- เมษายน
- วันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —กฎมณเฑียรบาลพะม่า (ต่อ) (๓)
- วันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —กฎมณเฑียรบาลพะม่า (ต่อ) (๔)
- วันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —กฎมณเฑียรบาลพะม่า (ต่อ) (๕)
- วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- —บันทึกความเห็น เรื่องกฎมนเทียรบาลพะม่า (ต่อ) (๓)
- วันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- —บันทึกความเห็น กฎมนเทียรบาลพะม่า (ต่อ) (๔)
- —บทระเบง (ตามที่สืบสอบมาได้)
- พฤษภาคม
- วันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- —บันทึกความเห็นในกฎมนเทียรบาลพะม่า (ต่อ) (๕)
- วันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- มิถุนายน
- วันที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- —ระเบียบแห่งการแสดงความเคารพของภิกษุ
- วันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- กรกฎาคม
- วันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- —วันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘
- สิงหาคม
- วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- กันยายน
- วันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร (๒)
- วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร (๓)
- วันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- ตุลาคม
- พฤศจิกายน
- วันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- —ประวัติย่อของเมืองชุมพรเก่าตอนหนึ่ง
- วันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —อธิบายเรื่องเมืองตะกั่วป่า
- วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —อธิบายเรื่องเมืองตะกั่วป่า ตอนที่ ๒
- วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —อธิบายเรื่องเมืองตะกั่วป่า ตอนที่ ๓
- วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- ธันวาคม
- วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —อธิบายเรื่องเมืองตะกั่วป่า ตอนที่ ๔
- วันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —เรื่องตั้งเมืองในมณฑลอุดรและอิสาณ
- —อธิบายเรื่องเมืองตะกั่วป่า ตอนที่ ๕
- วันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —รายการงานพระศพ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์
- วันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —อธิบายชื่อเมืองในมณฑลอุดรและอิสาณ
- —กะรายวันไปเที่ยวเมืองพะม่า
- วันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- มกราคม
- วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —กำหนดระยะทาง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
- —อธิบายรูปฉายาลักษณ์งานพระศพสมเด็จกรมพระสวัสดิ ฯ
- —อธิบายเรื่องเมืองตะกั่วป่า ตอนที่ ๖
- วันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- กุมภาพันธ์
- มีนาคม
- วันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๑ ออกจากเมืองปีนังไปเมืองร่างกุ้ง
- วันที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๒ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขาไป
- วันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ต่อในตอนที่ ๒
- วันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
กฎมณเฑียรบาลพะม่า (ต่อ) (๔)
ราชบัลลังก์
ในกฎมณเฑียรบาลพะม่า ต่อเรื่องราชาภิเศกกล่าวถึงราชบัลลังก์ (Yaza Balin) ในราชมณเฑียรสถานว่ามี ๘ แห่ง บอกอธิบายรายชื่อไว้ดังนี้
๑. สีหาสนบัลลังก์ (Thihathana Balin) ใหญ่และสำคัญกว่าเพื่อน จำหลักรูปราชสีห์ประดับ อยู่ในองค์ปราสาทมีเศวตฉัตรปักข้างละ ๔ คัน เปนที่ประทับเวลาเสด็จออกมหาสมาคม หรือรับทูตต่างประเทศ เปนการเต็มยศใหญ่
๒. หังสาสนบัลลังก์ (Honthana Balin) จำหลักรูปหงส์ประดับอยู่ในท้องพระโรงกลาง (Zatawun Saung) เปนที่ประทับเวลาเสด็จออกที่ระโหฐาน และทำราชพิธี (Religious Ceremony)
๓. คชอาสนบัลลังก์ (Gagyathana Balin) จำหลักรูปช้างประดับอยู่ในพระที่นั่งเย็นฝ่ายซ้าย (Byadeik Saung) เปนที่ประทับเวลาเสด็จออกขุนนางแห่งหนึ่ง
๔. สังขาสนบัลลังก์ (Thinkathana Balin) จำหลักรูปสังข์ประดับอยู่ในพระที่นั่งเย็นฝ่ายขวา (Hopondaw Saung) เปนที่ประทับทรงสดับพระธรรมเทศนา
๕. ภมราสนบัลลังก์ (Bamarathana Balin) จำหลักรูปตัวผึ้งประดับอยู่ในมณเฑียรแก้ว (Hmandaw Saung) มีเพดานผ้าขาวปกเปนที่บรรธม
๖. มิคาสนบัลลังก์ (Migathana Balin) จำหลักรูปกวางประดับอยู่ที่พระที่นั่งปลีกองค์หนึ่ง (Taung Smôk Saung) เปนที่ประทับเวลาเสด็จออกขุนนางอีกแห่งหนึ่ง
๗. มยุราสนบัลลังก์ (Mayanyothana Balin) จำหลักรูปนกยูงประดับอยู่ที่พระที่นั่งอีกองค์หนึ่ง (Myank Smôk Saung) เปนที่ประทับเวลาเสด็จออกมหาสมาคม
๘. ปทุมาสนบัลลังก์ (Padommathana Balin) จำหลักรูปดอกบัวประดับอยู่ที่ท้องพระโรงหลัง (Anauk Smôk Saung) เปนที่ประทับเวลาเสด็จออกมหาสมาคม
มีคำฝรั่งบอกอธิบายต่อไปว่าราชบัลลังก์ทั้งปวงนั้น ทำด้วยไม้จำหลักปิดทองประดับกระจก เปนแท่นแต่มีฐานทรวดทรงเหมือน “นาฬิกาทราย” คือคอดกลางผายข้างบนและข้างล่างอย่างเดียวกันทั้งนั้น เปนแต่ขนาดใหญ่เล็กและสูงต่ำผิดกัน มักตั้งต่อฝาด้านใน มีพระทวารทางเสด็จออกข้างหลังราชบัลลังก์ ได้เห็นรูปฉายาลักษณ์ “สีหาสน์” ในปราสาทลาดเลาก็ทำนองเดียวกับพระแท่นที่ประทับท้องพระโรงใน หน้าพระทวารพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ผิดกันแต่รูปฐานและต่ำเพียงขนาดบุษบกมาลาในพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย แต่ลวดลายประกอบฝาและซุ้มพระทวารหรูหรามาก
ราชมณเฑียรสถาน
ในหนังสือคาเสตเตียพะม่าเหนือมีแผนผังพระราชวังพิมพ์ไว้ด้วย จึงเก็บอธิบายประกอบกับเรื่องพงศาวดาร มาพรรณนาในตอนนี้
เมื่อพระเจ้ามินดงสร้างกรุงมัณฑเลใน พ.ศ. ๒๔๐๐ (ตรงกับปีมะเสง รัชชกาลที่ ๔ กรุงรัตนโกสินทร) ให้สร้างตามแผนผังกรุงรัตนบุรราชธานีเก่า คือวางแนวกำแพงพระนครเปน ๔ เหลี่ยมจตุรัส และตั้งพระราชวังตรงศูนย์กลางพระนครวางแนวกำแพงเปน ๔ เหลี่ยมเหมือนกัน ส่วนปราสาทราชมณเฑียรตลอดจนตำหนักรักษาของเดิมที่กรุงอมรบุร อันล้วนเปนเครื่องไม้ สิ่งใดยังใช้ได้ให้รื้อเอามาปลูกในพระราชวังกรุงมัณฑเลเหมือนอย่างเดิมทั้งนั้น
พระราชวัง พะม่าเรียกว่า นันดอ (Nandaw เห็นจะตรงกับว่า “วังหลวง”) หันหน้าทางทิศตะวันออก แนวกำแพงวังแต่เหนือไปใต้ยาว ๒๒๒๕ ฟุต ทางตะวันออกไปตะวันตกแคบกว่าหน่อยหนึ่งเพียง ๒๑๒๕ ฟุต ชั้นนอกปักซุงไม้สักสูง ๒๐ ฟุตเปนระเนียด ต่อระเนียดเข้าไปไว้ที่ว่างประมาณ ๑๐๐ ฟุต แล้วมีกำแพงก่ออิฐถือปูนอีกชั้นหนึ่งสูง ๑๔ ฟุต มีประตูวังด้านละประตู แต่ด้านเหนือมีประตูน้ำสำหรับเปนทางเรืออีกประตูหนึ่ง ในวังมีกำแพงก่ออิฐถือปูนกั้นปันเขตต์วังเปนชั้นนอกชั้นกลางและชั้นใน ไว้ที่เปนลานวังชั้นนอกทางด้านหน้าใหญ่ยาวกว่าด้านอื่น (ทำนองเดียวกับพระบรมมหาราชวังในกรุงเทพฯ นี้) สถานที่ทำราชการต่าง ๆ บรรดาที่เอาไว้ในวังอยู่ในลานชั้นนอกแทบทั้งนั้น จะพรรณาแต่สิ่งสำคัญ ข้างฝ่ายใต้แนวถนนทางเข้าวังมีศาลหลวง เรียกว่า หลุตดอ (Hlutdaw) ตรงกับศาลาลูกขุน และพุทธาวาศที่ทรงผนวชเจ้านายกับโรงแสงสรรพยุทธ์ ทางฝ่ายเหนือมีโรงพิมพ์ โรงไปรษณีย์ โรงกสาปน์ อยู่ริมกำแพง กลางลาน สร้างมณฑปที่ฝังพระศพพระเจ้ามินดงกับที่ฝังพระอัษฐิธาตุพระอัครมเหษีและมีพระที่นั่งทรงศีลของพระเจ้ามินดงอยู่ด้วย
ในเรื่องตอนพงศาวดาร กล่าวว่าเมื่อพระอัครมเหษีของพระเจ้ามินดงสิ้นพระชนม์ พระเจ้ามินดงให้เผาพระศพที่ในลานพระราชวังทางด้านหลัง แล้วเชิญพระอัษฐิธาตุไปฝังไว้ในมณฑป (ไม้) ซึ่งสร้างขึ้นในลานพระราชวังด้านหน้า พระเจ้ามินดงทรงอาลัยพระอัครมเหษีมาก จึงให้สร้างพระที่นั่งขึ้นสำหรับไปประทับทรงศีลใกล้ที่ฝังนั้น แต่เมื่อพระเจ้ามินดงสิ้นพระชนม์ พระเจ้าสีปอให้เชิญพระศพไปฝังไว้เคียงที่ฝังพระอัษฐิธาตุของพระอัครมเหษี แล้วให้สร้างมณฑปเปนเครื่องอิฐปูนตรงที่ฝังพระศพ และปรากฏต่อไปว่าลูกเธอของพระเจ้าสีปอที่เกิดด้วยนางสุพยาลัต สิ้นพระชนม์แต่ยังเยาว์ ๒ องค์ก็ให้ฝังไว้ในพระราชวัง เพราะเผาบ้างฝังบ้างดังนี้ จึงจับประเพณีไม่ได้ว่าพะม่าถือเปนกำหนดกฎเกณฑ์อย่างใดในการปลงพระศพเจ้านาย
ที่ริมประตูวังด้านหน้ามีหอสูง ๒ ข้าง ข้างเหนือเปนหอนาฬิกา มีกลองและระฆังสำหรับตีให้รู้ทุ่มโมงทั่วทั้งพระนคร (ตามอธิบายของฝรั่งว่าตีกลองบอกนาฬิกา ตีระฆังบอกส่วนนาฬิกา แต่สันนิษฐานว่าเห็นจะตีกลองกลางคืน ตีระฆังกลางวัน) หอข้างใต้ว่าเปนที่ไว้พระเขี้ยวแก้ว
ลานวังต่อเข้าไปถึงชั้นกลาง ด้านหน้ามีสนามสำหรับการกีฬา (ทำนองสนามชัย) อยู่หน้าพระราชมณเฑียร ริมกำแพงมีทิมพล ทางข้างเหนือและข้างใต้มีโรงช้างต้นม้าต้นและโรงราชรถ ต่อเข้าไปตอนใกล้พระราชมณเฑียรมีโรงช้างเผือก และสำนักงานกรมวังกับคลัง
วังชั้นใน ตอนกลางถมดินยกพื้นที่ให้สูงขึ้น ๑๐ ฟุต ก่อเขื่อนอิฐถือปูนรอบ ลานสูงนี้ยาวแต่ด้านหน้าไปหาด้านหลัง ๑๐๐๐ ฟุต กว้าง ๕๕๐ ฟุต ปราสาทราชมณเฑียรและตำหนักใหญ่น้อยทั้งปวงสร้างบนลานสูงนี้ทั้งนั้น เดิมล้วนเปนเครื่องไม้พื้นชั้นเดียวทั้งนั้น มามีตึกสร้างครั้งพระเจ้าสีปอสักสองสามหลัง ยกพื้นสูงขึ้นแต่ก็ยังเปนชั้นเดียวอยู่นั่นเอง
พระราชมณเฑียรด้านหน้ามีท้องพระโรง ๓ หลัง อยู่ข้างหน้ามหาปราสาท หลังกลางคล้ายกับมุขปราสาท อีก ๒ หลังปลูกขวางต่อหลังกลางไปทั้ง ๒ ข้าง ทั้ง ๓ หลังข้างในเปิดเปนห้องเดียวกันกว้าง ๒๕๐ ฟุต เวลาพระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกประทับมหาสีหาสน์ในปราสาทข้าเฝ้าเฝ้าในท้องพระโรงทั้ง ๓ หลังนั้น ตัวมหาปราสาท-แผนผังเปน ๔ เหลี่ยม ไม่มีมุข พะม่าเรียกว่าปราสาททอง (Shwe Pyathat) แต่ในเมืองพะม่าทำปราสาทกันตามวัดวาและบนป้อมประตูเมือง มีปราสาทดื่น คำว่า “ปราสาท” จึงหมายความแต่ว่าเปนเรือนมียอด ไม่ถือว่าวิเศษเหมือนในเมืองไทย เพราะฉะนั้นเมื่อเรียกมหาปราสาทรวมกันกับราชมณเฑียรสถาน อันเนื่องกับมหาปราสาทจึงเรียกว่า Mye-nan ฝรั่งบอกอธิบายว่า หมายความเทียบด้วยภูเขาอันอยู่กลางระวางโลกทั้ง ๔ (เราเข้าใจได้ว่าคือ “เขาพระสุเมรุ”) แต่ฝรั่งเลยเยาะว่าพะม่าอวดว่ายอดมหาปราสาทนั้นอยู่ตรงศูนย์โลก ที่จริงคำว่า Mye น่าจะมาแต่ “เมรุ” นั้นเอง
ต่อมหาปราสาทมีราชมณเฑียรปลูกต่อ ๆ กันตรงไปข้างหลังว่าตามแผนผัง ต่อปราสาทเข้าไปถึงหอพระที่ไว้รูปพระเจ้าแผ่นดินแต่ก่อนกับหนังสือมหาราชวังพงศาวดาร ต่อนั้นเข้าไปถึงท้องพระโรงกลางตั้งหังสาสนบัลลังก์ที่เสด็จออกขุนนางอย่างระโหฐาน และบำเพ็ญพระกุศล ต่อนั้นถึงราชมณเฑียรแก้ว ตั้งภมราสนบัลลังก์ที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จอยู่เปนที่สุดหมู่มหามณเฑียรทางด้านหลัง ปราสาทราชมณเฑียรที่กล่าวมาว่าปิดทองทั้งนั้น บางห้องก็จำหลักและประดับกระจกเช่นมณเฑียรแก้วเปนต้น แต่เห็นจะเปนราชมณเฑียรเดิมที่รื้อมาจากกรุงอมรบุร จึงปรากฏว่าพระเจ้ามินดงมิได้เสด็จอยู่ในมณเฑียรแก้ว ไปสร้างที่ประทับอยู่ต่างหากเรียกว่า “มณเฑียรทอง” (Golden Palace) ห่างจากมหามณเฑียรไปทางข้างขวา แต่ตรัสสั่งไว้ให้รื้อไปสร้างถวายเปนพุทธวิหารเมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว พระเจ้าสีป่อเสวยราชย์จึงต้องสร้างมณเฑียรทองที่ประทับขึ้นใหม่เปนตึก อยู่ต่อมณเฑียรแก้วไปข้างหลัง
ต่อหมู่ราชมณเฑียรไปข้างหลังมีตำหนัก ๘ หมู่ สร้างเรียงกันเปน ๒ แถว ๆ ละ ๔ หมู่ แถวหน้าเปนตำหนักพระมเหษี แถวหลังเปนตำหนักพระชายา แล้วถึงตำหนักเจ้านายและนักสนมเรียงรายอยู่รอบ ล้วนปลูกบนลานชั้นสูงด้วยกันทั้งนั้น ที่สุดลานตรงแนวพระราชมณเฑียรไปมีพระที่นั่งอีกองค์ ๑ อยู่ต่างหาก หันหน้าไปทางข้างหลังเรียกว่าอนอก สมอกสอง (Anuak Smok Saung) เปนท้องพระโรงหลัง ตั้งปทุมาสนบัลลังก์เปนที่เสด็จออกให้สตรีมีบันดาศักดิ์เฝ้าในการพิธี และโดยปกติเปนที่ทอดพระเนตร์ละคอน และเปนที่พระอัครมเหษีรับแขกด้วย แผนผังพระที่นั่งองค์นี้ก็ทำนองเดียวกับท้องพระโรงหน้า เปนแต่ย่อมกว่า คือห้องที่เฝ้าปลูกขวางข้างหน้าห้องที่ตั้งราชบัลลังก์ที่ประทับ ต่อนั้นไปถึงบรรไดลงจากลานพระราชมณเฑียรที่พื้นต่อตรงท้องพระโรงหลังลงไปเปนสนามเหมือนด้านหน้าแต่ย่อมกว่า ว่าเปนที่สำหรับเล่นละคอน ขอบสนามปลูกเรือนที่อยู่ของพวกหญิงข้าหลวง
ในพระราชวังด้านหลัง ที่ปันเขตต์เปนชั้นกลางและชั้นนอกเพียงแต่ตอนใกล้ประตูวังด้านหลัง เพราะที่ตอนมุมวังด้านหลังทำเปนสวนขวาและสวนซ้ายใหญ่โตทั้ง ๒ มุม มีคลองไขน้ำมาแต่บึงแห่ง ๑ มาลงคูพระนครแล้วไขต่อมาลงสระและคลองที่สวนในวัง ถึงอาจใช้เรือประพาสไปจนถึงบึงได้ ในสวนขวามีตำหนักที่ประทับ ในสวนซ้ายก่อเปนภูเขาทำเปนป่า ว่าช่างชาวอิตาลีเปนผู้ให้แบบทั้ง ๒ สวน พรรณนาพระราชวังโดยสังเขป สิ้นเนื้อความเพียงเท่านี้