- เมษายน
- วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๒๕/๒๔๘๑ หมายกำหนดการพระราชพิธีเถลิงศก
- —หมายกำหนดการพระราชพิธีพืชมงคล ๒๔๘๒
- —หมายกำหนดการพระราชกุศล ๕๐ วัน พระศพสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์
- วันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๑/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชทานเพลิงศพ เจ้าพระยายมราช
- —ริ้วขบวนแห่ศพเจ้าพระยายมราช
- วันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- —อธิบายการค้าสำเภา
- วันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- มิถุนายน
- วันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๓/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชกุศล ๑๐๐ วัน พระศพสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์
- วันที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- —วินิจฉัยคำ “กู้”
- วันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๔/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชกุศล ๗ วัน พระศพพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุษบัณบัวผัน
- วันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร (๒)
- วันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- กรกฎาคม
- วันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๗/๒๔๘๒ หมายกำหนดการทรงผนวชและอุปสมบทนาคหลวง
- วันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- —ดวงตราที่มีในกฎหมายทำเนียบศักดินา
- วันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๘/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชกุศลเข้าวรรษา
- สิงหาคม
- วันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- —อธิบายเรื่องเครื่องม้าที่อะแซหวุ่นกี้ถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
- วันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- กันยายน
- วันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๙/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชพิธีเฉลิมพระชนม์พรรษา
- วันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —หมายฉลองพระสุพรรณบัฏสมเด็จพระสังฆราช
- ตุลาคม
- วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๑๐/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชกุศลวันที่ระลึกรัชกาลที่ ๕
- วันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- —วินิจฉัย เรื่อง “จิ้มก้องกรุงจีนและหองของพระเจ้ากรุงจีน”
- วันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๑๑/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระกฐินหลวง
- —บันทึกเรื่องเงินกรุงศรีสัตนาคนหุต
- วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- พฤศจิกายน
- วันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- —วินิจฉัยเรื่องลายแทง
- วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- ธันวาคม
- วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๑๒/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชพิธีฉลองรัฐธรรมนูญ
- วันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- —บานแพนกหนังสือราชาธิราช
- วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- มกราคม
- วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —วิธีให้ข้าวแม่ซื้อ
- —บันทึกเรื่องให้ข้าวแม่ซื้อ
- วันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- —วินิจฉัยพระยศเจ้านายที่เรียกว่า “กรมสมเด็จ” หรือ “สมเด็จกรม”
- วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- กุมภาพันธ์
- วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๑๓/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชกุศลมาฆบูชา
- วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๑๔/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชกุศลทักษิณานุปทานและพระราชพิธีรัชมงคล
- วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- มีนาคม
วันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
ตำหนักปลายเนิน คลองเตย
วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๔๘๒
กราบทูล สมเด็จกรมพระยาดำรง ฯ ทราบฝ่าพระบาท
ลายพระหัตถ์เวร ลงวันที่ ๒๘ กันยายน ได้รับแล้วตามเคยโดยมิได้มีบุบสลาย ต่างไปแต่ตราซึ่งประทับหมายผ่านการตรวจ แต่ก่อนเป็นดวงกลมมีอามกลางมีหนังสือรอบว่าผ่านการตรวจ คราวนี้เปลี่ยนไปเป็นตรารูปสี่เหลี่ยมรีไม่มีอาม มีแต่หนังสือบอกว่าผ่านการตรวจที่ ๔
ได้โปรดเข้าพระทัยไว้ ว่าหนังสือเวรซึ่งเกล้ากระหม่อมส่งมาถวายคงส่งเสมอไปไม่มีเวลาเว้น ถ้ามีเหตุจะต้องเว้นก็จะมีหนังสือฉบับเล็กมิของใครก็ของใครกราบทูลมาให้ทรงทราบเหตุ ถ้าไม่ได้ทรงรับหนังสืออย่างใดเลยโปรดเข้าพระทัยว่ามีการพลาดพลั้งที่นอกบ้าน ไม่ใช่เป็นไปจากบ้าน
สนองความในลายพระหัตถ์
ตามพระดำรัสชี้แจงเรื่องก้องเมืองจีนในลายพระหัตถ์คราวนี้ ทำความเข้าใจให้ติดต่อกันได้แจ่มแจ้งดีเต็มที ได้สติรู้สึกอะไรขึ้นเป็นหลายอย่าง ดังจะกราบทูลถวายต่อไปนี้
“สิบสามห้าง” ข้างวัดบวรนิเวศของเรา แปลออกขึ้นว่าเอาอย่างเก้าห้างเมืองจีนมาเรียกเป็นชื่อ รูปเก้าห้างในกรอบกระจกซึ่งทำมาแต่เมืองจีนนั้น ไม่เคยทราบเลยว่าเป็นอะไร เพราะไม่มีใครบอกให้เข้าใจ ห้าง “ปุนกัง” ก็เพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดจึงแซกเข้ามาในเรื่องก้อง แต่ก่อนไม่เข้าใจว่ายื่นเข้ามาทำไม ไม่เห็นมีมูลเลย เข้าใจว่าในเมืองเราแต่ก่อน พ่อค้าต่างประเทศก็ซื้อสินค้าตรงจากราษฎรไม่ได้ ต้องให้พระคลังสินค้าซื้อให้ แต่การขายสินค้านั้นไม่ทราบ ทีจะเอาอย่างเมืองจีนมา
การจิ้มก้องขอหองเมืองจีนนั้น อยากทราบอยู่เหมือนกันว่าตั้งต้นมาแต่ครั้งไหน คงไม่ใช่ครั้งกรุงธนและกรุงรัตนโกสินทร์ คงประเดิมมาแต่ครั้งกรุงเก่าเรื่องพระเจ้ารามกำแหงไปเมืองจีน และเรื่องสมเด็จพระนเรศวรรับอาสาพระเจ้ากรุงจีนตียิดป๋อง (ญี่ปุ่น) ก็ได้พบ เว้นแต่ไม่อยากเชื่อ เราติดจะขึ้นปากเมืองจีนพระเจ้ากรุงจีนกันมาก มีนิทานที่แต่งกล่าวไปถึงอยู่มากมาย เห็นจะต้องการให้เรื่องแปลกเอาต่างภาษาเข้ามาแกม ชนิดเก้าทัพแห่งเรื่องพระอภัยฉะนั้น แต่การที่พระเจ้ากรุงจีนวางยศใหญ่เกินควรนั้นเป็นแน่ แม้เข้าเฝ้าก็ไม่ให้เงยหน้า จนเราแกล้งกล่าวกันว่า พระเจ้ากรุงจีนหน้าเป็นหมา ซ้ำผูกนิทานเรื่องศรีธนญชัยประกอบเข้าด้วย เป็นทำอุบายกินผักบุ้งไต่ราวหลอกเพื่อจะดูหน้า เหตุพระเจ้ากรุงจีนทำยศใหญ่เกินควรนั้นเอง จึงพาให้ข้าราชการทำยศใหญ่เกินควรไปด้วย มีจงต๊กเมืองกึงตั๋งเป็นต้น
พระราชลัญจกร “มหาโลโต” องค์ต้นซึ่งมีอยู่บัดนี้จะเป็นของที่จีนให้มาเมื่อไร คงไม่ใช่ชั้นกรุงเก่า เพราะของครั้งกรุงเก่าไม่ปรากฏว่าได้อะไรมาเลย นอกจากของเล็กน้อยซึ่งเก็บได้จากหัวเมืองที่ไม่ได้เสียแก่พม่า
พวกโจรไต้เผงนั้น เข้าใจว่าตรงกับที่ฝรั่งเรียกว่าพวก “บอกเซอ”
หนังสือความเห็น เคาซิลออฟสะเตต ในเรื่องก้องเมืองจีนตามที่ตรัสระบุว่ามีในหอสมุดนั้น เกล้ากระหม่อมได้ดู และยิ่งกว่านั้น ซ้ำได้คัดรายชื่อไว้ด้วย เพราะอยากทราบว่าใครเป็นบ้าง มีรายชื่ออยู่ ๑๕ คนด้วยกัน มีบันทึกท้ายชื่อว่าใครเห็นควรอย่างไร นอกจากควรไปและไม่ควรไปก็ยังมีเดินสายกลางอีกพวกหนึ่งเป็นรอ คือรอฟังคำขอที่จะไปขึ้นท่าเมืองเทียนจิ๋นว่าจีนจะตอบมาอย่างไร จะคัดบัญชีรายชื่อตามที่จดไว้ถวายในบัดนี้
๑. เจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ | ไป |
๒. เจ้าพระยาภาณุวงษ์มหาโกษาธิบดี | ไป |
๓. เจ้าพระยามหินทรศักดิธำรง | รอ |
๔. พระยาอภัยรณฤทธิ | รอ |
๕. เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์ | ไม่ |
๖. พระยาราชวรานุกูล | ไม่ |
๗. พระยากษาปน์กิจโกศล | รอ |
๘. พระยาเจริญราชไมตรี | รอ |
๙. พระยาราชโยธา | รอ |
๑๐. เจ้าพระยาภูธราภัย | ไป |
๑๑. กรมพระราชวังบวร | ไม่ |
๑๒. พระยากลาโหมราชเสนา | ไป |
๑๓. สมเด็จกรมพระบำราบปรปักษ์ | ไม่ |
๑๔. พระยาภาสกรวงศ์ | ไม่ |
๑๕. พระยาธรรมจรรยานุกูลมนตรี | ไม่ |
ตามบันทึกที่จดหมายไว้นั้นมีไป ๔ รอ ๕ ไม่ ๖ แต่เกล้ากระหม่อมอ่านข้อความตามหนังสือเห็นไปว่าจดบันทึกผิดอยู่ ๒ ชื่อ คือสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระบำราบปรปักษ์ กับพระยาธรรมจรรยานุกูลมนตรี จดไว้ว่าไม่แต่ดูข้อความเห็นเป็นว่าควรรอฟังดูก่อน ถ้าตามที่เกล้ากระหม่อมสังเกตเห็นก็เป็นว่า ไป ๔ ไม่ ๔ รอ ๗ ที่ลงควงไว้นั้นลงชื่อร่วมกันมาในฉบับเดียว
ให้นึกอยากทราบขึ้นมา ว่าคำ “จิ้มก้อง” จะแปลเอาความได้หนักเบาประการใด ครั้นพบพระเจนจึงถามดู ได้ความว่า “จิ้ม” แปลว่าให้ “ก้อง” แปลว่าของกำนัล ไม่มีหนักหนาอะไรอยู่ในคำนี้ ไปหนักหนาอยู่ในคำ “หอง” แปลว่าแต่งตั้ง เพราะฉะนั้นถ้าเป็นแต่จิ้มก้องก็ไม่เสียหายอะไร แต่ถ้าขอหองด้วยแล้วอาการหนัก ตกเป็นเมืองขึ้น เพราะเราไปขอหองเข้า จิ้มก้องจึงกลายเป็นบรร ณาการที่ ๓ ปีต้องส่งครั้งหนึ่งจนถึงทวงกัน “โลโต” แปลว่าอูฐ พระเจนบอกว่าเป็นสิ่งที่หมายเจ้ายศประเทศราช
เบ็ดเตล็ด
ตามที่ได้กราบทูลมา ว่าเขาห้ามไม่ให้ส่งหนังสือพิมพ์ซึ่งไม่ใช่ภาษาอังกฤษเข้ามาในประเทศมลายูนั้น บัดนี้ได้พบหนังสือพิมพ์ซึ่งพูดเรื่องนั้นเข้าอีก จึงได้ตัดส่งมาถวาย
ขอประทานโทษที่กราบทูลมาคราวก่อน ถึงผู้ที่ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ส.ม. สามคนนั้น ผิดไปคนหนึ่ง คือ พระเวชยันต์รังสฤษดิ ที่ถูกเป็นพระยาอภิบาลราชไมตรี เหตุที่ทูลผิดก็เพราะไม่รู้จักตัวบุคคล ถามเขาเขาบอกอย่างไรก็ทูลมาอย่างนั้นบอกผิดจึงผิดไป
ตามที่กราบทูลมาก่อน ว่าข่าวรบฟังยากนั้น แต่ก็จำต้องฟังว่าเขาพูดว่ากระไรกัน การที่ทรงซื้อหนังสือพิมพ์เพิ่มขึ้นอีกฉบับหนึ่งนั้นก็ชอบแล้ว แต่ไม่จำเป็นต้องเชื่อข่าวในหนังสือพิมพ์นั้นไปหมดทุกอย่าง
บรรเลง
เมื่อได้กราบทูลถึงเรื่อง “ก้อง” กับนิทานอันเกี่ยวถึงเมืองจีน และพระเจ้ากรุงจีน ก็ทำให้คิดเฟื่องไปถึงเรื่องนางสร้อยดอกหมากและเรื่องพระนางเชิง ให้นึกรู้สึกขันในใจที่คาดคำ “พนัญเชิง” เป็น “พระนางเชิง” ไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ ที่แท้คำ “พนัญเชิง” “พนังเชิง” “แพนงเชิง” เป็นคำเดียวกัน เป็นภาษาเขมร เห็นจะแปลว่า ไขว้ขา เช่นไก่แพนงก็ว่าไก่ไขว้ขา ที่ว่าทั้งนี้โดยอาศัยคำในมหาชาติคำหลวง ซึ่งมีว่า “ก็นั่งพับแพนงเชิง” คำแพนงเชิงเป็นแน่ ว่าหมายถึงพระพุทธรูปที่มีพระอาการนั่งขัดสมาธิ คำนี้ทำให้สงสัยไปถึงคำ “เลไลย” ว่าจะหมายถึงพระพุทธรูปชนิดมีพระอาการนั่งห้อยพระบาทอย่างนั่งเก้าอี้ อันเป็นของคู่กันกับนั่งขัดสมาธิเสียดอกกระมัง ที่เราเรียกกันว่า “พระป่าเลไลย” เกรงจะหมายเป็นว่าพระเลไลยอย่างที่วัดป่าเมืองสุพรรณ ชาวเมืองนั้นเขาเรียกวัดนั้นกันก็ว่าวัดป่าเท่านั้น หรือจะเป็นเรียกตัดก็ไม่ทราบแน่ แต่เมื่อเทียบกับเมืองเขมร ที่นั่นก็มีวัดเรียกว่าวัด “โลเลย” (อ่านเล สะกด ย แต่หนังสือเขียนเป็น เล ไลย) ไม่มีคำว่าป่า หรือ ปา นำ ที่มาเขียนกันเป็น ปาเลลัยก์ ว่ามาแต่ชื่อช้าง ปาลิลยก เกรงจะเป็นลากเอาเข้าเรื่อง พระนั่งห้อยพระบาทของเก่าๆ มีเป็นอันมาก ทั้งมีอยู่หลายปางด้วย แต่ก็ไม่เห็นมีรูปช้างอยู่ด้วยสักปางเดียว แม้ที่วัดป่าเมืองสุพรรณเดิมก็ไม่มีรูปช้าง เพิ่งทำเติมกันขึ้นใหม่ๆเอาไว้ที่เสาดูห่างเห็นเต็มที เกรงว่าที่ทำรูปช้างไว้ด้วยจะเป็นของใหม่ เมื่อลากเอาคำป่าเลไลย ไปเป็น ปาลิลยกเข้าแล้ว
คำซึ่งคาดผิดไปอย่างพระนางเชิงเช่นนี้มีอยู่มาก เช่นปราสาทพิมาย เกล้ากระหม่อมก็ทราบว่ามีตำนาน ครั้นไปถึงนั่นก็ติดตามมาดู แต่อ่านไปได้สองสามใบสมุดก็ลาเลิก เพราะเห็นเหลวเต็มที แต่ฝ่าพระบาททรงทราบตรัสบอกว่าคำพิมายนั้น เขาแปลว่าพี่มา เมื่อได้ปรารภกับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ถึงชื่อปราสาทพิมายนั้นท่านเห็นว่าไม่มีที่สงสัยเลย คำพิมายนั้นเป็นพระนามพระพุทธเจ้าตรงทีเดียว คือวิมายาผู้ไม่มีมายา ตรงกับพระนามอะไรท่านบอกให้ตัวอย่าง แต่เกล้ากระหม่อมลืมเสียแล้ว
ยังมีอีกเรื่องหนึ่งในตำนาน พระชินราช พระชินสีห์ว่าพระอินทรแปลงเป็นตาปะขาวมาทำ ครั้นทำแล้วก็กลับไปหายตัวที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง บ้านหมู่นั้นจึงได้ชื่อว่าบ้านปะขาวหาย แล้วกลายเป็นบ้านเต่าหาย แต่ฝ่าพระบาทตรัสวินิจฉัยว่าเตาไหที่ตั้งเตาเผาไหในแขวงพิษณุโลก ขอถวายอนุโมทนาสาธุการอย่างล้นพ้น ได้ความใกล้กับคำเดิม ทั้งมีพยิงพยานประกอบอยู่ด้วย ที่ผูกเป็นว่าบ้านปะขาวหายนั้นไกลร้อยโยชน์แสนโยชน์
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด