๓๗

ซ้องกั๋งจึงตอบว่า เราเอาเงินให้ท่านการสิ่งใดของผู้อื่นด้วยเล่า ชายนั้นได้ฟังก็โกรธยิ่งนัก ตรงเข้าจะตีซ้องกั๋ง ๆ ก็หลบถอยออกมา ชายนั้นตามมาจะตีให้ได้ ซ้องกั๋งคิดจะสู้ พอเห็นชายที่รำเพลงอาวุธตรงเข้าช่วย ซ้องกั๋งก็ถอยห่างออกไป ชายที่รำเพลงอาวุธตีชายผู้นั้นล้มลงแล้วลุกขึ้น ชายที่รำเพลงอาวุธก็ถีบล้มลงอีก ผู้คุมทั้งสองเข้าห้ามชายที่รำเพลงอาวุธไว้ ชายผู้นั้นล้มลงถึงสองครั้งเจ็บปวดมาก ได้ความอายอุตส่าห์แข็งใจลุกขึ้นได้ แลดูซ้องกั๋งกับชายที่รำเพลงอาวุธ พูดว่าดีแล้วเป็นไรมี คงจะได้เห็นกัน ก็รีบหลีกไปทางทิศใต้ ซ้องกั๋งถามชายที่รำเพลงอาวุธว่า ท่านครูอยู่บ้านเมืองไหน แซ่ใด ชื่อไร ชายที่รำเพลงอาวุธบอกว่า ข้าพเจ้านี้ชาวเมืองฮ่อหนำ ตำบลบ้านลกเอียง แซ่สิ ชื่อย้ง ปู่และบิดาข้าพเจ้าเป็นขุนนางอยู่ในเก็งเลียดเซียงก๋ง เพื่อนขุนนางด้วยกันอิจฉามากจึงไม่ทำราชการ ออกมาเที่ยวขายยากอเอี๊ยะและรำเพลงอาวุธต่างๆ ให้ชาวตลาดดู ตามแต่เขาจะให้เงินบ้างเล็กน้อยพอได้เลี้ยงชีวิต คนทั้งปวงจึงเรียกข้าพเจ้าว่า แป้ตัวถัง ท่านนั้นแซ่ใด ชื่อไร บอกให้ข้าพเจ้าทราบบ้าง ซ้องกั๋งว่า ปู่และบิดาเป็นชาวเมืองหุนเสียกุ้ย แซ่ซ้อง ชื่อกั๋ง สิย้งถามว่าท่านอยู่ตำบลซัวตัง คนเหล่านั้นเรียกว่า กิบสิโหวซ้องกงเหม็ง หรือมิใช่ ซ้องกั๋งว่านั้นแหละคือตัวเราเอง สิย้งได้ฟังก็คุกเข่าคำนับพูดว่า เชิญท่านไปเสพสุราสนทนากันแล้วจึงค่อยไป สิย้งก็เก็บยาและเครื่องอาวุธไว้ในเข่งเสร็จแล้วชวนซ้องกั๋งกับผู้คุมทั้งสองมาที่โรงเตี๊ยม บอกว่าจะซื้อสุรากับสิ่งของกิน เจ้าของโรงเตี๊ยมบอกว่า สุราและสิ่งของนั้นมีถมไปแต่ไม่อาจจะขาย ซ้องกั๋งถามว่า เหตุผลประการใดจึงไม่กล้าขายให้เรา เจ้าของโรงบอกว่าคนที่ตีกับท่านเมื่อสักครู่นี้ใช้ให้คนมาสั่งไว้ว่าไม่ให้ขายกับท่าน ถ้าข้าพเจ้าขายให้แล้ว โรงเตี๊ยมคงจะยับเยินสิ้น ชายคนนั้นเปรียบเหมือนเสืออยู่ในตำบลกิดเอียงตินนี้ ผู้ใดจะไม่เกรงกลัวหรือก็ไม่ได้ ซ้องกั๋งจึงพูดกับสิย้งว่า ถ้ากระนั้นเรารีบไปเสียโดยเร็วเถิด ถ้าอยู่ช้าชายผู้นั้นมาพบเข้าก็จะเกิดความ สิย้งว่าข้าพเจ้าจะเอาเงินไปให้ค่าเช่าโรงเขาเสียก่อน อีกสักสองวันจึงจะตามไปเมืองถังจิวคงจะพบกัน เชิญท่านไปก่อนเถิด ว่าแล้วซ้องกั๋งก็เอาเงินให้สิย้งอีกยี่สิบตำลึง สิย้งรับเงินมีความยินดียิ่งนัก คำนับลามา ซ้องกั๋งกับผู้คุมสองคนก็ชวนกันออกจากโรงเตี๊ยมจะไปซื้อสุราโรงอื่น ครั้นไปถึงโรงสุราแห่งใดถามว่าจะซื้อสุรา เจ้าของสุราก็พูดจาเหมือนกันทุกโรง ซ้องกั๋งกับผู้คุมก็เดินไปจนสิ้นตลาดก็ไม่มีผู้ใดอาจขาย ว่าชายผู้นั้นสั่งไว้ทั้งสิ้น ซ้องกั๋งเดินไปเห็นโรงสำหรับคนเดินทางอาศัยจุดไฟคอยรับแขก ซ้องกั๋งเห็นดังนั้นก็ร้องถามจะขออาศัย เจ้าของโรงบอกว่า ชายผู้นั้นสั่งไว้ให้สำนักไม่ได้ ซ้องกั๋งก็ไม่รู้ที่จะคิดประการใด ตะวันก็จวนเย็นจึงชวนผู้คุมเดินไปตามทางใหญ่จนมืดค่ำ ซ้องกั๋งมีความวิตกจึงพูดกับผู้คุมทั้งสองว่า เราชวนกันไปดูรำเพลงอาวุธทำให้เกิดความขึ้น ชายผู้นั้นมาสั่งกำชับเสียทั้งสิ้น ไม่ให้พวกเราอาศัยที่ไหนได้ ค่ำมืดป่านนี้แล้วจะทำประการใดดีปรึกษากันพลางก็เดินไป ซ้องกั๋งเห็นไฟแดงอยู่ในป่า จึงพูดว่า เห็นจะมีบ้านผู้คน ผู้คุมว่า ที่ไฟแดงนั้นไม่อยู่ริมทางใหญ่ ซ้องกั๋งว่า จะทำอย่างไรได้ ถึงไม่อยู่ริมทางก็ต้องไปสำนักอาศัย เวลาพรุ่งนี้จะเดินไกลอีกสักสองสามลี้ก็ต้องจำเป็น แล้วชวนกันเดินตรงไปเห็นมีเรือนเป็นอันมาก บ้านหนึ่งโตใหญ่ ซ้องกั๋งมาที่ประตูร้องถามว่า ข้าพเจ้าเดินทางมาจวนมืดค่ำจะขออาศัยสักคืนหนึ่ง คนในบ้านได้ฟังก็เข้าไปบอกไทก๋งเจ้าของบ้านว่า มีคนโทษผู้หนึ่งเดินทางกับผู้คุมสองคนจะขออาศัย ไทก๋งให้คนใช้พาเข้ามาข้างใน ซ้องกั๋งกับผู้คุมก็เข้าไปคำนับไทก๋งเจ้าของบ้าน ไทก๋งสั่งให้จัดอาหารให้ซ้องกั๋งกับผู้คุมรับประทานแล้วให้คนใช้พาไปนอนที่ห้องสำหรับอาศัย ขณะนั้นเดือนหงาย ซ้องกั๋งเดินไปกับคนใช้ไทก๋งเห็นมีทางอยู่หลังบ้านแห่งหนึ่งใกล้ที่อาศัย คนใช้ก็ให้ซ้องกั๋งกับผู้คุมไปนอนในห้อง

ฝ่ายไทก๋งถือโคมไปเที่ยวตรวจดูที่ประตูบ้านและห้องทั้งปวงแล้วก็กลับไปนอน ซ้องกั๋งเห็นจึงพูดว่า ไทก๋งเจ้าของบ้านเหมือนกับบิดาเรา ถ้าเวลากลางคืนตรวจดูทั่วบ้านแล้วจึงจะนอน ผู้คุมว่าไทก๋งเจ้าของบ้านใจคอดีนัก ให้เราได้อาศัยพักกายบุญคุณเป็นที่สุด แล้วก็ปิดประตูนอนอยู่ในห้อง แต่ซ้องกั๋งนอนไม่หลับคิดถึงโทษของตัวก็มีความวิตก ได้ยินเสียงอื้ออึงไม่แจ้งว่าเกิดเหตุการณ์สิ่งใดจึงลุกขึ้นมาแอบดูตามช่องฝา เห็นชายผู้หนึ่งถือกระบี่มากับพวกพ้องประมาณแปดเก้าคนเรียกให้เปิดประตูคนในบ้านก็เปิดรับพวกนั้นเข้าไป ซ้องกั๋งจำได้ว่าชายคนนี้ที่วิวาทกันที่ตลาด เหตุไฉนจึงมาบ้านนี้ก็มีความกลัวเป็นอันมาก เห็นไทก๋งเจ้าของบ้านเดินออกมาถามชายผู้นั้นว่า ไปเที่ยวที่ไหนมาจนมืดค่ำ ชวนกันถือเครื่องศัสตราวุธไปทุบตีกับผู้ใดหรือ ชายผู้นั้นบอกว่าวันนี้ข้าพเจ้าไปที่ตลาด มีชายผู้หนึ่งมาขายยากอเอี๊ยะรำเพลงอาวุธต่างๆ เที่ยวหากินตามอำเภอใจ ด้วยที่ทางแถวตลาดนี้ขึ้นอยู่แก่เราทั้งสิ้น ผู้ใดจะมาหากินก็ต้องบอกให้รู้ก่อน ชายผู้นั้นถือดีว่ามีฝีมือเข้มแข็งไม่มาบอก ข้าพเจ้าขัดใจจึงสั่งพวกเหล่านั้นว่าอย่าให้เงินทอง มีคนโทษเดินทางมาเห็นก็เข้าไปดูแล้วเอาเงินให้รางวัลห้าตำลึง แกล้งจะทำให้ตำบลกิดเอียงตินของเราเสียไป ตัวเขาจะได้ปรากฏเป็นคนดี ข้าพเจ้าโกรธแค้นเข้าตีคนโทษ ชายที่รำเพลงอาวุธนั้นเข้าช่วยคนโทษไว้ ตีข้าพเจ้าล้มลงเจ็บอายผู้คนเป็นอันมาก ข้าพเจ้าลุกมาได้เที่ยวสั่งตามบรรดาโรงเตี๊ยม ถ้าคนโทษกับผู้คุมมาซื้อก็ไม่ให้ผู้ใดขาย โรงจะอาศัยก็สั่งไว้ไม่ให้อยู่ ข้าพเจ้าให้ตามไปจับตัวชายที่รำเพลงอาวุธมาเฆี่ยนเสียยับเยินแล้ว เวลาค่ำนี้จึงจะเอาตัวไปถ่วงเสียในแม่น้ำ บัดนี้ข้าพเจ้าจะตามไปจับคนโทษ ไม่แจ้งว่าหนีไปสำนักที่ใด จึงมาเรียกให้พี่ไปช่วยจับ ไทก๋งว่าลูกเอ๋ยคิดอ่านดังนี้ไม่ดีจะเป็นคนอายุสั้น คนโทษนั้นเขามีเงินรางวัลให้ก็ช่างเป็นไร จะทุบตีเขาทำไมเจ้าจงเชื่อบิดาเถิดอย่าไปรบกวนให้อื้ออึงเลย ชายนั้นก็ไม่ฟังถือกระบี่ เดินตรงเข้ามาข้างในไทก๋งบิดาก็เดินตามไปด้วย ซ้องกั๋งแอบฟังแจ้งความแล้วก็ตกใจ จึงพูดกับผู้คุมว่าจะคิดประการใดดีทางอื่นก็ไม่ไปจำเพาะตรงมาอาศัยที่บ้านนี้ ชายคนที่วิวาทกับเราเป็นบุตรไทก๋งเจ้าของบ้าน ถ้ารู้ว่าเราอยู่ที่นี่ ชีวิตก็คงตาย ถึงไทก๋งไม่บอกคนอื่นก็คงบอกให้รู้ เราหนีเอาตัวรอดไปดีกว่า ผู้คุมว่าท่านพูดจาถูกต้องแล้ว จงรีบหนีไปเสียโดยเร็วเถิด ซ้องกั๋งกับผู้คุมทั้งสองก็เปิดประตูออกมาพากันหนีไปทางหลังบ้าน ขณะนั้นมีดาวสว่างพอเห็นทาง รีบเดินทางไปประมาณครู่หนึ่งถึงป่าอ้อเป็นทางตัน ก็ชวนกันบุกป่าอ้อไปถึงแม่น้ำใหญ่เรียกว่าชิมเอียงกัง เที่ยวหาทางจะเดินต่อไปก็ไม่มี

ฝ่ายชายผู้นั้นปลุกพี่ชายลุกขึ้นแจ้งความให้ฟัง พอคนใช้มาแจ้งความว่า คนโทษกับผู้คุมนั้นมาอาศัยอยู่ในบ้าน บัดนี้หนีไปทางหลังบ้าน ชายผู้นั้นกับพี่ชายได้ฟังก็เรียกพวกพ้องจุดไฟไล่ตามมาทางหลังบ้าน

ฝ่ายซ้องกั๋งได้ยินเสียงอื้ออึงมาข้างหลังก็ตกใจ เห็นไฟนั้นใกล้เข้ามาจะหนีไปทางไหนก็ไม่ได้ด้วยแม่น้ำนั้นกว้างใหญ่ ริมฝั่งนั้นมีแต่พงแขมจะเดินบุกไปก็ไม่มีทาง ซ้องกั๋งร้องประกาศว่า เทพยดาทั้งหลายจงช่วยชีวิตข้าพเจ้าทั้งสามไว้อย่าให้ตายที่ป่าแขมริมฝั่งแม่น้ำเลย เหลียวไปดูเห็นไฟแดงมาเกือบจะถึงก็เสียใจ จึงพูดว่า ไม่ควรเลยจะเอาชีวิตทิ้งเสียที่นี้ ถ้าอยู่ที่เขาเนียซัวเปาะก็จะมีความสุข พอเห็นเรือแจวออกมาจากคลองในป่าลำหนึ่งก็ดีใจ ซ้องกั๋งจึงเรียกว่าท่านเจ้าของเรือจงช่วยรับข้าพเจ้าสามคนข้ามส่งด้วยจะเอาเงินทองมากน้อยเท่าไรข้าพเจ้าจะให้ เจ้าของเรือได้ฟังก็ร้องถามว่า ท่านทั้งสามเป็นคนชนิดไรจึงได้มาอยู่ที่นี้ ซ้องกั๋งตอบว่า ข้าพเจ้าเดินทางมา มีโจรผู้ร้ายไล่ตามมาข้างหลังจะแย่งชิง ท่านจงเอาเรือมารับโดยเร็วเถิด จะทดแทนคุณให้ควรแก่ค่าเหน็ดเหนื่อย เจ้าของเรือได้ฟังก็รีบเข้าไปริมฝั่ง ซ้องกั๋งกับผู้คุมทั้งสองเอาห่อผ้าโยนลงในเรือแล้วโดดตามลงไป เอาถ่อคํ้าเรือออกจากฝั่ง เจ้าของเรือเห็นห่อผ้าของสามคนนั้นใหญ่ก็มีความยินดี ได้ยินเสียงอื้ออึงตามมาข้างหลังจึงรีบแจวเรือออกไปกลางนํ้า พอมกหอง มกชุน กับพวกพ้องหลายสิบคนถือเครื่องศัสตราวุธและคบเพลิงไล่ตามมาถึงริมฝั่ง ร้องเรียกเจ้าของเรือให้แจวกลับมาข้างนี้ ซ้องกั๋งได้ยินก็ตกใจจึงอ้อนวอนเจ้าของเรือว่าท่านอย่าแจวกลับไปเลย ข้าพเจ้าจะเอาเงินทองตอบแทนให้ตามสมควร พวกที่อยู่ริมฝั่งก็ร้องลงมาว่าถ้าไม่มาโดยดีก็จะพลอยตายด้วยกัน เจ้าของเรือรีบแจวออกไปกลางน้ำท่าเดียว มกหอง มกชุนก็โกรธจึงร้องตวาดว่า เจ้าของเรือคนนี้บังอาจนัก แซ่ใดชื่อไรจึงกล้ามารับเอาคนมีสาเหตุเกี่ยวข้องกับเราไป เจ้าของเรือตอบว่า เราแซ่เตียไม่รู้จักหรือ มกหอง มกชุนได้ฟังก็จำเสียงได้จึงตอบว่า เราคิดว่าผู้ใด คือเตียหวยนายท้ายพวกของเราดอกหรือ จงเอาคนทั้งสามกลับคนมา เจ้าของเรือว่าชายสามคนนี้มาลงเรือเราเอง ซึ่งจะให้กลับไปนั้นไม่ได้ ถ้าจะพูดจาประการใดเวลาวันอื่นจึงค่อยพบกัน

ซ้องกั๋งได้ฟังเจ้าของเรือว่ากับพวกเหล่านั้นก็ยินดี บอกกับเจ้าของเรือว่าช่วยชีวิตข้าพเจ้าสามคนไว้ครั้งนี้พระคุณเป็นพี่ยิ่ง แล้วบอกกับผู้คุมทั้งสองว่า สืบไปภายหน้าอย่าได้ลืมคุณท่านเลย เจ้าของเรือได้ฟังก็หัวเราะร้องเพลงขึ้นว่า เราเที่ยวหากินตามแถวแม่น้ำทุกวัน ก็ปรารถนาจะเอาเงินทองไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด เปรียบเหมือนเทพยดาดลใจให้เดินมาทางนี้ สิ้นคำเพลงก็แจวเรือไป ซ้องกั๋งได้ยินก็สะดุ้งใจจึงพูดกับผู้คุมว่า เราหนีเสือพ้นมาแล้วสำคัญว่าจะสิ้นภัย กลับมาพบจระเข้จะทำร้ายชีวิต พวกเราก็คงตายอยู่ที่นี้ ชายเจ้าของเรือแลเห็นฝั่งโน้นก็หยุดจึงถามซ้องกั๋งว่าเจ้านักโทษคนนี้กับผู้คุมทั้งสองทำราชการอยู่ตีนโรงตีนศาล ข่มขี่ข่มเหงราษฎรเอาเงินทองเป็นอันมาก บัดนี้ตกมาอยู่ในเงื้อมมือของเราแล้ว ธรรมเนียมของเรามีอยู่สองอย่าง เรียกว่าขนมมีดปังตอ อย่างหนึ่งเรียกว่าขนมไม้กระบอง ตามแต่จะเลือกเอาสิ่งใด ซ้องกั๋งได้ฟังก็ตกใจจึงแกล้งทำเป็นใจดีตอบว่า ท่านเจ้าของเรือพูดจาน่าหัวเราะนัก ขนมมีดปังตอกับขนมไม้กระบองนั้นข้าพเจ้าไม่เข้าใจ เจ้าของเรือบอกว่า ขนมมีดปังตอนั้นคือกระบี่ฟันเจ้าสามคนตายแล้วทิ้งลงน้ำ ขนมไม้กระบองไม่ต้องถึงฆ่าฟัน ถอดเสื้อกางเกงออกเสียแล้วก็ให้โดดน้ำตาย สองสิ่งนี้จงเลือกเอาเถิด ซ้องกั๋งพูดว่าแต่โบราณมีมา ถ้าการสิ่งใดจะมีลาภก็ไม่ประจวบกันเข้า ถ้าภัยอันตรายจะมาถึงก็จำเพาะให้มาประจวบกัน เจ้าของเรือได้ฟังก็โกรธว่า เจ้าสามคนจะปรึกษากันอย่างไรก็คิดเสียโดยเร็วเถิด ซ้องกั๋งตอบว่า ท่านเจ้าของเรือยังไม่แจ้งความจริง ข้าพเจ้านี้เป็นคนโทษต้องเนรเทศไปเมืองกังจิวท่านจงเวทนาบ้างเถิด เจ้าของเรือร้องตวาดว่า พูดอะไรนั้นเราหาเวทนาผู้ใดไม่ จงเร่งโดดนํ้าตายเสียโดยเร็ว ซ้องกั๋งกับผู้คุมทั้งสองอ้อนวอนว่า ข้าพเจ้าสามคนนี้ยอมให้เงินทองสิ่งของในห่อผ้าเสื้อกางเกงทั้งสิ้น จะขอแต่ชีวิตไว้ท่านจงได้เอ็นดูเถิด เจ้าของเรือก็ไม่ฟังเปิดท้องเรือหยิบมีดปังตอใหญ่ขึ้นมา ร้องตวาดว่าจะคิดประการใดก็เร่งทำเสีย ซ้องกั๋งเห็นดังนั้นก็ถอนใจใหญ่ร้องประกาศแก่เทพยดาว่า ข้าพเจ้าได้ทำบาปกรรมสิ่งใดหรือไม่กตัญญูต่อบิดามารดา จึงต้องโทษเนรเทศได้ลำบากยากนัก แล้วมิหนำซ้ำจะมาถึงชีวิตครั้งนี้ ก็ร้องไห้รํ่าไรไปต่างๆ ผู้คุมทั้งสองก็เสียใจจึงพูดว่า ท่านอย่าร้องไห้นักเลย เราสามคนก็คงตายด้วยกัน เจ้าของเรือให้สามคนถอดเสื้อกางเกงเสียแล้วให้โดดนํ้าตาย ซ้องกั๋งกับผู้คุมก็ถอดเครื่องนุ่งห่มแล้ว ยึดมือกันไว้ทั้งสามคน เจ้าของเรือเหลียวไปเห็นมีเรือแจวมาลำหนึ่งก็ยืนดู

ฝ่ายลี้จุนกับทองอุย ทองเม้งลงเรือเที่ยวหากินในแม่น้ำ ลี้จุนอยู่หัวเรือล่องน้ำลงมา เห็นเรืออยู่ข้างหน้าลำหนึ่งก็ร้องตวาดว่า ผู้ใดเอาเรือมาขวางลำน้ำไว้จะทำการสิ่งใดหรือ ถ้าได้ข้าวของจงเอามาแบ่งปันให้เราบ้าง

ขณะนั้นเดือนหงายพอเรือเข้ามาใกล้ เตียหวยเห็นลี้จุนก็จำได้จึงตอบว่า พี่ลี้ตัวกอดอกหรือคิดว่าผู้ใด ด้วยมิได้พบปะกันมานานแล้วทำการซื้อขายที่ไหนก็บอกให้น้องไปด้วย ลี้จุนตอบว่า ไปเที่ยวหากินก็ไม่ได้การ น้องแซ่เตียหากินทางเรือได้ลาภสิ่งใดบ้าง เจ้าของเรือว่าเมื่อสองสามเวลามานี้ไปเล่นเบี้ยก็เสียจนอีแปะก็ไม่มีติดตัวนั่งรำพึงอยู่ริมฝั่ง พวกบนบกนั้นไล่คนมา ข้าพเจ้าเอาเรือไปรับบอกว่าเป็นนักโทษจะเนรเทศไปเมืองกังจิว พวกบนตลิ่งให้เอาตัวสามคนนี้กลับคืนไป ข้าพเจ้าเห็นพอจะได้ลาภบ้างจึงพาตัวมา ลี้จุนว่าถ้ากระนั้นจะเป็นซ้องกั๋งพี่เราดอกกระมัง ซ้องกั๋งได้ยินไม่แจ้งว่าผู้ใดก็ร้องมาว่า จงช่วยชีวิตซ้องกั๋งด้วยเถิด ลี้จุนได้ฟังก็ตกใจตอบว่า ซ้องกั๋งพี่เราแน่แล้วจึงวาดเรือเข้าไป ซ้องกั๋งแลเห็นคนที่นั่งอยู่หัวเรือจำได้ว่าลี้จุน ข้างท้ายเรือสองคนนั้นคือ ทองอุย ทองเม้ง จึงร้องบอกว่าน้องมาช่วยพี่ด้วยเถิดก็โดดข้ามเรือไป ลี้จุนพูดว่ากรรมสิ่งใดหนอทำให้พี่เราได้ความลำบากยากแค้น ถ้าช้าไปพี่ก็คงตาย เมื่อน้องนั่งอยู่บ้านเวลาวานนี้ให้ร้อนในใจไม่สบายจึงชวนกันมาหากินในแม่น้ำ เทพยดาดลใจให้ตรงมาพบพี่ พูดแล้วก็คำนับซ้องกั๋ง เจ้าของเรือลำนั้นเห็นก็ยืนงงอยู่เป็นครู่ แล้วจึงถามลี้จุนว่า พี่แซ่ลี้ที่ต้องโทษนี้คือผู้ใด ลี้จุนบอกว่า คนนี้แลที่อยู่บ้านซัวตังเรียกว่า กิบสิโหวซ้องกงเหม็ง ชื่อซ้องกั๋ง เจ้าของเรือคุกเข่าลงคำนับพูดว่า เมื่อแรกท่านก็หาบอกแซ่และชื่อให้ข้าพเจ้ารู้ไม่ เกือบจะทำอันตรายท่านเสียแล้ว ซ้องกั๋งถามลี้จุนว่า ชายเจ้าของเรือนี้แซ่ไร ชื่อใด ลี้จุนบอกว่า แซ่เตีย ชื่อหวยอยู่ตำบลเขาเซียวโกวซัว เรียกกันว่าจุนฮวยหยี มาหากินที่แม่น้ำนี้ช้านานแล้ว ลี้จุนกับเตียหวยก็แจวเรือสองลำเข้าไปริมฝั่งเชิญซ้องกั๋งกับผู้คุมขึ้นไปบนตลิ่งแล้ว ลี้จุนพูดกับเตียหวยว่าเดิมเราก็ได้บอกไว้ว่า มีชายผู้หนึ่งสัตย์ซื่อใจคอโอบอ้อมอารีอยู่บ้านซัวตังแขวงหุนเสียกุ้ยเป็นขุนนางตำแหน่งอะซี คือซ้องกั๋งคนนี้ได้มาพบแล้วจงจำไว้ให้แน่ เตียหวยได้ฟังก็หาไฟมาจุดโคมขึ้น พิจารณาดูซ้องกั๋งได้ถ้วนถี่แล้วก็คุกเข่าคำนับพูดว่า ข้าพเจ้าไม่รู้จักคิดจะทำร้ายท่านขอท่านอย่าถือโทษโกรธเลย ท่านต้องโทษสิ่งใดจึงได้ถูกเนรเทศมา ลี้จุนก็เล่าความซึ่งซ้องกั๋งต้องโทษให้ฟัง เตียหวยทราบแล้วก็แจ้งว่า บิดาข้าพเจ้ามีบุตรชายสองคน ข้าพเจ้าเป็นพี่ น้องชายนั้นรูปร่างดีชื่อเตียสุน ฝีมือเข้มแข็งทางเรือชำนาญ เรียนวิชาว่ายนํ้าวันหนึ่งประมาณทางห้าสิบลี้ ถ้าดำลงไปอยู่ในน้ำได้เจ็ดวันเจ็ดคืน คนทั้งปวงจึงเรียกเตียสุนว่าลังลีแป๊ะ เดิมข้าพเจ้าพี่น้องอยู่ริมแม่นํ้าเอียงจื๊อกังตั้งโรงขายสุรา ถ้าคนเดินทางมาเอายาเมื่อให้กินแล้วฆ่าตายเอาเนื้อทำขนมขาย เงินทองที่ได้ก็แบ่งปันกันเลี้ยงชีวิต วันหนึ่งข้าพเจ้ากับเตียสุนผู้น้องไปเล่นเบี้ยเสียจนสิ้น จึงนำเรือมาคอยรับจ้างอยู่ที่แม่น้ำนี้ ให้เตียสุนปลอมเป็นคนเดินทาง ครั้นพวกเหล่านั้นลงเรือพร้อมก็แจวไปถึงกลางน้ำทำเป็นพูดกับเตียสุนว่าจะเอาเงินคนละสามตำลึง เตียสุนแกล้งไม่ยอมให้ ข้าพเจ้าจับเตียสุนโยนลงแม่นํ้า คนที่อยู่ในเรือเห็นก็ตกใจกลัวเอาเงินให้คนละสามตำลึงทั้งสิ้นแล้ว แจวเรือข้ามกลับมาคอยรับเตียสุนหาเลี้ยงชีวิตอยู่เสมอมิได้ขาด ซ้องกั๋งว่าท่านหากินทางนี้ไม่ชอบเลย ลี้จุนกับพวกเหล่านั้นได้ฟังก็ชวนกันหัวเราะ เตียหวยจึงพูดว่าข้าพเจ้าจะไม่ทำอย่างนี้แล้ว บัดนี้เตียสุนไปรับจ้างขายปลาอยู่ ณ เมืองกังจิว ข้าพเจ้าจะฝากหนังสือไปด้วย แต่ไม่รู้จักหนังสือจะทำประการใดดี ลี้จุนว่าไปที่หมู่บ้านจ้างซินแสเขียนก็ได้ดอก แล้วให้ทองอุย ทองเม้งเฝ้าเรือ ชวนซ้องกั๋งกับผู้คุมเตียหวยถือโคมนำหน้าเดินไปประมาณทางได้ครึ่งลี้ เห็นไฟที่ฝั่งข้างโน้นสว่างอยู่ เตียหวยจึงพูดว่า สองคนพี่น้องที่ไล่ตามพี่ซ้องกั๋งยังไม่กลับไป ลี้จุนถามเตียหวยว่า สองคนนั้นคือผู้ใด เตียหวยว่าบุตรมกไทก๋งเป็นเจ้าของตลาดฟากข้างโน้น ลี้จุนว่าเรียกมาคำนับพี่ซ้องกั๋งเสียบ้างเป็นไร ซ้องกั๋งว่าอย่าเลย ไล่ตามมาจะเอาตัวเรา ท่านยังจะเรียกให้มาทำไมอีก ลี้จุนว่าท่านจงวางใจเถิด ไม่ใช่ผู้อื่นเป็นพวกเดียวกัน ท่านอย่าวิตกเลย จึงร้องเรียกมกหอง มกชุนให้ข้ามมา มกหอง มกชุนยืนอยู่ริมฝั่ง ครั้นได้ยินเสียงลี้จุนร้องเรียกก็จัดหาเรือชวนกันข้ามฟากมา เห็นลี้จุน เตียหวย ประคองซ้องกั๋งไว้ก็สะดุ้งใจจึงถามว่า ทำไมท่านจึงรู้จักกับพวกคนนี้ ลี้จุนหัวเราะแล้วตอบว่า คนผู้นี้ที่เราพูดให้ฟังว่าเป็นชาวบ้านซัวตังชื่อกิบสิโหวซ้องกงเหม็ง เป็นขุนนางตำแหน่งอะซี

มกหอง มกชุนได้ฟังก็วางอาวุธคุกเข่าคำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าได้ยินชื่อเสียงท่านปรากฏมาช้านานแต่ยังหารู้จักตัวไม่ ซึ่งข้าพเจ้าได้ล่วงเกินกับท่านขออภัยเสียเถิด ซ้องกั๋งยึดมือไว้ให้ลุกขึ้นถามว่า แซ่ใด ชื่อไร ลี้จุนบอกว่า คนนี้แซ่มกชื่อหองเรียกว่า มุดเยียลัน น้องชายนั้นชื่อมกชุนเรียกว่า เซียวเยียลัน เหมือนเสือร้ายอยู่ในตำบลกิดเอียงติน ยังที่เนินกิดเอียงเนียนั้น ตัวข้าพเจ้ากับลี้ลิบผู้น้องไปตั้งซ่องหากินอยู่ใกล้เนิน คนทั้งปวงเกรงกลัวจึงพากันเรียกว่า เสือร้ายในตำบลเนินกิดเอียงเนีย ที่แม่น้ำชิมเอียงกังนั้นคือเตียหวยกับเตียสุนสองคนพี่น้องเที่ยวหากิน คนทั้งหลายก็ครั่นคร้าม เรียกว่าเสือร้ายทั้งสามตำบล

ซ้องกั๋งได้ฟังจึงพูดว่า ถ้าพี่น้องไม่บอกที่ไหนเราจะรู้ แต่พวกเรายังมีอีกคนหนึ่ง ชื่อสิย้งที่มารำเพลงอาวุธอยู่แถวตลาดเกิดวิวาทกันขึ้นท่านให้จับตัวไว้ สิย้งไม่ใช่ผู้อื่นเป็นพวกเดียวกัน จงปล่อยสิย้งเสียเถิด มกหองว่าข้าพเจ้าจะปล่อยให้พี่อย่าวิตกเลย แล้วสั่งมกชุนไปถอดสิย้งแล้วนำตัวมาโดยเร็ว มกชุนก็ตรงไปยังตำบลกิดเอียงติน มกหองจึงพูดกับซ้องกั๋งว่าข้าพเจ้าพี่น้องทำให้ท่านโกรธแค้นเป็นอันมากด้วยไม่รู้จัก บัดนี้ขอเชิญท่านกับพี่น้องทั้งปวงไปสนทนากันที่บ้านก่อน ลี้จุนว่าถูกต้องแล้ว เชิญพี่ไปที่บ้านมกหองให้สบายแล้วจึงค่อยไป พูดดังนั้นก็ชวนกันลงมาเรือเรียกทองอุย ทองเม้งข้ามฟากไปถึงฝั่ง ขึ้นจากเรือไปประมาณครู่หนึ่งถึงบ้านมกหอง ๆ เชิญซ้องกั๋งกับพี่น้องเหล่านั้นเข้าไปข้างในจัดที่ให้นั่งพร้อมกันแล้ว มกหองไปบอกบิดาให้มานั่งสนทนากับซ้องกั๋ง มกชุนไปถอดสิย้งออกแล้วพาตัวมาให้ ซ้องกั๋งก็มีความยินดีนั่งสนทนาอยู่กับมกไทก๋งและพี่น้องเหล่านั้นได้ครู่หนึ่งเวลาก็สว่าง มกไทก๋งจึงให้จัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยงซ้องกั๋งกับพวกพ้องจนเวลาเย็นค่ำชวนกันค้างอยู่ที่บ้านมกไทก๋งคืนหนึ่ง มกไทก๋งกับคนทั้งปวงหน่วงเหนี่ยวไว้ ชวนกันพาซ้องกั๋งไปเที่ยวชมตลาดตำบลกิดเอียงตินจนเย็นก็กลับมา ซ้องกั๋งค้างอยู่ที่นั่นอีกสามคืน

ครั้นรุ่งขึ้นก็จะลาไป มกหอง มกชุนจึงจัดเงินทองมาให้ซ้องกั๋งกับผู้คุมทั้งสองนั้นคนละเล็กน้อย เตียหวยวานให้คนเขียนหนังสือฝากไปถึงเตียสุนผู้น้องแล้วก็ส่งให้ซ้องกั๋ง ๆ รับเงินกับหนังสือเตียหวยแล้วก็ลาไป พี่น้องเหล่านั้นตามส่งซ้องกั๋งจนถึงเรือจ้างจะไปเมืองกังจิว สิย้งบอกกับซ้องกั๋งว่าเชิญพี่ล่วงหน้าไปก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะตามไปต่อภายหลัง มกหอง มกชุน ลี้จุน ทองอุย ทองเม้ง เตียหวยก็คำนับลาซ้องกั๋งแยกกันกลับไปบ้านของตัว แต่สิย้งนั้นกลับไปอยู่ที่บ้านมกหองก่อน ซ้องกั๋งกับผู้คุมก็ลงเรือจ้าง เจ้าของเรือถอนสมอแล่นเรือใบตรงไปถึงเมืองกังจิว ก็ลดใบถอยเรือเข้าไปจอดริมฝั่ง คิดเงินให้เจ้าของเรือแล้วก็ขึ้นฝั่งมุ่งตรงเข้าไปในเมืองกังจิว

ฝ่ายผู้รักษาเมืองกังจิวนั้นแซ่ชัวชื่อเกาเป็นบุตรที่เก้าของชัวไทซือขุนนางผู้ใหญ่เมืองหลวง ชัวไทซือนั้นเป็นขุนนางกังฉิน เห็นว่าเมืองกังฉิวบริบูรณ์ ราษฎรมั่งมีทรัพย์สินเงินทอง จึงตั้งให้บุตรเป็นผู้รักษาเมือง ชัวเกาเป็นคนโลภเห็นแก่เงินทอง คนทั้งปวงจึงเรียกว่าชัวเกาติฮู้ ครั้นอยู่มาวันนั้นผู้รักษาเมืองออกว่าราชการ ผู้คุมทั้งสองก็พาตัวซ้องกั๋งกับหนังสือเข้าไปมอบให้ผู้รักษาเมือง ๆ รับมาฉีกผนึกออกอ่าน แจ้งความแล้วเห็นซ้องกั๋งลักษณะดีจึงถามว่าธรรมเนียมคนต้องโทษเนรเทศมาก็มีหนังสือปิดไว้ที่คาเป็นสำคัญ เหตุไฉนเจ้าจึงไม่มีหนังสือ ผู้คุมแจ้งว่าเมื่อเดินทางมานั้นเป็นฤดูฝนกระดาษเปื่อยขาดเสียสิ้น จึงไม่มีหนังสือสำคัญมา ชัวเกาเขียนหนังสือสั่งคนใช้เอาตัวซ้องกั๋งไปมอบให้กวนเอียนขุนนางฝ่ายคุก คนใช้คำนับลาพาตัวซ้องกั๋งกับผู้คุมเดินทางมาถึงตลาด ซ้องกั๋งเห็นโรงขายสุราก็เชิญคนใช้กับผู้คุมเข้าไปซื้อสุราดื่ม แล้วก็เอาเงินให้คนใช้ทั้งสองว่า ท่านจงช่วยพูดจาแก่ขุนนางฝ่ายคุกด้วย คนใช้รับคำว่าไม่เป็นไรดอก ถ้าหากจะเอาตัวออกจะเฆี่ยนท่านจงบอกว่าป่วยอยู่ก็คงงดได้

ซ้องกั๋งได้ฟังก็ค่อยคลายใจ ชวนกันออกจากโรงสุราตรงมาบ้านกวนเอียนนายคุกใหญ่ คนใช้เข้าไปคำนับส่งหนังสือให้บอกว่า ผู้รักษาเมืองให้พาตัวซ้องกั๋งคนโทษมามอบแก่ท่าน แล้วช่วยพูดจาเดินเหินให้ซ้องกั๋งเบาบาง ผู้คุมจึงเอาห่อผ้าเงินทองของซ้องกั๋งมอบให้แล้วกลับไปเมืองเจ๋จิวฮู้ ซ้องกั๋งจัดเงินทองไปให้กวนเอียและผู้คุมทุกคน พวกเหล่านั้นก็มีความยินดี กวนเอียนายคุกใหญ่ครั้นได้เวลาจึงให้หาซ้องกั๋งมาทำเป็นพูดว่า ถ้าคนต้องโทษเนรเทศมาให้เฆี่ยนร้อยหนึ่งแล้วเอาตัวขังไว้ตามโทษ ผู้คุมจึงเอาตัวซ้องกั๋งเฆี่ยนเสียตามธรรมเนียม ซ้องกั๋งบอกว่าข้าพเจ้าป่วยมาตามทางยังหาหายไม่ ขอท่านจงโปรดเถิด กวนเอียได้ฟังจึงพูดว่าซ้องกั๋งเห็นจะป่วยจริงหน้าตายังเหลืองอยู่อย่าเพิ่งเฆี่ยนเลย ประการหนึ่งซ้องกั๋งยังเคยทำราชการเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นตำแหน่งอะซีหนังสือดีนัก ให้ช่วยจดบัญชีที่ห้องหนังสือไปพลางก่อน ซ้องกั๋งคุกเข่าคำนับลามาอยู่ที่ห้องหนังสือ ขุนนางทั้งปวงเห็นซ้องกั๋งมีเงินมีทองใช้สอยฟุ่มเฟือยก็ยินดี ต่างคนก็มาประจบรู้จักชอบพอซ้องกั๋งมาก กวนเอียนายคุกกับผู้คุมก็จัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยงซ้องกั๋งเสร็จแล้ว พูดว่านายคุกนี้ยังมีอีกคนหนึ่งชื่อไตจงเป็นขุนนางที่เจียดคิบคู่กันกับเราใจกล้าหาญ ฝีมือเข้มแข็ง ท่านจงจัดเงินทองค่าธรรมเนียมไปให้เสียบ้างจึงจะมีความสุข ซ้องกั๋งว่าข้าพเจ้าอยากจะให้เจียดคิบมาเองจึงจะจัดแจง กวนเอียและผู้คุมก็กลับไป ซ้องกั๋งได้ช่วยจดบัญชีต่างๆ มาประมาณสิบวัน

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ