วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร

Cinnamon Hall,

206 Kelawei Road, Penang. S.S.

วันที่ ๓๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๗๘

ทูล สมเด็จกรมพระนริศร ฯ

หม่อมฉันได้รับลายพระหัตถ์ฉะบับลงวันที่ ๒๖ ตุลาคมแล้ว ของเสบียงที่โปรดฝากแช่ม จุลดิศ มาประทานก็ได้รับแล้ว ขอขอบพระคุณและขอบใจคุณโตด้วยเปนอันมาก

ข้อที่ตรัสสงสารหญิงพูนที่ต้องดีดพิมพ์แทนนายแก้ว และทรงแนะให้หม่อมฉันรอเรื่องเมืองตะกั่วป่า อย่าให้เธอต้องดีดพิมพ์มากนักนั้น เธอรู้สึกว่าเสด็จอาว์ทรงพระกรุณาอยู่เสมอ ส่วนหม่อมฉันก็เต็มใจที่จะรอไปอีกสักสัปดาหะหนึ่ง เพราะเปนเรื่องยากกว่าคาด ด้วยต้องสอบหนังสืออื่นหลายเรื่อง ถ้าหากโดยรีบร้อนจะพลาดพลั้งมากนัก นายแก้วก็กลับมาแล้วแต่วันพุธที่ ๒๓ แต่เผอิญเอาโรคสุกใสมาออกในชั่วโมงที่มาถึงยังป่วยอยู่ แต่อาการค่อยคลายแล้วไม่อีกกี่วันคงจะดีดพิมพ์ได้

เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๗ แช่มพาสามเณร (ต่อ) วิบูลยดิศ ลูกชายคนเล็กของเขาออกมาให้หม่อมฉันเห็นชายผ้าเหลือง หม่อมฉันอยู่ข้างจะปลาบปลื้มที่ทราบว่าอุตสาห์เรียนเข้าสอบความรู้นักธรรมตรีได้ (นัยว่าอยู่ในพวกที่นับเปนชั้นที่ ๑ ด้วย) แต่เวลาอายุยังไม่เต็ม ๑๓ ปี เห็นว่ามีอุปนิสัยในทางข้างจะดี ได้ยินว่าสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ท่านอยากให้บวชอยู่ต่อไป แต่จุลดิศพ่ออยากให้ศึกกลับมาเรียนในชั้นมัธยมให้สำเร็จเพื่อจะส่งไปเรียนเมืองยุโรปเปนที่สุด ส่วนตัวสามเณรเองก็อยากบวชอยู่ต่อไปแต่เกรงใจพ่อ เมื่อใครถามความสมัคก็บอกว่า “แล้วแต่เสด็จปู่โปรดอย่างไรก็จะทำอย่างนั้น” หม่อมฉันจึงต้องเปนผู้ชี้ขาดเรื่องการเล่าเรียนของสามเณรต่อ แต่ก็ไม่เห็นเปนการยากอย่างไร ด้วยไม่มีทางอื่นจะดีกว่าให้บวชเรียนต่อไป เพราะใจตัวเองก็สมัคและมีอุปนิสัยเห็นชัดแล้วว่าอาจจะดีในทางนั้น ไม่ต้องป่วยกล่าวไปถึงข้อเกี่ยวข้องกับพระราชวงศ หรือความอบรมของนักเรียนที่เปนคฤหัสฐ์ หม่อมฉันจึงตัดสินให้สามเณรต่อบวชต่อไป และจะมอบการฝึกสอนอบรมถวายไว้ในสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์

เมื่อสามเณรหลานมาถึงปีนัง หม่อมฉันพาไปฝากให้พักที่วัดปุโลติกุส ด้วยอยู่ใกล้กับ Cinnamon Hall ท่านสมภารก็เอาเปนธุระเอื้อเฟื้อมาก จัดกุฏิให้อยู่หลังหนึ่งและเลี้ยงดูด้วย ในพวกไทยที่มาจากกรุงเทพฯ ก็ทำบุญ หม่อมฉันทราบว่าเทศน์ได้ เมื่อวันที่ ๒๙ จึงนิมนต์มาเทศน์ที่ Cinnamon Hall พวกไทยชาวกรุงเทพฯ พร้อมกันมาฟังธรรมมาก สามเณรออกจะรวยเครื่องกัณฑ์ วันที่ ๓๐ พระองค์หญิงประเวศฯ ทรงบาตนิมนต์ท่านสมภารไปนำ บอกว่านานๆ จะได้รับบาตที่ปีนังเพราะเขาไม่ใส่บาตกันตามบ้านเปนประเพณีเหมือนในเมืองไทย วันที่ ๑ พฤศจิกายน กรมหลวงสิงห์ฯ จะทรงบาตเช่นเดียวกัน วันที่ ๒ สามเณรจะกลับกรุงเทพฯ หม่อมฉันถวายพระกุศลที่ได้ทำบุญแด่ท่านด้วย

ในจดหมายฉะบับนี้หม่อมฉันจะทูลสนองความในลายพระหัตถ์ ๒ ข้อ ข้อต้น วัตถุที่เรียกว่า “โต๊ะ” และ “โตก” นั้น จับมูลได้ว่าต่างกันดังนี้ คือ โต๊ะ เปนคำภาษาจีน เรียกที่ตั้งเครื่องบูชาและตั้งของกินตรงกับที่อังกฤษเรียก Table คำว่า โตก เปนภาษาไทยเดิมใช้เรียกถาดมีเชิง ภายหลังมาจึงเอาคำโต๊ะของจีนมาเรียกโตกเปนโต๊ะไป เห็นจะเปนเพราะเสียง ๒ คำนั้นคล้ายๆ กัน และตัววัตถุก็สำหรับใช้วางของด้วยกัน คำโตกจึงหายไปคงมีแต่ในหนังสือเก่า แต่เมื่อหม่อมฉันขึ้นไปมณฑลพายัพครั้งแรกในรัชชกาลที่ ๕ เขาเลี้ยงอาหารใช้ตั้งในถาดไม้ทาสีแดงมีเชิงเปนลูกมะหวด (เหมือนอย่างที่เคยเห็นใส่ของถวายพระกันแต่ก่อน) ในมณฑลพายัพเรียกว่า “สะโตก” เขาบอกอธิบายด้วยว่าใช้ได้แต่เจ้า ไพร่จะใช้สะโตกไม่ได้ ถาดมีเชิงที่เรียกว่า “โต๊ะสามขา” ก็มาแต่สะโตกนั้นเอง

แต่ก่อนมาช้านานแล้วหม่อมฉันเห็นในหนังสือเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มีรายชื่อเครื่องยศอย่างหนึ่งเรียกว่า “โต๊ะเท้าช้าง” หม่อมฉันอยากรู้ว่ามันเปนอย่างไรก็ค้นไม่พบ เห็นโต๊ะสามขาก็เปนเล็บสิงห์ คิดไม่เห็นว่าโต๊ะเท้าช้างจะเปนอย่างไร มาจนวันหนึ่งดูเหมือนจะเปนในรัชชกาลที่ ๖ คุณหญิงเนื่อง ภรรยาพระยาเพ็ชรรัตนสงคราม (เลื่อน) สมุหเทศาภิบาลมณฑลเพ็ชรบูรณ์ มาหามารดาหม่อมฉัน มีลูกไม้ใส่โต๊ะสามขามาให้หม่อมฉันแลดูเห็นขาโต๊ะใบนั้นทำเปนรูปเท้าช้างเปนใบแรก จึงได้คิดว่าที่เรียกว่าโต๊ะเท้าช้างคือโต๊ะนั้นเองแต่ชั้นเดิมเห็นจะทำขาเปนเท้าช้างโดยมากจึงเรียกว่าโต๊ะเท้าช้าง ครั้นภายหลังยักไปทำเปนรูปเท้าสิงห์แต่คนยังเรียกอยู่อย่างเดิม หม่อมฉันนึกอยากได้ไว้ ดูจะออกปากขอในเวลานั้นก็นึกขวยใจจึงนิ่งอยู่ ครั้นนานมาอีกหลายปีพบคุณหญิงเพ็ชรรัตนฯ อีกหม่อมฉันถามว่าโต๊ะเท้าช้างใบนั้นยังอยู่หรือ แกบอกว่าทูลกระหม่อมเล็กท่านโปรด ถวายท่านไปเสียแล้ว หม่อมฉันยังพยายามหาต่อมา หมายจะให้มีโต๊ะเท้าช้างไว้ในพิพิธภัณฑ์สถานสักใบ ๑ ขอให้คุณท้าวภัณฑสารฯ ค้นดูในคลังในก็ได้มาเปนแต่เท้าสิงห์ จึงเปนอันได้เคยเห็นโต๊ะเท้าช้างครั้งเดียวดังทูลมาพอเข้าใจว่าเปนของมีจริง

ข้อที่จะทูลอีกข้อหนึ่งนั้น คือมาคิดถึงการที่รดน้ำให้กัน พิจารณาเห็นว่ามีลักษณเกิดแต่มูล ๒ อย่าง คืออย่างหนึ่งด้วยเจตนาให้ความสุขแก่กัน อีกอย่างหนึ่งเพื่อประกาศสิทธิดังจะยกตัวอย่างต่อไป เช่น รดน้ำสงกรานต์ รดน้ำมนตร์ รดน้ำเมื่อขึ้นเรือนใหม่ หรือถ้าจะเรียกรวมกันว่า “ซัดน้ำ” เหล่านี้เปนเจตนาเพื่อให้ความสุข แต่รดน้ำอีกอย่างหนึ่ง เช่นพระเวสสันดรหลั่งน้ำบนมือชูชกเพื่อให้ ๒ กุมาร ตลอดมาจนกรวดน้ำเมื่อทำบุญและหลั่งน้ำเมื่อถวายที่สีมา เหล่านี้เปนการแสดงว่าพ้นจากให้เปนสิทธิเด็ดขาด เปรียบเหมือนตัดให้ขาดจากตนไป ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงหลั่งน้ำเมื่อแสดงความเปนอิสสระของประเทศสยาม ก็จะอยู่ในประเภทนี้ ยังมีการรดน้ำที่น่าพิจารณาว่าอยู่ในประเภทใดก็หลายอย่าง ดังเช่นราชาภิเศกพระเจ้าแผ่นดินตามตำราทางอินเดีย ว่าให้สาวพรหมจารีย์หลั่งน้ำบนพระเศียรถวายอภิเศก ท่าจะหมายความว่าถวายสิทธิแห่งพระราชาธิบดี การรดน้ำเมื่อโกนจุกหมายการย้ายฐานะจากทารกไปสู่สิทธิหนุ่มสาว และรดน้ำแต่งงานหมายเปลี่ยนจากเปนโสดไปสู่สิทธิแห่งสามีภริยาจะได้หรือไม่ ขอให้ทรงพิจารณาค้นหาหลักฐานในการรดน้ำให้กัน ดูว่าน่าจะลงยัติอย่างไร.

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

  1. ๑. พระยาเพ็ชรรัตนสงคราม (เลื่อน ภูมิรัตน์)

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ