- เมษายน
- วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๒๕/๒๔๘๑ หมายกำหนดการพระราชพิธีเถลิงศก
- —หมายกำหนดการพระราชพิธีพืชมงคล ๒๔๘๒
- —หมายกำหนดการพระราชกุศล ๕๐ วัน พระศพสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์
- วันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๑/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชทานเพลิงศพ เจ้าพระยายมราช
- —ริ้วขบวนแห่ศพเจ้าพระยายมราช
- วันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- —อธิบายการค้าสำเภา
- วันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- มิถุนายน
- วันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๓/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชกุศล ๑๐๐ วัน พระศพสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์
- วันที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- —วินิจฉัยคำ “กู้”
- วันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๔/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชกุศล ๗ วัน พระศพพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุษบัณบัวผัน
- วันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร (๒)
- วันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- กรกฎาคม
- วันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๗/๒๔๘๒ หมายกำหนดการทรงผนวชและอุปสมบทนาคหลวง
- วันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- —ดวงตราที่มีในกฎหมายทำเนียบศักดินา
- วันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๘/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชกุศลเข้าวรรษา
- สิงหาคม
- วันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- —อธิบายเรื่องเครื่องม้าที่อะแซหวุ่นกี้ถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
- วันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- กันยายน
- วันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๙/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชพิธีเฉลิมพระชนม์พรรษา
- วันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —หมายฉลองพระสุพรรณบัฏสมเด็จพระสังฆราช
- ตุลาคม
- วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๑๐/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชกุศลวันที่ระลึกรัชกาลที่ ๕
- วันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- —วินิจฉัย เรื่อง “จิ้มก้องกรุงจีนและหองของพระเจ้ากรุงจีน”
- วันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๑๑/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระกฐินหลวง
- —บันทึกเรื่องเงินกรุงศรีสัตนาคนหุต
- วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- พฤศจิกายน
- วันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- —วินิจฉัยเรื่องลายแทง
- วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- ธันวาคม
- วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๑๒/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชพิธีฉลองรัฐธรรมนูญ
- วันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- —บานแพนกหนังสือราชาธิราช
- วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- มกราคม
- วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —วิธีให้ข้าวแม่ซื้อ
- —บันทึกเรื่องให้ข้าวแม่ซื้อ
- วันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- —วินิจฉัยพระยศเจ้านายที่เรียกว่า “กรมสมเด็จ” หรือ “สมเด็จกรม”
- วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- กุมภาพันธ์
- วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๑๓/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชกุศลมาฆบูชา
- วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๑๔/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชกุศลทักษิณานุปทานและพระราชพิธีรัชมงคล
- วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- มีนาคม
วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
บ้านซินนามอน ปีนัง
วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๘๒
ทูล สมเด็จกรมพระนริศ ฯ
ลายพระหัตถ์เวร ฉบับลงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ มาถึงหม่อมฉันแล้วโดยเรียบร้อย คราวนี้ยิ่งส่งเร็วขึ้น คงช้ากว่าเมื่อก่อนเกิดสงครามเพียง ๓ ชั่วโมงเท่านั้น
สนองความในลายพระหัตถ์
ตรัสถึงยาอายุวัฒนะ หม่อมฉันนึกขึ้นได้ถึง “ยากวาว” ซึ่งเลื่องลืออื้อฉาวกันอยู่พักหนึ่งไม่ช้ามานัก ก็อยู่ในพวกยาอายุวัฒนะนั่นเอง ยากวาวนั้นเกิดขึ้นที่เมืองลำพูน เจ้าหลวงเมืองลำพูนเธอมีแก่ใจส่งมาให้หม่อมฉันขวด ๑ มีจดหมายกำกับพรรณนาคุณมายืดยาว หม่อมฉันก็ “เชื่อ” ไม่ได้ลองกินแต่ผู้อื่นที่กินด้วยความเลื่อมใส ดูเหมือนจะมีหลายคนได้ยินว่าเกิดอาการแปลกๆ ต่างๆ แต่ไม่เป็นคุณก็เลยเลิกกันไป
หนังสือสวดมหาชัยและอุณหิศวิชัยนั้น หม่อมฉันเคยอ่านทั้ง ๒ เรื่อง แต่ลืมความเสียแล้ว คงจำได้แต่เค้าว่าคำสวดมหาชัยนั้นเป็นแต่คำภาษิต ส่วนอุณหิศวิชัยมีเรื่องและมีนางเทพธิดาชื่อว่า เวสาตรี เป็นมูลที่เอาชื่อไปขนานเรือกำปั่นไฟพระที่นั่งเมื่อรัชกาลที่ ๕ กับเคยได้ยินอีกอย่างหนึ่งว่าเวลายกกองทัพ เมื่อพักแรมกลางคืนให้สวดมหาชัยและอุณหิศวิชัยในกองทัพทุกคืน ที่กรมหลวงวงศาฯให้นักสวดคฤหัสถ์ ๔ คนขึ้นนั่งเตียงสวดมหาชัยและอุณหิศวิชัย ในงานเฉลิมพระชันษาของท่านนั้น หม่อมฉันก็เคยทราบ อันประเพณีที่ให้นักสวดคฤหัสถ์ ๔ คนขึ้นนั่งเตียงสวดเห็นจะมีมาเก่าแก่ ด้วยตัวอย่างยังมีที่นักสวดพวกขุนทินบรรณาการสวดมหาชาติคำหลวงถวาย ทรงฟังที่ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หม่อมฉันสันนิษฐานว่าประเพณีที่นักสวด ๔ คนขึ้นนั่งเตียงสวดนั้นจะเกิดขึ้นทางพระก่อน ด้วยจำนวน ๔ ครบเป็นสงฆ์ ขึ้นนั่งสังเค็ตหรือเตียงสวดพระธรรม เช่นสวดบาลีนำเทศนา หรือสวดพระปริตภาณวารและสวดพระอภิธรรมหน้าศพเป็นต้น พระสวดแต่พระธรรมที่เป็นตัวอัตถในภาษามคธ ถ้าสวดคำแปลพระบาลีเป็นภาษาพื้นเมือง เช่นสวดมหาชาติก็ดี ชาดกเรื่องอื่นก็ดี ตลอดจนเรื่องมาลัยให้คฤหัศถ์สวด เดิมน่าจะเป็นเช่นนี้ มาสวดไขว้กันไปบ้างต่อภายหลัง
การที่พระสงฆ์สาธยายสวดมนต์นั้น คิดดูตามทางโบราณคดีมีเค้าเงื่อนน่าพิศวง ด้วยตามวัดชั้นเก่าหรือแม้วัดสร้างใหม่ตามบ้านนอก กุฏิพระสงฆ์อยู่หมู่ ๑ หรือคณะ ๑ ย่อมมีหอสวดมนต์หลัง ๑ แม้จนที่คณะตำหนักกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ก็มีหอสำหรับพระสงฆ์สวดมนต์เช่นนั้น ตามประเพณีแต่ก่อนมา ซึ่งยังใช้อยู่ตามวัดบ้านนอกจนบัดนี้ ถึงเวลาเย็นพระสงฆ์ประชุมกันสวดมนต์ ณ หอสวดมนต์ทุกวัน เมื่อสวดจบให้ตีกลองแผ่ส่วนบุญด้วยเสียงกลองแก่ชาวบ้าน การลงโบสถ์เฉพาะแต่เพื่อไปทำสังฆกรรมเท่านั้น ประเพณีที่พระสงฆ์ลงไหว้พระสวดสาธยายมนต์ในโบสถ์ทุกวัน เข้าใจว่าทูลกระหม่อมทรงประดิษฐ์ขึ้นเมื่อทรงผนวช แต่มูลของประเพณีสวดสาธยายมนต์ ณ หอสวดมนต์ตามกุฏิเป็นประเพณีก่อนเก่า เกิดแต่เมื่อพระอริยสาวกทำปฐมสังคายนาพระธรรมวินัย แล้วตั้งประเพณีให้พระสงฆ์ท่องจำพระธรรมวินัยแล้วสวดสาธยายพร้อมๆ กันเนืองนิจเพื่อทรงจำไว้รักษาพระศาสนา การสวดมนต์เกิดแต่สาธยายพระธรรมวินัยด้วยเหตุดังกล่าวมา แม้ประเพณีเดิม “เรียวลง” โดยเวลาล่วงมาช้านาน และอาจจะเป็นเพราะมีหนังสือพระไตรปิฎกสำหรับถือเป็นหลักแทนความทรงจำ ยังมีข้อบังคับที่ตั้งไว้สำหรับการสาธยาย ใช้เป็นแบบกันตามวัดที่ยังถือธรรมเนียมเก่าว่าพระภิกษุบวชใหม่ในพรรษาแรกต้องท่องจำทำวัตรไหว้พระและพระธรรมสังคิณี พรรษาที่ ๒ ต้องท่องจำพระปริต ๗ ตำนานและ ๑๒ ตำนาน พรรษาที่ ๓ ต้องท่องจำพระปริตตลอดจตุภาณวาร หม่อมฉันเคยได้ยินพระสงฆ์ที่วัด (ดูเหมือนชื่อ “ชัยชุมพล”) เป็นวัดเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ท่องจำได้จนตลอดจตุภาณวารสวดด้วยกันได้ทั้งวัด สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงได้ทรงฟัง ตรัสชมความศรัทธาอุตสาหะของพระวัดนั้น พระราชทานกับปิยมูลเป็นรางวัลชั่งหนึ่ง การสวดมนต์แต่ก่อนมาถือกันว่าสำคัญมาก แม้เราเองก็ได้เคยสำเหนียก ณ วัดบวรนิเวศน์ เมื่อกรมสมเด็จพระปวเรศฯ ทรงครองวัด ท่านคงถือการสาธยายสวดมนต์เป็นการสำคัญ แต่การสวดมนต์เรียวมาโดยลำดับแม้จนพระปริต ๗ ตำนาน ทุกวันนี้ก็ร่อยหรอเต็มทีแล้ว
เครื่องถ้วยจีนอย่างไม่เคลือบนั้น หม่อมฉันเคยเห็นของหลวงมีอยู่ในตู้ห้องแปะเต๋งหลายชิ้น ของกรมพงศาฯ ก็มี อนึ่งคำที่ฝรั่งเรียกเครื่องถ้วยของจีนว่า “ปอสะเลน” นั้น เขาว่าเป็นคำภาษาโปรตุเกสแปลว่าเปลือกหอย พวกโปรตุเกสแรกมาเห็นเครื่องถ้วยจีนก่อนฝรั่งชาติอื่น เรียกอย่างนั้น ฝรั่งชาติอื่นก็เรียกตามต่อไป คำที่เรียกเครื่องถ้วยจีนว่า “ไชนา” คงเป็นพวกอังกฤษเรียกก่อน
ความตอนท้ายลายพระหัตถ์ตรัสบอกมาถึงทำพระราชพิธีมาฆบูชา เป็นเหตุให้หม่อมฉันนึกถึงความหลังเรื่อง ๑ ควรจะทูลบรรเลงได้ เมื่อตอนต้นรัชกาลที่ ๖ ทำพระราชพิธีมาฆบูชาพระปฐมเจดีย์ครั้ง ๑ หม่อมฉันตามเสด็จไปฟังเทศน์ในงานนั้น สังเกตเห็นพระเถระผู้เทศน์ท่านพรรณนาถึงความอัศจรรย์ของจาตุรงคสันนิบาตเป็นประธานในเทศนา เมื่อกลับมากรุงเทพฯ ได้เฝ้าสมเด็จพระมหาสมณะ หม่อมฉันทูลท่านว่าหม่อมฉันเห็นความในโอวาทปาฏิโมกข์สำคัญกว่า จาตุรงคสันนิบาตมาก ท่านตรัสตอบว่าความจริงก็เป็นเช่นนั้น คาถาโอวาทปาฏิโมกข์นั้นพระพุทธองค์ทรงสอนพระอริยสาวกในการ (ซึ่งเป็นมิชชันนารี) เที่ยวประกาศพระศาสนาเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นพิธีมาฆะบูชาควรทำเป็นพิธีของพระยิ่งกว่าเป็นของคฤหัสถ์
ทูลข่าวทางปีนัง
เวลานี้ฤดูกาลที่ปีนังยังแล้งและร้อนเหมือนสัปดาหะก่อน แม้ลำธารในสวนน้ำตกก็มีแต่น้ำไหลรินๆ เพราะเขากักน้ำตกเอาไปลงถังประปาหมด คอยฝนก็ยังไม่เห็นมีวี่แวว บางวันเวลาบ่ายมีเมฆฝนตั้ง แต่ก็ตกอย่างหยิมๆ ไม่เป็นประโยชน์อันใด รอดที่กลางคืนตอนดึกมาจนเช้าอากาศยังเย็นพอนอนสบายทุกคืน
หญิงจงบอกมาว่า คุณท้าววรจันทร์ป่วยอาการหนักมาก หม่อมฉันก็ไม่รู้จะนึกอย่างไรนอกจากหวังว่าจะไม่มีทุกขเวทนานัก และเสียดายอยู่ที่อายุท่านจะหย่อน ๑๐๐ เพียงปีเดียว แต่ออกสงสารพระองค์ธานีฯ ด้วยเคยอยู่กับท่านมาแต่เกิด จะมาต้องพรากกันกับคุณย่าก็เห็นจะอาลัยมากอยู่
เมื่อหม่อมฉันขึ้นไปอยู่บนเขาอ่านหนังสือเรื่องหนึ่ง ซึ่งพระยาอนุมานราชธนกับพระสารประเสริฐใช้นามว่า เสฐียรโกเศศกับนาคประทีปช่วยกันแต่ง แต่งอย่าง “โนเวล” ฝรั่ง แต่ทำเป็นสูตรของลัทธิมหายานเรียกชื่อว่า “กามนิตสูตร” ตัวนิทานแต่งเป็นเรื่องในพุทธกาล มีพรรณนาถึงสวรรค์ชั้นสุขาวดีและพรหมโลก ดูเขาช่างประดิษฐน่าอ่านอยู่ ท่านได้เคยทรงอ่านแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่เคยทรงขอให้ลองทรงอ่านดู
ปัญหา
หม่อมฉันสงสัยความของศัพท์ ๒ ศัพท์ ๑ คือ “เผด็จ” เห็นบางแห่งใช้หมายความว่า “ตัด” เช่น “เผด็จศก” และ “ป้อมเผด็จดัษกร” เลยมาจนคำ “เด็ดขาด” ก็เห็นจะมาแต่คำเผด็จนั้นเอง เห็นใช้เป็นคุณศัพท์สำหรับเรื่องหนังสือด้วย เช่นหนังสือแปลวิสุทธิมัคค์และแปลธรรมบท ฉบับที่ขุนโสภิตอักษรการ (แห) พิมพ์ เรียกว่าวิสุทธิมัคค์และธรรมบท “เผด็จ” หม่อมฉันเคยเห็นที่อื่นอีกในพวกหนังสือเก่า คำเผด็จในที่นี้จะหมายความว่ากระไร ดูไม่เข้ากับจะหมายความว่า “ตัด” หรือคำเด็จอันน่าจะเป็นภาษาเขมรหมายความว่า “สิ้น” ถ้าเช่นนั้นเอามาใช้กับหนังสือ ก็หมายความว่ามีจนสิ้นเรื่องไม่เฉพาะแต่บางตอน ความก็พอเข้ากับสิ้นข้าศึกและสิ้นปีได้
อีกคำ ๑ คือ “สำแดง” ตามเห็นโดยมากมักใช้เป็นกิริยา เช่น ว่าสำแดงฤทธิเดช แต่ไปมีใช้เรียกพระภิกษุว่า “สำแดง” ได้เคยเห็นในหนังสือเก่าเหมือนกัน มาเห็นเขาใช้ในหนังสือกามนิตสูตรเป็นคำพระพุทธองค์ ตรัสเรียกพระอานนท์ว่า “สำแดงอานนท์” จึงอยากรู้ความที่หมาย คำสำแดงคำนี้ก็เห็นจะเป็นภาษาเขมรอีก แต่หมายความว่ากระไรจึงใช้ได้ในคำที่ยกเป็นตัวอย่างทั้ง ๒ คำนั้น
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด