วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร

บ้านซินนามอน ปีนัง

วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๘๒

ทูล สมเด็จกรมพระนริศฯ

ลายพระหัตถ์เวรฉบับลงวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ มาถึงหม่อมฉันโดยเรียบร้อยเหมือนฉบับก่อน

สนองความในลายพระหัตถ์

หม่อมฉันจะทูลวินิจฉัยในเรื่องพระศรีอาริย์เพิ่มเติมอีกทาง ๑ ตามพุทธวัจนะ พระพุทธองค์ย่อมตรัสเป็นนิจ ว่าพระพุทธเจ้าเคยมีมาแล้วและยังจะมีต่อไปข้างหน้า คำนี้อาจจะเป็นคติของชาวอินเดียอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนพุทธกาล เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้และประกาศพระศาสนา พวกที่เลื่อมใสจึงชี้พระองค์ว่าเป็นพระพุทธเจ้ามาอุบัติในโลกเป็นพระปัจจุบันพุทธเจ้า ความที่คนอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ก่อนพระองค์ไหนเป็นอย่างไร เห็นจะเกิดขึ้นเมื่อภายหลังพุทธกาล คือในสมัยเมื่อความเลื่อมใสพระพุทธศาสนารุ่งเรืองจนเป็นศาสนาของประเทศแล้ว ฝ่ายผู้ที่ต้องแต่งเรื่องประวัติของพระอดีตพุทธเจ้าไม่มีหลักฐานที่จะรู้ได้ว่าผิดกันอย่างไร ก็เอาเรื่องประวัติของพระปัจจุบันพุทธเจ้าตั้งเป็นโครงเพราะมีตัวอย่าง Model พระพุทธเจ้าแต่พระองค์เดียวเท่านั้น เขาอาจจะคิดเห็นว่าถ้าแต่งเรื่องประวัติให้ต่างกันมากนักคนก็จะไม่เชื่อ จึงพรรณนาให้เห็นว่าต่างกันแต่บางอย่างอันเป็นพลความ ถึงพลความนั้นเองก็ไม่กล้าคิดให้ผิดกันมากนัก จึงเอาเรื่องประวัติพระปัจจุบันพุทธเจ้า “แต้มหัวตะ” เป็นเรื่องประวัติของพระอดีตพุทธเจ้า แต่ที่จริงก็เห็นจะไม่มีใครเอาใจใส่ในพระอดีตพุทธเจ้าเท่าใดนัก เพราะไม่มีประโยชน์อันใดที่จะหวังจากพระอดีตพุทธเจ้า ข้อนี้ผิดกันกับพระอนาคตพุทธเจ้าเป็นสำคัญ เพราะคนหวังประโยชน์จากพระอนาคตพุทธเจ้า จึงเกิดคตินับถือพระโพธิสัตว์ซึ่งจะมาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต จนถึงทำบุญอธิษฐานให้ได้เป็นพระพุทธเจ้า ที่พรรณนากันไปต่างๆ ทั้งพวกมหายานและหินยานก็อยู่ในมุ่งหมายจะได้อะไรๆ ตามชอบใจจากพระอนาคตพุทธเจ้าทั้งนั้น แต่จะติว่าไม่ดีทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะจูงใจคนให้บำเพ็ญศีลทานการกุศลเพื่อประโยชน์อันนั้น ถึงจะได้พบหรือไม่ได้พบพระศรีอาริย์ก็คงได้ผลของการกุศลที่บำเพ็ญอยู่นั่นเอง

ที่ท่านทรงเพียรนับเมล็ดทรายพิสูจน์อสงไขยนั้นแปลกดีนัก หม่อมฉันไม่เคยคิดเห็นเช่นทรงได้ความตามพิสูจน์เลยทีเดียว นึกแต่ว่าอสงไขยแปลว่านับไม่ถ้วนเท่านั้น สังเกตดูในหนังสือเก่าตั้งแต่ในพระบาลีเป็นต้นมา ดูผู้แต่งไม่นำพาต่อปริมาณเสียเลยทีเดียว เช่นกล่าวถึงพวกโจรก็ดี ถึงเกวียนและเรือที่ไปค้าขายก็ดี แม้จนจำนวนพระสาวกตามเสด็จพระพุทธเจ้าไปไหนๆ ก็ดี คงลงจำนวนว่า ๕๐๐ ทั้งนั้น นิมนต์พระสงฆ์ไปฉันตามบ้านเรือน ก็กล่าวจำนวนตั้งครั้งละหลายร้อยก็ไม่ได้คิดว่าจะไปนั่งที่ไหน ยังเมื่อกล่าวถึงผู้ฟังพระพุทธเจ้าประทานเทศนาแล้วก็ว่าได้มรรคผลครั้งละหลายร้อยหลายพัน จำนวนดูเป็นแต่เครื่องประดับเท่านั้น ถึงหนังสือที่ไทยเราแต่งก็ไม่นำพาเรื่องปริมาณเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างดังในบทละครเรื่องรามเกียรติ์ จำนวนพลกองทัพยักษ์ก็ดี ลิงก็ดี กล่าวโดยไม่นึกถึงความจริงว่าจะเกณฑ์ยักษ์ทั้งลังกาทวีป หรือเกณฑ์ลิงให้หมดป่าก็ไม่ได้เท่าจำนวนที่กล่าว ฝ่ายคนอ่านก็ไม่มีใครทักท้วง เพราะฉะนั้นจำนวนที่อ้างเท่าใดๆ คงหมายความแต่ว่า “มาก” หรือ “หมู่ใหญ่” เท่านั้น

นอกจากปริมาณยังมีอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งคนแต่งหนังสือแต่โบราณไม่นำพา คือ “ภาษามนุษย์” ถึงคนจะอยู่ห่างต่างด้าวและต่างชาติถือว่าพูดเข้าใจภาษากันทั้งนั้น หม่อมฉันนึกได้แห่งเดียวที่มีหนังสือแต่ว่าพูดไม่เข้าใจภาษากัน คือในบทละครเรื่องอิเหนาตอนอิเหนาข้ามไปเกาะมละกา มีบทสังคามาระตากับนางหวันยิหวาเกี้ยวโดยไม่เข้าใจภาษากันและกัน

ในจดหมายฉบับเวรก่อน หม่อมฉันได้ทูลวิจารณ์เรื่องนักสวดคฤหัสถ์ ๔ คนขึ้นนั่งสวดบนเตียงสวด เมื่อส่งจดหมายไปแล้วมาหวนคิดได้ความตามที่เคยรู้ เห็นกว้างขวางติดต่อกันออกไปหลายชั้น ดังจะทูลต่อไปนี้

ครั้งหนึ่งหม่อมฉันไปบูชาพระมหาธาตุเมืองนครศรีธรรมราชประจวบวันอุโบสถไปเวลาเช้าราว ๑๐ นาฬิกา เห็นพวกสัปบุรุษนั่งอยู่หมู่หนึ่งที่พระระเบียง กำลังเจียนหมากจีบพลูและจัดดอกไม้เครื่องบูชา มีอุบาสกคนหนึ่ง อายุราวกลางคนนั่งอ่านหนังสือสวดให้พวกสัปบุรุษฟัง เขาเห็นหม่อมฉันก็หยุดการสวดพากันเคารพนบนอบ หม่อมฉันปราศรัยแล้วขอสมุดที่เขาอ่านมาดู ก็เห็นเป็นหนังสือกลอนสวดเรื่องชาดกเขียนเส้นหมึกในสมุดไทยกระดาษขาว อย่างเช่นหนังสือเก่าซึ่งมักเห็นกันในกรุงเทพฯ จึงถามเขาต่อไปถึงประเพณีที่เขารักษาอุโบสถได้ความตามที่เขาเล่า เห็นเป็นประเพณีเก่าที่ชาวนครฯ เขายังรักษาไว้ แต่ในกรุงเทพฯ เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นไปเสียแล้ว ประเพณีที่เมืองนครฯ นั้นที่พระระเบียงมีธรรมาสน์ตั้งทุกทิศ ถึงวันอุโบสถเวลาเช้าพวกสัปบุรุษพากันไปวัด แยกกันไปประชุมทำบุญต่างทิศตามใจเป็นพวกๆ รับศีลเลี้ยงพระฟังเทศน์แล้วนั่งประชุมช่วยกันจัดเครื่องบูชาและหาหมากถวายพระที่จะเทศน์เวลาบ่ายอีกกัณฑ์หนึ่ง ในเวลาที่ประชุมกันนั้นอุบาสกผู้รู้หนังสือเอาเรื่องชาดกที่แปลเป็นภาษาไทยมาอ่านให้ฟัง พวกสัปบุรุษกินเพลแล้วฟังหนังสืออยู่ที่วัดต่อไปจนเวลาบ่าย พระลงมาเทศน์ให้ฟังอีกกัณฑ์หนึ่ง เมื่อฟังเทศน์และสวดมนต์แล้วพวกสัปบุรุษก็กลับบ้าน ได้ทราบความที่เขาบอกอธิบายครั้งนั้นก็เข้าใจว่า เหตุใดหนังสือชาดกแต่งเป็นกลอนสวดจึงมีมาก คงแต่งสำหรับอ่านให้พวกสัปบุรษฟังเวลาไปรักษาศีลอยู่ที่วัดนั่นเอง ส่วนผู้อ่านก็คงอยู่ในผู้รู้หนังสือซึ่งเป็นอุบาสกไปถือศีล หรือมิฉะนั้นพระก็ให้ลูกศิษย์ซึ่งได้สอนให้รู้หนังสือมาอ่าน แต่ให้อ่านด้วยกัน ๒ คน เพราะยังเป็นเด็ก อันนี้เป็นมูลของการสวดโอ้เอ้วิหารราย ครั้นมีชาดกคำหลวงพระเจ้าแผ่นดินจึงดำรัสสั่งให้จัดนักสวด ๔ คน ซักซ้อมทำนองสวดให้ไพเราะ สวดถวายทรงฟังเมื่อเสด็จออกในวันอุโบสถ พิเคราะห์เห็นเป็นเรื่องเนื่องกันฉะนี้

ข่าวทางปีนัง

เมื่อกลางเดือน ๓ ทำพิธีมาฆบูชาที่วัดศรีสว่างอารมณ์ พวกหม่อมฉันกับพระองค์หญิงประเวศและสัปบุรุษไทยและจีนไปกันมาก การพิธีนั้นพระสงฆ์ทำวัตรสวดมนต์แล้วพระมหาภุชงค์เทศน์เป็นภาษาไทย เมื่อจบพวกสัปบุรุษจบมือสาธุการตามประเพณี ปีนี้พระมหาภุชงค์เธอวานอุบาสกจีนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นครูอยู่ในโรงเรียนให้ประกาศคำเทศนาของเธอเป็นภาษาจีนฮกเกี้ยนดูพวกจีนชอบกันมาก แต่เมื่อจบตบมือสาธุการอย่างฝรั่ง ดูแปลกอยู่ เมื่อเสร็จการเทศน์มีเดินเทียนต่อไป ด้วยพวกสัปบุรุษจีนเขาอยากจะเดินเทียนอย่างวิสาขบูชา พระมหาภุชงค์เธอก็ไม่ขัดศรัทธา

วันกลางเดือน ๓ นั้นพ้องกับวันนักขัตฤกษ์ของจีน เรียกว่า Chap goh meh คือวันส่งตรุษจีนด้วย ตามประเพณีแต่ก่อนเมื่อถึงวันนี้ตามบ้านแต่งประทีป คล้ายกับงานเฉลิมพระชันษาในเมืองเรา ถึงเวลาค่ำเดือนหงายพวกผู้ใหญ่พาหญิงสาวที่เป็นลูกหลานขึ้นรถไฟไปเที่ยวชมประทีป เมื่อแรกหม่อมฉันมาอยู่ปีนังยังทันเห็นแต่งประทีป บางแห่งก็ติดราวโคมไฟฟ้าดูสว่างไปทั้งนั้น ในชั้นนั้นรถยนต์ที่ใช้กันก็ยังเป็นรถเปิด น่าดูพวกหญิงสาวแต่งตัวเต็มเปาติดเครื่องเพชรพลอยอร่าม แทบทุกคน ส่วนพวกชายหนุ่มก็พากันคอยดูตามหน้าบ้าน หรือจอดรถและยืนดูตามริมถนน ที่แท้คือเป็นประเพณีสำหรับเลือกคู่ยิ่งกว่าเพื่อประโยชน์อย่างอื่น เพราะแต่โบราณถือประเพณีให้หญิงสาวอยู่แต่กับบ้านเรือน ต่อมีการงานจึงจะได้ไปไหนๆ สังเกตดูตั้งแต่หม่อมฉันมาอยู่ปีนังประเพณีนั้นเสื่อมลงเป็นลำดับ จนเดี๋ยวนี้ไม่มีการแต่งประทีปแล้ว หญิงสาวเหล่าที่สกุลสูงเดี๋ยวนี้ก็ขึ้นรถเที่ยวตากอากาศในตอนบ่ายแทบทุกวัน ชั้นต่ำลงมาก็มักขึ้นรถจักรยาน หรือเดินเที่ยวเล่นบ่ายๆ ชายหนุ่มจะดูนางงามได้ไม่ยากเหมือนแต่ก่อน แต่ถึงวันส่งตรุษจีนก็ยังมีการพาหญิงสาวเที่ยวชมแสงจันทร์ในเวลาเดือนหงายอยู่ไม่ขาดทีเดียว แต่ปีนี้มาเกิดลำบากนอกรีตขึ้นใหม่อย่างหนึ่ง” เพราะรถยนต์แบบใหม่ที่ใช้กันในเวลานี้ เป็นรถเก๋งหน้าต่างเล็ก อย่างท่านเคยตรัสเรียกว่า “รถรูต่าง” เป็นพื้น ถึงหญิงสาวแต่งตัวให้สวยสักเพียงไรนั่งไปในรถ คนอยู่ภายนอกก็แลไม่เห็น ฝ่ายชายหนุ่มจะดูผู้หญิงที่อยู่บนรถเก๋งก็มืดแลไม่เห็น น่าจะเป็นด้วยเหตุนั้นเองสังเกตดูปีนี้พวกผู้หญิงมักออกขับรถเที่ยวแต่เวลาบ่ายโดยมาก ตอนกลางคืนเขาว่าไปสนุกครึกครื้นกันอยู่ที่โรงเต้นรำ แต่หม่อมฉันก็ไม่ได้ไปดู น่าจะเป็นแต่พวกชั้นต่ำ

เมื่อต้นสัปดาหะนี้วันหนึ่ง หม่อมฉันไปเที่ยวสวนน้ำตก แล้วเลยขึ้นไปเดินเล่นตามถนนบนไหล่เขา ไปเห็นหญ้าร้องไห้ซึ่งไม่เคยเห็นในปีนังมาแต่ก่อน เพราะเหตุที่ฝนแล้งมานานเกินขนาด ต้นเฟินที่เขาปลูกประดับสองข้างทางแห้งงอก่อเหมือนเช่นที่พระแท่นดงรังตลอดทางน่าสมเพช ตลอดมาจนสัปดาหะนี้ ก็ยังแล้งอยู่อย่างนั้นเอง อากาศก็ร้อนจัดขึ้น เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๖ เวลา ๒๓ นาฬิกาก่อนหม่อมฉันจะเข้านอนดูปรอทที่ในห้องนอนขึ้นถึง ๘๘ ดีกรี ครั้นตอนใกล้รุ่งรู้สึกออกหนาวลุกขึ้นดูปรอทอีกลดลงมาอยู่เพียง ๘๑ ดีกรี ลดราวกับเดินลงบันไดชั่วโมงละดีกรีดูประหลาด แต่ก็ยังดีกว่าร้อนระงมอยู่ตลอดรุ่ง

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ