- เมษายน
- วันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —กฎมณเฑียรบาลพะม่า (ต่อ) (๓)
- วันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —กฎมณเฑียรบาลพะม่า (ต่อ) (๔)
- วันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —กฎมณเฑียรบาลพะม่า (ต่อ) (๕)
- วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- —บันทึกความเห็น เรื่องกฎมนเทียรบาลพะม่า (ต่อ) (๓)
- วันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- —บันทึกความเห็น กฎมนเทียรบาลพะม่า (ต่อ) (๔)
- —บทระเบง (ตามที่สืบสอบมาได้)
- พฤษภาคม
- วันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- —บันทึกความเห็นในกฎมนเทียรบาลพะม่า (ต่อ) (๕)
- วันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- มิถุนายน
- วันที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- —ระเบียบแห่งการแสดงความเคารพของภิกษุ
- วันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- กรกฎาคม
- วันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- —วันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘
- สิงหาคม
- วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- กันยายน
- วันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร (๒)
- วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร (๓)
- วันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- ตุลาคม
- พฤศจิกายน
- วันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- —ประวัติย่อของเมืองชุมพรเก่าตอนหนึ่ง
- วันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —อธิบายเรื่องเมืองตะกั่วป่า
- วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —อธิบายเรื่องเมืองตะกั่วป่า ตอนที่ ๒
- วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —อธิบายเรื่องเมืองตะกั่วป่า ตอนที่ ๓
- วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- ธันวาคม
- วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —อธิบายเรื่องเมืองตะกั่วป่า ตอนที่ ๔
- วันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —เรื่องตั้งเมืองในมณฑลอุดรและอิสาณ
- —อธิบายเรื่องเมืองตะกั่วป่า ตอนที่ ๕
- วันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —รายการงานพระศพ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์
- วันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —อธิบายชื่อเมืองในมณฑลอุดรและอิสาณ
- —กะรายวันไปเที่ยวเมืองพะม่า
- วันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- มกราคม
- วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —กำหนดระยะทาง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
- —อธิบายรูปฉายาลักษณ์งานพระศพสมเด็จกรมพระสวัสดิ ฯ
- —อธิบายเรื่องเมืองตะกั่วป่า ตอนที่ ๖
- วันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- กุมภาพันธ์
- มีนาคม
- วันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- วันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๑ ออกจากเมืองปีนังไปเมืองร่างกุ้ง
- วันที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ตอนที่ ๒ เที่ยวเมืองร่างกุ้งเมื่อขาไป
- วันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- วันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ดร
- —เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า ต่อในตอนที่ ๒
- วันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
วันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๗ ดร
Cinnamon Hall,
206 Kelawei Road, Penang. S.S.
วันที่ ๑๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๘๗
ทูล สมเด็จกรมพระนริศร ฯ
สัปดาหะนี้สบเวลานายแก้วลาเข้าไปกรุงเทพ ฯ ไม่มีเสมียน หญิงพูนมีแก่ใจรับอาสาเปนพนักงานดีดพิมพ์ตลอดเวลา ๒ สัปดาหะ กว่านายแก้วจะกลับ
หม่อมฉันได้รับลายพระหัตถ์ฉะบับลงวันที่ ๑๒ ตุลาคม ยินดีขอบพระคุณที่ทรงแก้ไขทักท้วงวินิจฉัยที่หม่อมฉันส่งไปถวาย ๒ เรื่องให้บริบูรณ์ หวังว่าความรู้เรื่องนั้นๆ จะปรากฏอยู่เปนหลักฐานแก่คนภายหน้าสืบไป
เรื่องเมืองตะกั่วป่าที่ตรัสถามมาในลายพระหัตถ์นั้น เผอิญมาประจวบเวลาหม่อมฉันได้รับรายงานดอกเตอร์เวลส์ เสนอสมาคมรอแยลเอเซียติค ประเทศอังกฤษ ซึ่งแต่งให้มาตรวจหาหนทางที่พวกชาวอินเดียมายังประเทศสยามแต่โบราณ พิมพ์แล้วเขาส่งมาให้หม่อมฉันฉะบับ ๑ ได้ความตรงตามหม่อมฉันเคยคาด ว่าแต่โบราณเมืองตะกั่วป่าเปนสถานที่สำคัญของชาวต่างประเทศที่ไปตั้งเมืองไชยา แต่ในรายงานความอยู่ข้างพิสดาร จะเขียนทูลในจดหมายฉะบับนี้หม่อมฉันนึกเกรงใจหญิงพูนผู้ดีดพิมพ์ ด้วยมีเรื่องวินิจฉัยให้เธอพิมพ์สำหรับถวายในสัปดาหะนี้ยาวอยู่แล้ว ขอประทานผัดรอเรื่องเมืองตะกั่วป่าไว้ทูลในสัปดาหะหน้าต่อไป.
วินิจฉัยประเพณีแต่งงานอย่างโบราณ
ในบทเสภา (ฉะบับหอพระสมุดฯ พิมพ์) เล่ม ๑ เมื่อพลายแก้วแต่งงานกับนางพิมพ์หน้า ๑๕๐ ตอน ๑ เมื่อขุนช้างแต่งงานกับนางวันทองหน้า ๒๕๓ ตอน ๑ กับในเล่ม ๓ เมื่อแต่งงานพระวัยกับนางศรีมาลา หน้า ๒๐๙ อีกตอน ๑ พรรณนาถึงกระบวรพิธีแต่งงานบ่าวสาวอย่างโบราณ ตรงกับที่ได้เคยเห็นแต่ก่อนบ้าง เคยได้ยินเล่ากันมาบ้าง แปลกกับที่ทำกันในปัจจุบันนี้ จึงเก็บเอาเนื้อความมาแต่งวินิจฉัยนี้ ยกเอากระบวรในตอนแต่งงานพลายแก้วกับนางพิมพ์ตั้งเปนหลัก เอาความในตอนอื่นประกอบ
๑. เมื่อนางทองประสีผู้ปกครองเจ้าบ่าว ไปขอนางพิมพ์ต่อนางศรีประจันต์ผู้ปกครองเจ้าสาว หาผู้ใหญ่สูงอายุในตำบลนั้นอันเปนที่นับถือด้วยกันทั้งสองฝ่าย (จึงเรียกว่าเถ้าแก่) ไปด้วย ๔ คน เมื่อนางทองประสีขอลูกสาว นางศรีประจันต์ว่า
“ตูจะขอถามความท่านยาย | ลูกชายนั้นดีหรืออย่างไร |
ไม่เล่นเบี้ยกินเหล้าเมากันชา | ฝิ่นฝามันสูบบ้างหรือไม่ |
จะสูงต่ำดำขาวคราวใคร | ตูยังไม่เห็นแก่ตาว่าตามจริงฯ |
๏ ครานั้นตาสนกับตาเสา | กับทั้งยายเม้าและยายมิ่ง |
ว่านานไปท่านจะได้พึ่งพิง | ลูกทองประสีดีจริงนะคนนี้ฯ” |
บทตรงนี้ส่อว่าผู้ปกครองเปนผู้ขอ เถ้าแก่เปนผู้รับประกัน
๒. เมื่อแม่ยอมยกลูกสาวให้แล้ว ผู้ปกครองทั้งสองฝ่ายปรึกษากันต่อไปถึงกำหนดทุนสิน และหาฤกษ์กำหนดวันงาน แต่นั้นทางฝ่ายเจ้าบ่าวก็แต่งตัวไม้เรือนหอ แล้วขนเอาไปเตรียมไว้ที่บ้านเจ้าสาว ฝ่ายข้างเจ้าสาวก็เตรียมทำของเลี้ยง
๓. ครั้นถึงฤกษ์แรก เจ้าบ่าวบอกแขกขอแรงพวกพ้องพากันไปยังบ้านเจ้าสาวแต่ดึก พอได้แสงอรุณก็ตั้งพิธีทำขวัญเสาแล้วลงมือปลูกเรือนหอแล้วเสร็จในวันนั้น ข้างฝ่ายเจ้าสาวเลี้ยงอาหารพวกปลูกเรือน
การปลูกเรือนหอให้แล้วในวันเดียว เคยทราบว่าทำกันเปนสามัญมาแต่ก่อน บางตระกูลยังถือแปลกออกไปให้ใช้แต่ไม้หมากทำเสาเรือนหอก็มี ส่วนเครื่องแต่งเรือนเปนของฝ่ายเจ้าสาวจะต้องหา
สันนิษฐานว่าเรือนหอแต่งงานนั้น ทำสำหรับให้อยู่ชั่วคราวพอผู้ปกครองฝ่ายหญิงวางใจ เช่นมีลูกด้วยกันแล้วก็ดีหรือเห็นว่ารักใคร่คุ้นกันสนิทสนมแล้วก็ดี ก็ยอมให้พากันไปตั้งบ้านเรือนอยู่เปนอิสสระต่างหาก หรือไปอยู่บ้านของเจ้าบ่าวอันเปนผู้มีถิ่นฐานของตนเองอยู่แล้ว เพราะเหตุนั้นจึงไม่ทำเรือนหออย่างมั่นคง แต่โดยปกติคงต้องปลูกเรือนหออยู่ด้วยกันที่บ้านเจ้าสาวก่อนทั้งนั้น ประเพณีที่ยอมให้เจ้าสาวไปอยู่บ้านเจ้าบ่าวแต่แรกแต่งงาน น่าจะมีแต่ในตระกูลซึ่งเจ้าบ่าวไม่สามารถจะทิ้งที่อยู่ไปได้ เช่นต้องปกครองบ้านเมือง
๔. ต่อวันปลูกหอมา ในบทเสภาว่า
“ครั้นรุ่งเช้าขึ้นพลันเปนวันดี | ทองประสีจัดเรือกันยาใหญ่ |
เอาขันหมากลงบรรทุกขลุกขลุ่ยไป | หามโหรีใส่ท้ายกันยา |
(คนยก) ขันหมากเอกเลือกหญิงที่รูปสวย | นุ่งยกห่มผวยจับผิวหน้า |
ก็ออกเรือด้วยพลันทันเวลา | ครู่หนึ่งถึงท่าศรีประจันต์ฯ” |
การแห่ขันหมากอย่างว่านี้ได้เคยเห็นมาหลายครั้ง
คำที่เรียกว่า “ขัน” นั้นแปลกอยู่ ไทยข้างใต้เช่นชาวกรุงเทพฯ หมายความว่าภาชนะอย่างรูปคล้ายมะพร้าวครึ่งซีก แต่ไทยข้างเหนือเช่นชาวเชียงใหม่เขาหมายความภาชนะอย่างมีเชิง เช่นที่ไทยใต้เรียกว่า “พาน” นั้น ที่จริงเมื่อคิดดูก็เห็นว่าจะมาแต่มูลอันเดียวกันนั้นเอง คือแต่เดิมมนุษย์ใช้กลามะพร้าวเปนภาชนะใช้สอย ต่อมาเมื่อรู้จักหล่อโลหะใช้ ก็ทำภาชนะนั้นด้วยโลหะเรียกกันว่า “ขัน” ทั้งไทยใต้และไทยเหนือ ต่อมาอีกมีผู้คิดทำเชิงต่อขันให้สูงขึ้น ไทยเหนือเรียกคงอยู่ว่า “ขัน” ตามเดิม ไทยใต้เดิมเรียกว่า “ขันเชิง” ต่อมาเมื่อทำขันเชิงชนิดที่ใช้สำหรับวางของแห้ง ขังน้ำในนั้นไม่ได้ จึงเรียกกันว่า “พาน” ที่ว่านี้โดยเดา แต่ปลาดอยู่ที่มีเครื่องราชูปโภคสิ่งหนึ่งซึ่งใช้ทั้ง ๒ คำนั้นรวมกันเรียกเปนชื่อว่า “พานพระขันหมาก” ข้อนี้ที่ส่อให้สันนิษฐานดังกล่าวมา
ถ้าว่าฉะเพาะที่ในบทเสภาที่เรียกกันว่า “ขันหมาก” เห็นจะเปนภาชนะใส่หมากสำหรับเลี้ยงแขกที่เชิญมาในวันงานนั้นเอง จะใส่ขันหรือด้วยพานก็ได้ ขันหมากเอกสำหรับแขกที่ศักดิ์สูง งานที่เห็นมีขันหมากเอกมากก็ยิ่งมีหน้ามีตา เพราะจะมีคนสูงศักดิ์มาช่วยมากจึงได้ตกแต่งขันหมากเอกให้หรูหราผิดกับขันหมากสามัญ หญิงสาวที่ถือขันหมากไปตอนเช้าก็เห็นจะเปนสาวใช้ที่ตั้งพานหมากเลี้ยงแขกในตอนเย็นด้วย
๕. เมื่อเรือขันหมากถึงบ้านเจ้าสาว บทเสภาว่า
“จึงจอดเข้าหน้าสะพานใหญ่ | ตาผลวิ่งไปเอาไม้กั้น |
เสียเงินทองให้ขึ้นไปพลัน | ขนขันหมากขึ้นบรรได” (เรือน) |
ความตรงนี้วินิจฉัยข้อต้น ส่อถึงเหตุที่มีเครื่องดนตรีประโคมไปในเรือขันหมาก ข้อหลังส่อถึงที่ตาผลเอาไม้กั้น อันประเพณีงานของชาวบ้านที่ประโคมเครื่องดนตรีไปในเรือ โดยปกติมักเปนการบอกบุญ เหมือนเช่นแห่กฐินหรือผ้าป่า ประสงค์จะชักชวนชาวบ้านให้มาช่วยกันทำบุญ แต่แห่ขันหมากไม่มีกิจเช่นนั้น จึงเห็นว่าเครื่องดนตรีนั้นสำหรับประโคมบอกให้ยินดีเมื่อไปถึงบ้านเจ้าสาว ไม่เช่นนั้นก็จะต้องไปตะโกนให้เปิดประตูรับ ข้อที่มีผู้มากีดกั้นก็มิใช่อื่นคือผู้เปนโทวาริกรักษาประตู ต้องดูแลให้รู้ว่าใครมาและไต่ถามให้ทราบกิจเสียก่อน แล้วจึงเปิดประตูรับ
๖. เมื่อพวกนำขันหมากขึ้นเรือนเจ้าสาวแล้ว มีในบทเสภาต่อไป (แต่ในบทตอนขุนช้างแต่งงานกับนางวันทอง ความตรงนี้ชัดเจนดีกว่าเพื่อน) จึงคัดเอามาลง ว่า
“ขันหมากตั้งเรียงเคียงกันมา | เถ้าแก่นำหน้าขึ้นนั่งพรม |
เถ้าแก่ที่เรือนก็ต้อนรับ | จึงนับโต๊ะเตียบใหญ่ใส่ขนม |
ทั้งหมูไก่เหล้าเข้มเต็มขวดกลม | กล้วยส้มร้อยสิ่งตามสัญญา |
ทุนสินเงินตราผ้าไหว้ | เอาออกนับรับใส่โต๊ะสามขา—(อย่างที่เรียกว่า “โต๊ะเท้าช้าง”) |
เถ้าแก่สองข้างต่างสนทนา | ขนของเข้าเคหาด้วยทันใด |
แถมพกยกให้ตามทำนอง | เอาเข้าของคาวหวานมาตั้งให้ |
เลี้ยงดูอิ่มหนำสำราญใจ | เถ้าแก่กลับไปด้วยฉับพลันฯ” |
ความตอนนี้ส่อว่าเถ้าแก่ (ทั้ง ๔ คนที่ไปเมื่อวันขอ) เปนผู้นำขันหมากไป ทางฝ่ายเจ้าสาวก็หาเถ้าแก่ไว้รับ เถ้าแก่คนกลางทั้งสองฝ่ายเปนพนักงานตรวจตราสิ่งของที่ฝ่ายเจ้าบ่าวจะต้องให้ให้ถูกต้องตามสัญญา และสิ่งของที่ให้นั้นเปนของกินสำหรับเลี้ยงแขกประเภท ๑ เงิน “ทุน” (ซึ่งผู้ปกครองให้ฝ่ายละครึ่ง) สำหรับคู่บ่าวสาวจะได้รวมกันใช้ในการตั้งตัวประเภท ๑ “สินสอด” ของขวัญเจ้าบ่าวให้แก่เจ้าสาวประเภท ๑ “ผ้าไหว้” คือผ้านุ่งกับผ้าห่มจัดเปนสำรับสำหรับคู่บ่าวสาวให้ผู้ใหญ่ในสกุลทั้งสองฝ่ายเวลาไปไหว้เมื่อแต่งงานแล้ว เมื่อฝ่ายเจ้าสาวรับเครื่องขันหมากเสร็จแล้วเลี้ยงอาหารและแจกของแถมพกแก่พวกที่ไปรับขันหมากทั่วกัน
๗. เมื่อเวลาเย็น (วันขันหมากไปนั้น) ทำพิธีสงฆ์ นิมนต์พระมาสวดมนตร์ ตัวเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวต่างมีเพื่อนบ่าวและเพื่อนสาวราวฝ่ายละ ๑๐ คน หัวหน้าเรียกว่า “บ่าวนำ” และ “สาวนำ” ห้อมล้อมพาตัวเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวไปนั่งตั้งวงแยกกันอยู่ข้างหน้าพระสงฆ์ (กระบวรพิธีนี้ บทเสภาตอนแต่งงานพระวัยพรรณนาชัดเจนกว่าเพื่อน) จึงคัดมาลง ว่า
“ครั้นถึงน้อมนั่งฟังพระธรรม | พระสดัมภ์ (ปลัดสังฆราช) จับมงคลคู่ใส่ |
สายสิญจน์โยงศรีมาลามาพระวัย | พอฆ้องใหญ่หึ่งดังตั้งชยันโต |
หนุ่มสาวเคียงข้างเข้านั่งอัด | พระสงฆ์เปิดตาลิปัตร์ซัดน้ำโร่ |
พรำลงข้างสีกาห้าหกโอ | ท่านยายโพสาวนำน้ำเข้าตา |
อึดอัดยัดเยียดเบียดกันกลม | เอาหนามส้มแทงท้องร้องอุยหน่า |
ที่ไม่ถูกเท้ายันดันเข้ามา | ท่านยายสาออกมานั่งบังกันไว้ |
มหาดเล็กโลนโลนโดนกระแทก | โอยพ่อขี้จะแตกทนไม่ได้ |
ท่านยายสาเต็มทีลุกหนีไป | จนพระวัยศรีมาลามาชิดกัน ฯ” |
บทตอนนี้แสดงประเพณีแต่งงานอย่างโบราณ ที่ผิดกับที่ทำกันชั้นหลังเปนข้อสำคัญ คือ
ก. พระสวมมงคลคู่ให้บ่าวสาว
ข. การรดน้ำแต่งงานพระเปนผู้รดเมื่อสวดมนตร์จบ
ค. รดน้ำด้วยเอาโอตักน้ำ “ซัด” เปียกทั้งตัว (มีในบทเสภาว่าต้องผลัดผ้าแต่งตัวใหม่ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาว)
ฆ. การที่พวกเพื่อนบ่าวสาวเข้ารับน้ำมนตร์ เปนอุบายที่จะแกล้งเบียดตัวเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวให้เข้าไปชิดติดกัน
รดน้ำอย่างว่ามานี้ในบทเสภาเรียกว่า “ซัดน้ำ” (เห็นจะเปนภาษาไทยคำเดียวกับ “สาดน้ำ” นั่นเอง) แม้รดน้ำเด็กเมื่อโกนจุกก็ให้พระ “ซัด” น้ำอย่างว่านี้ (มีอยู่ในบทเสภาตอนโกนจุกพลายงาม) น่าสันนิษฐานว่าจะเปนประเพณีเดิมของไทยจึงประพฤติกันแพร่หลายในชั้นพลเมือง วิธีที่ให้ผู้ใหญ่ในวงศญาติรดน้ำสังข์แก่คู่บ่าวสาว น่าจะเปนประเพณีพวกพราหมณาจารย์พามาแต่อินเดีย อนุโลมต่อพิธีอภิเศก เห็นจะใช้แต่ในมณฑลบุคคลชั้นสูงเช่นเจ้านายเปนต้น
เมื่อเสร็จพิธีซัดน้ำ ถวายไทยธรรมพระสงฆ์แล้วเวลาค่ำมีการเลี้ยงแขก จัดเลี้ยงเปนชั้นๆ ตั้งแต่ตัวนายลงไปตลอดจนบ่าวไพร่ แต่เลี้ยงผู้หญิงกับผู้ชายไม่ปะปนกัน
๘. รุ่งเช้าเลี้ยงพระที่ได้สวดมนตร์เมื่อวันก่อน ตัวเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวต้องตักบาตด้วยกัน เลี้ยงพระแล้วเปนเสร็จการพิธี
๙. การส่งตัวเจ้าสาวยังรอต่อมาอีก ดูราวกับเพื่อจะเกลี้ยกล่อมให้เจ้าสาวยอมไปสู่ชายหายอดสูเสียก่อน ในระหว่างนั้นเจ้าบ่าวต้องนอนคอยอยู่ที่เรือนหอสักสองสามวันผู้ปกครองจึงพาตัวเจ้าสาวไปส่งให้ในเวลาค่ำวันหนึ่ง เมื่อจะไป “ส่งตัว” นั้นลอบไปมิให้ใครรู้ แม้ตัวเจ้าบ่าวก็ไม่บอกให้รู้ล่วงหน้าก่อน
เมื่อเขียนวินิจฉัยประเพณีแต่งงานอย่างโบราณตอนที่ปรากฏในบทเสภาแล้ว นึกขึ้นถึงเรื่องที่เคยได้ยินเล่ากันมาว่าเมื่อในรัชชกาลที่ ๓ ผู้สูงศักดิ์เช่นเจ้านาย ถ้าอยากได้ลูกสาวใคร สามารถจะพาพรรคพวกไปฉุดเอาตัวหญิงนั้นไปเปนเมียตามอำเภอใจ และเล่ากันพิสดารต่อไปว่าครั้งหนึ่งลูกเธอไปฉุดลูกสาวเขา ผู้ปกครองหญิง (ทำนองจะเปนข้าราชการ) ถวายฎีกา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสว่า “ทำไมลูกของข้าไม่สมกับลูกของเจ้าหรือ” ผู้ถวายฎีกาก็ต้องนิ่งไป คำเล่าเช่นนี้ไม่น่าเชื่อว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงเห็นชอบหรือแม้แต่เพิกเฉย ในการที่พระเจ้าลูกเธอเที่ยวข่มเหงผู้อื่นเช่นนั้น น่าจะเปนเพราะไม่มีใครกล้ากราบทูลให้ทรงทราบ ด้วยกลัวการแก้แค้นของผู้มีอำนาจยิ่งกว่าอย่างอื่น แต่เรื่องฉุดลูกสาวนั้นมีแน่ แต่เหตุอันหนึ่ง ซึ่งทูลกระหม่อมทรงตั้งประเพณีเสด็จออกรับฎีการาษฎรด้วยพระองค์เองทุกสัปดาหะ จึงสงบแต่ในรัชชกาลที่ ๔ มา
เมื่อหม่อมฉันอ่านหนังสือเรื่องประเทศต่าง ๆ ไปพบกล่าวถึงการพิธีแต่งงานของมนุษย์พวกที่อยู่ตามทะเลทราย ว่าเจ้าบ่าวขี่ม้าคุมพรรคพวกไปรับตัวเจ้าสาวขึ้นหลังม้าพาไป เหมือนอย่างว่าสามารถชิงเอาไปเปนเมียได้ด้วยมีฤทธิเดชมาก แล้วนึกต่อไปถึงเรื่องพระอินทร์ชิงลูกสาวท้าวเวปจิตติในนิทานธรรมบท (มีรูปภาพเขียนไว้ในพระอุโบสถวัดราชบุรณ) และเรื่องอิเหนาที่ท้าวกะหมังกุหนิงยกกองทัพไปดีเมืองดาหา เพราะเหตุขอนางบุษบาท้าวดาหาไม่ให้ ส่อให้เห็นว่าแต่โบราณนิยมกันว่าถ้าใครสามารถอาจจะหาเมียได้ด้วยพลการนับว่าเปนผู้วิเศษ มูลของการฉุดลูกสาวน่าจะมาแต่ประเพณีซึ่งนิยมกันแต่ดึกดำบรรพ์ดังกล่าวมา พวกพราหมณาจารย์เอาเข้ามาแถลงจึงมาเกิดขึ้นในประเทศนี้ แต่ว่าชั้นเดิมเห็นจะประพฤติแต่ในระหว่างตระกูลอันยศศักดิ์สมกัน และพาไปเปนเมียหลวง และฉะเพาะแต่ในกรณีที่ผู้ปกครองไม่ยอมยกให้โดยดีเท่านั้น ครั้นนานมาเมื่อความรู้และความเลื่อมใสในจารีตโบราณวิปริตไปก็กลายเปนวิธีสำหรับคนพาลที่มีอำนาจ เที่ยวฉุดคร่าหาเมียน้อยเล่นตามใจหม่อมฉันคิดเห็นดังนี้.