วันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น

ตำหนักปลายเนีน คลองเตย

วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๔๗๘

กราบทูล สมเด็จกรมพระยาดำรง ทราบฝ่าพระบาท

ลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๑๒ เดือนนี้ ประทานไปพร้อมด้วยรูปฉายาลักษณ์สองแผ่นได้รับประทานแล้ว เป็นพระเดชพระคุณล้นเกล้า

รูปหลานๆ เจ็ดคนถ่ายกับฝ่าพระบาท ดูก็น่าเอนดูอยู่ดอก แต่รู้สึกว่าเป็นของธรรมดา เมื่อมีอายุมากก็ย่อมมีลูกหลานมากอยู่เอง สู้รูปหญิงจงถ่ายเกาะกับฝ่าพระบาทไม่ได้ น่าเอนดูเหลือเกิน รู้สึกปลื้มใจที่เธอได้มาเฝ้าฝ่าพระบาทอีกครั้งหนึ่ง ไม่ใช่เพียงแต่เธอฟื้นจากไข้ขึ้นเท่านั้น ดูเธออ้วนท้วนกว่าแต่ก่อนขึ้นเสียอีกด้วย ตามที่ทรงพระดำริจะเอาพระทัยใส่คอยดูอาการเธอ ถ้าเห็นทรุดโซมลงจะส่งเธอกลับนั้น เปนการสมควรอยู่แล้ว

ตามความในลายพระหัตถ์ ตรัสอธิบายถึงกุมภวาปีและหนองบัวลำภู ทั้งประทานตำนานตั้งเมืองในมณฑลอุดรอิสาณไปด้วยนั้น ดีอย่างยิ่ง เปนเครื่องประเทืองความรู้มาก จะได้คัดส่งไปให้ลูกชายเจริญใจทราบด้วย เธอไปถึงไหนเธอก็อยากทราบ กลับมาบ้านก็มาถาม เกล้ากระหม่อมก็จนตอบเธอไม่ค่อยได้ ในตำนานที่คัดประทานไป มีสงสัยชื่อเมืองอยู่เมืองหนึ่ง คือเมืองอากาศอำนวย ในบัญชีที่ตั้งเมื่อรัชกาลที่ ๓ มีจำนวน ๑๙ เมืองก็มี อยู่เลขที่ ๙ แล้วในบัญชีที่ตั้งเมื่อรัชกาลที่ ๔ อีก ๑๗ เมืองก็มี อยู่เลขที่ ๑๕ ซ้ำกัน ย่อมจะมีผิดอะไรอยู่ในนั้น ได้ทรงพระเมตตาโปรดให้สอบต้นฉะบับดูด้วย

ในเรื่องทรงพระดำริจะเสด็จไปเที่ยวเมืองพะม่านั้น รับรองว่าทรงพระดำริชอบยิ่งหนัก ทั้งทางที่ทรงพระดำริจะกลับผ่านเมืองเมาะลำเลิ่งจนถึงเมืองมะริดก็ดีหนัก ถ้าหากว่ามีเรือจะมาได้ รู้สึกข้องใจอยู่อย่างเดียว แต่ด้วยได้ยินว่า เดี๋ยวนี้พวกพะม่าเขาตั้งบัญญัติว่าจะเข้าวัดต้องถอดเกือก เปนความคิดที่จะป้องกันฝรั่งไม่ให้เข้าไปวอแว ฝรั่งรักษารัศมีไม่ยอมถอดเกือกก็เปนอันไม่ได้เข้า สมคิดพวกพะม่า ชาวเราก็แต่งตัวอย่างฝรั่ง จะเข้าไปในวัดก็คงถูกบังคับให้ถอดเกือกเหมือนฝรั่ง ถ้าเราไม่ถอดก็เปนอันเข้าไม่ได้ ตกลงก็เปนอันจะต้องไปเดินกรอกแกรกอยู่แต่ตามถนน ได้ชมแต่ร้านแขกซึ่งขายปลากะป๋องเปนต้นเท่านั้น ไม่ได้เห็นอะไรที่พึงชม พวกที่เขาเคยไปอินเดียเขามาเล่าให้ฟังว่าแขกกับฝรั่งนั้นไม่เข้ากันเลย ความจริงก็ควรเปนเช่นนั้นเพราะว่าฝรั่งต่างชาติมาเปนนาย ย่อมไม่เปนทางที่พึงใจอยู่เอง เขาว่าการไปเที่ยวอินเดียนั้นจะไปได้สองทาง คือไปทางเข้าหาฝรั่งอย่างหนึ่ง แต่ถ้าเดินทางนี้แล้วแขกเกลียด ไม่ยอมให้เข้าบ้าน ชีวิตของพวกแขกเปนอย่างไรเราเลยรู้ไม่ได้ อีกทางหนึ่งไปโดยทางเข้าหาแขก ทางนี้จะเข้าได้ทั้งบ้านผู้ดีเขญใจกระทั่งก้นครัว ได้รู้ชีวิตของแขกอย่างดีว่าดำรงตนอยู่อย่างไร แต่ฝรั่งดูถูกและเกลียดหน้า จะไม่ได้ความอุปการะอย่างไรจากฝรั่งเลย ทางเมืองพะม่าก็คงเปนอย่างเดียวกันเช่นนั้น

อ่านอธิบายเรื่องเมืองตะกั่วป่าตอนที่ ๕ ซึ่งทรงพระเมตตาโปรดประทานไปคราวนี้ ทำให้รู้สึกได้ดีว่าการใด ๆ จะจัดให้ดำเนินไปด้วยวิธีอย่างใด จะทำให้เปนผลสำเร็จนั้น ต้องแล้วแต่ท่าทางที่จะสะดวก แล้วคอยดู ถ้าเกิดขัดข้องก็ต้องจัดแก้ไขไปเปนคราว ๆ ที่จะหลับตาร่างข้อบังคับตามที่คิดเห็นว่าจะดีส่งให้ปฏิบัติตะบึงไปนั้นหาได้ไม่

เรื่องพระยาพังงา (ขำ) ได้ทูลถามมาสวนกับลายพระหัตถ์คราวนี้ เปนอันได้ความดีแล้วจากเรื่องเมืองตะกั่วป่าตอนที่ประทานไปคราวนี้

ถ้ามีเวลาว่างลองทรงพิจารณาคำสักคำหนึ่งดูสักทีก็ดี คือ “มิ” กับ “ไม่” มีความหมายเหมือนกันหรือต่างกัน ทุกวันนี้เขาชอบใช้ มิ กันเปนพื้น แต่เกล้ากระหม่อมฟังที่เขาใช้กันรู้สึกขัดหูอยู่หนักหนา นึกถึงตัวเราก็ใช้อยู่ทั้งสองอย่างเหมือนกัน แต่ทำไมฟังที่เขาใช้กันจึงรู้สึกขัดหูไปเล่า เมื่อนึกไปก็เห็นว่าลางช่องใช้ มิ ฟังได้ แต่ถ้าใช้ ไม่ แล้วฟังขัด ลางช่องตรงกันข้าม ถ้าใช้ ไม่ แล้วฟังสนิท ถ้าใช้ มิ แล้วฟังขวาง จะเปนด้วยเหตุใด ลองหาตัวอย่างคำใช้ได้ คำที่ร่วมกัน เช่น “มิได้” เราก็ใช้ “ไม่ได้” เราก็ใช้ แล้วจะผิดกันอย่างไร ในระหว่างที่คิดข้องใจอยู่นั้น ก็ได้ไปพบคำซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าทรงแต่งนิทานไว้ ใช้คำว่า “มิไม่ได้หรือ” ทำเอาสดุดใจมาก มิ กับ ไม่ ซ้อนกันอยู่ทีเดียว แสดงว่าคำทั้งสองนั้นมีความหมายไม่เหมือนกัน มิ เปนเชิงกล่าวค้านด้วยสงสัย ไม่ เปนปฏิเสธเด็จขาด เช่นนี้จะถูกหรือไม่

ที่ปีนังเวลานี้เห็นจะคึกคัก ชาวบางกอกพากันออกมามากในการถวายพระเพลิงสมเด็จกรมพระสวัสดิ์

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ