อธิบายเรื่องเครื่องม้าที่อะแซหวุ่นกี้ถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

เรื่องเครื่องม้าอะแซหวุ่นกี้ถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนั้น ฉันได้เคยสืบเสาะมาช้านานตั้งแต่ยังเป็นนายทหารมหาดเล็กได้ความดังจะเล่าให้ฟังต่อไป เมื่อเจ้าพระยาเทเวศรวงศวิวัฒน์ยังเป็นพระยาว่าการกรมม้า ฉันเคยถามว่า เครื่องม้าอะแซหวุ่นกี้นั้นอยู่ที่กรมม้าหรือที่ไหนฉันอยากจะเห็น เจ้าพระยาเทเวศรบอกว่าในสมัยเมื่อกรมพระพิทักษเทเวศองค์พระอัยกาของตัวท่านทรงบัญชาการกรมม้าในรัชกาลที่ ๔ ข้าราชการเก่าในกรมม้าคน ๑ เขาเคยชี้แผงข้างเครื่องม้าให้ท่านดูคู่หนึ่ง บอกว่าแผงคู่นั้นเป็นแผงเครื่องม้าที่อะแซหวุ่นกี้ถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า แต่เวลานั้นตัวท่านยังเป็นเด็กก็ไม่ได้เอาใจใส่จำไว้ว่าคู่ไหน แต่สิ่งอื่นนอกจากแผงข้างท่านไม่เคยได้ยินว่ามีอยู่ในกรมม้า ฉันขอให้สืบถามถึงแผงข้างคู่นั้นก็ไม่ได้ความ เพราะคนชั้นเก่าที่เคยจำได้ตายเสียหมดแล้ว ตัวท่านเองก็จำไม่ได้ ฉันลองพยายามถามคนอื่นต่อมาก็ไม่มีใครรู้ว่าเครื่องม้าที่อะแซหวุ่นกี้ถวายอยู่ที่ไหน

มาถึงรัชกาลที่ ๗ สมัยเมื่อฉันเป็นนายกราชบัณฑิตยสภารับพระราชดำรัสสั่งให้จัดพิพิธภัณฑ์สถานสำหรับพระนคร หวนรำลึกขึ้นถึงแผงข้างเครื่องม้าอะแซหวุ่นกี้ที่เจ้าพระยาเทเวศร (ซึ่งถึงอสัญกรรมเสียนานแล้ว) เคยบอกว่าอยู่ในกรมม้า คิดว่าแผงข้างคู่นั้นลวดลายที่เขียนคงเป็นอย่างพม่า ถึงกับปะปนอยู่กับแผงข้างเครื่องม้าของไทย พิจารณาลวดลายที่เขียนเห็นจะรู้ได้ว่าแผงข้างคู่ไหนเป็นของอะแซหวุ่นกี้ ฉันจึงขอให้กรมม้าส่งบรรดาแผงข้างที่มีอยู่มาให้ฉันดู ได้มากว่า ๑๐ คู่ และเห็นว่าผิดกันเป็น ๒ อย่าง อย่าง ๑ พื้นลงรักสีแดงเขียนลายทองล้วน อีกอย่าง ๑ เขียนลายด้วยสีต่างๆ มีอย่างละหลายคู่ด้วยกัน ครั้นพิจารณาต่อลงไปถึงลวดดายก็เกิดประหลาดใจ ด้วยแผงข้างเหล่านั้นเขียนแบบลาย เช่นรูปสิงห์เป็นต้น อย่างพม่าทั้งนั้น ก็หมดทางที่จะสังเกตลวดลาย ให้รู้ว่าคู่ไหนเป็นของอะแซหวุ่นกี้ (เหตุใดแผงข้างในกรมม้าจึงเขียนแบบพม่าทั้งนั้น จะลองคิดวินิจฉัยกล่าวที่อื่นต่อไปข้างหน้า) การที่ฉันสืบหาเครื่องม้าอะแซหวุ่นกี้ด้วย “ค้นของ” ยุติเพียงเท่านี้

แต่ยังสืบด้วย “ค้นคิด” ต่อไปในหนังสือพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา (ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒ เล่ม ๒ หน้า ๔๒๓) พรรณนาถึงของซึ่งอะแซหวุ่นกี้ให้กำนัลแก่เจ้าพระยาจักรีแม่ทัพไทย (คือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) ครั้งนั้น มีของ ๔ สิ่งด้วยกัน คือ

เครื่องม้าทอง สำรับ ๑

ผ้าสักหลาด พับ ๑

ดินสอแก้ว ๒ ก้อน

น้ำมันดิน ๒ หม้อ

ที่เรียกว่า “เครื่องม้าทอง” นั้นที่จริงต้องเป็นแต่ “ปิดทองคำเปลว” จะเป็นอย่าง “หุ้มทองคำ” ไม่ได้ เพราะเครื่องม้าหุ้มทองคำมีแต่เครื่องม้าพระที่นั่ง ทางเมืองพม่าก็น่าจะมีประเพณีเช่นเดียวกัน แม้ตัวอะแซหวุ่นกี้เองก็จะขี่เครื่องม้าหุ้มทองคำไม่ได้ ยังมีข้อสำคัญอีกข้อ ซึ่งมิใคร่มีใครรู้ คือ การที่สบเสียทำทางไมตรีกับข้าศึกอาจมีโทษเทียบถึงเป็นขบถ ข้อนี้ทำให้เชื่อได้แน่ว่าเจ้าพระยาจักรีคงรีบส่งของกำนันที่อะแซหวุ่นกี้ให้นั้นมาถวายพระเจ้ากรุงธนบุรีมิได้เอาไว้ใช้สอยเอง และน่าจะเป็นมูลเหตุที่เครื่องม้าอะแซหวุ่นกี้ตกมาอยู่ในกรมม้า เพราะเห็นเป็นแต่เครื่องอย่างขุนนางพม่าใช้ เมื่ออยู่ในกรมม้านานมาหลายสิบปีเครื่องส่วนอื่นผุพังหรือกระจัดกระจายไปหมด จึงเหลืออยู่แต่แผงข้างดังเจ้าพระยาเทเวศรว่า

มีกรณีทำนองเดียวกันเกิดขึ้นในรัชกาลที่ ๔ อีกครั้ง ๑ พระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ เมืองเชียงใหม่ให้เอาช้างไปขายที่เมืองพม่า ความทราบถึงพระเจ้ามินดงสั่งให้เลี้ยงดูอุปการะพวกท้าวพระยาชาวเชียงใหม่ แล้วส่งสังวาลเครื่องยศอย่างพม่ามาประทานพระเจ้ากาวิโลรส พวกชาวเชียงใหม่ที่ไม่ชอบกันกล่าวหาว่าพระเจ้ากาวิโลรสเอาใจออกหากไปเข้ากับพม่า พระเจ้ากาวิโลรสก็เอาสายสร้อยนั้นลงมาถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ กราบทูลเล่าเรื่องตามจริงให้ทรงทราบ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ มีพระราชดำรัสว่าไม่ทรงระแวงความซื่อสัตย์ของพระเจ้ากาวิโลรสอย่างไร แต่สายสร้อยนั้นไม่ทรงรับไว้ ด้วยทรงรังเกียจว่าจะเป็นรับเครื่องพศพม่า ฝ่ายพระเจ้ากาวิโลรสก็ไม่ยอมเอาสายสร้อยฯ กลับไปเมืองเชียงใหม่ ด้วยเกรงจะเป็นมลทินว่ายังปรารถนาจะคบหาพม่า ลงที่สุดพระเจ้ากาวิโลรสฯ ถวายสายสร้อยนั้นสมโภชพระเจ้าลูกเธอในเจ้าจอมมารดาเที่ยงพระสนมเอก ซึ่งประสูติใหม่เมื่อพระเจ้ากาวิโลรสอยู่ในกรุงเทพฯ จึงพระราชทานพระนามว่าพระองค์เจ้าหญิงพวงสร้อยสอางค์ (มักเรียกกันแต่ว่า “พระองค์สร้อย”) ยังดำรงพระชนม์อยู่ในบัดนี้ เหตุด้วยสร้อยพม่าสายนั้นเป็นนิมิต

จะกล่าววินิจฉัยเหตุที่แผงข้างในกรมม้า เขียนเป็นลวดลายอย่างพม่าต่อไป เครื่องม้าที่ใช้กันในเมืองไทยมี ๒ อย่างมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นเครื่องม้าทหารอย่าง ๑ เครื่องม้าพลเรือนอย่าง ๑ เครื่องม้าทหารทำตามแบบพม่า อานทำด้วยไม้ มีแผงข้างและโกลน เครื่องม้าพลเรือนเป็นแบบไทยใช้กันในพื้นเมือง อานทำเป็นเบาะไม่มีแผงข้างและไม่มีโกลน มักเรียกเครื่องม้า ๒ อย่างนั้นต่างกันว่า “เครื่องแผง” และ “เครื่องเบาะ” สังเกตดูเครื่องแผงหนักกว่าและทำยากกว่าเครื่องเบาะ แต่เห็นจะนั่งกระชับตัวเวลารบพุ่งดีกว่าเครื่องเบาะจึงใช้เป็นเครื่องสำหรับทหารม้าขี่ พวกกรมม้าแซงเป็นอย่างทหารม้ารักษาพระองค์จึงใช้เครื่องแผงมาแต่เดิม แม้ในชั้นหลังเช่นสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อใช้อานม้าอย่างฝรั่งกันดาดดื่นแล้ว ในงานแห่สนานหรือขี่ม้าห้อแข่งกันเมื่อแข่งแล้ว พวกกรมม้ายังขี่เครื่องแผงในงานนั้น ข้อนี้เป็นมูลที่มีเครื่องแผงอยู่ในกรมม้ามาก พึงเห็นได้ด้วยจำนวนแผงข้างที่ยังเหลืออยู่ดังกล่าวมาแล้ว ข้อที่เขียนแผงข้างเป็นลวดลายอย่างพม่านั้น เห็นว่าจะเป็นได้ด้วยเหตุอย่างเดียว ด้วยแผงข้างที่อยู่ในกรมม้า โดยมากเป็นเครื่องบรรณาการเมืองประเทศราชในมณฑลพายัพถวาย ประเพณีโบราณเมืองประเทศราชต้องถวายต้นไม้ทองเงินกับสิ่งของซึ่งถนัดทำ หรือหาได้ในเมืองนั้น มาใช้ราชการในกรุงเทพฯ เมืองแขกมลายู ประเทศราชยังถวาย “ปิไส” (คือโล่ทำด้วยหวายหรือเปลือกไม้) มาจนรัชกาลที่ ๕ ที่คิดเห็นว่าเครื่องแผง หรืออาจจะเป็นแต่เฉพาะตัวแผงข้าง (เอามาประกอบกับอานที่ทำในกรุงเทพฯ) เป็นเครื่องราชบรรณาการประเทศราชมณฑลพายัพนั้น เพราะศิลปะในเมืองเหล่านั้นแต่ก่อนชอบใช้แบบพม่า ยังมีปรากฏอยู่จนทุกวันนี้มาก เช่นรูปสิงห์ปั้นและลายจำหลักเป็นต้น แผงข้าวเครื่องม้าเขียนลวดลายที่ชอบทำในพื้นเมืองจึงเป็นลายพม่า ที่ไทยในกรุงเทพฯ จะไปถ่ายแบบอะไรของพม่ามาทำในกรุงธนบุรี หรือกรุงรัตนโกสินทรก่อนรัชกาลที่ ๕ เห็นจะไม่มีด้วยยังแค้นพม่าทั้งบ้านทั้งเมือง ชวนให้เห็นต่อไปว่าเครื่องม้าที่อะแซหวุ่นกี้ถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนั้น แม้เมื่อรัชกาลที่ ๑ ก็น่าจะไม่ได้ถือว่าเป็นของสำหลักสำคัญอันควรจะเก็บเชิดชูไว้ต่างหาก เครื่องม้าทองคำที่เจ้าคุณเห็นในเครื่องราชูประโภคนั้น ฉันนึกว่าเห็นจะเป็นของสร้างเมื่อรัชกาลที่ ๑ คราวเดียวกับสร้างเครื่องราชูประโภคอย่างอื่น แทนของเดิมซึ่งสูญเสียเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยา ฉันเคยเห็นผูกม้าพระที่นั่งจูงตามเสด็จในกระบวนแห่พยุหยาตรา แต่ไม่เคยพิจารณาดูถ้วนถี่

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ