- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
- ๑๐๙
- ๑๑๐
- ๑๑๑
- ๑๑๒
- ๑๑๓
- ๑๑๔
- ๑๑๕
- ๑๑๖
- ๑๑๗
- ๑๑๘
- ๑๑๙
- ๑๒๐
๘๒
ฝ่ายพระเจ้าซ้องฮุยจงตั้งแต่วันเสด็จไปที่บ้านนางหลีซือซืออดบรรทมลมกำเริบวิงเวียนครั่นพระองค์หลายเวลา ไทอุยหมอหลวงประกอบโอสถถวายหลายขนาน พระโรคนั้นค่อยบรรเทาเป็นปกติ เวลาเช้าวันหนึ่งจึงเสด็จออกว่าราชการ ขุนนางเข้าเฝ้าพร้อมตามตำแหน่งจึงตรัสถามถึงอาการโรคกอกิวป่วย ขุนนางพวกกังฉินที่คอยประจบประแจงก็ชิงกันทูลว่าอาการโรคกอกิวนั้นไม่ทุเลาและทรุดเป็นแต่ประทังอยู่ พวกข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมฟังอาการมิได้ขาด
พระเจ้าซ้องฮุยจงได้ทรงฟังก็ทรงพระสรวลแล้วตรัสถามท่องกวนว่า เมื่อครั้งก่อนเราให้ยกกองทัพออกไปปราบปรามซ้องกั๋งนั้นการเป็นอย่างไรจึงไม่ได้ชัยชนะ ท่องกวนกราบทูลว่าซึ่งโปรดให้ข้าพเจ้ายกกองทัพไปนั้น ข้าพเจ้าก็ได้คิดทำการตามขบวนศึกหมายเอาชัยชนะ พอเกิดทหารทั้งปวงป่วยเจ็บล้มตายมากจึงถอยกองทัพกลับเข้ามา แล้วพระองค่โปรดให้กอกิวยกกองทัพใหญ่ออกไปทำการศึกอีก ฮั่นซุนป๊อกลับเข้ามาแจ้งความว่า ซ้องกั๋งจะละเว้นการชั่วเสียแล้วขอเอาอำนาจบารมีของพระองค์เป็นที่พึ่ง จึงโปรดให้บุ้นฮวนเจียงเชิญหนังสือรับสั่งไปยกโทษ ซ้องกั๋งกับพวกกับหมิ่นประมาทไม่เกรงพระราชอาญาทำการหยาบช้าต่างๆ จึงโปรดให้ทหารเอกคุมทหารเลวยกออกไปช่วย พอกอกิวป่วยลงจึงล่ากองทัพกลับเข้ามา การศึกก็สงบมาจนทุกวันนี้
พระเจ้าซ้องฮุยจงได้ทรงฟังจึงตวาดว่าความไม่จริงของตัวนั้นก็มากยังเก็บเอาความโกงของคนอื่นมาช่วยว่าอีกเล่า อันความดีและความร้ายของซ้องกั๋งจะเป็นประการใดนั้นเรารู้อยู่ทั้งสิ้น แต่พวกกังฉินปกปิดความไว้ ชวนกันยุยงให้หลงโกรธ จนขุนนางนายทหารที่เป็นคนซื่อสัตย์พลอยได้ความเดือดร้อนเพราะคนโกง ซึ่งขุนนางพวกกังฉินคบคิดกันส่อเสียดใส่โทษซ้องกั๋งนั้น จะให้พิจารณาชำระเอาความจริงก็จะตลอดถึงผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งสิ้น แล้วจะต้องลงโทษตามอาญาศึก พวกคนคดที่ต้องโทษก็จะชวนกันติเตียนเราว่าพระมหากษัตริย์ไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรมปราศจากความกรุณา ทำความผิดแต่ครั้งเดียวไม่ควรจะทำโทษ ด้วยเราทำความชอบไว้มาก คงจะคุ้มกันได้กับความคิดของคนพาลคงเห็นเช่นนี้ เราจะภาคทัณฑ์ไว้ให้สมความผิดสักครั้งหนึ่ง ถ้าสืบไปเมื่อหน้าทำความผิดเหมือนครั้งนี้แล้วจะทำตามโทษานุโทษ
บรรดาขุนนางพวกกังฉินได้ยินรับสั่งมีความกลัวยิ่งนัก พากันก้มหน้านิ่งไม่กราบทูลแก้ไขประการใดด้วยความจริงทั้งนั้น พระเจ้าซ้องฮุยจงจึงตรัสถามซกไทอวยขุนนางผู้ใหญ่ว่า เราจะมีหนังสือไปหาตัวซ้องกั๋งกับพวกให้เข้ามาทำราชการ ท่านจะให้ผู้ใดถือหนังสือออกไปดี ซกไทอวยกราบทูลว่าข้าพเจ้าขออาสาเชิญหนังสือรับสั่งไปเอง จึงจะได้ตัวซ้องกั๋งเข้ามา พระเจ้าซ้องฮุยจงก็เห็นด้วยจึงทรงพระอักษรกล่าวความโดยสุภาพ ประทับตรายี่ห้อสำหรับแผ่นดินเข้าผนึก แล้วตรัสสั่งพนักงานให้ทำป้ายด้วยทองคำสามสิบหก ทำด้วยเงินเจ็ดสิบสองรวมร้อยแปดป้าย ให้เจ้าพนักงานจัดแพรแดงสามสิบหกไม้แพรเขียวเจ็ดสิบสองไม้ สุราร้อยแปดขวดเป็นของพระราชทานปูนบำเหน็จแก่ซ้องกั๋งกับทหารครบถ้วนทุกคน เจ้าพนักงานจัดสิ่งของมาเตรียมไว้พร้อมแล้วจึงพระราชทานพระอักษรและมอบสิ่งของให้ซกไทอวย ซกไทอวยถวายบังคมลาออกมาเตรียมการที่จะไปไว้พร้อม ครั้นถึงวันฤกษ์ดีซกไทอวยกับบ่าวไพร่พอสมควรก็พากันออกจากเมืองตังเกียตรงไปถึงเมืองจีจิว เตียซกแม้ผู้ว่าราชการและกรมการก็พากันออกมาต้อนรับคำนับแล้วเชิญขึ้นไปพักอยู่ที่กงก๊วน
เตียซกแม้ถามว่าท่านออกมาด้วยธุระราชการสิ่งใด ซกไทอวยบอกว่ามีรับสั่งให้เราเชิญพระอักษรมาเกลี้ยกล่อมซ้องกั๋ง เตียซกแม้พูดว่าการซึ่งจะเกลี้ยกล่อมซ้องกั๋งให้มาอยู่ในอำนาจนั้นไม่ยากนัก ด้วยซ้องกั๋งสมัครหมายเอาบารมีพระเจ้าแผ่นดินของเราเป็นที่พึ่งมาช้านาน แต่อารมณ์ของท่านขุนนางพวกนั้นไม่อยากให้เข้าไปทำราชการกลัวจะมีอำนาจวาสนาเสมอตัว จึงได้กราบทูลยุยงส่อเสียดให้ขัดเคือง ชวนกันทูลอาสาเป็นแม่ทัพยกออกมาทำศึกหมายจะปราบปรามให้สำเร็จด้วยอำนาจก็ไม่สมควรปรารถนาพากันยับเยินไปทั้งสองครั้ง จนอาณาประชาราษฎรไม่ได้ทำมาหากินมาหลายปี ในบ้านเมืองข้าพเจ้าและหัวเมืองที่เขตแดนติดต่อกันนี้กันดารด้วยเสบียงอาหารนัก ซึ่งมีพระอักษรมากเกลี้ยกล่อมซ้องกั๋งคราวนี้ข้าพเจ้ามีความยินดีด้วยเสร็จการศึก ราษฎรในแขวงหัวเมืองจะได้ทำมาหากินเป็นสุขสบายทั่วกัน ขอเชิญท่านพักอยู่ที่นี่ก่อน ข้าพเจ้าจะไปบอกซ้องกั๋งให้จัดแจงเตรียมการที่จะรับพระอักษรไว้ให้พร้อม แล้วคำนับลาออกมา เตียซกแม้กับบ่าวไพร่พอสมควรพากันขึ้นม้ารีบไปตำบลเขาเนียซัวเปาะ
ฝ่ายม้าใช้มาคอยสืบข่าวข้าหลวงที่เมืองจีจิวนั้น ครั้นได้ทราบว่าข้าหลวงเชิญพระอักษรมาพักอยู่ ณ เมืองจีจิว จึงรีบกลับไปแจ้งความแก่ซ้องกั๋ง โงวหยงให้ทราบทุกประการ ซ้องกั๋งได้แจ้งมีความยินดีจึงให้ทหารจัดเตรียมการที่จะรับพระอักษร
ขณะนั้นคนใช้เข้าไปแจ้งความว่าเตียซกแม้มาหา ซ้องกั๋งจึงออกมาต้อนรับคำนับกันตามธรรมเนียมเชิญให้นั่งตามสมควรแล้วพูดว่า ท่านอุตส่าห์มาหาข้าพเจ้าจนถึงนี้ เตียซกแม้ตอบว่าข้าพเจ้ามาบัดนี้หวังจะบอกลาภใหญ่ให้ท่าน ด้วยบัดนี้พระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้มีพระอักษรให้ซกไทอวยเชิญมาหาท่านให้เข้าทำราชการในเมืองหลวง จงตระเตรียมการซึ่งจะรับพระอักษรให้สมควรกับที่ทรงพระเมตตาและเกียรติยศของพระเจ้าแผ่นดิน ซ้องกั๋งว่าท่านนำความดีมาบอกให้ขอบใจนัก การจะแต่งรับพระอักษรนั้นข้าพเจ้าขอทุเลาสักสามวัน ซ้องกั๋งจึงให้จัดทองถุงหนึ่งเงินสองถุงมาให้ เตียซกแม้จึงว่าข้าพเจ้ามาด้วยราชการไม่ควรจะเอาเงินทองมาให้ ซ้องกั๋งว่าข้าพเจ้าให้ท่านแจกบ่าวไพร่ซึ่งเดินทางมาด้วย เตียซกแม้ว่าท่านจะให้ข้าพเจ้ารับเอาในเวลานี้ไม่ชอบดูเหมือนกับข้าพเจ้านำความมาบอกเอาสินจ้าง จงเก็บไว้ก่อนเถิด ซ้องกั๋งว่าท่านมาถึงนี่แล้วเชิญอยู่สนทนากันสักคืนหนึ่งจึงกลับไป เตียซกแม้บอกว่าซกไทอวยมาอยู่ในเมืองจีจิว ข้าพเจ้าเป็นเจ้าของบ้านจะทิ้งแขกให้อยู่ผู้เดียวอย่างไรได้ ข้าพเจ้าจะขอท่านกลับไปก่อน ซ้องกั๋งจึงว่าท่านจะกลับไปก็ตามใจ แต่ข้าพเจ้าจะให้ทหารของข้าพเจ้าเข้าไปคำนับท่านข้าหลวงและนำทางมาเขาเนียซัวเปาะ เตียซกแม้ตอบว่าท่านคิดนั้นชอบแล้วท่านจะให้ผู้ใดไปด้วยข้าพเจ้าก็ตามใจ ซ้องกั๋งจึงให้โงวหยง จูบู๊ เซียวเหยียง งักหัวสี่นายมากับเตียซกแม้ ๆ และทหารทั้งสี่คำนับลาพากันกลับมาเมืองจีจิว เตียซกแม้พาทหารสี่นายเข้าไปคำนับซกไทอวย แล้วโงวหยงพูดว่าซ้องกั๋งให้ข้าพเจ้าทั้งสี่คนมาคำนับและแจ้งความว่า การซึ่งจะแต่งรับพระอักษรนั้นยังไม่พร้อมขอทุเลาสักสามวัน พอจัดการแล้วจึงให้เชิญพระอักษรไป ซกไทอวยตอบว่าเราเชิญพระอักษรมาครั้งนี้เป็นข้อราชการ และเป็นประโยชน์ของซ้องกั๋ง ใช่จะขู่ข่มเอาด้วยอำนาจอาญาเหมือนข้าหลวงพวกกังฉินนั้นหามิได้ จะทุเลาสักกี่วันก็ตามเถิด พูดกันเท่านั้นแล้วต่างคนคำนับลากลับไปที่อยู่ โงวหยง เซียวเหยียง จูบู๊ งักหัวก็ไปสำนักอยู่ด้วยเตียซกแม้ในเมืองจีจิว ฝ่ายซ้องกั๋ง โลวจุนหงีก็ให้ทหารปลูกโรงใหญ่มีเฉลียงลดสามชั้นเสาและเพดานหุ้มดาดด้วยผ้าแดง ห้อยพวงดอกไม้อัจกลับและโคมอย่างดีงดงาม พื้นล่างนั้นปูลาดพรมเจียมมีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งเหมือนพระที่นั่งเสด็จออกว่าราชการ และเฉลียงลดพื้นล่างนั้นพร้อมด้วยพิณพาทย์มโหรีสำหรับประโคมรับแล้วให้ทหารข้ามฟากไปปลูกโรงพักสิบสี่หลัง รายตามสองข้างถนนตลอดไปถึงเมืองจีจิวและการซึ่งตกแต่งโรงก็เหมือนกันกับโรงพักใหญ่ ครั้นถ้วนกำหนดสามวันแล้ว ซ้องกั๋ง โลวจุนหงีกับทหารพอสมควรพากันข้ามฟากไปรับข้าหลวง
ฝ่ายซกไทอวยครั้นถึงวันกำหนดก็จัดสิ่งของบรรทุกเกวียนไว้เสร็จเชิญพระอักษรขึ้นหลังม้าทหารถือธงนำหน้า ผู้ว่าราชการกรมการเมืองจีจิวและทหารซ้องกั๋งสี่คนก็พากันเดินตามมาข้างหลังเป็นอันดับ ครั้นเดินทางมาประมาณสามสิบลี้ พบซ้องกั๋ง โลวจุนหงีมาคุกเข่าคำนับอยู่ข้างทาง ซกไทอวยจึงพูดว่าเชิญท่านทั้งสองกลับไปด้วยกันเถิด ซ้องกั๋ง โลวจุนหงีก็เข้าขบวนเดินมาพร้อมกัน
ครั้นถึงท่าข้ามเจ้าพนักงานเรือก็เอาเรือเข้าเทียบท่ารับพระอักษรและคนทั้งปวงข้ามฟากไป ครั้นถึงโรงพักซ้องกั๋งกับทหารก็ถวายบังคมคำนับเชิญข้าหลวงให้นั่งที่สมควร ซกไทอวยก็เชิญพระอักษรขึ้นตั้งไว้บนโต๊ะจึงสั่งให้เซียวเหยียงอ่านพระอักษร ซ้องกั๋ง โลวจุนหงี โงวหยงกับทหารทั้งปวงก็คุกเข่าพนมมือคอยฟังพร้อมกัน เซียวเหยียงถวายบังคมแล้วเปิดผนึกออกอ่านความในพระอักษรนั้นว่า “พระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินแจ้งความมายังซ้องกั๋งกับพวกให้ทราบ ด้วยแต่ก่อนขุนนางพวกกังฉินทูลกล่าวโทษว่า ซ้องกั๋งตั้งซ่องสุมเป็นโจร เที่ยวกระทำข่มเหงอาณาประชาราษฎรในแขวงหัวเมืองซึ่งเป็นพระราชอาณาเขตได้ความเดือดร้อนต่างๆ ขอให้ยกกองทัพไปปราบเสียให้สิ้นเสี้ยนศัตรู จึงทรงพระราชดำริตามถ้อยคำขุนนางพวกกังฉินกราบทูล เห็นว่าประเพณีพระมหากษัตริย์ซึ่งครองราชสมบัติมาแต่ก่อนนั้นย่อมตั้งอยู่ในยุติธรรมมีความเมตตาแก่ราชวงศานุวงศ์ ข้าราชการและอาณาประชาราษฎรเสมอทั่วหน้าแผ่อำนาจอาญาเหมือนแสงพระอาทิตย์ ถ้าผู้ใดทำความผิดก็ลงโทษตามกฎหมายสำหรับแผ่นดิน แม้นผู้ใดทำความชอบก็ปูนบำเหน็จโดยสมควร ถ้าเห็นว่าผู้ใดเป็นคนสัตย์ซื่อมีสติปัญญาและฝีมือเข้มแข็งก็เกลี้ยกล่อมเอามาชุบเลี้ยงแต่งตั้งไว้ เป็นกำลังรักษาพระนครมิให้ศัตรูมาย่ำยีเบียดเบียนได้เป็นประเพณีสืบกันมา และเราได้ครองราชสมบัติในปัจจุบันนี้ก็มิได้ลดละขนบธรรมเนียมในราชประเพณี จึงได้สั่งให้ยกกองทัพมาปราบปรามซ้องกั๋งกับพวกเสียให้สิ้นเสี้ยนหนาม บัดนี้ทราบว่าซ้องกั๋งเป็นคนสัตย์ซื่อมั่นคงประกอบด้วยกำลังและปัญญา คิดจะเข้าไปสามิภักดิ์ทำราชการทำนุบำรุงแผ่นดินให้มีความสุขด้วยกันนั้น เรายินดีเป็นอันมาก จึงได้มีอักษรให้ซกไทอวยคุมสิ่งของมาพระราชทานป้ายทองคำสามสิบหกป้าย แพรแดงสามสิบหกไม้นั้นพระราชทานแก่ทหารเอก ป้ายเงินเจ็ดสิบสองป้าย แพรเขียวเจ็ดสิบสองไม้นั้นพระราชทานแก่ทหารโท สุรานั้นคนละขวด ถ้าซ้องกั๋งกับพรรคพวกได้ทราบความตามพระอักษรแล้ว จงรีบพากันเข้าไปถวายบังคมโดยเร็ว จะโปรดพระราชทานยศศักดิ์ตามสมควร ครั้นอ่านพระอักษรสิ้นข้อความแล้ว ซ้องกั๋งกับทหารก็ถวายบังคมพร้อมกัน ซกไทอวยกับซ้องกั๋ง โลวจุนหงี โงวหยงและทหารทั้งปวงคำนับกันตามธรรมเนียมแล้ว ซกไทอวยก็มอบสิ่งของซึ่งพระราชทานมานั้นให้ ซ้องกั๋งหยิบป้ายเงินแจกให้ทหารตามเอกโทถ้วนตัวกันทหารคำนับรับป้ายมาสวมคอไว้ทุกคน
แล้วซกไทอวยพูดว่า ข้าพเจ้าเป็นคนคุมสุรามาต้องดื่มให้ท่านเห็นหายสงสัย พูดแล้วรินสุราออกมาดื่มก่อน ซ้องกั๋งและทหารจึงได้รินออกดื่มพร้อมกัน แล้วซ้องกั๋งถามซกไทอวยว่าข้าพเจ้าได้พบท่านเมื่อไหว้พระ ณ เมืองฮัวจิวครั้งเดียวนั้น ท่านยังเมตตาช่วยกราบทูลความข้าพเจ้าให้ทรงทราบนั้นขอบใจนัก ซกไทอวยว่า แต่ก่อนนั้นข้าพเจ้าก็ทราบความดีของท่านแต่ไม่จะแจ้งจึงไม่อาจกราบทูล ต่อบุ้นฮวนเจียงฝากหนังสือไปถึงจึงได้ทราบแน่ พอพระเจ้าซ้องฮุยจงกริ้วขุนนางพวกกังฉิน จึงตรัสปรึกษาข้าพเจ้าด้วยการที่จะมีพระอักษร ข้าพเจ้าจึงกราบทูลอาสาเป็นข้าหลวงจะได้ออกมาพบท่าน จงจัดแจงเตรียมการที่จะเข้าไปเฝ้าเถิด ถ้าเนิ่นช้าไปแล้วขุนนางพวกกังฉินจะคิดอ่านหาเหตุอุบายเข้ามาขัดขวางให้ได้ความลำบาก ซ้องกั๋งตอบว่าซึ่งท่านจะให้ข้าพเจ้ารีบเข้าไปพร้อมกับท่านนั้นไม่ได้ จะต้องอยู่จัดแจงตรวจตราครอบครัวทหารซึ่งจะอยู่จะไป และแทนคุณราษฎรชาวบ้านสักสิบวัน แต่ใจของข้าพเจ้านั้นอยากจะเชิญท่านไว้สนทนากันเล่นให้สบายใจสักสามวัน ซกไทอวยพูดว่า ท่านจะให้เราหยุดพักนั้นเราไม่ขัด พูดกันแล้วจึงให้ยกโต๊ะมาเลี้ยงพวกข้าหลวง ครั้นกินโต๊ะแล้วซ้องกั๋งก็จัดห้องให้ซกไทอวยนอนตามสบาย ครั้นถ้วนสามวันซกไทอวยบอกซ้องกั๋งว่า ข้าพเจ้าอยู่กับท่านถ้วนกำหนดแล้ว จำจะขอลาท่านกลับเข้าไปกราบทูลให้ทรงทราบ ประการหนึ่งเมื่อท่านจะเข้าไปเมืองตังเกียนั้น ถ้าถึงแล้วจงยั้งอยู่นอกประตูเมืองก่อนใช้ให้ทหารเข้าไปแจ้งความให้ทราบก่อน ข้าพเจ้าจะได้กราบทูล ถ้าโปรดประการใดจะได้ทำตามรับสั่ง ซ้องกั๋งจึงให้ทหารทั้งปวงมาคำนับซกไทอวยพร้อมกัน แล้วซ้องกั๋ง โลวจุนหงี โงวหยงก็ข้ามฟากมาส่งพ้นแดนเขาเนียซัวเปาะประมาณสามสิบลี้จึงคำนับลากลับไปค่าย
ครั้นเวลารุ่งเช้า ซ้องกั๋งจึงให้ประชุมทหารเอกทหารเลวพร้อมกันปรึกษาว่า ตำบลเขาเนียซัวเปาะนี้เดิมเฮงหลุนมาตั้งกองซ่องสุมอยู่ก่อน ครั้นเฮงหลุนถึงแก่กรรมแล้ว เตียวเทียนอ๋องได้เป็นใหญ่ว่าการแทนต่อมา ครั้นเตียวเทียนอ๋องเป็นอันตรายแก่ชีวิต พวกท่านทั้งปวงจึงได้ยกเราขึ้นเป็นใหญ่ เราก็อุตส่าห์ว่ากล่าวการงานทั้งปวงมิได้ผิดจากยุติธรรม ทหารที่ไม่มีครอบครัวก็มีครอบครัวเป็นปึกแผ่นแน่นหนาทรัพย์สมบัติก็บริบูรณ์ มีความสุขเสมอทั่วกันช้านานไม่มีผู้ใดมาย่ำยีเบียดเบียน บัดนี้ขุนนางพวกกังฉินทูลยุยงพระเจ้าแผ่นดินว่าพวกเราตั้งก๊กเป็นกบฏจึงโปรดให้ยกกองทัพมาจับตัวเรา และท่านทั้งหลายก็พร้อมใจกันต่อสู้มีชัยชนะแก่กองทัพหลวงถึงสองครั้ง พระเจ้าแผ่นดินมีความขัดเคืองมากขึ้น เรากับโลวจุนหงี โงวหยงและทหารผู้ใหญ่ที่มีสติปัญญาปรึกษาเห็นพร้อมกันว่า พระเจ้าซ้องฮุยจงมีบุญมากเหมือนแสงพระอาทิตย์เมื่อเวลาเที่ยง พวกเราคิดต่อสู้ไปนั้นจะได้ความลำบากนัก จึงให้เอียนเช็งเข้าไปกราบทูลขอสามิภักดิ์เป็นข้าแผ่นดิน พระเจ้าซ้องฮุยจงก็ทรงพระเมตตามีพระอักษรมายกโทษโปรดให้เราเข้าไปทำราชการ ท่านทั้งปวงจะมาประชุมกันอยู่เช่นนี้เหมือนกับอยู่ในที่มืด ถึงจะเห็นแสงสว่างแห่งดวงพระอาทิตย์บ้างก็ไม่ชัดด้วยมหาเมฆมาปิดกำบังไว้ บัดนี้มีลมพายุใหญ่พัดเปิดเอาเมฆนั้นพ้นไปแล้ว เราท่านก็เห็นแสงสว่าง เหมือนกับเราทำการชั่วช้ามาแต่ก่อน บัดนี้พระเจ้าซ้องฮุยจงมีพระอักษรชี้แจงมาให้เห็นหนทางแล้วก็ควรจะเข้าสามิภักดิ์เป็นข้าฉลองพระคุณ ผู้ใดจะเข้าไปกับเราบ้าง ทหารที่สมัครจะตามเข้าไปก็บอกตามสมัคร ทหารที่ไม่ยอมสมัครเข้าไปจะขออยู่ที่ตำบลเขาเนียซัวเปาะนั้นมีบัญชีห้าพันครัว ซ้องกั๋งจึงให้ผู้รักษาทรัพย์สิ่งของทำบัญชีเงินทองมาตรวจดู แล้วก็แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งนั้นจะถวายเป็นของหลวง เหลืออยู่ส่วนหนึ่งก็แบ่งออกเป็นสอง อีกส่วนหนึ่งนั้นยกแจกให้ทหารที่จะอยู่และจะไป เหลืออยู่อีกส่วนหนึ่งนั้นจะแจกให้คนเข็ญใจชาวบ้านซึ่งได้มีคุณ ซ้องกั๋งจึงสั่งให้เซียวเหยียงแต่งหนังสือประกาศไปปิดไว้ทั้งสี่ทิศมีความว่า “แต่บรรดาราษฎรซึ่งอยู่ในเขตเขาเนียซัวเปาะนั้นจงพากันไปรับเอาเงินทองที่ค่ายซ้องกั๋งจะแจกจ่ายให้เสมอกัน มิได้เลือกหน้า ถึงทารกยังนอนอยู่ในผ้าอ้อมก็มีส่วนแจกเหมือนกัน ถ้าราษฎรรู้คำประกาศนี้แล้วจงรีบเข้าไปในเจ็ดวัน” ราษฎรซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ในแขวงเขาเนียซัวเปาะก็มารับเอาเงินทองสิ่งของไปทั่วทุกคน แล้วให้พรสรรเสริญซ้องกั๋งต่างๆ
ครั้นจัดแจงผู้คนและทหารทั้งปวงเรียบร้อยเป็นปกติแล้ว ซ้องกั๋งกับพี่น้องร้อยแปดคนก็เตรียมการซึ่งจะเข้าไปถวายตัวไว้พร้อม ซ้องกั๋งจึงบอกบุ้นฮวนเจียงว่า ท่านต้องเป็นตัวจำนำอยู่กับข้าพเจ้าหลายเดือนได้ความทุกข์ร้อนเป็นอันมาก บัดนี้ข้าพเจ้าจะเข้าไปเมืองตังเกียเชิญท่านไปพร้อมกันเถิด บุ้นฮวนเจียงได้ฟังมีความยินดีตอบว่า ซึ่งท่านคิดการสำเร็จประโยชน์ครั้งนี้ ข้าพเจ้ามีความยินดีเป็นอันมาก และซึ่งท่านจะไปข้างไหนนั้นข้าพเจ้าจะขอตามไปสนองคุณท่าน ซ้องกั๋งจึงจัดทหารเป็นขบวนโดยสุภาพ มีธงใหญ่นำหน้าที่อักษรจารึกไว้สี่ตัวว่า “ซุ่นเทียนฮุยก๊ก” แปลว่า ขอเข้ามาสามิภักดิ์ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินโดยสุจริต ครั้นจัดขบวนแล้วพอได้ฤกษ์ ซ้องกั๋งก็ยกขบวนออกจากตำบลเขาเนียซัวเปาะมาถึงเมืองตังเกีย จึงหยุดพักทหารอยู่นอกเมืองแล้วให้เอียนเช็ง ไตจงเข้าไปแจ้งความแก่ซกไทอวยให้ทราบ เอียนเช็ง ไตจงคำนับลารีบไปถึงบ้านซกไทอวย จึงเข้าไปคำนับแล้วแจ้งความตามซ้องกั๋งสั่งมาทุกประการ
ซกไทอวยได้แจ้งมีความยินดีจึงสั่งทหารทั้งสองว่า ท่านจงอยู่ที่นี่ก่อน เราจะไปกราบทูลให้ทราบแล้วก็รีบเข้าไปในพระราชวัง พอพระเจ้าซ้องฮุยจงเสด็จออกว่าราชการ ซกไทอวยกราบทูลว่า บัดนี้ซ้องกั๋งพาพวกทหารมาหยุดพักอยู่นอกประตูเมือง จะขอเข้ามาถวายบังคม พระเจ้าซ้องฮุยจงทรงทราบมีพระทัยยินดีนัก จึงตรัสสั่งซกไทอวยว่าเวลาพรุ่งนี้จงให้เจ้าพนักงานจัดขบวนออกไปรับซ้องกั๋งให้เหมือนกับรับแขกเมืองประเทศราชใหญ่เข้าเฝ้า และเมื่อจะเข้ามานั้นให้ซ้องกั๋งกับพวกแต่งตัวใส่เสื้อเกราะถืออาวุธยกเป็นขบวนศึก เราจะคอยอยู่เก๋งสูง สั่งแล้วก็เสด็จขึ้น ขุนนางก็พากันออกจากที่เฝ้า
ซกไทอวยจึงสั่งเจ้าพนักงานให้ตระเตรียมการไว้พร้อมแล้วกลับไปบ้าน จึงสั่ง เอียนเช็ง ไตจงคำนับลามาแจ้งความแก่ซ้องกั๋งให้ทราบ ครั้นเวลารุ่งเช้าขุนนางเจ้าพนักงานก็จัดการเสร็จแล้วพากันไปคอยรับซ้องกั๋งอยู่ที่ประตูเมืองด้านตะวันออก ซ้องกั๋งให้ทหารร้อยแปดคนแต่งตัวสวมเสื้อเกราะถืออาวุธสำหรับมือขึ้นม้าเป็บคู่ๆ ทหารเอกนั้นออกหน้า ทหารโท ตรี จัตวาก็เดินม้าถัดกันไปเป็นอันดับ ม้าซ้องกั๋งนั้นอยู่กลาง โลวจุนหงี โงวหยงอยู่ซ้ายขวา ครั้นได้เวลาก็จุดประทัดขึ้นเป็นสำคัญ เจ้าพนักงานก็ขึ้นม้านำหน้าเข้าในเมืองไปทางถนนท้องสนาม ครั้นมาถึงหน้าที่นั่ง ซ้องกั๋งกับทหารทั้งปวงลงจากม้าวางอาวุธถวายบังคมพร้อมกัน
พระเจ้าซ้องฮุยจงทอดพระเนตรเห็นซ้องกั๋งแต่งตัวงามสง่า สมควรเป็นแม่ทัพนายทหารก็มีพระทัยยินดี จึงตรัสกับขุนนางทั้งปวงว่า ซ้องกั๋งเข้ามาสามิภักดิ์อยู่ด้วยเราแล้วก็สิ้นธุระไปอย่างหนึ่ง บ้านเมืองก็จะค่อยเป็นสุขเพราะเราได้กำลังซ้องกั๋งมาเพิ่มเติมขึ้นอีก ขุนนางที่เป็นพวกตงฉินก็รับพระดำรัส ส่วนขุนนางที่เป็นพวกกังฉินนั้นพากันนิ่งเสีย พระเจ้าซ้องฮุยจงทรงเข้าพระทัย แต่มิได้ตรัสประการใด จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานพาซ้องกั๋งกับพวกเข้าทางประตูตะวันออกแล้วก็เสด็จลงจากพระที่นั่งเก๋งสูง เข้าไปประทับ ณ ที่เสด็จออกขุนนาง เจ้าพนักงานก็นำซ้องกั๋งกับพวกเข้าไปถวายบังคม พระเจ้าซ้องฮุยจงตรัสปราศรัยตามธรรมเนียม เสร็จแล้วสั่งเจ้าพนักงานให้จัดเสื้อแพรร้อยแปดมาพระราชทาน ซ้องกั๋งกับพวกคำนับรับเสื้อมาสวมกายแล้วพระเจ้าซ้องฮุยจงเสด็จขึ้น เจ้าพนักงานก็พาซ้องกั๋งกับพวกออกทางประตูพระราชวังทิศตะวันตกมายังโรงเลี้ยง ครั้นกินโต๊ะแล้วจึงพาซ้องกั๋งกับพวกไปพักอาศัยอยู่ที่กงก๊วน
ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้า พระเจ้าซ้องฮุยจงเสด็จออกว่าราชการขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊เข้าเฝ้าพร้อมกัน เจ้าพนักงานก็นำซ้องกั๋งกับพวกเข้าไปเฝ้าพระเจ้าซ้องฮุยจง ทอดพระเนตรลักษณะกิริยาซ้องกั๋งและพวกเห็นเป็นคนสัตย์ซื่อสุจริตก็ทรงพระเมตตา จึงพระราชทานดอกไม้ทองคำให้คนละกิ่ง ซ้องกั๋งกับพวกคำนับรับมาแซมไว้บนหมวก แล้วถวายบังคมลาออกจากเฝ้า พระเจ้าซ้องฮุยจงจึงตรัสปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า ซ้องกั๋งตั้งใจเข้ามาสามิภักดิ์ด้วยความกตัญญูโดยสุจริตนั้นก็เป็นความชอบของเขาโดยมาก เราคิดจะตั้งแต่งให้มียศศักดิ์สมกับความชอบ ท่านทั้งปวงจะเห็นเป็นประการใด
ท่องกวนจึงชิงกราบทูลว่า พระองค์ตรัสปรึกษาข้าพเจ้าครั้งนี้ พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าซ้องกั๋งยังไม่ได้ทำความชอบสิ่งใดให้เป็นประโยชน์แก่แผ่นดิน เป็นแต่มาสามิภักดิ์เข้ามาทำราชการ ถ้าพระองค์ยกย่องตั้งแต่งขึ้นในระหว่างนี้แล้ว ซ้องกั๋งก็จะมีใจกำเริบถือตัวว่าดีจะกระทำข่มเหงขุนนางคนเก่าให้ได้ความเดือดร้อนต่างๆ การซึ่งจะตั้งแต่งนั้นขอพระราชทานงดไว้ก่อน ถ้าซ้องกั๋งมีความชอบเมื่อใดจึงค่อยตั้งให้สมควรแก่ความชอบ ประการหนึ่งขุนนางนายทหารเก่าที่ไปตกอยู่กับซ้องกั๋งหลายนาย ขอให้พระองค์คืนมาตั้งแต่งให้ทำราชการอยู่ตามตำแหน่งเดิม ซึ่งข้าพเจ้าทูลทัดทานทั้งนี้ใช่จะคิดอิจฉาพยาบาทซ้องกั๋งนั้นหามิได้
พระเจ้าซ้องฮุยจงได้ทรงฟังไม่ทันคิดก็ทรงเห็นชอบตามคำท่องกวนว่า จึงสั่งเจ้าพนักงานให้ไปบอกซ้องกั๋ง ขอนายทหารคนเก่าคืนมาไว้ตามตำแหน่งแล้วเสด็จขึ้น ผู้รับสั่งก็มาแจ้งแก่ซ้องกั๋งให้ทราบ ซ้องกั๋งได้ฟังมีความเสียใจจึงปรึกษาทหารว่ามีรับสั่งให้เราส่งตัวทหารของเรา ผู้ซึ่งเป็นขุนนางนายทหารเดิมไปรับราชการอยู่ตามตำแหน่ง นายทหารทั้งปวงพูดว่าเสียแรงเราสามิภักดิ์เข้ามาไม่ควรจะทำ ความเรื่องนี้เห็นทีพวกกังฉินจะกราบทูลยุยงเป็นแน่ด้วยคิดจะตัดกำลังเรา ท่านจะมีความวิตกไปทำไมเมื่อพระเจ้าซ้องฮุยจงไม่ทรงพระเมตตาตั้งอยู่ในธรรมสุจริตแล้ว เราพากันกลับไปอยู่เขาเนียซัวเปาะตามเดิมดีกว่า
ซ้องกั๋งได้ฟังพวกพ้องว่าจะให้ขัดรับสั่งเป็นความจนใจไม่รู้ที่จะคิดจึงบอกว่า การที่มีรับสั่งนั้นเราไม่ขัดแต่ขอปรึกษากันให้ตกลงก่อน ผู้รับสั่งก็กลับไป ครั้นรุ่งขึ้นเช้า พระเจ้าซ้องฮุยจงเสด็จออกขุนนางผู้รับสั่งก็นำข้อความที่ซ้องกั๋งขอทุเลากราบทูลให้ทราบ พระเจ้าซ้องฮุยจงจึงตรัสถามท่องกวนว่า ซ้องกั๋งพูดผลัดที่จะไม่คืนคนให้เรานั้นท่านจะเห็นประการใด ท่องกวนพูดว่า ซึ่งซ้องกั๋งเข้ามาสามิภักดิ์ครั้งนี้ ใช่จะมาโดยสุจริตนั้นหามิได้ เพราะคิดเห็นว่าตั้งกองเป็นโจรอยู่ตำบลเขาเนียซัวเปาะนั้นไม่มีความสุขด้วยกองทัพหลวงยกไปมิได้ขาด ไม่มีโอกาสจะได้ไปเที่ยวปล้นเอาทรัพย์สิ่งของราษฎร ต้องคิดอ่านป้องกันสู้รบด้วยกองทัพหลวงเนืองๆ ป่วยการหากินจึงคิดเข้ามาสามิภักดิ์หมายจะเอาบารมีของพระองค์เป็นที่พึ่ง หวังให้พวกพ้องที่ยังอยู่เขาเนียซัวเปาะเที่ยวปล้นเอาทรัพย์สิ่งของราษฎรมาเป็นกำลังของตัว ถ้าพระองค์ทรงทราบจะโปรดให้ยกกองทัพไปปราบปราม ซ้องกั๋งจะได้ทูลขัดขวางไว้ด้วยถือตัวว่าเข้ามารับราชการอยู่ ราษฎรที่เดินทางไปมาค้าขายจะได้ความเดือดร้อน ถ้าพระองค์จะดับความทุกข์ของราษฎรให้สิ้นแล้ว ขอให้จับซ้องกั๋งกับพวกฆ่าเสียจึงจะสิ้นเสี้ยนหนามแผ่นดิน