วันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๗ ดร

Cinnamon Hall,

206 Kelawei Road, Penang. S.S.

วันที่ ๑๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๘๗

ทูล สมเด็จกรมพระนริศร ฯ

สัปดาหะนี้สบเวลานายแก้วลาเข้าไปกรุงเทพ ฯ ไม่มีเสมียน หญิงพูนมีแก่ใจรับอาสาเปนพนักงานดีดพิมพ์ตลอดเวลา ๒ สัปดาหะ กว่านายแก้วจะกลับ

หม่อมฉันได้รับลายพระหัตถ์ฉะบับลงวันที่ ๑๒ ตุลาคม ยินดีขอบพระคุณที่ทรงแก้ไขทักท้วงวินิจฉัยที่หม่อมฉันส่งไปถวาย ๒ เรื่องให้บริบูรณ์ หวังว่าความรู้เรื่องนั้นๆ จะปรากฏอยู่เปนหลักฐานแก่คนภายหน้าสืบไป

เรื่องเมืองตะกั่วป่าที่ตรัสถามมาในลายพระหัตถ์นั้น เผอิญมาประจวบเวลาหม่อมฉันได้รับรายงานดอกเตอร์เวลส์ เสนอสมาคมรอแยลเอเซียติค ประเทศอังกฤษ ซึ่งแต่งให้มาตรวจหาหนทางที่พวกชาวอินเดียมายังประเทศสยามแต่โบราณ พิมพ์แล้วเขาส่งมาให้หม่อมฉันฉะบับ ๑ ได้ความตรงตามหม่อมฉันเคยคาด ว่าแต่โบราณเมืองตะกั่วป่าเปนสถานที่สำคัญของชาวต่างประเทศที่ไปตั้งเมืองไชยา แต่ในรายงานความอยู่ข้างพิสดาร จะเขียนทูลในจดหมายฉะบับนี้หม่อมฉันนึกเกรงใจหญิงพูนผู้ดีดพิมพ์ ด้วยมีเรื่องวินิจฉัยให้เธอพิมพ์สำหรับถวายในสัปดาหะนี้ยาวอยู่แล้ว ขอประทานผัดรอเรื่องเมืองตะกั่วป่าไว้ทูลในสัปดาหะหน้าต่อไป.

วินิจฉัยประเพณีแต่งงานอย่างโบราณ

ในบทเสภา (ฉะบับหอพระสมุดฯ พิมพ์) เล่ม ๑ เมื่อพลายแก้วแต่งงานกับนางพิมพ์หน้า ๑๕๐ ตอน ๑ เมื่อขุนช้างแต่งงานกับนางวันทองหน้า ๒๕๓ ตอน ๑ กับในเล่ม ๓ เมื่อแต่งงานพระวัยกับนางศรีมาลา หน้า ๒๐๙ อีกตอน ๑ พรรณนาถึงกระบวรพิธีแต่งงานบ่าวสาวอย่างโบราณ ตรงกับที่ได้เคยเห็นแต่ก่อนบ้าง เคยได้ยินเล่ากันมาบ้าง แปลกกับที่ทำกันในปัจจุบันนี้ จึงเก็บเอาเนื้อความมาแต่งวินิจฉัยนี้ ยกเอากระบวรในตอนแต่งงานพลายแก้วกับนางพิมพ์ตั้งเปนหลัก เอาความในตอนอื่นประกอบ

๑. เมื่อนางทองประสีผู้ปกครองเจ้าบ่าว ไปขอนางพิมพ์ต่อนางศรีประจันต์ผู้ปกครองเจ้าสาว หาผู้ใหญ่สูงอายุในตำบลนั้นอันเปนที่นับถือด้วยกันทั้งสองฝ่าย (จึงเรียกว่าเถ้าแก่) ไปด้วย ๔ คน เมื่อนางทองประสีขอลูกสาว นางศรีประจันต์ว่า

“ตูจะขอถามความท่านยาย ลูกชายนั้นดีหรืออย่างไร
ไม่เล่นเบี้ยกินเหล้าเมากันชา ฝิ่นฝามันสูบบ้างหรือไม่
จะสูงต่ำดำขาวคราวใคร ตูยังไม่เห็นแก่ตาว่าตามจริงฯ
๏ ครานั้นตาสนกับตาเสา กับทั้งยายเม้าและยายมิ่ง
ว่านานไปท่านจะได้พึ่งพิง ลูกทองประสีดีจริงนะคนนี้ฯ”

บทตรงนี้ส่อว่าผู้ปกครองเปนผู้ขอ เถ้าแก่เปนผู้รับประกัน

๒. เมื่อแม่ยอมยกลูกสาวให้แล้ว ผู้ปกครองทั้งสองฝ่ายปรึกษากันต่อไปถึงกำหนดทุนสิน และหาฤกษ์กำหนดวันงาน แต่นั้นทางฝ่ายเจ้าบ่าวก็แต่งตัวไม้เรือนหอ แล้วขนเอาไปเตรียมไว้ที่บ้านเจ้าสาว ฝ่ายข้างเจ้าสาวก็เตรียมทำของเลี้ยง

๓. ครั้นถึงฤกษ์แรก เจ้าบ่าวบอกแขกขอแรงพวกพ้องพากันไปยังบ้านเจ้าสาวแต่ดึก พอได้แสงอรุณก็ตั้งพิธีทำขวัญเสาแล้วลงมือปลูกเรือนหอแล้วเสร็จในวันนั้น ข้างฝ่ายเจ้าสาวเลี้ยงอาหารพวกปลูกเรือน

การปลูกเรือนหอให้แล้วในวันเดียว เคยทราบว่าทำกันเปนสามัญมาแต่ก่อน บางตระกูลยังถือแปลกออกไปให้ใช้แต่ไม้หมากทำเสาเรือนหอก็มี ส่วนเครื่องแต่งเรือนเปนของฝ่ายเจ้าสาวจะต้องหา

สันนิษฐานว่าเรือนหอแต่งงานนั้น ทำสำหรับให้อยู่ชั่วคราวพอผู้ปกครองฝ่ายหญิงวางใจ เช่นมีลูกด้วยกันแล้วก็ดีหรือเห็นว่ารักใคร่คุ้นกันสนิทสนมแล้วก็ดี ก็ยอมให้พากันไปตั้งบ้านเรือนอยู่เปนอิสสระต่างหาก หรือไปอยู่บ้านของเจ้าบ่าวอันเปนผู้มีถิ่นฐานของตนเองอยู่แล้ว เพราะเหตุนั้นจึงไม่ทำเรือนหออย่างมั่นคง แต่โดยปกติคงต้องปลูกเรือนหออยู่ด้วยกันที่บ้านเจ้าสาวก่อนทั้งนั้น ประเพณีที่ยอมให้เจ้าสาวไปอยู่บ้านเจ้าบ่าวแต่แรกแต่งงาน น่าจะมีแต่ในตระกูลซึ่งเจ้าบ่าวไม่สามารถจะทิ้งที่อยู่ไปได้ เช่นต้องปกครองบ้านเมือง

๔. ต่อวันปลูกหอมา ในบทเสภาว่า

“ครั้นรุ่งเช้าขึ้นพลันเปนวันดี ทองประสีจัดเรือกันยาใหญ่
เอาขันหมากลงบรรทุกขลุกขลุ่ยไป หามโหรีใส่ท้ายกันยา
(คนยก) ขันหมากเอกเลือกหญิงที่รูปสวย นุ่งยกห่มผวยจับผิวหน้า
ก็ออกเรือด้วยพลันทันเวลา ครู่หนึ่งถึงท่าศรีประจันต์ฯ”

การแห่ขันหมากอย่างว่านี้ได้เคยเห็นมาหลายครั้ง

คำที่เรียกว่า “ขัน” นั้นแปลกอยู่ ไทยข้างใต้เช่นชาวกรุงเทพฯ หมายความว่าภาชนะอย่างรูปคล้ายมะพร้าวครึ่งซีก แต่ไทยข้างเหนือเช่นชาวเชียงใหม่เขาหมายความภาชนะอย่างมีเชิง เช่นที่ไทยใต้เรียกว่า “พาน” นั้น ที่จริงเมื่อคิดดูก็เห็นว่าจะมาแต่มูลอันเดียวกันนั้นเอง คือแต่เดิมมนุษย์ใช้กลามะพร้าวเปนภาชนะใช้สอย ต่อมาเมื่อรู้จักหล่อโลหะใช้ ก็ทำภาชนะนั้นด้วยโลหะเรียกกันว่า “ขัน” ทั้งไทยใต้และไทยเหนือ ต่อมาอีกมีผู้คิดทำเชิงต่อขันให้สูงขึ้น ไทยเหนือเรียกคงอยู่ว่า “ขัน” ตามเดิม ไทยใต้เดิมเรียกว่า “ขันเชิง” ต่อมาเมื่อทำขันเชิงชนิดที่ใช้สำหรับวางของแห้ง ขังน้ำในนั้นไม่ได้ จึงเรียกกันว่า “พาน” ที่ว่านี้โดยเดา แต่ปลาดอยู่ที่มีเครื่องราชูปโภคสิ่งหนึ่งซึ่งใช้ทั้ง ๒ คำนั้นรวมกันเรียกเปนชื่อว่า “พานพระขันหมาก” ข้อนี้ที่ส่อให้สันนิษฐานดังกล่าวมา

ถ้าว่าฉะเพาะที่ในบทเสภาที่เรียกกันว่า “ขันหมาก” เห็นจะเปนภาชนะใส่หมากสำหรับเลี้ยงแขกที่เชิญมาในวันงานนั้นเอง จะใส่ขันหรือด้วยพานก็ได้ ขันหมากเอกสำหรับแขกที่ศักดิ์สูง งานที่เห็นมีขันหมากเอกมากก็ยิ่งมีหน้ามีตา เพราะจะมีคนสูงศักดิ์มาช่วยมากจึงได้ตกแต่งขันหมากเอกให้หรูหราผิดกับขันหมากสามัญ หญิงสาวที่ถือขันหมากไปตอนเช้าก็เห็นจะเปนสาวใช้ที่ตั้งพานหมากเลี้ยงแขกในตอนเย็นด้วย

๕. เมื่อเรือขันหมากถึงบ้านเจ้าสาว บทเสภาว่า

“จึงจอดเข้าหน้าสะพานใหญ่ ตาผลวิ่งไปเอาไม้กั้น
เสียเงินทองให้ขึ้นไปพลัน ขนขันหมากขึ้นบรรได” (เรือน)

ความตรงนี้วินิจฉัยข้อต้น ส่อถึงเหตุที่มีเครื่องดนตรีประโคมไปในเรือขันหมาก ข้อหลังส่อถึงที่ตาผลเอาไม้กั้น อันประเพณีงานของชาวบ้านที่ประโคมเครื่องดนตรีไปในเรือ โดยปกติมักเปนการบอกบุญ เหมือนเช่นแห่กฐินหรือผ้าป่า ประสงค์จะชักชวนชาวบ้านให้มาช่วยกันทำบุญ แต่แห่ขันหมากไม่มีกิจเช่นนั้น จึงเห็นว่าเครื่องดนตรีนั้นสำหรับประโคมบอกให้ยินดีเมื่อไปถึงบ้านเจ้าสาว ไม่เช่นนั้นก็จะต้องไปตะโกนให้เปิดประตูรับ ข้อที่มีผู้มากีดกั้นก็มิใช่อื่นคือผู้เปนโทวาริกรักษาประตู ต้องดูแลให้รู้ว่าใครมาและไต่ถามให้ทราบกิจเสียก่อน แล้วจึงเปิดประตูรับ

๖. เมื่อพวกนำขันหมากขึ้นเรือนเจ้าสาวแล้ว มีในบทเสภาต่อไป (แต่ในบทตอนขุนช้างแต่งงานกับนางวันทอง ความตรงนี้ชัดเจนดีกว่าเพื่อน) จึงคัดเอามาลง ว่า

“ขันหมากตั้งเรียงเคียงกันมา เถ้าแก่นำหน้าขึ้นนั่งพรม
เถ้าแก่ที่เรือนก็ต้อนรับ จึงนับโต๊ะเตียบใหญ่ใส่ขนม
ทั้งหมูไก่เหล้าเข้มเต็มขวดกลม กล้วยส้มร้อยสิ่งตามสัญญา
ทุนสินเงินตราผ้าไหว้ เอาออกนับรับใส่โต๊ะสามขา—(อย่างที่เรียกว่า “โต๊ะเท้าช้าง”)
เถ้าแก่สองข้างต่างสนทนา ขนของเข้าเคหาด้วยทันใด
แถมพกยกให้ตามทำนอง เอาเข้าของคาวหวานมาตั้งให้
เลี้ยงดูอิ่มหนำสำราญใจ เถ้าแก่กลับไปด้วยฉับพลันฯ”

ความตอนนี้ส่อว่าเถ้าแก่ (ทั้ง ๔ คนที่ไปเมื่อวันขอ) เปนผู้นำขันหมากไป ทางฝ่ายเจ้าสาวก็หาเถ้าแก่ไว้รับ เถ้าแก่คนกลางทั้งสองฝ่ายเปนพนักงานตรวจตราสิ่งของที่ฝ่ายเจ้าบ่าวจะต้องให้ให้ถูกต้องตามสัญญา และสิ่งของที่ให้นั้นเปนของกินสำหรับเลี้ยงแขกประเภท ๑ เงิน “ทุน” (ซึ่งผู้ปกครองให้ฝ่ายละครึ่ง) สำหรับคู่บ่าวสาวจะได้รวมกันใช้ในการตั้งตัวประเภท ๑ “สินสอด” ของขวัญเจ้าบ่าวให้แก่เจ้าสาวประเภท ๑ “ผ้าไหว้” คือผ้านุ่งกับผ้าห่มจัดเปนสำรับสำหรับคู่บ่าวสาวให้ผู้ใหญ่ในสกุลทั้งสองฝ่ายเวลาไปไหว้เมื่อแต่งงานแล้ว เมื่อฝ่ายเจ้าสาวรับเครื่องขันหมากเสร็จแล้วเลี้ยงอาหารและแจกของแถมพกแก่พวกที่ไปรับขันหมากทั่วกัน

๗. เมื่อเวลาเย็น (วันขันหมากไปนั้น) ทำพิธีสงฆ์ นิมนต์พระมาสวดมนตร์ ตัวเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวต่างมีเพื่อนบ่าวและเพื่อนสาวราวฝ่ายละ ๑๐ คน หัวหน้าเรียกว่า “บ่าวนำ” และ “สาวนำ” ห้อมล้อมพาตัวเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวไปนั่งตั้งวงแยกกันอยู่ข้างหน้าพระสงฆ์ (กระบวรพิธีนี้ บทเสภาตอนแต่งงานพระวัยพรรณนาชัดเจนกว่าเพื่อน) จึงคัดมาลง ว่า

“ครั้นถึงน้อมนั่งฟังพระธรรม พระสดัมภ์ (ปลัดสังฆราช) จับมงคลคู่ใส่
สายสิญจน์โยงศรีมาลามาพระวัย พอฆ้องใหญ่หึ่งดังตั้งชยันโต
หนุ่มสาวเคียงข้างเข้านั่งอัด พระสงฆ์เปิดตาลิปัตร์ซัดน้ำโร่
พรำลงข้างสีกาห้าหกโอ ท่านยายโพสาวนำน้ำเข้าตา
อึดอัดยัดเยียดเบียดกันกลม เอาหนามส้มแทงท้องร้องอุยหน่า
ที่ไม่ถูกเท้ายันดันเข้ามา ท่านยายสาออกมานั่งบังกันไว้
มหาดเล็กโลนโลนโดนกระแทก โอยพ่อขี้จะแตกทนไม่ได้
ท่านยายสาเต็มทีลุกหนีไป จนพระวัยศรีมาลามาชิดกัน ฯ”

บทตอนนี้แสดงประเพณีแต่งงานอย่างโบราณ ที่ผิดกับที่ทำกันชั้นหลังเปนข้อสำคัญ คือ

ก. พระสวมมงคลคู่ให้บ่าวสาว

ข. การรดน้ำแต่งงานพระเปนผู้รดเมื่อสวดมนตร์จบ

ค. รดน้ำด้วยเอาโอตักน้ำ “ซัด” เปียกทั้งตัว (มีในบทเสภาว่าต้องผลัดผ้าแต่งตัวใหม่ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาว)

ฆ. การที่พวกเพื่อนบ่าวสาวเข้ารับน้ำมนตร์ เปนอุบายที่จะแกล้งเบียดตัวเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวให้เข้าไปชิดติดกัน

รดน้ำอย่างว่ามานี้ในบทเสภาเรียกว่า “ซัดน้ำ” (เห็นจะเปนภาษาไทยคำเดียวกับ “สาดน้ำ” นั่นเอง) แม้รดน้ำเด็กเมื่อโกนจุกก็ให้พระ “ซัด” น้ำอย่างว่านี้ (มีอยู่ในบทเสภาตอนโกนจุกพลายงาม) น่าสันนิษฐานว่าจะเปนประเพณีเดิมของไทยจึงประพฤติกันแพร่หลายในชั้นพลเมือง วิธีที่ให้ผู้ใหญ่ในวงศญาติรดน้ำสังข์แก่คู่บ่าวสาว น่าจะเปนประเพณีพวกพราหมณาจารย์พามาแต่อินเดีย อนุโลมต่อพิธีอภิเศก เห็นจะใช้แต่ในมณฑลบุคคลชั้นสูงเช่นเจ้านายเปนต้น

เมื่อเสร็จพิธีซัดน้ำ ถวายไทยธรรมพระสงฆ์แล้วเวลาค่ำมีการเลี้ยงแขก จัดเลี้ยงเปนชั้นๆ ตั้งแต่ตัวนายลงไปตลอดจนบ่าวไพร่ แต่เลี้ยงผู้หญิงกับผู้ชายไม่ปะปนกัน

๘. รุ่งเช้าเลี้ยงพระที่ได้สวดมนตร์เมื่อวันก่อน ตัวเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวต้องตักบาตด้วยกัน เลี้ยงพระแล้วเปนเสร็จการพิธี

๙. การส่งตัวเจ้าสาวยังรอต่อมาอีก ดูราวกับเพื่อจะเกลี้ยกล่อมให้เจ้าสาวยอมไปสู่ชายหายอดสูเสียก่อน ในระหว่างนั้นเจ้าบ่าวต้องนอนคอยอยู่ที่เรือนหอสักสองสามวันผู้ปกครองจึงพาตัวเจ้าสาวไปส่งให้ในเวลาค่ำวันหนึ่ง เมื่อจะไป “ส่งตัว” นั้นลอบไปมิให้ใครรู้ แม้ตัวเจ้าบ่าวก็ไม่บอกให้รู้ล่วงหน้าก่อน

เมื่อเขียนวินิจฉัยประเพณีแต่งงานอย่างโบราณตอนที่ปรากฏในบทเสภาแล้ว นึกขึ้นถึงเรื่องที่เคยได้ยินเล่ากันมาว่าเมื่อในรัชชกาลที่ ๓ ผู้สูงศักดิ์เช่นเจ้านาย ถ้าอยากได้ลูกสาวใคร สามารถจะพาพรรคพวกไปฉุดเอาตัวหญิงนั้นไปเปนเมียตามอำเภอใจ และเล่ากันพิสดารต่อไปว่าครั้งหนึ่งลูกเธอไปฉุดลูกสาวเขา ผู้ปกครองหญิง (ทำนองจะเปนข้าราชการ) ถวายฎีกา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสว่า “ทำไมลูกของข้าไม่สมกับลูกของเจ้าหรือ” ผู้ถวายฎีกาก็ต้องนิ่งไป คำเล่าเช่นนี้ไม่น่าเชื่อว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงเห็นชอบหรือแม้แต่เพิกเฉย ในการที่พระเจ้าลูกเธอเที่ยวข่มเหงผู้อื่นเช่นนั้น น่าจะเปนเพราะไม่มีใครกล้ากราบทูลให้ทรงทราบ ด้วยกลัวการแก้แค้นของผู้มีอำนาจยิ่งกว่าอย่างอื่น แต่เรื่องฉุดลูกสาวนั้นมีแน่ แต่เหตุอันหนึ่ง ซึ่งทูลกระหม่อมทรงตั้งประเพณีเสด็จออกรับฎีการาษฎรด้วยพระองค์เองทุกสัปดาหะ จึงสงบแต่ในรัชชกาลที่ ๔ มา

เมื่อหม่อมฉันอ่านหนังสือเรื่องประเทศต่าง ๆ ไปพบกล่าวถึงการพิธีแต่งงานของมนุษย์พวกที่อยู่ตามทะเลทราย ว่าเจ้าบ่าวขี่ม้าคุมพรรคพวกไปรับตัวเจ้าสาวขึ้นหลังม้าพาไป เหมือนอย่างว่าสามารถชิงเอาไปเปนเมียได้ด้วยมีฤทธิเดชมาก แล้วนึกต่อไปถึงเรื่องพระอินทร์ชิงลูกสาวท้าวเวปจิตติในนิทานธรรมบท (มีรูปภาพเขียนไว้ในพระอุโบสถวัดราชบุรณ) และเรื่องอิเหนาที่ท้าวกะหมังกุหนิงยกกองทัพไปดีเมืองดาหา เพราะเหตุขอนางบุษบาท้าวดาหาไม่ให้ ส่อให้เห็นว่าแต่โบราณนิยมกันว่าถ้าใครสามารถอาจจะหาเมียได้ด้วยพลการนับว่าเปนผู้วิเศษ มูลของการฉุดลูกสาวน่าจะมาแต่ประเพณีซึ่งนิยมกันแต่ดึกดำบรรพ์ดังกล่าวมา พวกพราหมณาจารย์เอาเข้ามาแถลงจึงมาเกิดขึ้นในประเทศนี้ แต่ว่าชั้นเดิมเห็นจะประพฤติแต่ในระหว่างตระกูลอันยศศักดิ์สมกัน และพาไปเปนเมียหลวง และฉะเพาะแต่ในกรณีที่ผู้ปกครองไม่ยอมยกให้โดยดีเท่านั้น ครั้นนานมาเมื่อความรู้และความเลื่อมใสในจารีตโบราณวิปริตไปก็กลายเปนวิธีสำหรับคนพาลที่มีอำนาจ เที่ยวฉุดคร่าหาเมียน้อยเล่นตามใจหม่อมฉันคิดเห็นดังนี้.

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ