วันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร

บ้านซินนามอน ปีนัง

วันที่ ๒๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๘๒

ทูล สมเด็จกรมพระนริศฯ

หม่อมฉันได้รับลายพระหัตถ์เวรฉบับลงวันที่ ๑๘ สิงหาคม นั้นแล้ว

สนองลายพระหัตถ์

หม่อมฉันอ่านอธิบายประทานมาถึงพระราชลัญจกรมังกรหก (หรือฮก) และพระราชลัญจกรมหาโลโต ทำให้หวนรำลึกถึงพระราชลัญจกรมังกรเล่น (หรือคาบ) แก้ว ซึ่งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงพระราชทานให้เป็นตราสำหรับโบราณคดีสโมสร ในประกาศก็เรียกว่าพระราชลัญจกร ถ้าพระราชลัญจกรองค์นั้นมิใช่สำหรับพระราชสาส์นไปเมืองจีนไซร้ คงสำหรับใช้ในการอย่างอื่นอันใดอันหนึ่ง พระราชลัญจกรองค์นั้นสังเกตดูแบบที่เขียนลายดูเป็นแบบเก่าถึงรัชกาลที่ ๑ มาคิดเห็นว่าจะสำหรับประทับพระราชสาส์นไปเมืองญวนดอกกระมัง ในเรื่องพงศาวดารปรากฏว่า เมื่อองค์เชียงสือเข้ามาพึ่งพระบารมีพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกแล้วกลับไปตีได้เมืองไซ่ง่อนและเมืองเว้คืน ชั้นแรกตั้งตัวเป็นแต่เจ้าอนัมก๊กถวายต้นไม้ทองเงินมายังกรุงเทพฯ วางฐานะเป็นแต่เจ้าประเทศราช ตอนนี้ตามประเพณีคงมีแต่ศุภอักษรเสนาบดีตอบ ครั้นองค์เชียงสือได้เมืองตังเกี๋ยรวมราชอาณาเขตประเทศเวียตนัมได้แต่ก่อนหมดแล้ว ก็ตั้งตัวเป็นอิสระทรงนามว่าพระเจ้ายาลอง แต่นั้นก็ไม่ถวายต้นไม้ทองเงินดังแต่ก่อน เปลี่ยนเป็นมีพระราชสาส์นมาเนืองๆ ทางกรุงเทพฯก็มีพระราชสาส์นตอบ พระราชสาส์นมีไปมากับญวนเลยเป็นประเพณีมีสืบมาจนรัชกาลที่ ๒ และที่ ๓ พระราชสาส์นที่มีไปเมืองญวนเห็นจะไม่ประทับพระราชลัญจกรมังกรหกเพราะเป็นตราหองของจีน จึงสร้างพระราชลัญจกรมังกรคาบแก้วขึ้นใช้ดอกกระมัง ที่ทูลโดยเดาด้วยไม่คิดเห็นกิจอื่นที่จะใช้พระราชลัญจกรดวงนั้น

พระราชลัญจกร “สยามโลกัคคราช” และพระราชลัญจกร “นามกรุง” พิจารณาเห็นมีที่สังเกตอยู่เพียงว่า พระราชลัญจกรสยามโลกัคคราชหมายถึงพระองค์พระเจ้าแผ่นดิน พระราชลัญจกรนามกรุงหมายถึงแผ่นดินในเขตราชธานี แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะใช้สำหรับกิจการอย่างใด

เรื่องพระราชลัญจกรต่างๆ ที่ได้วินิจฉัยกันมาในจดหมายเวรหลายฉบับแล้ว ถ้าจะให้เป็นประโยชน์ทางความรู้อยู่ถาวร หม่อมฉันเห็นว่า น่าที่จะทำตำราได้โดยวิธีดังกล่าวต่อไปนี้

๑) ทำบัญชีรายชื่อพระราชลัญจกร และบัญชีนั้นเป็นหมวด คือหมวดพระราชลัญจกรที่สร้างก่อนรัชกาลที่ ๔ หมวด ๑ สร้างตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ มาหมวด ๑

๒) พระราชลัญจกรองค์ใดสำหรับใช้ในกิจการอย่างใด มีหลักฐานรู้ได้แน่นอนก็ดี รู้ได้เพียงสังเกตเค้าเงื่อนได้ก็ดี เขียนเป็นอธิบายลงไว้ให้ปรากฏ

๓) อย่างดีที่สุดถ้ามีดวงพระราชลัญจกรนั้นๆ ประทับไว้ให้เห็นรูปภาพและลวดลายจะยิ่งดีหนักหนา แต่จะสามารถทำได้หรือไม่ได้เป็นปัญหาหนึ่งต่างหาก

รูปที่เรียกว่า “พระลักษณทรงหณุมาน” จะแกะเป็นดวงตราก็ดี หรือจำหลักเป็นรูปภาพก็ดี น่าจะลงเนื้อเห็นเป็นยุติได้ว่าสมมตกันใหม่ในกรุงรัตนโกสินทร์นี้เอง ของโบราณทำเป็นรูปพระนารายณ์ทั้งนั้น

สมุดมีรูปแผนผังปรางค์บายนกับอธิบายของศาสตราจารย์เซเดส์นั้น หม่อมฉันได้ฝากเขาไปถวายเมื่อสัปดาหะก่อนหวังว่าคงได้ทรงรับแล้ว คำอธิบายแต่งเป็นภาษาอังกฤษคงทรงค้นได้ไม่ลำบาก

เรื่องทางปีนัง

หญิงจงออกมาถึงปีนังได้นำของกินที่ฝากมาจากตำหนักเชิงเนินให้แล้ว หม่อมฉันขอขอบพระคุณเป็นอันมาก ของกินที่ฝากมาจากกรุงเทพฯ นอกจากได้บริโภคในครอบครัวยังเป็นประโยชน์อีกอย่าง ๑ ด้วยพวกชาวปีนังบางคนที่คุ้นกันเขามีแก่ใจส่งของกินมาให้ เวลาได้ของมาจากกรุงเทพฯซึ่งเป็นสิ่งไม่มีในปีนัง หม่อมฉันได้อาศัยแบ่งไปให้สนองคุณเขาด้วยเนือง ๆ

หนังสือ “ประเพณีศาสนาชาวภาคตะวันออก” ที่พิมพ์แจกในงานศพเจ้าเชียงใหม่นั้น หญิงจงก็ได้นำมาให้เหมือนกันและหม่อมฉันได้อ่านตลอดแล้ว ต้องชมว่าช่างรวบรวมเอามาแต่งไว้เป็นการดีมาก พระพรหมมุนี (อ้วน) เอาใจใส่ในโบราณคดีมาก ยังมีเรื่องอื่นอีกคือการตั้งสมณศักดิ์ตามแบบเวียงจันทน์อ้างไว้ในหนังสือนี้เรื่อง ๑ ยังเรื่องว่าด้วยเนื้อทองลาดและอื่นๆ ที่ใช้เป็นรูปปีย์ในสมัยเวียงจันทน์อีกเรื่อง ๑ ถ้าตรัสขอเอามาได้ก็จะดี และโปรดขอเผื่อหม่อมฉันด้วยฉบับ ๑

หม่อมฉันได้ทูลสัญญาไว้นานแล้ว ว่าจะเขียนเล่าเรื่องการพิธีแต่งงานสมรสของชาวปีนังถวาย จะทูลในคราวนี้ ชาวปีนังมีหลายชาติหลายภาษา ต่างชาติต่างทำพิธีตามแบบของเขา

๑) พิธีแต่งงานของพวกถือศาสนาคริสตังค์ทั้งที่สัญชาติเป็นฝรั่งหรือแขก หม่อมฉันไม่เคยเห็นที่ปีนัง ทราบแต่ว่าให้นักพรตทำพิธีที่วัดหรือมิฉะนั้นก็ทำเพียงไปลงทะเบียนที่เจ้าพนักงาน แล้วกลับมาเลี้ยงอาหารกันที่โฮเต็ล

๒) พิธีของพวกถือศาสนาอิสลามผิดตรงกันข้ามกับจีนอย่าง ๑ พวกอิสลามตั้งพิธีที่บ้านเจ้าบ่าว พวกจีนตั้งพิธีที่บ้านเจ้าสาว แต่เหมือนกันอย่าง ๑ คือบ้านไหนจะแต่งงานจำต้องมีสายระยางไฟฟ้าแต่งสว่างในลานบ้าน และมีป้ายติดโคมไฟฟ้าเป็นตัวอักษรว่า Wedding ผ่านไปได้เห็นเตรียมก่อนหลาย ๆ วัน คือพวกโรงไฟฟ้าเขาทำไว้สำหรับให้เช่าทีเดียว ส่วนการพิธีนั้นทูลตามหม่อมฉันได้เคยเห็น คือเริ่มทำการพิธีด้วยเชิญพวกพ้องมากินเลี้ยงเวลาค่ำ พวกอิสลามมักเลี้ยงหลายวัน แต่จีนเลี้ยงวันเดียว ถึงกันฤกษ์เวลาค่ำเชิญพวกอิมัมมาสวดมนต์ให้พรก่อนพอได้เวลาฤกษ์บางงานหัวค่ำราว ๒๒ น. บางงานก็ดึกกว่านั้น จึงแห่เจ้าบ่าวไปยังบ้านเจ้าสาว ที่ว่าแห่นั้นแห่จริงๆ มีแตรวงและเครื่องดุริยางค์รถยนต์กะบะนำหน้าตามหลัง แล้วถึงรถตัวเจ้าบ่าวทำปะรำโถงแต่งด้วยผ้าโปร่งประดับดอกไม้ มีโคมไฟฟ้าห้อยตามระบายโคมตั้งและแขวนรายรอบ ตัวเจ้าบ่าวแต่งตัวประดับด้วยเพชรพลอยนั่งกลางเหมือนอย่างองค์พระประธานที่เขาแห่ มีรถยนต์ตั้งเครื่องไดนาโมทำไฟฟ้าที่จุดในรถเจ้าบ่าวพ่วงต่อไปด้วยคัน ๑ ต่อนั้นถึงรถยนต์ของญาติและมิตรตามเป็นกระบวน แห่ไปตามถนนใหญ่ให้คนชมไปจนถึงบ้านเจ้าสาว ทางข้างบ้านเจ้าสาวนั้นก็เชิญพวกของตนมาเลี้ยงแต่ตอนบ่ายในวันแต่งงานนั้น แต่พอค่ำแล้วคนอื่นไปหมดเหลือแต่พวกญาติเจ้าสาว แต่งห้องที่อยู่และแต่งตัวเจ้าสาวอย่างหรูหราคอยอยู่อย่างเงียบสงัด พอกระบวนแห่พวกเจ้าบ่าวไปถึงก็ให้เสียงด้วยเครื่องประโคม ที่เป็นงานสมรสไม่ถึงชั้นที่เป็นเศรษฐีใช้จุดประทัดคล้ายกับเราทอดผ้าป่า พวกญาติเจ้าสาวก็พากันออกไปรับพาขึ้นเรือน ดูเหมือนจะมีอิมัมฝ่ายเจ้าสาวด้วย อวยชัยให้พรแล้วจึงเข้าหอ

๓) พิธีแต่งงานของพวกทมิฬหม่อมฉันไม่เคยเห็น เป็นแต่รู้เพียงจะทูลเล่าถวาย ด้วยที่ซินนามอนฮอลมีทมิฬซึ่งจ้างไว้ทำสวนคน ๑ มีลูกผู้หญิงยังเป็นเด็ก ๒ คน มันมีแก่ใจมารับใช้จึงเลยเป็นเพื่อนเล่นกับหลานหม่อมฉันมากว่า ๒ ปีแล้ว จนพูดภาษาไทยได้คล่อง อยู่มาเมื่อสัก ๒ เดือนมานี้ พ่อแม่มันมาบอกเป็นคำนับว่าจะขอให้ลูกสาวคนใหญ่ที่ชื่อกันยุมาไปแต่งงาน หม่อมฉันประหลาดใจจนออกปากว่า ก็มันยังเด็กนักจะเอาไปแต่งงานอย่างไร เขาบอกว่าอายุมันถึง ๑๒ ปีถึงขนาดควรจะแต่งงานได้แล้วหม่อมฉันก็จนใจ เด็กกันยุมานั้นแต่ก่อนมามันเจาะจมูกและใบหูข้างล่างใส่ตุ้มหูอยู่แล้ว เริ่มการพิธีเห็นจะตรงกับหมั้น เจ้าบ่าวมาให้เจาะใบหูข้างบนสำหรับเพิ่มตุ้มหูขึ้นอีก หม่อมฉันให้ถามว่าเจาะอยู่แล้วถึง ๓ แห่ง ไฉนจึงต้องเพิ่มขึ้นอีก ได้รับคำชี้แจงว่ามีเครื่องประดับเพิ่มขึ้นถือว่ามีหน้ามีตายิ่งขึ้น การพิธีที่หม่อมฉันได้เห็นเพียงเมื่อวันมันจะไปแต่งงานที่บ้าน เจ้าบ่าวทางฟากไปร มันแต่งตัวด้วยผ้าไหมนุ่งห่มอย่างผู้ใหญ่มาลา แล้วไปทำการพิธีแต่งงาน เมื่อแต่งงานแล้วพ่อยังคุมอยู่หลายวันจึงส่งตัว เมื่อส่งตัวแล้วมันเอาของกำนัลมาให้ คล้ายกับมาไหว้ ฝ่ายข้างหม่อมฉันก็ให้ของขวัญรับไหว้เป็นเสร็จงาน หม่อมฉันได้เคยอ่านหนังสืออธิบายประเพณีแต่งงานของพวกฮินดู ว่าที่แต่งงานแต่ผู้หญิงยังเป็นเด็กนั้น ที่จริงเป็นแต่ทำพิธีเมื่อยังเป็นเด็ก พอทำพิธีแล้วสกุลฝ่ายหญิงก็รับเอาลูกกลับไปเลี้ยงไว้จนเติบใหญ่ได้ขนาดจะมีผัวได้ จึงส่งตัวไปให้อยู่กับผัว

๔) ประเพณีจีนแต่งงานในปีนังนี้ มีบุคคลซึ่งหาเลี้ยงชีพด้วย ๒ จำพวก จำพวก ๑ คือแม่สื่ออันมักเป็นหญิงหม้ายในคฤหบดีที่ขัดสน พวกนี้ถือเอาเป็นธุระกิจในการเที่ยวสืบเสาะตามบ้านผู้ดีอันใคร่จะหาเมียหรือผัวที่ดีให้ลูก เข้ารับช่วยเลือกสรรแนะนำตลอดจนพูดจาว่ากล่าวให้ตกลงกัน อีกพวก ๑ มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายทั้งเป็นจีนและแขกเทศ หาเลี้ยงชีพคอยเป็นพนักงานทำการต่างๆ ในพิธีที่ทำ (คล้ายกับพวกกรมราชพิธีของเรา) แต่งงานที่ไหนก็เรียกคนพวกนี้ไปใช้ ลักษณะการพิธีแต่งงานของพวกจีนที่ทำในปีนังนี้ ดูทำต่างกันเป็น ๓ อย่าง คืออย่างที่ ๑ ทำอย่างฝรั่ง เจ้าบ่าวแต่งตัวเครื่องสากล เจ้าสาวก็แต่งแหม่มมีผ้าโปร่งคลุมศีรษะประดับดอกไม้เหมือนอย่างฝรั่ง เชิญพวกพ้องทั้ง ๒ ฝ่ายไปประชุมทำพิธีที่ห้องใหญ่ในโฮเต็ลบ้าง ไปทำในวิหารของพวกมหายาน เรียกว่า Buddhist Association บ้าง ลักษณะพิธีอย่างนี้หม่อมฉันไม่เคยเห็นแก่ตา แต่ทราบว่าทำสักนาฬิกา ๑ ก็เสร็จการพิธี บางทีแต่งงานอย่างนี้พร้อมกัน ณ ที่แห่งเดียวกันหลาย ๆ คู่ก็มี คงเป็นเพราะทำง่ายและไม่สิ้นเปลืองเหมือนทำพิธีอย่างอื่น จึงมักทำพิธีอย่างนี้กันเป็นพื้น

อย่างที่ ๒ ลักษณะเป็นจีนปนฝรั่ง หม่อมฉันได้เคยเห็นครั้ง ๑ ทำพิธีที่บ้านเจ้าสาว เริ่มด้วยมีการเลี้ยงเวลาค่ำอย่างฝรั่ง เชิญพวกพ้องทั้งที่เป็นจีนและเป็นฝรั่งไปกินเลี้ยง (แต่หม่อมฉันขอตัวไม่ไปในตอนนี้) ตอนนี้ตัวเจ้าบ่าวและเจ้าสาวหามานั่งโต๊ะด้วยไม่ หม่อมฉันไปถึงบิดามารดาของเจ้าสาวก็พาไปดูห้องหอ คือห้องที่จะให้อยู่ด้วยกัน แต่งอย่างหรูหรามีเครื่องใช้ไม้สอยอันบรรจงจัดสรร แต่รองเท้าผู้หญิงอย่างหัวปลาดุกปักทองแกมลูกปัด ก็กว่า ๑๐ คู่ ชมห้องหออยู่สักครู่เขาก็พาตัวเจ้าสาวมาหา แต่งตัวอย่างแบบจีนประดับด้วยเครื่องเพชรพลอยจนพรายตา เจ้าสาวรู้ภาษาอังกฤษพูดกันได้ จึงอำนวยพรให้ตามธรรมเนียมแล้วผู้ใหญ่พาเจ้าสาวไป และให้เราคอยอยู่ในห้องนั้น สักครู่หนึ่งเจ้าบ่าวมาถึงบ้านตามเวลาฤกษ์ มีเพื่อนบ่าวรุ่นราวคราวเดียวกันล้วนแต่งเครื่องสากลมาด้วยหลายคน เขาจะไปไหว้พ่อแม่ผีสางอย่างไรก่อนหม่อมฉันไม่เห็น ต่อเมื่อเสร็จการนั้นแล้วเขาให้เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวมานั่งเคียงกันที่หัวโต๊ะยาวในห้องรับแขก แล้วเชิญแขกไปนั่งที่เก้าอี้ ต่อมามีคนถือถาดมีถ้วยน้ำรังนก (ขนาดถ้วยน้ำพริก) ตั้งเต็มในนั้นมายืนอยู่ข้างเจ้าสาว ๆ ยกถ้วยขึ้นคำนับแล้วส่งให้แขกกินรังนกคนละถ้วย กินแล้วต่างอำนวยพรเจ้าบ่าวเจ้าสาวแล้วถอยออกมาให้เก้าอี้แก่แขกอื่นเข้าไปกินรังนกและอำนวยพรเรียงตัวต่อไปจนหมด งานอย่างจีนปนฝรั่งหม่อมฉันได้เห็นเพียงเท่านี้

อย่างที่ ๓ แต่งงานตามประเพณีจีนแท้ หม่อมฉันได้เห็นที่บ้านพระยารัตนเศรษฐี (คอยูต๊อก ณระนอง) เมื่อเร็วๆ นี้ เขาแต่งงานนางสาวแป๊ะบ๊วยลูกสาวคนเล็ก เชิญพวกหม่อมฉันไปด้วยกันหมดได้เห็นลักษณะงานถ้วนถี่กว่าแห่งอื่น ที่บ้านอัษฎางค์ของพระยารัตนเศรษฐี ตกแต่งมีราวโคมไฟฟ้าเหมือนแต่งงานที่บ้านอื่น ก่อนวันแต่งงานเชิญพวกพ้องไปเลี้ยงอาหารค่ำ แต่หม่อมฉันขอตัวไม่ได้ไป เมื่อคุณหญิงรัตนเศรษฐีมาเชิญเจ้าหญิงบอกกำชับว่า เมื่อไปพบลูกสาวที่จะแต่งงานขอให้พูดจาเอาใจ เช่นชมเครื่องแต่งตัว หรือชมว่าแต่งตัวสวย อย่าให้ไปแสดง ความสงสาร ด้วยเครื่องแต่งตัววันแต่งงานนั้นประดับประดาอย่างจีนหนักมาก ถ้ามีพวกพ้องเพื่อนฝูงไปปรารภเช่นนั้นเกรงลูกสาวจะร้องไห้ด้วยรำคาญเครื่องแต่งตัว เวลาทำการพิธีนั้นเขานัดให้หม่อมฉันไปเวลา ๑๓ นาฬิกา เพราะกำหนดฤกษ์เวลาบ่าย ๑๔ นาฬิกา เจ้าบ่าวจะมาถึงบ้าน เมื่อหม่อมฉันไปถึงเห็นแขกที่ไปช่วยงานมีมากกว่าร้อยแล้ว มีแต่จีนกับไทยชั้นผู้ดีหาเห็นมีฝรั่งไม่ แขกมักเป็นผู้ใหญ่ชั้นเป็นพี่ป้าน้าอาว์ลุงเป็นพื้น ที่เป็นหนุ่มสาวน้อย หญิงสาวดูจะเป็นพวกเพื่อนนักเรียนของเจ้าสาวหรือเป็นญาติทั้งนั้น เขาจัดรับแขกผู้ชายในห้องชั้นล่างรับแขกผู้หญิงในห้องชั้นบน แต่พวกหม่อมฉันเขาเชิญขึ้นไปชั้นบนตั้งเก้าอี้แถวให้ดูการพิธีต่างหากไม่ปะปนกับแขกพวกอื่นๆ สังเกตดูพวกแขกผู้หญิงถ้าเป็นชั้นผู้ใหญ่ แต่งตัวอย่างเก่า คือเกล้าผมสูง นุ่งผ้าโสร่งใส่เสื้อครุย หรือที่เรียกกันว่า “แต่งอย่างยอหยา” ทั้งนั้นแต่ประดับเครื่องเพชรพลอยมาอวดกันทุกคน พวกที่เป็นหญิงสาวดัดผมอย่างฝรั่งและแต่งหน้าแทบไม่เว้นตัว บางคนใส่เสื้อยาวแหวกข้างๆ ถึงโคนขาอย่างเซี่ยงไฮ้ บางคนก็ใส่เสื้อรัดเอวนุ่งกางเกงจีนอย่างเช่นแต่งกันเป็นสามัญในปีนังนี้ แต่งเครื่องเพชรพลอยก็เล็กน้อย

ที่ทำพิธีนั้นชั้นล่างหลังลับแล ตรงทางเข้าเรือนมีโต๊ะเครื่องบูชา (อย่างโต๊ะโขก) ตั้งไว้โต๊ะ ๑ ชั้นบนมีโต๊ะเครื่องบูชา (ดูเหมือนจะเป็นอย่างโต๊ะโขก) ตั้งในห้องประชุมแขกทางข้างด้านหน้าเรือนโต๊ะ แต่งโต๊ะที่บูชาสำหรับบ้านอันอยู่ติดผนังด้านหลัง มีโต๊ะขวางหลัง ตั้งเครื่องบูชาและเครื่องประดับพิเศษสำหรับงานโต๊ะ ๑ ในของเครื่องตั้งพิเศษบนโต๊ะนี้หม่อมฉันประหลาดใจอย่าง ๑ ที่มี “หมากพนม” จะเรียกอย่างอื่นไม่ได้ มีหมากเจียนและพลูจีบประดับเป็นชั้นๆ ต่อขึ้นไป เป็นแต่รูปแปลกจากหมากพนมเทศมหาชาติไปบ้างเท่านั้น อาจจะเป็นเพราะไทยพวกญาติของพระยารัตนเศรษฐีและภรรยาพระยารัตนเศรษฐีอันเป็นเชื้อไทยทั้ง ๒ ฝ่าย หรือพวกมลายูทำมาช่วยหม่อมฉันไม่ทราบ

หม่อมฉันไปถึงกำลังเจ้าสาวจะลงมาบูชาเทวดาที่โต๊ะข้างล่าง แต่งตัวใส่เสื้อแพรปักไหมทองและไหมสีเป็นเสื้อทางอย่างจีน ชายยาวลงมาถึงข้อเท้า ปลายแขนก็ยาวเลยออกไปจากปลายนิ้วมือมาก ที่ตรงอกเสื้อนั้นประดับเครื่องเพชรแทบไม่มีที่ว่าง บนศีรษะก็ใส่หมวกทางจีนมีเครื่องเพชรพลอยประดับ เวลาเดินให้ประสานมือตรงอก จนชายแขนเสื้อจรดกันไม่แลเห็นมือเจ้าสาว ต้องมีนางพนักงานอำนวยการพิธีคน ๑ เดินเคียงไปด้วย สำหรับชี้ทางและบอกให้เจ้าสาวทำอย่างไรๆ พอหม่อมฉันพบตัวเจ้าสาว ก็เข้าใจเหตุที่คุณหญิงรัตนเศรษฐีห้ามไว้ เพราะแป๊ะบ๊วยเป็นคนคุ้นเคยชอบพอกับพวกหม่อมฉันมาแต่ก่อน เคยมาที่ซินนามอนฮอลเนืองๆ แต่พบวันนี้ดูสีหน้าสลดไม่ยิ้มแย้มอย่างเช่นเคย ก็สังเกตได้ว่าคงเป็นเพราะรำคาญเครื่องแต่งตัว หม่อมฉันต้องเข้าไปจับมือข้างนอกแขนเสื้อให้พร เจ้าหญิงก็พากันชมเชยต่างๆ การบูชาเทวดาที่โต๊ะชั้นล่างจะทำอย่างไรหม่อมฉันไม่ได้เห็น บูชาแล้วก็กลับขึ้นไปชั้นบน คราวนี้ไปบูชา (เห็นจะเป็นบุพการี) โต๊ะเครื่องบูชาตัวที่อยู่ข้างด้านหน้า พวกเจ้าพนักงานแขกเทศใส่เครื่องแบบอย่างฝรั่งที่คิดทำเองคอยตาม เวลาถึงบทจะยกเก้าอี้ตั้งที่ไหน หรือที่จะทอดเบาะให้คุกเข่า มันชินเหมือนพวกโรงงิ้วไม่ต้องมีใครสั่ง บางทีมันตักเตือนเอาด้วยซ้ำไป เมื่อเจ้าสาวบูชาที่โต๊ะตัวด้านหน้าแล้ว พ่อแม่คือ พระยารัตนเศรษฐีกับคุณหญิงเข้าไปยืน ๒ ข้าง เอาแพรโปร่งสีดำปักลวดลายทองคลุมศีรษะเจ้าสาว การคลุมผ้านี้พระยารัตนเศรษฐีบอกอธิบายแก่หม่อมฉันเมื่อภายหลังว่าเป็นธรรมเนียมเก่ามาก เริ่มมีแต่เมื่อจีนเสียบ้านเมืองแก่พวกเม่งจู แต่นั้นเมื่อแต่งงานลูกสาว จึงเอาผ้าคลุมหัวเสียมิให้เห็นเครื่องหมายอย่างใดๆ ที่ปรากฏว่าพวกเม่งจูปกครอง เมื่อพ่อแม่คลุมผ้าให้แล้วก็พาเจ้าสาวกลับเข้าไปซ่อนตัวอยู่ห้องใน

คราวนี้ถึงพิธีตอนเจ้าบ่าวมาถึง เมื่อมาถึงข้างล่างทำอย่างไรบ้างหม่อมฉันไม่ได้เห็น เห็นแต่เมื่อขึ้นมาชั้นบน มีผู้ใหญ่เข้าใจว่าเป็นบ่าวนำ ๒ คน ตัวเจ้าบ่าวใส่เสื้อแพรสีเขียวปักทองประสานสียาวเสมอข้อเท้า ติดดุมไพล่ข้างอย่างจีน บนศีรษะใส่หมวกกาไหล่ทองรูปคล้ายชามล้างมือมีพูรอบ มีพวกเพื่อนบ่าวล้วนเป็นชายหนุ่มแต่งเครื่องสากล บางคนก็ใส่แต่เสื้อเชิ้ตตามหลังหลายคน เมื่อเข้าไปถึงโต๊ะเครื่องบูชาตัวข้างใน พวกพนักงานตั้งเก้าอี้เดี่ยวให้เจ้าบ่าวนนั่งข้างหน้าโต๊ะ พอเจ้าบ่าวนั่งแล้วพวกเพื่อนบ่าวก็ยืนล้อมทำกิริยาอาการคะนองสนุกสนาน และเข้าไปพูดกับเจ้าบ่าวเป็นทีล้อเลียนต่างๆ เจ้าบ่าวก็นั่งนิ่ง ตอนนี้เขาบอกอธิบายแก่หม่อมฉันเมื่อภายหลัง ว่าเป็นการลองใจเจ้าบ่าว ด้วยให้เพื่อนฝูงที่เคยเที่ยวคะนองมาด้วยกันแต่ก่อน มาชักชวนให้เสพสุราและเที่ยวคะนองตามเคย ที่เจ้าบ่าวนิ่งอยู่ได้เป็นสำคัญว่าเจ้าบ่าวละพยศด้วยหวังจะตั้งตัวให้เป็นฝั่งฝาต่อไป เมื่อทดลองสำเร็จแล้วจึงพาเจ้าบ่าวเข้าไปรับเจ้าสาวมาจากห้องใน เจ้าสาวเดินหน้าเจ้าบ่าวเดินตามไปยังโต๊ะเครื่องบูชาตัวข้างหน้าและบิดามารดายืนคอยอยู่ที่นั้น บ่าวสาวเข้าไปคำนับบิดามารดา (ดูเหมือนจะเป็นพิธีที่ยกลูกสาวให้แก่เจ้าบ่าว) ต่อนั้นพาเจ้าบ่าวเจ้าสาวไปยังห้องหอที่จะให้อยู่ด้วยกัน ห้องนั้นแต่งหรูหราเหมือนพรรณนามาแต่ก่อนแล้ว พอถึงหน้าเตียงนอนเจ้าบ่าวเอาพัดด้ามจิ้วเขี่ยเอาแพรโปร่งดำที่คลุมเจ้าสาวออกเสีย เอาไปพาดไว้บนหลังเตียงนอน ส่วนเจ้าสาวที่ปลดลูกดุมคอเสื้อของเจ้าบ่าวเมล็ด ๑ (ทำนองจะเป็นสัญญาว่าสมัครจะอยู่กินเป็นผัวเมียกัน) แล้วไปนั่งโต๊ะกินข้าวอันจัดให้นั่งกินด้วยกันทั้ง ๒ คน กินพอเป็นพิธีแล้วก็ลุกออกจากห้องนอน ไปยังโต๊ะเครื่องบูชาตัวด้านใน พนักงานจัดเก้าอี้ไว้หน้าโต๊ะสำหรับบิดานั่งตัว ๑ มารดานั่งตัว ๑ เจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าไปคุกเข่าตรงหน้าส่งน้ำชาให้บิดามารดาบริโภค (ทำนองจะเป็นการไหว้และอำนวยพร) เป็นเสร็จพิธีทำที่บ้านเจ้าสาว ต่อนั้นเจ้าบ่าวกับเจ้าสาว ยังแต่งตัวเต็มยศอย่างได้พรรณนามา พากันขึ้นรถไปไหว้บิดามารดาเจ้าบ่าว เสร็จแล้วจึงพากันกลับมาอยู่ที่บ้านพระยารัตนเศรษฐี หม่อมฉันทราบเพียงเท่านี้

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ