- เมษายน
- วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๒๕/๒๔๘๑ หมายกำหนดการพระราชพิธีเถลิงศก
- —หมายกำหนดการพระราชพิธีพืชมงคล ๒๔๘๒
- —หมายกำหนดการพระราชกุศล ๕๐ วัน พระศพสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์
- วันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๑/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชทานเพลิงศพ เจ้าพระยายมราช
- —ริ้วขบวนแห่ศพเจ้าพระยายมราช
- วันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- —อธิบายการค้าสำเภา
- วันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- มิถุนายน
- วันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๓/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชกุศล ๑๐๐ วัน พระศพสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์
- วันที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- —วินิจฉัยคำ “กู้”
- วันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๔/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชกุศล ๗ วัน พระศพพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุษบัณบัวผัน
- วันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร (๒)
- วันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- กรกฎาคม
- วันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๗/๒๔๘๒ หมายกำหนดการทรงผนวชและอุปสมบทนาคหลวง
- วันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- —ดวงตราที่มีในกฎหมายทำเนียบศักดินา
- วันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๘/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชกุศลเข้าวรรษา
- สิงหาคม
- วันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- —อธิบายเรื่องเครื่องม้าที่อะแซหวุ่นกี้ถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
- วันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- กันยายน
- วันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๙/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชพิธีเฉลิมพระชนม์พรรษา
- วันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —หมายฉลองพระสุพรรณบัฏสมเด็จพระสังฆราช
- ตุลาคม
- วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๑๐/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชกุศลวันที่ระลึกรัชกาลที่ ๕
- วันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- —วินิจฉัย เรื่อง “จิ้มก้องกรุงจีนและหองของพระเจ้ากรุงจีน”
- วันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๑๑/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระกฐินหลวง
- —บันทึกเรื่องเงินกรุงศรีสัตนาคนหุต
- วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- พฤศจิกายน
- วันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- —วินิจฉัยเรื่องลายแทง
- วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- ธันวาคม
- วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๑๒/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชพิธีฉลองรัฐธรรมนูญ
- วันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- —บานแพนกหนังสือราชาธิราช
- วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- มกราคม
- วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —วิธีให้ข้าวแม่ซื้อ
- —บันทึกเรื่องให้ข้าวแม่ซื้อ
- วันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- —วินิจฉัยพระยศเจ้านายที่เรียกว่า “กรมสมเด็จ” หรือ “สมเด็จกรม”
- วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- กุมภาพันธ์
- วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๑๓/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชกุศลมาฆบูชา
- วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- —ที่ ๑๔/๒๔๘๒ หมายกำหนดการพระราชกุศลทักษิณานุปทานและพระราชพิธีรัชมงคล
- วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
- วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ น
- มีนาคม
วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร
บ้านซินนามอน ปีนัง
ทูล สมเด็จกรมพระนริศฯ
ถึงวันอังคารที่ ๒๑ พฤศจิกายน เวลาเช้า ๙ นาฬิกา หม่อมฉันยังไม่ได้รับลายพระหัตถ์เวรที่มากับเมล์วันอาทิตย์ที่ ๑๙ จึงลงมือเขียนจดหมายเวรของหม่อมฉันฉบับนี้ เพราะจะรอรับลายพระหัตถ์แล้วจึงเขียนเกรงจะไม่ทันส่งไปรษณีย์ในบ่ายวันอังคารนี้เอง
ข่าวเบ็ดเตล็ดทางปีนัง
เมื่อวันเสาร์ที่ ๙ พฤศจิกายน อุบาสิกายอหยาคน ๑ ทอดกฐินที่วัดศรีสว่างอารมณ์ หม่อมฉันไปช่วยนำสวดถวายกฐินและพวกหม่อมฉันก็พากันไปช่วยจัดดอกไม้ประดับที่บูชา ทอดกฐินเสร็จแล้วเขาเลี้ยงพระทั้งที่จำพรรษา ณ วัดนั้นและนิมนต์มาจากวัดอื่นในปีนังไม่เลือกว่าธรรมยุติหรือมหานิกาย กฐินที่เขาทอดถวายเครื่องบริขารมาก ถ้าคิดราคาเห็นจะหลายร้อยเหรียญ เป็นของให้ไปซื้อมาจากกรุงเทพฯ โดยมาก เพราะของถวายพระมิใคร่มีขายในปีนัง หม่อมฉันเพิ่งได้พบพูดกับอุบาสิกา เจ้าของกฐิน เป็นหญิงหม้ายมั่งมีพูดไทยได้คล่อง พวกผู้หญิงจีนชั้นคฤหบดีที่ในปีนังเป็นยอหยาเช่นนี้แทบทั้งนั้น ที่เป็นผู้หญิงเจ๊กมีน้อย เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นหม่อมฉันเพิ่งคิดเห็น เป็นเพราะแต่โบราณพวกจีนที่มาหากินตามต่างประเทศมาแต่ผู้ชาย เมื่อตั้งหลักแหล่งอยู่ที่ไหนก็ได้หญิงชาวเมืองเป็นภรรยา ก็ชาวเมืองปีนังเป็นมลายูถือศาสนาอิสลามเป็นพื้นรังเกียจจีนด้วยต่างศาสนา พวกจีนจึงมักไปแต่งงานกับผู้หญิงไทยชาวมณฑลภูเก็ต ลูกที่เกิดด้วยผสมพงศ์ (เห็นจะเป็น) มลายูเรียกลูกผู้ชายว่า “บ้าบา” เรียกลูกผู้หญิงว่า “ยอหยา” ไม่นับว่าเป็นจีนแท้ จีนผสมพงศ์สืบสกุลด้วยสมรสกันเกิดบุตรหลานเป็นชาวปีนังทุกวันนี้ ถ้าจะว่าเป็นเชื้อไทยทั้งนั้นก็ว่าได้ ต่างแต่เป็นชั้นชิดบ้างห่างบ้าง ที่ยังรู้ภาษาไทยอยู่ก็มาก
พระเปรียญวัดราชประดิษฐ์ ที่มาอยู่วัดศรีสว่างอารมณ์รูปหนึ่ง เธอถามหม่อมฉันว่า เพราะเหตุใดที่วัดราชประดิษฐ์จึงมีพระฐานานุกรมนอกจากของเจ้าอาวาสอีก ๓ รูป คือพระธรรมธร พระวินัยธร และพระสังฆรักษ์ เธอได้สืบถามที่ในกรุงเทพ ฯ เขาบอกว่าเพราะวัดราชประดิษฐ์เป็นพระอารามหลวงชั้นที่ ๒ จึงมีฐานานุกรมมากกว่าชั้นต่ำ เธอยังสงสัยอยู่ หม่อมฉันบอกอธิบายได้แต่ตามเคยรู้เห็น ว่าฐานานุกรมนั้นเป็นตำแหน่งสำหรับตัวพระราชาคณะพระครูเจ้าอาวาส มีใช้สำหรับวัด มีฐานานุกรมตั้งประจำวัดแต่วัดพระเชตุพนกับวัดบวรนิเวศ ก็นับว่าเป็นฐานานุกรมของพระอัฐิสมเด็จกรมพระปรมานุชิต ฯ และสมเด็จกรมพระยาปวเรศฯกับสมเด็จกรมพระยาวชิรญาณ ฯ ถ้ามีฐานานุกรมสำหรับวัด ที่วัดราชประดิษฐ์ก็เห็นจะเป็นแบบเกิดขึ้นใหม่ซึ่งหม่อมฉันไม่ทราบว่ามีมูลมาอย่างไร เมื่อหม่อมฉันกลับมาถึงบ้านแล้วจึงนึกขึ้น ว่าหรือจะเป็น “ฐานาหม้าย” ของพระพรหมมุนี (แย้ม) ยังมีตัวอยู่ แต่ผู้บอกจะเข้าใจผิดไปว่าฐานานุกรมสำหรับวัด
เลยคิดต่อไปถึงการตั้งพระราชาคณะแต่ปางก่อน สังเกตในทำเนียบสมณศักดิ์ครั้งกรุงศรีอยุธยา ที่พระราชาคณะกับวัดที่สถิตประกอบกัน คือตำแหน่งนั้นต้องอยู่วัดนั้น เช่นสมเด็จพระสังฆราชย่อมอยู่วัดมหาธาตุ สมเด็จพระวันรัตย่อมอยู่วัดป่าแก้วเจ้าพระยาไทย พระพุทธโฆษาจารย์อยู่วัดพุทไธสวรรย์ เป็นต้น ในกรุงรัตนโกสินทร์นี้ชั้นเดิมดูก็จะให้เป็นเช่นนั้น คือวัดมหาธาตุเป็นที่สถิตของสมเด็จพระสังฆราช วัดพระเชตุพนเป็นที่สถิตของสมเด็จพระวันรัตน ชั้นเจ้าคณะรองก็อยู่วัดระฆัง วัดสระเกษ และวัดราชบูรณ เป็นต้น พระมหาเถรองค์ใดได้เลื่อนเป็นตำแหน่งใดก็ย้ายไปอยู่วัดสำหรับตำแหน่งนั้น คิดดูรายตัวก็ออกประหลาดวัดมหาธาตุสมเด็จพระวันรัตน (เฮง) องค์เดียวที่บวชวัดนั้น และได้ครองอยู่วัดนั้น วัดพระเชตุพนก็มีแต่สมเด็จกรมพระปรมานุชิตพระองค์เดียว นอกจากนั้นไปจากวัดอื่นทั้งสิ้น ถึงวัดหลวงชั้นรองลงมาอันมีกำหนดวัดว่าเป็นวัดที่สถิตของพระราชาคณะหรือเป็นวัดน้อยสำหรับแต่พระครูเป็นเจ้าอาวาส วัดใดว่างเจ้าอาวาส ถ้าเป็นวัดพระราชาคณะก็ทรงตั้งพระราชาคณะไปครอง หรือเลือกพระราชาคณะที่มีซ้อนตัวอยู่ในวัดอื่นไปครอง การตั้งพระราชาคณะแต่ก่อนจึงมีการพระราชทานเครื่องบริขาร แล้วแห่ย้ายไปอยู่วัดใหม่ อย่างเราได้เคยเห็นมามากกว่ามาก ที่ตั้งพระราชาให้คงอยู่ในวัดเดิมมีน้อย มักทรงตั้งแต่ผู้ทรงคุณวิเศษเป็นวิสามัญ เช่นสมเด็จพระสังฆราช (สา) เป็นพระอมรโมลี อยู่วัดบวรนิเวศ อีกสถานหนึ่งก็ตั้งเปรียญในวัดที่ต้องปกครองพระสงฆ์มากให้เป็นพระราชาคณะอยู่วัดนั้น ดังเช่นวัดมหาธาตุและวัดพระเชตุพน มีอัตราพระสงฆ์ ๑๐๐๐ รูป กำหนดการปกครองเป็น ๔ คณะ จึงมีเกณฑ์พระราชาคณะ ๕ รูปทั้งเจ้าอาวาส รองลงมาเช่นวัดสุทัศน์ มีพระราชาคณะ ๓ รูปทั้งเจ้าอาวาส พระราชาคณะจึงล้วนมีหน้าที่เฉพาะตัว เช่นครองวัดหรือครองคณะสงฆ์ เป็นประเพณีทั้งในประโยชน์พระศาสนาและในส่วนตัวพระราชาคณะ แต่จำเนียรกาลนานมาประเพณีนั้นเสื่อมทรามลงโดยลำดับจนเกือบจะกลายเป็นพระบวชอยู่วัดไหน ใครดีก็ได้เป็นพระราชาคณะอยู่เป็นเครื่องประดับในวัดนั้น จำนวนควรมีวัดละกี่รูปก็ไม่เป็นยุติ คิดดูน่าเสียดายประเพณีเดิม ที่ทูลเรื่องพระราชาคณะนี้เพราะคิดหาเรื่องอื่นสำหรับทูลบรรเลงในสัปดาหะนี้ไม่ออกจึงบ่นถวาย
อนึ่ง คำที่เรียกว่า “พระราชาคณะ” กับที่เรียกว่า “พระครู” พิเคราะห์ดูเดิมน่าจะหมายความต่างกันด้วยหน้าที่ มิใช่ต่างกันด้วยชั้นยศ เช่นพระยากับพระ สันนิษฐานว่าเดิมเจ้าอาวาสวัดหลวงแต่จะเป็นพระครู ต่อได้ว่าคณะจึงจะเป็นพระราชาคณะ ส่วนฐานานุกรมนั้นเป็นแต่ผู้ช่วย มีเรื่องปรากฏมาว่า เมื่อรัชกาลที่ ๓ ทรงพระราชปรารภว่าการเปรียญที่ได้เป็นพระราชาคณะไม่ใคร่สันทัดการปกครอง ทรงแนะนำให้ตั้งเปรียญเป็นฐานานุกรม ใช้ประเพณีนั้นมายุค ๑ ยกตัวอย่างดังเช่นพระพรหมมุนี (เหมือน) วัดบรมนิวาศก็เคยเป็นปลัดของพระวันรัตน (ทับ) เมื่อเป็นที่พระอริยมุนี และสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (แสง) วัดราชบุรณก็เคยเป็นปลัดของพระปิฎกโกศล ครั้งรัชกาลที่ ๔ พระราชาคณะผู้ใหญ่มักตั้งพระที่ถนัดกิจการบังคับบัญชาเป็นพระครูปลัด “ยกตัวอย่างดังเช่น พระมงคลเทพ (ใจ) วัดพระเชตุพนก็ได้เป็นพระราชาคณะเพราะเป็นพระครูปลัดของพระพิมลธรรม (อ้น) เป็นเหตุให้มีพระราชาคณะยกมากขึ้นด้วยประการฉะนี้
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด