วันที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น

ตำหนักปลายเนิน คลองเตย

วันที่ ๙ กันยายน ๒๔๘๒

กราบทูล สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทราบฝ่าพระบาท

ตราพระราชลัญจกร

พระเจนจีนอักษรเอาคำแปลหนังสือจีนในพระราชลัญจกรมาให้ ได้พูดกันถึงพระปรมาภิไธยอย่างจีน แกทราบจำได้ดีอยู่ ๔ รัชกาล ด้วยได้เคยแปลจดหมายเหตุครั้งแผ่นดิน เชง เป็นดังนี้

รัชกาลที่ ๑ แต้ฮั้ว

รัชกาลที่ ๒ แต้ฮก

รัชกาลที่ ๓ แต้เหม็ง

รัชกาลที่ ๔ แต้ฮุด

แต้ฮุดเป็นรัชกาลที่ ๔ นั้นดีขึ้น หมายความว่าทรงผนวชอยู่ในพระพุทธศาสนา เมื่อได้ความดังนี้ แต้เจี่ย ก็ตกเป็นรัชกาลที่ ๕ โดยไม่มีปัญหา

จะกราบทูลจำเพาะแต่องค์ที่เห็นสำคัญ ตามที่พระเจนแปลมาให้เข้าใจมี ๕ องค์ด้วยกัน ถ้าจะแยกชนิดก็เป็น ๒ อย่าง คือเป็นพระปรมาภิไธยเหมือนอย่างพระราชลัญจกร สยามโลกัคราช นั้นอย่างหนึ่ง มีแต่คำ “เซียม-ก๊ก-แต้ -เจี่ย” เท่านั้น อีกอย่างหนึ่งที่ผู้ทำจะนึกให้เป็นพระราชลัญจกร พระบรมราชโองการเพราะมีคำ “เก่า-เม่ง” แปลว่าประกาศ-สั่ง แซกเข้าไป ชนิดที่เป็นพระปรมาภิไธยมี ๒ องค์ได้กราบทูลมาก่อนแล้ว จะกราบทูลให้ทรงทราบบัดนี้ จำเพาะแต่ที่คิดว่าตั้งใจจะให้เป็นพระราชลัญจกร พระบรมราชโองการ ๓ องค์ คือ

๑. เป็นอักษรจีนอย่างปกติ ๖ ตัวว่า “เซียม-ก๊ก-เก่า-เม่ง-แต้-เจี่ย”

๒. เป็นอักษรจีนอย่างตัวยี่ แต่ก็อ่านได้เหมือนกันกับตัวอย่างเขียนตามปกติ

๓. เป็นอักษรจีนอย่างตัวยี่เหมือนกัน แต่ลดขนาดเล็กลง และลดหนังสือเสีย ๒ ตัว มีแต่ “เก่า-เม่ง-แต้-เจี่ย”

นอกจากนี้ ยังมีองค์ที่ประหลาดอีกองค์หนึ่ง มีอักษรจีนอย่างปกติ ๖ ตัว “เซียม-ก๊ก-เก่า-เม่ง-ยี่-อ๋อง” เกล้ากระหม่อมคิดว่าทำเตรียมมาสำหรับวังหน้า คำ “ยี่-อ๋อง” คิดว่าเทียบมาจาก Second King จะต้องเป็นตราพระราชบัณฑูร หากจะสังเกตสิ่งที่ทำก็เห็นได้ ว่าทำมาคราวเดียวกันกับพระราชลัญจกร “เซียม-ก๊ก-แต้-เจี่ย” องค์นั้นจดบอกว่าทำด้วยศิลาลายดำ องค์นี้จดบอกว่าทำด้วยศิลาลายแดง

พระราชลัญจกรเหล่านี้ เชื่อว่าท่านผู้ขนานพระปรมาภิไธยเป็นอย่างจีน ต้มสั่งทำเข้ามาถวาย แล้วก็ไม่ได้ใช้

ตรา “พระลักษณ์ทรงหณุมาณ” ประจำครั่ง ตามที่กราบทูลมาก่อน เห็นจะเก็บไว้ในกรมอาลักษณ์ ไม่ได้ส่งขึ้นไปวังหน้า เพราะไม่มีที่ใช้ จึงได้ยังอยู่ไม่หายเสีย

สนองลายพระหัตถ์

ลายพระหัตถ์เวร ลงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ได้รับประทานแล้ว

ตามที่ทรงพระเมตตาโปรดประทานพรแก่หญิงอี่นั้น ได้บอกเธอแล้ว เธอสั่งให้กราบทูลว่าเป็นพระเดชพระคุณล้นเกล้า ถวายบังคมฝ่าพระบาทรับพระพรไว้เหนือเกล้า

พระอุโบสถวัดมหาธาตุนั้น เกล้ากระหม่อมก็ได้สังเกตเห็นว่าควรจะได้คู่กับพระวิหารหลวง แต่ก็ไม่ได้คู่กัน ซ้ำผิดระยะกับวิหารพระธาตุไปเสียด้วย เคยนึกตำหนิในใจอยู่ ต่อเมื่อมาฟังพระดำริในครั้งนี้ จึงได้เห็นตามว่าเป็นการก่อแก้ภายหลังถูกต้องแท้ทีเดียว วิธีที่ทำสีมาติดกับผนังโบสถ์นั้น เกล้ากระหม่อมรู้สึกชอบยิ่งนัก เห็นว่ารักษาสังฆกรรมง่าย ปิดประตูโบสถ์เสียเท่านั้นก็เป็นวางใจได้อย่างสีมารายห่างโบสถ์นั้น คิดว่าเดิมทีจะได้เขตสีมามาก่อน ได้เพียงไหนก็เอาก้อนหินวางหมายไว้จะเบี้ยวบูดไปอย่างไรก็ตามที แล้วพระสงฆ์จึงปลูกโบสถ์ลงในนั้น จะอยู่ตรงกลางหรือค่อนไปข้างไหน จะเล็กใหญ่เท่าไรก็แล้วแต่ความต้องการของพระสงฆ์ ภายหลังกลายเป็นให้เขตสีมาที่หลังโบสถ์ตามขนาดโบสถ์ โบสถ์ใหญ่ก็ให้เขตสีมาใหญ่ โบสถ์เล็กก็ให้เขตสีมาเล็ก เมื่อเขตสีมาจำกัดเสียแล้ว โบสถ์เดิมเล็กจะขยายใหม่ให้ใหญ่ออกอีกจึงเป็นการยาก

พระดำรัสรจนาเรื่องการดับไฟแบบเก่านั้น แม้ทราบอยู่แล้วก็ดีเต็มที จะเป็นหลักสำหรับคนภายหลังได้ทราบการเก่า อยากจะทูลแถมว่าแม้พระที่นั่งเก่าๆ ก็ทำด้วยไม้ เขาว่าพระที่นั่งอินทราภิเษกมหาปราสาท ที่ไฟไหม้เสียเมื่อก่อนนั้นก็ทำด้วยไม้และเป็นแน่ว่ามุงด้วยกระเบื้องดีบุก จนมีเรื่องว่าตำรวจซึ่งเข้าไปยกพระแท่นมุกหนีไฟนั้นถูกดีบุกละลายไหลหยดลงต้องตัว การมุงด้วยกระเบื้องดีบุกเห็นจะเป็นธรรมเนียม พระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ก็มุงด้วยกระเบื้องดีบุก เพราะดูคล้ายกันแต่ง่ายขึ้นกว่า พูดถึงพระที่นั่งเมืองพม่าก็นึกขันตัวเอง ไปเห็นซุ้มอันตั้งอยู่บนอกไก่หลังคาพระที่นั่ง นึกว่าสำหรับคนขึ้นไปเฝ้าไฟ อย่างเดียวกับโรงโขนโรงหุ่นของเรา ที่มีหม้อน้ำขึ้นไปตั้งไว้บนอกไก่นั่นสำหรับเอาผ้าผูกปลายไม้จุ่มน้ำในหม้อดับลูกไฟ แต่ซุ้มบนหลังคาพระที่นั่งในเมืองพม่านั้น มาได้ทราบตามที่ตรัสบอกภายหลังว่าสำหรับให้คนขึ้นไปอยู่เฝ้าแร้ง เป็นคนละอย่างกับที่นึกไปทีเดียว สิ้นเคราะห์ไปที คนที่ไปดูไฟไหม้เห็นจะแยกได้เป็นสองจำพวก พวกหนึ่งตั้งใจไปช่วยขนของ พวกหนึ่งตั้งใจไปช่วยดับไฟ แต่ครั้นไปเห็นดาบขาวๆ เข้าก็กลัว เลยกลายเป็นยืนดูไฟ เมื่อมีผู้ใหญ่ขอให้ช่วยพวกหลังจึงช่วยด้วยความเต็มใจเพราะเห็นว่าปลอดภัยแล้ว

เรื่องมหาราชาหัฐวะออกบวช ตามหนังสือพิมพ์ตัดนั้น ตรงด้วยออกมหาภิเนษกรมเต็มประตู ถ้ามีหมู่คนตื่นเต้นนับถือก็เห็นจะมีเรื่องพิสดารต่อไปอีกมาก

เบ็ดเตล็ด

เห็นรูปในหนังสือพิมพ์บางกอกไตมส์ วันที่ ๒ กันยายน ว่าส่ง Kiln ยาว ๗๗ ฟุตไปด้วย Crocodile ให้รู้สึกขันเพิ่งจะรู้ว่าฝรั่งก็เรียกล้อเลื่อนซึ่งใช้ของประทุกของหนักว่า “ตะเข้” เช่นไทยเราเหมือนกัน

เมื่อวันที่ ๖ นี้ ไปช่วยงานร้อยวันที่พระศพองค์บุษบัณ เห็นธรรมาสน์เทศน์ทำหรูหรา แต่เพื่อจะไม่ให้ต้องมีโต๊ะข้าง จึงทำให้หิ้งต่อออกที่พนัก สำหรับวางคัมภีร์และเทียนดูหนังสือ เห็นว่าทำอย่างไรก็สู้อย่างที่เป็นสัปคับช้างไม่ได้ทั้งนั้น พระนั่งสบาย และมีที่วางคัมภีร์เทียนดูหนังสืออยู่ในตัว แต่ไม่ยักมีคนเอาอย่าง

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ