วันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น

ตำหนักปลายเนีน คลองเตย

วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๔๗๘

กราบทูล สมเด็จกรมพระยาดำรง ทราบฝ่าพระบาท

ลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๑๗ ตุลาคม ได้รับประทานแล้ว ทราบความตามลายพระหัตถ์นั้น ว่าหญิงพูนรับหน้าที่ดีดพิมพ์ลายพระหัตถ์แทนนายแก้ว รู้สึกเสียใจที่ว่าอยู่แต่ไหนก็อยู่มาได้ แต่พอทูลถามเรื่องตะกั่วป่ามา การพิมพ์ลายพระหัตถ์ก็ตกเปนหน้าที่หญิงพูน ซึ่งเธอจะต้องพิมพ์พระดำรัสอธิบายยืดยาว ร่างกายเธอไม่ปกติ ต้องทำงานมากจะไม่สบายให้รู้สึกสงสาร ที่จริงไม่ใช่การรีบร้อนอะไร จะรอไว้ให้นายแก้วดีดเมื่อเขากลับมาถึงแล้วก็ได้

เรื่องพิธีแต่งงานอย่างโบราณ ซึ่งทรงวินิจฉัยประทานไปคราวนี้ดีหนัก เกล้ากระหม่อมได้เคยเห็นแต่งงานแบบนั้นครั้งเดียวที่เมืองสุพรรณ แต่ก็เห็นไม่ตลอดทุกอย่าง แม้กระนั้นก็จะเล่าถวาย โดยหวังว่าจะเปนเครื่องประดับพระปัญญาบารมีได้บ้าง

เมื่อปีก่อนเกิดศึกในยุโรป ได้คิดกับพระยาพิพัฒ (เศเลสตีโน ซาเวียร์) จะขออนุญาตสร้างทางรถไฟตั้งแต่กรุงเก่าไปอ่างทอง และจากอ่างทองไปผักไห่ หรือถ้าหากเปนการดีและสดวกที่จะทำไปสุพรรณด้วยได้ ก็จะขอทำตลอดไปเสียด้วยทีเดียว ความคิดนี้เกิดกำเริบขึ้นด้วยได้ช่วยกันคิดทำรถไฟแม่กลองสำเร็จมาแล้ว เขามอบฉันทให้เกล้ากระหม่อมไปตรวจทาง โดยเหตุนี้จึงได้ไปจนถึงสุพรรณ

ขาล่องมาพักที่วัดฝาง สบเหมาะมีเรือปักธงเทียวเขียวแดง บรรทุกผู้คนประโคมปี่พาทย์ราดตะโพน แห่เปนขบวรล่องน้ำมา ถามคนที่วัดว่านั้นเขาทำอะไรกัน เขาบอกว่าแห่ขันหมาก จึ่งนั่งดูอยู่ แล้วก็สบเหมาะอีกพอเรือขบวรมาถึงฉะเพาะหน้าก็จอดเข้าที่ท่าบ้านอันอยู่ตรงหน้าวัดข้าม ขนของขึ้นกันชุลมุน แล้วยิ่งสบเหมาะหนักขึ้นไปอีก อีกประเดี๋ยวเดียวเจ้าบ้านชื่อว่านายธูปข้ามมาหา ขอเชิญเสด็จไปบ้านในการแต่งงานบุตรสาว เกล้ากระหม่อมก็ยินดีรับปากด้วยอยากเห็น พอแต่งตัวแล้วก็ข้ามไป เมื่อถึงบ้านเขากำลังสวดมนต์กันอยู่ พระนั่งข้างฝาตามยาวของหอนั่ง หมู่บ่าวสาวพร้อมด้วยเพื่อนนั่งฟังสวดเปนกลุ่มอยู่กลางหอ เปนหอนั่งของเจ้าบ้านเอง ไม่ใช่เรือนหอปลูกใหม่ เห็นจะขอลดลากันได้จากพ่อเจ้าสาว พอสวดมนต์จบเขาก็จัดให้หมู่บ่าวสาวกับเพื่อนออกไปนั่งกลางนอกชาล มีครูคร่ำเปนสมุหพิธียกบาตรน้ำมนต์สามสี่ใบออกไปนอกชาล แบ่งน้ำมนต์ใส่ขันเชิญเกล้ากระหม่อมรดเปนประเดิม แล้วพวกญาตเขาก็รดกันต่อไป ที่สุดน้ำมนต์ที่ยังเหลืออยู่ในบาตร สมุหพิธีก็เทคว่ำบาตรรดจนสิ้นน้ำ เปียกกันหมดทั้งบ่าวสาวและเพื่อน แล้วเขาก็พากันหายเข้าไปในเรือนหลังใน เกล้ากระหม่อมเห็นว่าควรแก่เวลาที่จะกลับแล้ว จึงลาเขากลับ

รุ่งขึ้นเขาเอาขนมมาให้ เปนขนมแห้งๆ อันอีตเตเบ้อต่างๆ มีขนมกงเปนต้น เห็นจะเปนของที่เจ้าบ่าวนำมาให้กับขันหมาก แล้วก็อาญัตกัดหมายเชิญให้ไปฟังปี่พาทย์กล่อมหอเวลาค่ำ เกล้ากระหม่อมอยากเห็นก็รับปากเขาเลยอยู่ต่อไปไม่ได้ล่องกลับ

ครั้นตกค่ำได้ยินเสียงปีพาทย์ครื้นเครง เกล้ากระหม่อมข้ามไป เจ้าบ้านดีเนื้อดีใจพาลูกสาวมาเฝ้าถึง ๓ คน ปี่พาทย์ที่เล่นกล่อมหอนั้นเปนของเจ้าบ้านเอง เขามีเครื่องประจำบ้าน ลูกสาวทั้ง ๓ คนตีปี่พาทย์เปนทั้งนั้น คนทำปี่พาทย์มีทั้งหญิงชายรวมทั้งลูกสาวด้วย ได้เวลาสมควรก็ลาเขากลับเปนสิ้นเรื่อง

ต่อไปนี้จะกราบทูลไขความลางข้อ ซึ่งทรงวินิจฉัยในเรื่องประเพณีแต่งงานอย่างโบราณนั้นตามความเห็นต่อไป

๑ เรือนหอซึ่งต้องปลูกให้แล้วในวันเดียวนั้น ก็เท่ากับปลูกเตนต์ ต้องเปนเรือนที่ปรุงไว้เสร็จแล้ว เปนแต่ยกขึ้นคุมเท่านั้น การที่ทำโดยปัจจุบันแสดงว่าเปนของชั่วคราว ต้องตามทางที่ทรงพระดำริ

๒ ขันกับพานนั้น คิดว่าเดิมจะเปนวัดถุอันเดียวกัน ด้วยเห็นรูปพระโพธิสัตวของโบราณ อันมีสิ่งซึ่งเปนเครื่องหมายให้รู้ว่าเปนพระโพธิสัตวองค์ใดนั้น ถ้าไม่ได้ทำให้พระโพธิสัตวถือสิ่งนั้นอยู่ ก็มักทำเปนดอกบัวรองสิ่งนั้นไว้ข้างพระองค์ ขันและพานเห็นจะทำเทียมดอกบัวด้วยกัน สำหรับรับรองสิ่งสำคัญต่างๆ พานย่อมเห็นได้อยู่ชัดเจนแล้วที่จำหลักเปนกลีบบัว ส่วนขันที่จำหลักเปนกลีบบัวก็มีอย่างอยู่เหมือนกัน คือขันเหมที่ใช้ปักแว่นเวียนเทียนอยู่ในราชการวันนี้ ภายหลังจะเห็นว่าลุ่นหนักไม่งาม จึงคิดทำดอกบัวคว่ำต่อเปนเชิง ได้อย่างมาจากบัวบัลลังก์ มีทั้งขันทั้งพาน แล้วก็ขี้เกียจจำหลักเปนกลีบบัว ทำแต่เกลี้ยงๆ หรือยักลายให้เปนอย่างอื่นไปเสียก็มี

๓ โต๊ะ เห็นว่าเปนคำเดียวกับ โตก เสียงต่างกันไปตามเสียงคนต่างถิ่น เช่น เรียกตะวันตกว่าวันโต๊ะนั้นก็ได้ แม้ในถิ่นเดียวพูดสับปลับอยู่ในตัวก็มี เช่นพูดจะว่าจักทำนุะว่าทำนุก นั้นก็ได้ ในภาษาสํสกฤตก็ยังมียอมให้เขียนเปนสองอย่างได้ เช่น ทุกข เขียน ทุะข ก็ได้ พิจารณาสิ่งที่ชื่อว่าโต๊ะก็คือถาดต่อท้าวให้สูงขึ้น ท้าวโต๊ะนั้น เคยเห็นมาสองอย่าง อย่างเก่าเปนท้าวสิงห์หย่องอย่างถาดล้างหน้า อย่างใหม่เปนท้าวรูปดอกบัวคว่ำอย่างท้าวพาน เกล้ากระหม่อมเข้าใจผิดไปกว่าที่ฝ่าพระบาทเข้าพระทัยเสียน้อยหนึ่ง นึกว่าที่เรียกโต๊ะท้าวช้างนั้น คงได้แก่ท้าวอย่างที่บัวคว่ำอย่างท้าวพาน เพราะมีรูปปั้นเป้อราวกับว่าตีนช้างข้างหนึ่ง ส่วนโต๊ะอย่างที่ท้าวเปนสิงห์หย่องนั้น เดาไม่ถูกว่าควรจะเรียกอย่างไรไม่เคยได้ยินใครเรียกชื่อมาเลย เพิ่งมาได้ยินในบทขุนช้างขุนแผนที่โปรดคัดประทานไปคราวนี้ ว่าเขาเรียกโต๊ะสามขา

๔ พระภิกษุสรวมมงคลนั้นอยู่ข้างจะหนักมือ ทางผิดวินัยนั้นจะไม่พูดถึง ว่าแต่ทางโลกก็เปนโลกวัชชะ เพราะต้องถูกตัวผู้หญิง คณะสงฆ์คงเห็นเช่นนั้นเหมื อนกัน การที่พระภิกษุสรวมมงคลแต่งงานจึงเลิก จนคนรุ่นเราไม่ได้รู้เห็น ส่วนการรดน้ำมนต์นั้นดูไม่สู้กะไร เพราะไม่ได้ถูกตัว แต่ก็เปนการผิดวินัย ท่านผู้ใหญ่ในคณะสงฆ์จึงหลบหลีกเสีย แต่ก็หลีกให้พ้นไปทีเดียวไม่ได้ เวลาเข้าช่องที่จะต้องประน้ำมนต์ก็ต้องประให้ทั้งชายหญิงอยู่เหมือนกัน

๕ การรดน้ำแต่งงานบ่าวสาว ด้วยวิธีหยาดน้ำสังข์ลงในมือ ดูเหมือนจะเปนวิธีใหม่ซึ่งเกิดขึ้นไม่นานนัก อยากจะหาความว่าตามบ้านเอาอย่างแบบหลวงไปทำ แบบหลวงนั้นก็ดูเหมือนจะเปนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริทำขึ้นเมื่อครั้งแต่งงานกรมหลวงราชบุรีกับองค์หญิงอรพัทธ ที่หน้าห้องทองในพระที่นั่งจักรีอย่างเงียบ ๆ เปนประเดิม เจ้านายแต่ก่อนแม้จะได้หม่อมห้ามพระราชทานก็ไม่มีการรดน้ำ เปนแต่ท้าวนางเถ้าแก่นำเจ้าสาวไปส่งที่วังเท่านั้น ที่จำได้เปนมั่นเหมาะว่าได้รดน้ำกรมหลวงราชบุรีนั้นก็แปลก ด้วยมีเหตุที่เกล้ากระหม่อมเปนคนเข้าทีหลัง รดด้วยพระเต้าหยกองค์ที่มีลักษณะปากแคบดุจกระติกแลไม่เห็นน้ำ เธอแบมือรับ เอียงพระเต้าจนคว่ำ ไม่มีน้ำออกสักหยดเดียว แปลว่าน้ำหมดแล้วกลายเปนรดลม แล้วก็หัวเราะกันกับเธอ

๖ ในการที่เจ้าบ่าวต้องนอนเฝ้าหออยู่คนเดียวก่อน แล้วส่งตัวเจ้าสาวต่อภายหลังนั้น ได้ทราบจากทางพวกโหรว่าเดิมแบ่งเปนสองพิธี คือพิธีทำบุญเรือน กับพิธีสมรส ฤกษก็หาเปนสองฤกษ คือฤกษปลูกเรือนกับฤกษเรียงหมอน การยกเรือนตลอดถึงสวดมนต์อานน้ำเลี้ยงพระนั้น เปนงานขึ้นเรือนใหม่ใช้ฤกษแรก การส่งตัวนั้นแหละเปนงานสมรสใช้ฤกษหลัง ฤกษทั้งสองนั้น ลางทีก็ติดกัน ลางทีก็ห่างกัน สุดแต่จะหาได้ ถ้าฤกษห่างกันหลายวันเจ้าบ่าวก็ต้องนอนเฝ้าหออยู่หลายวัน ฟังดูก็มีเหตุผลชอบกล หนักหนาอยู่

๗ การรบชิงลูกสาวด้วยกำลังก็ดี การฉุดลูกสาวด้วยอำนาจวาสนาก็ดี หรือการลักพาลูกสาวหนีด้วยลอบรักกันก็ดี การกระทำเหล่านี้นับว่าเปนการทุจริตเพราะผิดกฎหมาย จะนับเอามาเปนประเพณี (ของไทย) ไม่ได้

การเปนผัวเมียกันตามประเพณีของไทยเราที่ชอบด้วยกฎหมาย ยังมีอีกหลายอย่าง หวังว่าจะได้ประทานวินิจฉัยต่อไป แต่ไม่ใช่หญิงพูนดีดพิมพ์

พอเขียนหนังสือนี้แล้ว ก็ได้รับลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๒๒ ส่งทางไปรษณีย์อากาศ

เรื่องเมืองตะกั่วป่าทรงเรียงไม่แล้วก็ดีแล้ว พ้นความหนักใจที่หญิงพูนจะต้องดีดพิมพ์ นายแก้วคงจะกลับมาถึงได้ทำหน้าที่ทันพอดี

เรื่องอยู่บนเขานั้น หมอเขายกย่องกันว่าดีหนักดีหนา แต่ส่วนเกล้ากระหม่อมถูกขึ้นไปอยู่บนเขาทีไร ก็ให้รู้สึกอึดใจเปนล้นพ้น ในเรื่องขึ้นลงลำบากเปนเหลือแสน อย่าหาว่าเขาสูงเลย เพียงเขาวังเพชรบุรีเท่านั้นก็เอือมเสียแล้ว

มีสนามบินขึ้นที่ปินังนั้นดี ดีที่จะส่งหนังสือพิมพ์ได้เร็ว แต่เรื่องโดยสารนั้นไม่รู้สึกว่าจะดีมีประโยชน์เท่าใดนัก เพราะสบายก็ไม่สบาย ค่าโดยสารก็แพง เว้นแต่จะมีธุระร้อนเปนไฟจุดนั้นแหละจะเปนประโยชน์ดีจริง

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ