วินิจฉัยคำ “กู้”

คำว่า “กู้” เป็นกิริยาศัพท์ Verb ภาษาไทย มีมาแต่โบราณและยังใช้กันอยู่จนทุกวันนี้ หมายความว่า “ทำของที่เสื่อมเสียให้กลับคืนดีขึ้น” หรือถ้าว่าโดยย่อคือ “ทำให้กลับดีขึ้น” ดังจะยกตัวอย่างให้เห็น คือ

๑) เรือล่มจมน้ำอยู่ การวิดน้ำทำให้เรือกลับลอยอย่างเดิมเรียกว่า “กู้เรือ”

๒) บ้านเมืองใดยับเยินด้วยเสียแก่ข้าศึก หรือเพราะเกิดจลาจล การที่ทำให้บ้านเมืองกลับเป็นสันติสุขอย่างเดิม เรียกว่า “กู้เมือง”

๓) ในสมัยใดพระศาสนาทรุดโทรม ด้วยถูกพวกถือศาสนาอื่นกดขี่ก็ตาม หรือเพราะชาวเมืองเกี่ยงแย่งกันเองก็ตาม การทำให้พระศาสนากลับคืนดี เรียกว่า “กู้พระศาสนา”

๔) ในจารึกของพ่อขุนรามคำแหง ซึ่งว่าช่วยกู้คนต่างด้าวที่ไปยังพระนคร ก็หมายความว่า ช่วยระงับทุกข์และบำรุงสุขแก่คนเหล่านั้น

อธิบายคำ “กู้” ตามตัวอย่างที่อ้างมาล้วนหมายความอย่างเดียวกันว่า “ทำให้กลับดีขึ้น” หรือว่าอีกนัยหนึ่งเป็น “กิริยาทางฝ่ายวัฒน” ทั้งนั้น มีใช้คำ “กู้” เป็นกิริยา “ฝ่ายหายนะ” แต่ในหนังสือกฎหมายใช้ว่า “กู้หนี้” หมายความว่าการยืมทรัพย์ของผู้อื่น อันเป็นการทำข้างฝ่ายเลวเพราะผู้กู้ต้องตกเป็นลูกหนี้ ผิดกับผู้กู้บ้านเมืองหรือกู้ศาสนา ดูน่าพิศวงอยู่ว่าเหตุใดกิริยาศัพท์ “กู้” จึงใช้หมายความผิดกลับกันได้เช่นนั้น

พิจารณาดูตัวบทกฎหมายลักษณะกู้หนี้ (ในประมวลกฎหมายรัชกาลที่ ๑ เล่ม ๑๗๒) พระธรรมศาสตร์ภาษามคธที่ยกมาตั้งเป็นหลักข้างต้น ไทยผู้แปล แปลศัพท์ “อิณฺณ” ว่าหนี้ก็ถูกตามพจนานุกรม แต่ที่แปลศัพท์ “กิยา” อันมีต่อมาอีกศัพท์หนึ่งว่า “กู้” นั้น ได้ค้นดูในหนังสือพจนานุกรมภาษาบาลีของอาจารย์จิลเดอส์ หามีศัพท์ “กิยา” อยู่ในนั้นไม่ จึงรู้ไม่ได้ว่าศัพท์ กิยา ที่ไทยผู้แปลแต่โบราณเอามาแปล “กู้” นั้น เดิมหมายความว่ากระไร โดยถ้าคำเดิมในพระธรรมศาสตร์หมายความตามที่เราเข้าใจกันในปัจจุบันนี้ คือว่ายืมทรัพย์โดยมีสัญญาว่าจะให้กำไรแก่เจ้าทรัพย์ด้วยให้ดอกเบี้ยหรืออะไรก็ตาม ที่เอาคำ “กู้” มาใช้เป็นกิริยาว่า “กู้หนี้” ถ้าถืออธิบายเดียวกับคำกู้เช่นใช้ที่อื่นๆ จะต้องยกหนี้สินว่าเป็นของดีเสื่อมสูญไปจึงให้กลับมีขึ้น จะเป็นเช่นนั้นไม่ได้ ถ้าแปลว่า “ก่อ” จะได้ความดีกว่า ตรงกับ Contract of debts หรือมิฉะนั้นใช้คำ “กู้” คือว่า “กู้หนี้” โดยหมายความว่า “ชำระหนี้” อันเป็นเหตุที่ลูกหนี้เดือดร้อนให้สิ้นไป Liquidation of debt กลับลอยตัวได้อย่างเดิม นัยนี้เข้ากับอธิบายศัพท์ “กู้” ที่ใช้ในที่อื่นได้ทุกแห่ง วินิจฉัยที่กล่าวมานี้ว่าโดยเดา เพราะจะอาศัยพิจารณาพระธรรมศาสตร์ต้นลักษณะกู้หนี้ก็ไม่ได้ ด้วยมีความเป็นอย่างกระทู้เพียง ๔ บท ว่าบิดามารดากับบุตรเป็นหนี้สินกัน บท ๑ บุตรต่อบุตรเปนหนี้สินกัน บท ๑ ญาติต่อญาติเป็นหนี้สินกัน บท ๑ และมิตรต่อมิตรเป็นหนี้สินกันบท ๑ ไม่มีอธิบายอะไรปรากฏนอกออกไปจากนั้น ตัวอธิบายข้อบังคับของกฎหมายลักษณะกู้หนี้ไปมีอยู่ใน “สาขาคดี” คือ พระราชบัญญัติซึ่งพระเจ้าแผ่นดินสมัยกรุงศรีอยุธยาทรงตั้งขึ้นเมื่อภายหลังมาช้านาน

ขอให้ท่านถือว่าวินิจฉัยนี้เขียนเพียงสำหรับให้ท่านพิจารณาดูเป็นส่วนตัว.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ