วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น

ตำหนักปลายเนีน คลองเตย

วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๔๗๘

กราบทูล สมเด็จกรมพระยาดำรง ทราบฝ่าพระบาท

ลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ได้รับประทานแล้ว

เปนพระเดชพระคุณที่ทรงพระเมตตาตรัสแนะนำให้เขียนหนังสือถวายแต่น้อย การทำหนังสือนั้นประธานอยู่ที่ความคิด ถ้าคิดได้น้อยก็เขียนยาวไม่ได้อยู่เอง ถ้าคิดได้มากขยักเขียนแต่น้อยก็อกแตก แต่พระวิตกเรื่องนี้พ้นแล้ว เพราะหญิงอามทำการได้แล้ว

อยากทูลถามถึงคนสองคน พระยาเสนานุชิต (นุช ณนคร) คนนี้หรือมิใช่ ที่ไปเปนเจ้าเมืองพังงา ซึ่งมีชื่อเสียงหนัก กับนายเล่ห์อาวุธ ซึ่งเขารับราชการอยู่เมื่อเราเล็กๆ ดูเหมือนชื่อกล่อม โปรดตั้งเปนพระบริสุทธโลหเกษตรารักษ์ ผู้ว่าราชการเมืองตะกั่วป่านั้น เปนลูกใคร ประหลาดใจที่เมื่อเขาเปนมหาดเล็กพูดเสียงกรุงเทพ ฯ จนรู้ไม่ได้ว่าเปนชาวนอก พอโปรดตั้งเปนพระบริสุทธก็กราบทูลเสียงเปนชาวนอกไปทันที

ขอพระเดชพระคุณที่โปรดประทานอธิบายเรื่องเมืองตะกั่วป่าตอนที่ ๒ ไปให้ทราบเกล้า ทำให้ได้ความรู้ขึ้นดีหนัก จะทูล “ตอด” ถวายในลางข้อที่รู้สึกในใจเช่นคราวก่อน แต่คราวนี้ไม่มีมากข้อ

๑ ในหนังสือเก่า เช่นตำราประสมทองของช่างหล่อเปนต้น ออกชื่อตะกั่วแบ่งเปนสองชะนิด คือตะกั่วนมอย่างหนึ่ง กับตะกั่วเกรียบอย่างหนึ่ง หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่าตะกั่วขาวกับตะกั่วดำ เกล้ากระหม่อมได้เรียนถามผู้รู้ถึงตะกั่วที่ออกชื่อไว้นั้นว่าผิดกันอย่างไร ได้คำอธิบายว่าถ้าแผ่เปนแผ่นบางแล้วดัดงอไป ตะกั่วนมจะอ่อนน่วมไปโดยละม่อม ตะกั่วเกรียบจะลั่นดังกรอบเกรียบ ตะกั่วขาวก็คือตะกั่วนมนั้นเอง ตะกั่วดำก็คือตะกั่วเกรียบนั้นเอง โดยคำอธิบายอย่างนี้จึงสันนิษฐานว่า ตะกั่วนม ตะกั่วขาวเปนตะกั่ว ตรงกับที่ฝรั่งเรียก lead ตะกั่วเกรียบ ตะกั่วดำ เปนดีบุก ตรงกับที่ฝรั่งเรียก tin คำว่าดีบุกไม่มีในตำราประสมทองของบุราณ น่าจะเปนคำภาษาอื่นเข้ามาสู่ภาษาไทยทีหลัง ตามที่กราบทูลทั้งนี้ โดยสงสัยว่าเมืองตะกั่วป่าเมืองตะกั่วทุ่งจะมีชื่อมาก่อนคำดีบุกเข้ามาสู่ภาษาไทย แต่ข้อที่ตรัสทักว่าชื่อเมืองทั้งสองผิดไวยากรณ์ภาษาไทยนั้น ถูกอย่างยิ่ง ถ้าพูดถึงที่ดินควรเรียกว่าเมืองป่าตะกั่วเมืองทุ่งตะกั่ว ต่อพูดถึงตะกั่วจึงควรเรียกว่าตะกั่วทุ่งตะกั่วป่า หรือหนึ่งในแถบนั้นเดิมจะเรียกว่าแขวงตะกั่วหรือเมืองตะกั่ว ครั้นภายหลังแยกออกเปนสองตำบลหรือสองเมืองจึงเกิดไม่เข้าใจต้องถามกันว่าตะกั่วไหน คำบอกที่จะให้เข้าใจจึงใช้คำป่ากับทุ่งต่อคำตะกั่วเปนอธิบาย แล้วก็เลยติดผิดไวยากรณ์ต่อมา จะเปนเช่นนี้ได้กระมัง

๒ เมืองตะนาวศรี กรมพระกำแพงเพชรได้ไปเที่ยวถึง ว่ายังพูดไทยกันจ้ออยู่จนทุกวันนี้เปนพื้น พูดพะม่านั้นเปนพิเศษจำเพาะติดต่อกับพะม่า ดูก็จะเปนอย่างมอญที่เข้ามาอยู่เมืองไทยนี้เอง

ตามที่ทูล “ตอด” มาคราวก่อน มีข้อหนึ่งซึ่งอ้างว่า ปราสาทหินในเมืองเขมรทำแก้จากแบบอินเดียเข้าหาแบบปราสาทซึ่งทำด้วยไม้มาก่อนในเมืองเขมรนั้น ยังบกพร่องอยู่ซึ่งดูเหมือนกับพูดปด เพราะปราสาทซึ่งทำด้วยไม้ไม่มีเหลืออยู่ให้เห็นแล้ว แต่ที่จริงเห็นได้จากรูปที่เขาฉลักไว้ตามฝา

เมื่อวานซืนนี้หญิงจงมาลา ว่าจะออกมาเฝ้าฝ่าพระบาท ถวายตัวให้ทอดพระเนตรเห็นว่าหายเจ็บอ้วนท้วนขึ้นแล้ว เกล้ากระหม่อมถามว่าจะมามีกำหนดกี่วัน เธอแสดงความประสงค์เปนว่าจะมาอยู่สนองพระเดชพระคุณแม้ว่าอยู่ได้ หากเห็นว่าอยู่ไม่ได้เพราะเจ็บอีกก็จะกลับ เปนทางที่เกล้ากระหม่อมไม่เห็นด้วยเลย จึงเทศนาแก่เธอว่าถ้าไม่มีใครสนองพระเดชพระคุณ เธอคิดเช่นนั้นก็ควรแล้ว แต่เมื่อมีคนอื่นสนองพระเดชพระคุณแทนเธอได้อยู่แล้วก็ไม่ควรคิดเช่นนั้น เพราะว่าที่เธอเจ็บมาแล้วไม่ใช่น้อย มีคนเปนอันมากเห็นว่าไม่ฟื้น ที่ฟื้นขึ้นได้นั้นเปนบุญหนักหนา แล้วจะกลับไปลองอีกว่าจะทนได้หรือไม่ ในที่ซึ่งอากาศผิดกันมาก ไกลจากหมอที่ประจำคอยดูแลรักษา ทั้งกล้วยหักมุกก็ไม่มีกิน ถ้ากลับเจ็บลงอีกเปนครั้งที่สอง จะเอาเปนแน่ได้หรือว่าจะรักษาให้กลับฟื้นได้อีก เห็นว่าควรไปเพียง ๗ วันเท่านั้น แต่เธออึดไม่เห็นด้วย ด้วยความกตัญญูของเธอ เกล้ากระหม่อมก็หวังอยู่ว่าฝ่าพระบาทคงจะรู้สึกในพระทัยเห็นอย่างเกล้ากระหม่อมเห็นเหมือนกัน คงจะตรัสไล่เธอกลับไป

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ