- เมษายน
- วันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —กฎมณเฑียรบาลพะม่า (ต่อ) (๓)
- วันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —กฎมณเฑียรบาลพะม่า (ต่อ) (๔)
- วันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —กฎมณเฑียรบาลพะม่า (ต่อ) (๕)
- วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- —บันทึกความเห็น เรื่องกฎมนเทียรบาลพะม่า (ต่อ) (๓)
- วันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- —บันทึกความเห็น กฎมนเทียรบาลพะม่า (ต่อ) (๔)
- —บทระเบง (ตามที่สืบสอบมาได้)
- พฤษภาคม
- วันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- —บันทึกความเห็นในกฎมนเทียรบาลพะม่า (ต่อ) (๕)
- วันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- มิถุนายน
- วันที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- —ระเบียบแห่งการแสดงความเคารพของภิกษุ
- วันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- กรกฎาคม
- วันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- —วันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘
- สิงหาคม
- วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- กันยายน
- วันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร (๒)
- วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร (๓)
- วันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- ตุลาคม
- พฤศจิกายน
- วันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- —ประวัติย่อของเมืองชุมพรเก่าตอนหนึ่ง
- วันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —อธิบายเรื่องเมืองตะกั่วป่า
- วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —อธิบายเรื่องเมืองตะกั่วป่า ตอนที่ ๒
- วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —อธิบายเรื่องเมืองตะกั่วป่า ตอนที่ ๓
- วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- ธันวาคม
- วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —อธิบายเรื่องเมืองตะกั่วป่า ตอนที่ ๔
- วันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —เรื่องตั้งเมืองในมณฑลอุดรและอิสาณ
- —อธิบายเรื่องเมืองตะกั่วป่า ตอนที่ ๕
- วันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —รายการงานพระศพ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์
- วันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —อธิบายชื่อเมืองในมณฑลอุดรและอิสาณ
- —กะรายวันไปเที่ยวเมืองพะม่า
- วันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- มกราคม
- วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —กำหนดระยะทาง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
- —อธิบายรูปฉายาลักษณ์งานพระศพสมเด็จกรมพระสวัสดิ ฯ
- —อธิบายเรื่องเมืองตะกั่วป่า ตอนที่ ๖
- วันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- กุมภาพันธ์
- มีนาคม
- วันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๑ ออกจากเมืองปีนังไปเมืองร่างกุ้ง
- วันที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๒ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขาไป
- วันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ต่อในตอนที่ ๒
- วันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
วันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
Cinnamon Hall,
206 Kelawei Road, Penang. S.S.
วันที่ ๑๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๗๘
ทูล สมเด็จกรมพระนริศรฯ
เมื่อคราวเมล์วันจันทรที่ ๘ หม่อมฉันได้ส่งจดหมายไปถวายที่หัวหิน ด้วยประมาณว่าคงจะเสด็จไปถึงแล้ว ในรถเมล์เที่ยวนั้นเอง เมื่อลงมาก็เชิญลายพระหัตถ์ฉะบับลงวันที่ ๖ ซึ่งประทานมาจากหัวหิน พนักงานไปรษณีย์นำมาส่งหม่อมฉันเมื่อวันจันทรพอหม่อมฉันส่งจดหมายไปแล้ว หญิงนิลลงมาถึงปีนังเมื่อคราวเมล์วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ บอกว่าเมื่อรถไฟผ่านหัวหิน ได้พบคุณโตกับหญิงอามฝากเนื้อกับปลามาให้หม่อมฉัน ขอได้โปรดบอกด้วยว่าหม่อมฉันขอบคุณเปนอันมาก หญิงพิลัยบอกว่าหญิงอามมีจดหมายมาบอกว่าท่านเสด็จไปประทับที่สำนักดิศกุลทรงสบาย หม่อมฉันก็ยินดีด้วย
ความในลายพระหัตถ์ที่ตรัสเล่าถึงเสด็จไปประพาสเมืองท่าทองเก่า เปนการดีนักหนา ด้วยไม่ปรากฏว่าบุคคลชั้นสูงใครเคยไป เรื่องตำนานก็ได้ความดีขึ้นกว่าที่หม่อมฉันทราบ ที่เขาเรียกว่า นายพุ่ม นั้นก็คือ พระกาญจนดิษฐฯ(พุ่ม)๑ ลูกเจ้าพระยานครน้อยที่หม่อมฉันทูลนั่นเอง แล้วได้เลื่อนเปนพระยาเมื่อได้ช้างเผือกเข้าไปถวายคือ “พระเศวตสุนทรสวัสดิ์” เมื่อเอาเข้าไปกรุงเทพฯ หม่อมฉันได้ไปดูเมื่อจะเอาขึ้นจากเรือใบที่ท่าเตียน ไปเห็นช้างอยู่ในท้องเรือปลาดใจว่าเอาลงไปอย่างไร และจะเอาขึ้นอย่างไร ถามเขาบอกอธิบายว่า เมื่อจะเอาช้างลง เอาดินและหยวกกล้วยประสมกันถมระวางตรงที่จะบรรทุกช้างนั้น จนเต็มขึ้นมาเสมอดาดฟ้าเรือ ให้ช้างลงยืนตรงที่ถมนั้นแล้วค่อยขนดินและหยวกกล้วยขึ้น พื้นที่ช้างยืนก็ต่ำลงโดยลำดับจนถึงท้องเรือ แล้วกั้นคอกกันตัวช้างในท้องเรือ เมื่อจะเอาช้างขึ้นบกก็จะถมท้องเรือ ยกพื้นตรงที่ช้างอยู่ให้สูงขึ้นถึงดาดฟ้าอย่างนั้นเหมือนกัน ได้ฟังอธิบายเขาบอกเมื่อคราวนั้น มาอ่านหนังสือเก่ากล่าวว่าไทยเคยส่งช้างไปขายถึงอินเดียแต่โบราณ ก็เข้าใจได้ว่าเอาไปอย่างไร
ฟังตรัสเล่าถึงเรื่องเสด็จไปเมืองท่าทอง ว่าเรือไปติดและต้องลำบากในทะเลอ่าวบ้านดอน ทำให้หม่อมฉันนึกถึงความหลังที่หม่อมฉันครั่นคร้ามเคยเข็ดมาช้านาน เพราะอ่าวบ้านดอนเปนอ่าวกว้างใหญ่แต่น้ำตื้น และมักมีลมและคลื่นใหญ่ บางทีท่านจะทรงลืมไปเสียแล้ว คราวแรกเราเคยไปด้วยกันเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๒ (ร.ศ. ๑๐๗) เมื่อครั้งยังอยู่ในยุทธนาธิการ ไปเรือแคลดิส กรมขุนมรุพงศ ฯ และพระยาชลยุทธ ฯ ก็ไปด้วย ได้แวะที่อ่าวบ้านดอนทอดสมออยู่ตรงเกาะปราบ แล้วลงเรือกรรเชียง หมายจะขึ้นไปดูเมืองกาญจนดิษฐ์ ตีกรรเชียงไปได้สักชั่วโมงหนึ่งทวนลมทนคลื่นโต้หน้าไม่ไหวต้องกลับ ต่อมาอีกปี ๑ หม่อมฉันไปตามเสด็จสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จไปเมืองกาญจนดิษฐ์จากเมืองไชยา มีเรือไฟจูง กะเวลา ๔ ชั่วโมงจะไปถึง ไปถูกติดตื้นต้องเข็นกันเรื่อยไป กลายเปน ๘ ชั่วโมงจึงไปถึง ต้องเปลี่ยนโปรแกรมเปนประทับแรม เปนคราวแรกของการเสด็จประพาสต้น รุ่งขึ้นขาเสด็จกลับก็ไปถูกพายุฝน ไปเต็มวันจึงถึงเรือพระที่นั่งที่เมืองไชยา หม่อมฉันจึงระอาอ่าวบ้านดอนแต่นั้นมา ต่อเมื่อพระยามหิบาล ฯ เปนเจ้าเมือง เขามีเรือไฟและมีอุบาย คือกำหนดให้ขึ้นจากเรือใหญ่แต่กำลังน้ำขึ้น ไม่เลือกว่าเวลาใด หม่อมฉันเคยขึ้นเวลา ๓ ยามก็ครั้งหนึ่ง จึงไปถึงเมืองได้สดวก หม่อมฉันไปทางเรือคราวหลังที่สุดเมื่อจะสร้างทางรถไฟ ด้วยมีปัญหาว่าเมื่อมีทางรถไฟการค้าขายเจริญจะควรตั้งเมืองอยู่ที่บ้านดอน อันน้ำท่วมรอบเหมือนที่เกาะจะขยายให้ใหญ่ออกไม่ได้ หรือจะคิดย้ายเมืองไปตั้งที่ท่าข้ามให้ใกล้กับทางรถไฟ หม่อมฉันไปพิจารณาดูครั้งนั้นเห็นว่าที่ท่าข้ามมี “ควน” (คือเขาดิน) เปนที่ดอนและที่งาม จึงสั่งให้จองเตรียมไว้เปนที่สร้างเมืองข้างตอนใต้ ให้ปล่อยที่เปนทำเลค้าขายได้ข้างตอนเหนือ แล้วให้รอดูต่อไป ถ้าพวกพ่อค้าทิ้งบ้านดอนย้ายขึ้นไปตั้งใกล้ทางรถไฟ จึงจะย้ายเมืองตามขึ้นไป การค้างอยู่เพียงนั้นหม่อมฉันก็ออกจากกระทรวงมหาดไทย ออกแล้วไม่ช้าในเวลาพระยามหาอำมาตย์ ฯ๒ เปนผู้รั้งกระทรวงมหาดไทย สมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เสด็จประพาสหัวเมืองแหลมมลายู พระยามหาอำมาตย์ฯ ทราบความคิดของหม่อมฉันอยู่ก่อน จึงสั่งให้ทำพลับพลารับเสด็จที่ควนท่าข้ามซึ่งหม่อมฉันสั่งให้จองไว้นั้น สมเด็จพระมงกุฎเกล้า ฯ เสด็จไปประทับโปรดที่นั้น จึงตรัสสั่งให้ย้ายเมืองจากบ้านดอนไปตั้งที่ท่าข้ามและพระราชทานนามใหม่ว่า เมืองสุราษฎร์ธานี แต่เมื่อย้ายสถานที่ในราชการไปตั้งที่ควนท่าข้ามแล้ว พวกพ่อค้าไม่ย้ายตามไปเพราะการค้าขายที่บ้านดอนยังดีกว่าที่ท่าข้าม พวกข้าราชการไปอยู่ที่ท่าข้ามได้ความลำบาก พวกพ่อค้าที่บ้านดอนก็พากันร้องทุกข์ว่าจะหาอาณาประชาบาลยากนัก จึงย้ายเมืองกลับมาตั้งที่บ้านดอนตามเดิม เปนจบเรื่องประวัติเมืองสุราษฎร์ธานี ที่หม่อมฉันได้ทูลเรื่องตอนข้างต้นไปในจดหมายฉะบับก่อน
ในเวลานี้นับว่าท่านได้เสด็จเที่ยวประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ในแหลมมลายูทั่วทุกแห่งแล้ว หม่อมฉันจะทูลบันเล็งถึงเรื่องโบราณสถานที่มีตามหัวเมืองเหล่านี้ต่อไป
โบราณสถานที่ปรากฎอยู่ในหัวเมืองปักษ์ใต้ ที่ทำให้น่าเชื่อว่าจะเคยตั้งเปนบ้านเมืองแต่โบราณมีแต่ ๓ แห่ง คือที่เมืองไชยาแห่ง ๑ (ที่เรียกว่าเมืองเวียงสระนับอยู่ในเขตต์นี้ด้วย) เมืองนครศรีธรรมราชแห่ง ๑ เมืองยะลาแห่ง ๑ ใน ๓ แห่งนี้ที่เมืองไชยาดูจะเคยเปนเมืองใหญ่โตกว่าเพื่อน เมืองนครศรีธรรมราชพึ่งมาเปนเมืองใหญ่ เมื่อรับพระพุทธสาสนาลังกาวงศ ร่วมสมัยสุโขทัย แต่เมืองยะลาไม่มีหลักฐานนอกจากพระนอน ปลาดอยู่ที่เมืองชุมพร ถ้าว่าตามระยะอยู่ห่างเมืองไชยามาข้างเหนือ พอได้ขนาดกับเมืองนครศรีธรรมราชอยู่ห่างไปข้างใต้ ถ้าว่าโดยภูมิประเทศ ก็เปนที่ข้ามแหลมมลายูได้ง่ายกว่าแห่งอื่น ควรจะมีเมืองโบราณอยู่ที่ชุมพรอีกสักเมือง ๑ หม่อมฉันได้ให้ค้นทั่วทุกหนทุกแห่งก็ไม่พบสิ่งอันใดในแขวงเมืองชุมพร ที่จะส่อให้เห็นว่าเคยเปนบ้านเปนเมืองแต่โบราณ จะเปนเพราะเหตุใดยังฉงนอยู่ ถ้าว่าด้วยโบราณวัตถุ คือของที่เคลื่อนที่ได้ ของฝีมือชาวอินเดียสมัยคุปตะพบเรี่ยรายในที่หลายแห่ง แต่โบราณสถานที่ปรากฏอยู่ยังบริบูรณ์แต่พระธาตุไชยา เปนฝีมือสมัยศรีวิชัยภายหลังสมัยคุปตะมา ถึงกระนั้นพระธาตุไชยาก็เปนโบราณสถานเก่ากว่าเพื่อนที่ยังปรากฏอยู่ในเวลานี้ พระมหาธาตุนครศรีธรรมราชนั้นหม่อมฉันเคยทราบจากพระครูเทพมุนี (ปาน) ว่าเมื่อทำการปฏิสังขรณ์จะปูพื้น “วิหารพระม้า” ได้ขุดพื้นลงไปพบบรรไดพระธาตุอีกองค์ ๑ อยู่ใต้พระมหาธาตุ หม่อมฉันก็เข้าใจว่าพระมหาธาตุเดิมคงเปนมณฑปอย่างเดียวกับพระธาตุไชยา และสร้างในสมัยศรีวิชัยด้วยกัน ครั้นพวกลังกาวงศมาถึงเมื่อฟื้นพระสาสนาในคราวนั้น จึงก่อพระสถูปอย่างพระเจดีย์ลังกาสวมพระธาตุของเดิม โบราณวัตถุครั้งสมัยศรีวิชัยมีพระพิมพ์ดินดิบอีกอย่าง ๑ นอกจากนั้นวัดวาที่เมืองนครศรีธรรมราชและเมืองพัทธลุงที่ปรากฏอยู่ ดูเปนของครั้งสมัยอยุธยาแทบทั้งนั้น
เมื่อเร็ว ๆ นี่หญิงเหลือเอาหนังสือพิมพ์มาให้หม่อมฉันดู มีเรื่องเจ้าพระยาวรพงศฯ ฟ้องพวกคณะหนังสือพิมพ์เทอดรัฐธรรมนูญเปนคดีหมิ่นประมาท หม่อมฉันนึกว่าเรื่องนี้คงจะได้ผ่านพระเนตร์ท่านแล้ว ดูเปนน่าอนาถใจในความดำเนินของโลก ถึงกล้าใส่ร้ายคนว่ารื้อถอนยักยอกของอันยังปรากฏอยู่ตำตา.