเรียกเจ้าหอคำก็เปนความอันเดียวกัน อาจอวยคำที่พะม่าเรียกมาเปนพระนามเสียก็ได้

ข้อความตามที่กราบทูลในตอนหลังนี้ กราบทูลไปตามความคิดอันฟุ้งซ่านเกิดขึ้นชั่วขณะให้ทรงทราบเท่านั้น แม้ว่าผิดพลาดประการใดก็ขอประทานอภัยโทษ

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ