วันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ดร

บ้านซินนามอน ปีนัง

วันที่ ๑๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๘๒

ทูล สมเด็จกรมพระนริศฯ

ลายพระหัตถ์เวรฉบับลงวันที่ ๕ ธันวาคม มาถึงปีนังต่อวันศุกร์ที่ ๘ เวลาเที่ยง ช้าไป ๑๘ ชั่วโมง เพราะรถไฟเดินยังไม่สะดวกในตอนทางชำรุดที่อำเภอไชยา แต่เจ้าพนักงานตรวจหนังสือเขามีแก่ใจส่งลายพระหัตถ์มาให้หม่อมฉันเวลาบ่าย ๔ โมงในวันศุกร์นั้นเอง ของก็เรียบร้อยมีแต่รอยตีตราเป็นอักษรอนุญาตให้ส่งเท่านั้นเอง

หม่อมฉันรีบรัดทำต้นฉบับหนังสือซึ่งให้ชื่อว่า “ลำดับสกุลคชเสนี กับโบราณคดีมอญ” สำหรับพิมพ์แจกงานปลงศพ พระยาพิพิธมนตรี (ปุย คชเสนี) แล้วพอทันส่งไปให้เจ้าภาพงานศพเมื่อวันจันทร์ที่ ๑๑ จึงได้ตั้งต้นเขียนจดหมายเวรต่อวันอังคารที่ ๑๒ มีเวลาเขียนวันเดียว จะทูลสนองแต่แก้ปัญหาที่ตรัสถามมาในลายพระหัตถ์ทั้ง ๒ ฉบับ เรื่องเมืองอุทุมพรพิสัยนั้น พบในหนังสือพงศาวดารมณฑลอีสาน ซึ่งหม่อมอมรวงศวิจิตร (ถม คเนจร) แต่ง พิมพ์ไว้ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๔ ว่า ในรัชกาลที่ ๔ เมื่อปีเถาะ พ.ศ. ๒๔๑๐ พระยาขุขันธ์ (ยัง) กราบบังคมทูลขอให้รวมที่ดินบ้านกันตวดกับ (บ้าน) ห้วยอุทุมพรเชิงเขาตกยกขึ้นเปนเมือง จึงโปรดให้ตั้งเมืองอุทุมพรพิสัยเป็นเมืองขึ้นของเมืองขุขันธ์ แล้วทรงตั้งท้าวบุตดี บุตรของพระยาขุขันธ์ (ยัง) เป็นพระอุทุมพรเทศานุรักษเจ้าเมือง

จารึกเรื่องเมืองนครศรีธรรมราชนั้น มีอยู่ในหนังสือ “ประชุมศิลาจารึกภาคที่ ๒” ซึ่งศาสตราจารย์เซเดส์แต่ง ข้ออธิบายที่ว่าเมืองนครศรีธรรมราชเดิมชื่อว่าเมืองตามพรลิง และเมืองไชยาเดิมชื่อว่าครหิ นั้น พิมพ์อยู่หน้า ๑๐ แห่ง ๑ หน้า ๑๒ แห่ง ๑ ในหนังสือนั้นอ้างหลักฐานว่า มีในศิลาจารึกพบที่เมืองทมิฬชื่อตันยอร์กับมีในจดหมายเหตุจีนและอาหรับ กับทั้งในศิลาจารึกที่พบ ณ วัดเสมาเมือง ในเมืองนครศรีธรรมราชแห่ง ๑ และศิลาจารึกที่พบ ณ วัดหัวเวียงในเมืองไชยาเก่าอีกแผ่น ๑

ชื่อเมืองขึ้นทางหัวเมืองฝ่ายเหนือที่มีซ้ำกับชื่อเมืองใหญ่ เช่นเรียกว่าเมืองชุมพร เมืองนอง และเมืองหงสาวดีเป็นต้นนั้น หม่อมฉันนึกไม่ออก เมื่อหม่อมฉันอยู่กระทรวงมหาดไทยได้เคยให้พิมพ์ทำเนียบหัวเมืองตามแบบโบราณขึ้นไว้ครั้ง ๑ มีชื่อหัวเมืองและเมืองขึ้นกับทำเนียบราชทินนามเจ้าเมืองทั้งหมด หนังสือนั้นเห็นจะหมดฉบับเสียแล้ว หม่อมฉันเองก็ไม่มีไว้ที่ปีนัง ได้อาศัยค้นดูในประกาศพิธีตรุษก็ไม่มีชื่อเหล่านั้นเป็นเมืองขึ้น พบในพงศาวดารมณฑลอีสานว่า มี “เมืองนอง” เป็นเมืองขึ้นนครจำปาศักดิ์อยู่ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเมือง ๑ เห็นจะหาสาระถวายวิสัชนาไม่ได้

ชื่อเมืองสุไหงปัตนี ที่เป็นเมืองขึ้นของเมืองไทรบุรีนั้น หม่อมฉันเคยสืบแต่แรกมาอยู่ปีนัง ด้วยนึกว่าน่าจะเป็นทางคมนาคมกับเมืองปัตนีมาแต่โบราณก็หาเค้าเงื่อนไม่ได้ คำว่า “สุไหง” แปลว่าลำน้ำ ลำน้ำปัตนีนั้นก็ตันและยังมีเทือกเขาบรรทัดขวางหน้า ไม่มีช่องทางเดินข้ามเหมือนอย่างทางไปสงขลา หม่อมฉันได้เคยไล่เลียงพวกเมืองไทรก็ไม่มีใครบอกอธิบายได้ ก็จำนนมา ถ้าคำปัตนีแปลว่านาไซ้ สุไหงปัตนี ก็เห็นจะแปลว่า “ลำน้ำบ้านนา” เท่านั้นเอง

เรื่องทำขวัญเด็กมีเซ่นแม่ซื้อด้วยปั้นข้าวสุกย้อมสีขว้างข้ามหลังคานั้น หม่อมฉันก็เป็นแต่ทราบด้วยเคยฟังเล่า หรือได้อ่านหนังสือจำไม่ได้ว่าได้เคยเห็นทำพิธีนั้น ต้องทูลจำนนไม่สามารถจะถวายอธิบายได้

เรื่องร้านม้าที่เผาศพนั้น หม่อมฉันก็ไม่เคยเห็นหรือเคยสังเกตเหมือนกัน หม่อมฉันนึกได้ว่าในหนังสือเสภาตอนทำศพนางวันทองพรรณนาการทำศพพิสดารจึงลองเอามาพลิกดู ก็พบเค้าเงื่อนดูเหมือนจะพอเห็นได้ว่าสิ่งซึ่งเรียกว่าร้านม้านั้นเป็นอะไร ในเสภาว่าเมื่อขุดศพนางวันทองขึ้นชำระและเอาลงหีบแล้วแห่ศพมายังที่เผา “ครั้นถึงโรงทึมเข้าทันที อึงมี่ยกศพร้านม้า” แล้งพรรณนาต่อไปถึงเครื่องแต่ง (ร้านม้า) ชั้นล่างทำเป็นภูเขาและรูปภาพต่างๆ ถึงที่ตั้งหีบศพว่า “บัวทองรองหีบเหมกุดั่น สามชั้นสามยอดสล้างแหลม” ถึงตอนเผาศพว่า “เผาบนเชิงตะกอน” ความบ่งว่าร้านม้านั้นหมายว่าชั้นที่ตั้งศพนั่นเอง เพราะมีโรงทิมอยู่ภายนอก มีเชิงตะกอนเป็นที่เผาศพดังพรรณนาไว้

เขียนมาถึงตอนนี้อีแมวตัวโปรดของหม่อมฉันมันมานอนหมอบขวางที่บนตักชวนให้ไปกินกลางวัน ด้วยจวนบ่ายโมง ๑ แล้วต้องหยุดที

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ