วันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น

ตำหนักปลายเนีน คลองเตย

วันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๔๗๘

กราบทูล สมเด็จกรมพระยาดำรง ทราบฝ่าพระบาท

ลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๓ เดือนนี้ ได้รับประทานแล้ว

เกล้ากระหม่อมอยากจะกราบทูลถึงพระปฐมพระประโทนตั้งแต่คราวก่อนเมื่อกราบทูลถึงกำเนิดพระเจดีย์นั้นแล้ว หากเห็นว่าเปนแต่ส่วนน้อยในสาขาหนึ่งเท่านั้น จะทำให้ยาวความไปจึงงดเสียมาทูลเอาบัดนี้ แรกได้เห็นรูปจำลองพระปฐมเจดีย์องค์เดิม ซึ่งตอนล่างเปนลอม ตอนบนเปนเรือนนั้น ทำให้ตกใจเปนอันมากด้วยไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย แต่ฝ่าพระบาททรงพระวิจารณว่าพระปรางค์นั้นเปนของทำต่อเติมขึ้นภายหลัง ทีแรกก็ยังลังเลใจ ต่อได้ไปเห็นพระประโทนเข้าอีก ซึ่งทำปรางค์ขึ้นไปหลิมเล็กอยู่บนลอมจึงยินยอมพร้อมใจว่าฝ่าพระบาททรงพระวิจารณถูก แต่ก็ยังเก็บเอามาคิด ว่าถ้าตีทรงปรุงให้ดีอาจจะงามได้มาก เพราะสิ่งทั้งหลายอาจปรับลงที่กันได้ คือฐานของปรางค์ก็ได้แก่บัลลังก์เหนือลอม เสาเรือนปรางค์ก็ได้แก่ลูกมะหวดที่ค้ำยอด ยอดปรางค์ก็ได้แก่ยอดซึ่งสมมตแต่ฉัตร แม้ยอดพระปฐมเจดีย์ซึ่งปรากฏอยู่บัดนี้ทูลกระหม่อมก็ทรงทำไว้มีรูปเปนทียอดปรางค์อยู่แล้ว นึกผูกใจไว้ว่าถ้าต้องทำพระเจดีย์ที่ไหน จะต้องลองผูกแบบลอมยอดปรางค์ขึ้นทำให้ดีให้ได้ แต่ก็เผอิญไม่มีงานทำพระเจดีย์มาถึงตัวเลย ชื่อพระปฐมเจดีย์นั้น ย่อมทรงทราบอยู่แล้ว ว่าก่อนนี้เรียกกันว่าพระประทม ซ้ำมีนิทานประกอบว่าพระเจ้าเสด็จมาประทม (เข้านิพพาน?) ที่นั้น พระประโทนว่าเปนที่ฝังทนาลตวงพระสารีริกธาตุเปนนิทานแต่งขึ้น ประกอบชื่ออย่างโง่ ๆ ตามเคย เกล้ากระหม่อมสงสัยว่าเปนคำเขมร คือพระธม แปลว่าพระ(เจดีย์)ใหญ่ พระโทล แปลว่า พระ(เจดีย์) แขงแรง หรือ มั่นคง เขมรอ่านตัว พ ออกเสียงเปน ป จึงเปน ประธม ประโทล เปนสิ่งที่ควรสังเกตว่าเขมรได้เข้ามาวอแวอยู่ในแขวงนี้คราวหนึ่ง

เรื่องชื่อวัดมงกุฎกษัตริย์ หรือวัดมกุฎกษัตริย์นั้น ได้ความแน่นอนแล้ว เกล้ากระหม่อมไปหาพระสาสนโสภณ ขอดูต้นหนังสือสำคัญ ท่านหยิบให้ดูได้ถึง ๓ ฉะบับ คือ (๑) ประกาศรัชชกาลที่ ๔ พระราชทานที่วิสุงคามสีมา พ.ศ. ๒๔๑๑ (๒) ประกาศรัชชกาลที่ ๔ บอกเลื่อนหลักเขตต์วัด พ.ศ. ๒๔๑๑ (๓) ประกาศรัชชกาลที่ ๕ ให้เปลี่ยนเรียกนามวัดและทำพระมหามงกุฎเฉลิมยอดพระเจดีย์ พ.ศ. ๒๔๓๓ เขียนชื่อวัดมกุฎกษัตริยาราม ต้องกันทั้ง ๓ ฉะบับ

ตามที่ตรัสเล่าถึงที่เขาแห่เทียนวรรษากันนั้นดีอยู่ เกล้ากระหม่อมไม่เคยทราบเลย แม้ที่ในกรุงเทพฯ ว่าเขาทำอย่างไรกัน เคยเห็นแต่ที่ตั้งอยู่ในโบสถ์กลางวัดเมื่อไปทอดกฐิน เห็นรูปร่างแปลกรู้แต่ว่าเปนเทียนราษฎร์

เรื่องทำเสน่ห์ “หมอเน้” ได้ยินเล่ากันว่าเชื่อถือต้องการกันมากในหัวเมืองปักษ์ใต้ของเรา และก็พวกปักษ์ใต้นั้นเองที่สาดออกไปอยู่ปินัง ยังคงต้องการทำเสน่ห์อยู่ดูก็ไม่สู้ประหลาดนัก แต่เห็นเปนการเหลือเกินเต็มที ที่มาหา “หมอเน้” ในศินนามอน ฮอลล์

เมื่อได้อ่านทราบเรื่องตามพระดำรัส ว่าได้ทรงประสพคนสำคัญเข้าที่สวนน้ำตก รู้สึกเหมือนอะไรมันขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอย ต่อมาอีกวันหนึ่งอ่านบางกอกไตม์ ลงว่าหนังสือพิมพ์ภาษาไทย ๒ ฉะบับสงสัยว่าหลบไปอยู่หาดใหญ่ ต่อมาอีกวันหนึ่งลงว่าเข้าหาเจ้าหน้าที่ที่หาดใหญ่แล้ว ทำให้โล่งใจไป

เรื่องนายประกิตตายนั้นน่าสงสาร ที่ว่าเปนบิดนั้นเกล้ากระหม่อมสงสัยว่าแผลมันจะไม่ติดไม่หาย เน่าลามปามไปทำให้สิ่งสกปรกตกออกมาจากลำไส้คล้ายโรคบิด ที่เปนไข้ก็คือพิษอักเสบแห่งแผลนั้นเอง ตั้งใจจะทูลถามแต่เมื่อคราวตรัสเล่าถึงวัดในปินังมาแล้ว ว่าคนตายเขาทำอย่างไรกัน แต่ลืมเสียไม่ได้ทูลถาม ศพนายประกิตนั้นฝัง ถ้าต้องการจะเผาแล้วเผาได้หรือไม่ พวกแขกฮินดูประเพณีของเขาก็เผากัน ในปินังแขกฮินดูก็เข้าใจว่ามีมาก เมื่อตายลงเขาทำอย่างไรกัน

พระดำรัสเรื่องสีซึ่งจีนต่างภาษาถือใช้ต่างกันนั้น ประหลาดหนักหนาอยู่ ฝันว่าได้เคยเห็นที่ไหนพูดถึงเรื่องสี ดูเหมือนเขาคัดมาลงพิมพ์ในบางกอกไตม์นานแล้ว จำได้ว่าคำกล่าวในที่นั้น ว่าทางจีนถือว่าสีแดงเปนสีที่ผีเกลียดหรือกลัว เพราะฉะนั้นในการที่จะไล่ผีและกันผีแล้วก็ใช้สีแดง มาเห็นสมอยู่น้อยหนึ่ง ที่ขึ้นปีใหม่แล้วใช้กระดาษแดงเขียนหนังสือปิดหน้าร้าน กับถ้าร้านไหนมีการตายขึ้นก็เปลี่ยนเปนกระดาษสีน้ำเงิน จะเอาหลักนี้ไปปรับกับสำเภาจีนก็ติดจะขัดข้อง สำเภาจีนแต้จิ๋วทาหัวสีแดง จะว่าเพื่อให้ผีทะเลหรือพรายน้ำไม่กล้ำกรายได้อยู่ ส่วนสำเภาจีนฮกเกี้ยนทาหัวสีเขียว จะว่าเพื่อให้ผีรักไม่นำอันตรายมาให้ดูก็กะไรอยู่ นึกขึ้นมาได้ว่าได้เคยเห็นในต้นดิกชันนารีจีน มีบอกไว้ด้วยเรื่องสีเสื้อยศ จึงพลิกดู กลายเปนลูกดุมไป ว่ายศที่ ๑ ที่ ๒ ดุมแก้วสีแดง ที่ ๓ ที่ ๔ แก้วสีน้ำเงิน ที่ ๕ ที่ ๖ แก้วสีขาว ที่ ๗ ที่ ๘ ที่ ๙ ทอง ลายเสื้อก็มีกำหนดเปนชั้นเหมือนกัน ถ้าฝ่ายพลเรือนลายเปนพวกนก ถ้าฝ่ายทหารลายเปนพวกสัตวร้าย แต่สีเสื้อไม่ได้กล่าวไว้ ในเรื่องสีทางข้างจีนนี้น่ารู้ จะต้องสืบถามผู้รู้ทางข้างจีนต่อไป

เรื่องเจ้านายถวายต้นไม้ทองเงินกับดอกไม้ธูปเทียน ในเมื่อรับพระสุพรรณบัตรนั้น เปนไปตามเหตุอย่างที่ทรงพระดำริถูกต้องแน่นอน แต่จะถวายตัวอย่างให้ทรงพระดำริอีกทางหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถวายต้นไม้ทองเงินเล็ก ๆ แต่เจดียฐานที่สำคัญก็มี ดูเหมือนทุกคราวสงกรานต์ มีพระมหามณีรัตนปฏิมากรเปนต้น ตลอดออกไปจนหัวเมืองต่าง ๆ มีพระธาตุพนมเปนที่สุด นั่นจะแปลว่าอย่างไร คิดดูก็เห็นว่าดอกไม้ทองนั้นเปนของทำใช้โดยทั่วไป เช่นในกฎมณเฑียรบาลกล่าวด้วยพิธีอาษยุชมีว่า เวลากลางวันทรงพระสุพรรณมาลา เวลาเย็นทรงพระมาลาสุกหร่ำ อันพระมาลาสุกหร่ำนั้นเข้าใจว่าดอกไม้สดอย่างที่ว่าดอกไม้เครื่องอาภรณ์ของเทวดานั้นไม่รู้จักเหี่ยว ถ้าเหี่ยวเมื่อใดก็เปนนิมิตแสดงว่าจะจุติ แต่นั่นเปนดอกไม้ทิพย์ ดอกไม้ธรรมดาในเมืองมนุสส์จะต้องเหี่ยว ทรงเวลาเย็นแดดไม่ร้อนดอกไม้สดจะไม่มีอาการเหี่ยว เวลากลางวันแดดร้อนจึงยักใช้ดอกไม้ทอง อันจะเหี่ยวไม่ได้ บรรดาเครื่องอาภรณ์ทั้งหลายของมนุสล์เดิมก็จะใช้ดอกไม้สดทั้งนั้น ภายหลังคิดทำทองเทียมดอกไม้ขึ้นใช้แทน ทองเปนสีงามและหายากราคาแพง จึงนิยมว่าดีกว่าดอกไม้สด ถึงเวลาที่สำคัญ พระเจ้าแผ่นดินถวายเครื่องบูชาด้วยดอกไม้ที่ทำด้วยทอง เจ้านายที่ครองเมืองหรือเจ้าประเทศราชที่ถวายต้นดอกไม้เงินทองแด่พระเจ้าแผ่นดิน ก็คือถวายเครื่องบูชาอย่างเลิศ ตามคติที่กล่าวมาแล้วนั้นเองเห็นด้วยเกล้าดังนี้

เห็นหนังสือพิมพ์เขาลงว่า เมื่อวันที่ ๓ แผ่นดินไหว รู้สึกกันที่เมืองสงขลา ปัตตานี และ ตรัง ตลอดถึงปินัง ข่าวว่าที่เมืองตรังยังมีพายุซ้ำเอายับเยิน หวังว่าที่ปินังคงไม่เรี่ยวแรงถึงทำให้ตกใจกัน

ได้ไปเยี่ยมหญิงจง เห็นอาการฟื้นชื่นแช่มกะปรี้กะเปร่าขึ้นเปนอันมาก ดีใจพ้นวิตก

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ